ข้อมูลนี้อ้างอิงมาจากกระทู้พันทิพย์ที่เราเคยเขียนไว้เมื่อปี 2016 ค่ะ หวังว่าข้อมูลบ้างส่วนจะยังคงมีประโยชน์
ปล. ตอนนั้นเป็นกระทู้ที่ไปจันครั้งแรกๆ พูดจีนไม่ค่อยได้ หลังๆไปบ่อยจนrvพูดได้แล้วค่ะ ฮ่าๆ เผื่อใครเปิดอ่านกระทู้อื่นของเราในจีนแล้วงง ว่าทำไมบอกว่าพูดได้งูๆปลาๆ แล้วทริปอื่นๆบอกว่าพูดได้
กราบสวัสดี ผู้หลงมาอ่านกระทู้ทุกท่านค่ะ ก่อนอื่นเลยต้องบอกก่อนเลยนะคะ กระทู้นี้เราไปมากับเพื่อนสาวสองคนเมื่อ กลางเดือนตุลา ปี 2016 ค่ะ และเราก็เคยไปจีนมาแล้วรอบนึง ในแถบเดียวกัน ครั้งก่อนเรานั่งรถมาจาก หมอชิต ไปแถบนี้ ซึ่งจุดมุ่งหมายครั้งก่อนอยู่แค่แชงกรีล่าค่ะ (รีวิวที่เพื่อนเราเคยรีวิวไว้ : https://pantip.com/topic/33385402) คือด้วยความประทับใจมาก ในครั้งนั้น ทำให้คิดในใจว่าจะต้องมาเที่ยวแถบนี้อีกให้ได้ และเป้าหมายครั้งนี้จะต้องไปไกลว่า นั่นคือ อุทธยานแห่งชาติ "ย่าติง" (亚丁自然保护区) ซึ่งเราตัดสินใจไปเรื่อยๆ ต่อ 12 วัน โดยที่แผนหลักๆ มีแค่ ย่าติง ลงคุณหมิง กลับเฉิงตู เท่านั้น อย่างอื่นเราไปคิดรายวันค่ะ ว่าจะไปไหนกันดี ที่พักไม่เคยจอง ไปแบกเป้ หาเอาดาบหน้า ภาษาจีนหรอไม่ต้องพูดถึง พูดได้งูๆปลาๆ ตามที่เคยเรียนมานิดๆหน่อยๆ
ในรีวิวนี้ เราจะรวบรวม สิ่งที่มีประโยชน์สำหรับคนที่อยากไปเมืองต่างๆ เหมือนเรานะคะ ซึ่งอาจจะช่วยได้บ้าง สำหรับการเดินทาง บางเมืองไม่เคยรู้จักพอไป รู้สึกว่าสวยมาก แบบไม่เคยคิดมาก่อน ผิดพลาดประการใด อ่านชื่อผิด ยังไงขออภัยนะคะ เราจะพยายามหาชื่อจีนมาใส่ให้ เพราะว่า มันมีประโยชน์มากจริงๆ สำหรับคนที่พูดไม่ได้แบบเรา ตามไปรั่วๆ ไปพร้อมกันนะคะ
การเดินทาง โดยสรุป
คุณหมิง 昆明 --> แชงกรีล่า 中甸 ชื่อจีน คือ Zhōngdiàn ---> เต้าเฉิง 稻城亚丁机场 ---> อุทธยาน ย่าติง 亚丁自然保护区--->คังติง 康定--> ฉงฉิ่ง 重庆--> อุทธยาน อวู่หลง 武隆喀斯特 ---> เฉิงตู 龟城
วันที่ 1 : คุณหมิง 昆明
ลงสนามบิน ก็ไปท่ารถทันทีเพื่อหารถนอนไปแชงกรีล่า 中甸 ออกเดินนอกสนามบิน จะเจอ รถบัสมากมาย จากการสอบถามงูๆปลาๆ และเคยมาคุณหมิงครั้งที่แล้ว เราก็ได้ข้อมูลมาว่า หารถเลข 919 B1 ไปสุดสายก็จะเป็นท่ารถทัวร์ของคุณหมิง ราคาคนละ 13 หยวน
พอไปถึงท่ารถทัวร์คนเยอะมาก แต่เราเจอคนไทยด้วยนะคะ เขาไปที่เดียวกับพวกเรา แต่ก็ไม่มีเวลาทักทาย พึ่งมาเจอกันตอนถึงที่แชงกรีล่า เราเข้าไปถามช่องไหนก็ได้ค่ะ พร้อมยื่น ชื่อภาษาจีนให้เลย เตรียมตัวมาดีกว่าคราวที่แล้ว 555 ได้มาในราคา คนละ 208 หยวน รถออกตอน หกโมงครึ่ง ตอนเย็น ซึ่งเรามีเวลาเหลือเลยไปเดินเล่น หาของกิน ตุนบนรถ เพราะเคยไปรู้เลย ว่า ของกินระหว่างทางของจีนเรากินไม่ได้จริงๆ แถมห้องน้ำห้องท่าเตรียมเข้าให้เต็มที่เลยและกันค่ะ เตรียมแปรงฟันอาบน้ำไปนอนหลับเลยจะดีกว่าสำหรับเรา
ลืมบอกไปค่ะว่า ที่นี่ ถ้าใครเวลาเหลือ ก็ฝากกระเป๋าเอาไว้ก่อนได้ มองหารอบๆ ก็จะเจอห้อง ฝากกระเป๋าคะ คิดเป็นใบนะ 10 หยวน ฝากไว้นานเท่าไหร่ก็ได้คะ ควรยืนมองสักนิดว่าเอากระเป๋าเราไปวางตรงไหน เพราะว่าขากลับ รีบจะได้ชี้เลยว่าของฉันใบนี้ๆ
ห้องน้ำที่ท่ารถ ตามแบบฉบับจีน ค่ะ ใครไปที่นี่ด่านแรกก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆไป 555 บอกให้เตรียมใจ แต่มีอาม่าคอยราดน้ำตลอดนะ ถือว่าได้ห้องใหม่ก็ดีไป สาวๆ พกกระดาษเปียกไปเยอะๆและกันนะจ๊ะ
พอถึงเวลา เราก็ได้ตั๋วมา ลืมถ่ายไว้เผื่อจะวงให้ดูว่าดูยังไง แต่ทุกคนคงเข้าใจเองค่ะ แต่ๆๆๆ เราเนี่ย ไม่เข้าใจ ตรง เตียงข้างบนหรือว่าล่าง เถียงกับคนจีนอยู่นานว่านี่ที่ฉันนะ คนจีนก็เถียงเรากลับมายาวๆ เราก็เอ้า ก็มันแปะเลขเธอข้างบน ทำไมเธอมานอนข้างล่าง สุดท้ายก็ใช้สมองจาก การเรียนจีนว่ามันมาจากรูปภาพ ดูว่ามันขีดขึ้นหรือบน ก็เลยบางอ้อ เอง โดยปริยาย ดีนะคนจีนก็ไม่ได้ว่าไร แค่แบบ เธอไม่รู้จีนใช่ไหมเนี่ย ฟังออกนะคำนี้ 55
รถมีแวะพักด้วยนะคะ แต่พอดีว่า เรากับเพื่อนกินยาแก้เมาไป เลยหลับยาวๆ ไป รู้ตัวอีกที ถึงแล้ว สถานที่เดิม แชงกรีล่า ที่เราเคยมาเมื่อปีก่อน
วันที่ 2 : แชงกรีล่า 中甸
เรามาก็มีวางแผนกันมาบ้าง พรุ่งนี้เราจะไปต่อกันที่เต้าเฉิงเลย 稻城亚丁机场 ซึ่งมีรถจากแชงกรีล่าไปวันละรอบเท่านั้น คือ รอบ 8 โมง เราเลยต้องวนออกท่ารถและเข้ามาใหม่เพื่อซื้อตั๋ว วันพรุ่งนี้เลย คราวก่อนมาที่ท่ารถนี้โดนหลอก ไม่ยอมขายตั๋วบอกว่าไม่มี จะให้ไปรถเหมา ก็ทะเลาะไปยกใหญ่ คราวนี้เลย พิมพ์คำจีนพริ้นมาเผื่อ ว่า อย่าบอกว่าไม่มี ปีที่แล้วฉันก็เคยมา 555 พร้อมมากจ้าา แต่ผลสรุป ไม่ได้ใช้
ได้ตั๋วมา ในราคาคนละ 109 หยวน ชิวๆมากเมื่อเทียบกับคราวก่อน ที่ซื้อกลับไปลี่เจียง จากนั้น เราก็กลับมาลั้นลากับที่ที่คุ้นเคย แต่ว่าตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วนะ และกำลังก่อสร้างเพิ่มด้วย คราวที่แล้วเรามาตอนที่มีประท้วงไฟไหม้ เรียกแท๊กซี่เลยจ๊ะ บอกไปเลยว่า จะไป"กู้เฉิง" แปลว่าเมืองเก่า นะถ้าจำไม่ผิด แท็กซี่ที่นี่ดี ไม่ต้องต่อราคาค่ะมากี่รอบราคาเท่าเดิม
ที่พักไม่ได้จอง ไปหาเอาดาบหน้า แต่ว่าเช้ามากนี่ซิ จะมีใครใจดีเปิดรับเราตอนนี้เลยไหมน้าาา เดินเข้าตัวเมืองเก่าชิวๆ นี่มันถื่นเก่าเราแล้ว แต่ไม่นอนที่เดิมนะ เปลี่ยนสถานที่บ้าง เดินไปสำรวจที่แรก ได้เลยจ๊ะ Bodhi Boutique ภาษา อังกฤษก็พอได้ แต่ดิฉันพูดจีนไปเลย เผื่อจะได้ห้องไวๆ ตรรกะตัวเอง 55 ห้องโอเคมาก สำหรับการเหนื่อยล้ามาทั้งคืน เราสองคน กินยาแก้แพ้ความสูงที่ซื้อมาจากไทยก่อนเลย อัดไป ช่วยได้นะ ใครว่ายังไงไม่รู้ เพื่อนที่ไปทีหลังไม่ยอมกิน เมาหัว กันเป็นแถบๆ
สภาพห้อง โรงแรม เลือกหลักๆเลยคือดูห้องน้ำ จากนั้น เราก็มาเก็บส่วนที่ไม่ได้มาคราวที่แล้ว นั่นคือ นาป่าไห่ ทุ่งหญ้า สวยๆ ก็ไม่รู้ว่าที่ถ่ายมานี่ใช่ไหม แต่ว่า มันสวยตามในแบบนาป่าไห่ของเราแล้วหล่ะ 555 ไปยังไงหรอคะ เช่ามอไซด์ไฟฟ้า หน้า โรงแรม ราคา 50 หยวน ได้ทั้งวัน หรือจนกว่า แบตจะหมด
ที่โรงแรมไม่มีแผนที่ให้ ต้องขับตามความรู้สึก 555 ถ่ายของโรงแรมที่แปะไว้มา ถามป้าร้านเช่า มา สรุป ไม่ได้ความสักอย่างค่ะ หลงๆๆๆ ตลอด แต่เป็นการหลงที่ฮามากๆ พวกเราเปิด VPN ไป (ใครเคยไปจีนครั้งแรก โหลด แอปนี้ไปด้วยนะจ๊ะ เขาบล็อกหมดเลยน้า ที่จีน FB ,Line,google ใช้ไม่ได้สักอย่าง) เราเปิด google map ทิ้งเอาไว้ ตอนอยู่ โรงแรม แบบ offline ขับตามเลยจ้าา แต่ประเด็น ทางที่มันบอก ตอนไปมันทำถนน คนจีนที่เป็นช่าง ก็เป่าปิ้ดๆ ให้พวกเราออกไป เราดันออกมาทางลัด ตรงกลางทำถนน ทำไงก็ google map บอกพวกเราแบบนี้หนี่ว่า โทษนะลุง 55
ทั้งกระเป๋าทั้งหัว แดงไปด้วยฝุ่น แต่ก็ไปถึงนะ กลับก็ยังจะกลับทางเดิม จนลุงเหนื่อยใจ เออรีบไปๆ 55
จัดไปเต็มๆ ของจริง แสงสวยมาก แต่ว่าใช่นาป่าไฮ่ที่เขาพูดกันรึเปล่านั้น เราก็ไม่แน่ใจนะคะ เพราะว่าถามใครก็คุยไม่รู้เรื่อง แต่เราเห็นทัวร์จีน ลงไปแต่งตัวแบบคนพื้นเมืองและถ่ายรูป ก็น่าจะใช่และนะ
ส่วนที่เดิม นั่นคือ วัดต้าเฝอ เราเคยมาไปแล้ว แต่ว่าคราวก่อนที่ไป ครั้งแรก ไม่ได้ไปหมุน บทสวดกับคนอื่น คราวนี้ที่ไป ตั้งใจจะไปหมุนให้ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ค่ะ เลยได้ไปหมุน พร้อมกับคนจีนจำนวนมากพอดี โชคดีมาก เพราะว่าต้องหลายคนกว่าจะหมุนได้
วันที่ 3:เต้า เฉิง 稻城亚丁机场
จองรถไว้แล้วเมื่อวาน แถมเมื่อคืนคุยกับ โรงแรมไว้ว่าขอรถแท๊กซี่ไปท่ารถพรุ่งนี้ ตอนเช้าเลยนะ ซึ่งในรถมาคนไทยด้วยตั้งหลายคน เป็นรถนั่งนะคะ ครั้งนี้ เป็นครั้งที่จะไม่ลืม เพราะไกลมากกกกกกก ไม่ว่าหรอก แต่ว่า มันกระโดก โยกๆ กระแทกไปมาเหมือนขี่อุฐ ข้างทางก็เป็นเขาแห้งๆ สลับ เขาหิมมะนิดๆ อัดไปเลยจ๊ะยาแก้เมารถ หลับไปเลย น้ำก็จิบตลอด ของหวานด้วยนะคะ เพราะว่าเรียกได้ว่าเป็นการนั่งรถที่สูงที่สุดในชีวิตที่เรากับเพื่อนเคยนั่งแล้วค่ะ
เพลงพี่ตูนก็ลอยมา จะออกไปแตะขอบฟ้า ฟ้านี่อยู่ตรงหน้า มีแวะเข้าห้องน้ำด้วยนะ แต่บอกเลยค่ะ เข้า ป่าข้างทาง โล่งๆ มีน้ำไหลดีกว่าไหม พี่คนไทย ทำแบบเรากันหมด แต่ว่าเพื่อนเราไม่ยอม อาย 555 เข้าใจรถชาติชีวิต ฆ่าไม่ตายและหล่ะ ถ้าผ่านทริปนี้ได้ ก็เวอร์ไป 555
ดูรูปอาจจะไม่อิน แต่ของจริงบอกเลยว่ารู้สึกเหมือนกำลังจะบินขึ้นท้องฟ้า 55 รู้สึกมึนๆ เมาๆ ข้าวก็ไม่ได้กิน ฉี่ก็ปวด ทำไงดีมึน เพลีย หนาวอีก พอถึงเต้าเฉิง โอ้ว ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเมือง แถมวันที่ไปคนเยอะมากกกก แบบไปถาม โรงแรมไหนก็เต็มๆ แถมห้องที่เหลือก้แพงมากๆเลย ทำไงดี เหนื่อย คุยกันสองคน อย่าพึ่งท้อ งบมีจำกัดนะแก แถมพรุ่งนี้ เราจะไปแต่เช้าอีก ไม่คุ้มอะ เดินวนไปวนมา เฮ้ยนี่แปลว่าโรงแรมปะ เดาภาษาจีนไป ถามหมด เต็มๆ ทำไงละทีนี้ กลับมาที่ท่ารถที่เดิมแล้วนะ
ด้วยสายตาอันแหลมคม มองไปรอบๆในมุม มืดๆ เจอภาษาอังกฤษจ้า Mama yothtel พระเจ้าจอร์ช มันยอดมาก มันใกล้ท่ารถมาก แถม ถูกมาก ในราคา 100 หนวน ต่อคืน !! หารกันคนละ 50 หยวน คุณพระ อันที่ถามมา 600 หยวนก็มีนี่ได้ 50 หยวน เอาแบบไม่คิด จะยังไงก็ได้ ห้องน้ำรวมก็เอา ไม่แคร์และห้องก็ดีไม้ๆ มีฮีตเตอร์ด้วยประเด้น เพราะที่นี่หนาวมากกกกกก ข้างนอก คือหนาวแบบ ลมแรงๆ ที่นี่พนักพูด Eng ได้ดีมาก เราจองรถ เข้าอุทธยานย่าติง พรุ่งนี้ ตอนเช้าเลย 6 โมงกว่าต้องลงมารอข้างล่าง จากนั้นหาของกินกัน แต่บอกไว้เลยนะ ไม่ค่อยถูกปาก ถึงว่า ละ เขาบอกว่าให้พกของกินเผ็ดจัดจ้านไปด้วย 555
คำเตือนนะคะ ที่เต้าเฉิง ทำเราหอบมาก ต้องกินยาแก้แพ้ความสูง ห้องเราอยู่ตั้งชั้น สาม แถมใช้บันได้ลิง ปีนขึ้น เหนื่อยมากกก ใครไปก็กินยากันไว้ก็ดีค่ะ ส่วนใครจะบอกว่ามันอันตรายไม่ต้องกินก็ไปได้ อันนั้นก็แล้วแต่คนคะ แต่ว่าเรา ไม่ไหวจริงๆ มันช่วยเราได้นะเราว่า
วันที่ 4: ย่าติง 亚丁自然保护区
จองรถไว้เมื่อคืน มาตรงเวลาเปะ เป็นรถตู้ แต่ว่าตลอดทางจะแวะรับคนอื่นๆ ตามโรงแรมใกล้ๆ เพื่อเข้าไปพร้อมกัน ในรถ มีทั้งหมด 6 คน ซึ่งมีคนไทย สองคน ที่เหลือจีนหมด มาจากคนละทิศ จากการทักทายงูๆปลาๆ ได้ความรู้ว่า ปกติคนไม่ค่อยเยอะหรอกที่นี่ แต่ว่าช่วงนี้คนเยอะ เพราะว่า หนังที่จีนพึ่งมาถ่ายทำที่นี่ สวยมาก คนจีนก็เลยแห่กันมา ที่แน่ๆ ในรถมีวัยรุ่นคู่รัก พูด Eng ได้ ฉันรอดตายแล้ว น่ารักมากช่วยพวกเราแปลตลอด และเคยมาไทยด้วย
แต่!! การเดินทางแบบนี้มันไม่ได้ราบรื่นหลังจากนี้ค่ะ เพราะว่า เขาบอกว่าเธอจองที่พักมารึยัง ? คำตอบคือ ยังจ๊ะ ตอบแบบยิ้มด้วยนะ แต่คำตอบที่ได้มาคือ Why !! เธอรู้ไหมเนี่ย ตอนนี้มันดังมาก ไม่มีที่พักให้เธอแน่ๆ เธอกลับมานอนเต้าเฉิงดีกว่าไหม คือสนไหม คำตอบคือไม่สน เพราะว่าพึ่งเห็นแค่ 6 คนในรถ ระหว่างทางก็ยังไม่เจอใครเลย จะไปเยอะได้ไง
ระหว่างทางก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมงอยู่นะ ในรถก็คุยๆ กันไปเฮฮาอย่างกับรุ้จักมานาน แต่พึ่งคุยกันเมื่อกี้ และก็มีความ อะเมซิ่ง !! เกิดขึ้นที่ทำให้เรากับเพื่อนลืมไม่ลง เราจะไป $^%*& กันเธอไม่รีบใช่ไหม ? คือพูดจีนแปลไม่ออก และ แหม่ ก็จะไปกันหมดทั้งคัน เราตอบไม่ไปได้หรอ? ไปซิๆ 555
นั่นคือ ไปจอดที่ๆนึง งงมาก มันคือที่ไหน เอ้า เดินเข้าไปในสวน อะไรเนี่ย สุดท้ายสรุปได้ว่า เขาจะพาเราไปดูบ้านแบบทิเบธ คือบ้านคนขับรถของเราเนี่ยแหละ เฮ้ยยยยย ดีใจมาก คืออยากรู้อยากเห็นมานานและจ้าาา คนจีนบอกว่า ขนาดเขายังไม่เคยเข้าบ้านทิเบธเลย พวกเธอโชคดีมากๆ
ได้รับการต้อนรับอย่างดีมากๆ ระว่างไปก็ถ่ายรูปมาให้ดูกันด้วย เราว่าหาดูยากอยู่นะคะ เพราะว่า เราไปมา รอบที่แล้ว ไม่เคยเห็นเขาออกมาเดินนอกบ้านกันเลย ข้างล่างจะเอาไว้เก็บวัวกับจามรี หมูป่า ตอนมีหิมะ ข้างบนแกะสลักไม้สวยมาก มีศิลปะ เกี่ยวกับเทพของจีนด้วย ขนาดบ้านเล็กๆ หน้าบ้านยังมีที่หมุนบทสวดของทิเบธเลย ถือว่า เคารพศาสนาได้ดีมากๆ ประทับใจมาก แถมได้กินชา หนู่หน่าย สักอย่าง ซึ่ง แปลว่านมวัว รึเปล่า อุ่นมากสำหรับตอนนั้น แต่มันเค็มมาก พอกินไม่หมดก็ไม่ได้อีก มองตามกันทุกคน ว่าไม่อร่อยหรอ ได้แต่อึ้ง กับเพื่อน กินเหอะ เขาอุตส่าห์ต้มให้เรา
นั่งอยู่ได้เกือบชั่วโมง เราก็มาถึง หน้าอุทธยานสักที ดันวิ่งไปต่อแถวกับคนอื่น พร้อมกระเป๋าที่ลากมา ต่อสักพัก เพื่อนที่นั่งมาคันเดียวกัน ตะโกนเรียกให้ไปต่อด้วยกัน จะถึงปากทางอยู่แล้ว นางถามว่า "ตั๋วเธอละ?" ตั๋วไรหรอ ก็ตั๋วเข้าอุทธยานไง ฮะ ซื้อที่ไหนละ ก็ทางเข้า กรรม งานเข้า ต้องวิ่งออกไปซื้อใหม่พร้อมลากกระเป่า เข้าได้ 2 วัน ตกคนละ 270 หยวน ดีนะ นางบอกให้กลับไปต่อแถวด้วยกัน และบอกคนข้างๆ ว่าเราเป็นเพื่อนมาจากไทย ดีจริงๆ
ช่องซื้อตั๋วจะอยู่ตรงมุม ที่ลูกศรชี้จ้า
จากนั้น เรื่องก็เริ่มต้นขึ้น นี่ สรุปเธอ "นอนโรงแรมไหนหรอ เธอเห็นไหมคนเยอะมาก ทุกคนจองมาหมดแล้ว" หลังจากนั้น เพื่อนคนจีนที่เจอกันก็พยายามช่วยเต็มที่ ในขณะที่คนไทยอย่างเรากับเพื่อน ไม่ซีเรียสเลย นางโทรไปเบอร์โรงแรมในอุทธยาน ที่เปิดในเน็ตเจอให้พวกเรา ที่นู่นก้เต็มที่นี่ก็เต็ม อ้าววว รู้สึกว่า งานจะเข้าแล้ว!!!
เพื่อนคนจีนเริ่มโวยวายเล็กน้อยประมาณว่า ทำไงดีเนี่ย บอกให้กลับไปนอนเต้าเฉิง ก็ไม่ไปอีก คนข้างหลังเราได้ยิน ด้วยนิสัยคนจีน สนิทกันง่ายมาก พอรู้ว่าเราเป็นคนต่างขาติ ก็พยายามพูด Eng ใส่ เรา เพราะมาเป็นแกงค์ บอกว่า เรียนอยู่มหาลัย มาเที่ยว เดี๋ยวเธอไปโรงแรมเดียวกับฉันไหม ฉันโทรถามให้มีเหลือ 1 ห้อง สถาณการณ์แบบนี้ ก็จัดไป ไปด้วยและกันนะ
กำลังจะมี ฮอลิเดย์อินด้วยนะจ๊ะ แต่ตอนไปพึ่งสร้าง
ดูจากรูปที่ถ่ายจากเนินเขาไกลๆ ตัวเลขคือความห่างของแต่ละโรงแรมค่ะ
นั่งรถทัวร์ไป โรงแรมข้างในมีเยอะนะ แต่ว่ามันไกลกันมาก เป็นเนินเขาเลย แถม ต้องรู้จุดลงให้ถูกด้วย ไปสุ่มๆ ตอนนี้ก็คงไม่ดีนัก เลยตามติดนักศึกษานี้ไปและกัน พอไปถึง ก็ได้เกิดการโวยวายกัน โรงแรมยุ่งมากกก จนเราไม่รู้จะทำไง พูด จีนแบบขั้นเทพ ฟังไม่ทัน
สรุปใจความคือ ห้องเต็มหมด ไม่มีห้องให้เราสองคน โอเค ทำใจ แต่!!! น้องไม่ยอมค่ะ หาทางแก้ให้เราสองคน คือไปนอนกับเพื่อนเค้าที่เป็นผู้ชาย เพราะเป็นเตียงใหญ่สองเตียง เธอโอเคไหม พวกเราอยู่แค่คืนเดียวเองนะ สำหรับพวกเราสองคนหน่ะ สบายมาก ก็เหมือนนอน drom ทั่วไปแต่เธอถามเพื่อนเธอไหมว่าโอเครึเปล่า? เราสรุปกันว่าโอเคนอน แต่ว่าห้องเรานี่สนุกมากเลยนะคะ เพื่อนเขาทุกคนเปิดเข้าเปิดออก มาดูเพื่อนและเราว่าโอเคไหม เออก็ดีสนุกดีเหมือนไปกับเพื่อนหลายๆคน แถมชวนเราไปเที่ยวอีก หน้าโรงแรมสวยมาก แต่ว่าไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะว่ารีบออกไปรอรถค่ะ
หน้าโรงแรมจะไปไหนต้องออกไปรอรถอุทธยานนะคะ อย่ายืนผิดเลนส์แบบเราละ นึกว่าเมืองไทย โดนโวยไปชุดนึง ว่าไปยืนฝั่งนั้น ทำไม 555 จากนั้น ความจริงก็มาถึง ร่างกายที่ฝึกมา ก็ได้ใช้ที่นี่แหละ ซื้อถังออกซิเจ้นข้างหน้าอุทธยานมาด้วยและกันนะคะเผื่อไว้ เพราะว่าเหนื่อยมากสำหรับวันแรก
เดินๆไปสักวันมันคงถึงเองแหละ 55 บอกกับเพื่อนแบบนั้น วันแรกของทางใกล้ๆ ก่อน เราเลือกที่จะไป Zhuomala lake หรือว่าทะเลสาปไข่มุขก่อนค่ะ หอบเอาการ สิบนาทีพัก อย่าไปโหมมากไม่ดีค่ะ เพราะพรุ่งนี้ไปทางที่ไกลกว่านี้อีก
เปลี่ยนจากเนินไปเป็นบันได ก็ไม่ได้ดีขึ้นหรอกนะคะ 555 แต่มีความรู้สึกว่ามันใกล้จะสวยมากขึ้น ระหว่างการเดินทางของหวาน ช็อกโกแลต น้ำอัดลมที่พกมาช่วยได้เยอะมาก ทำให้เพลียน้อยลง อย่าลืมพกไปกันนะคะ มันอากาศแห้งๆ
จะแคร์อะไร ก็สูดออกซิเจ้นไปคนละฟืดใหญ่ๆ
อีกนิดเดียวก็จะถึงแล้วนั่นไง ข้างทางก็สวยๆเหลืองๆ เต็มไปหมดเลย
เดินไปเห็นคนจีนมุงถ่ายรูปกันใหญ่ ใจก็ยังมองไม่เห็นมุมซะทีเดียว ว่าถ่ายมุมอะไรกัน พอมายืนจุดนั้นเอง ถึงกับตะลึงไปหลายวินาทีเลยทีเดียว สวยมากค่ะ ทั้งน้ำทั้งเงาสะท้อน หิมะ อากาศ ทุกอย่างไปด้วยกันได้อย่างลงตัว ธรรมชาติสร้างสรรค์ได้สวยมากๆ ถ่ายภาพรัวๆ อย่าลืมชาร์ทแบตไปเยอะๆนะคะ
ถึงแล้ว วะฮู้ กว่าจะได้มุมนี้มา ก็แย่งชิงกับเขาเยอะเหมือนกัน บางทีคุณอาจจะต้องเป็นตากล้องจำเป็นให้กับคนแถวๆนั้น แลกกันถ่ายว่าง่ายๆ
ตามทางเขาก็ยังมีวัดอยู่เลยค่ะ
วันนี้เป็นวันแรกคือขาสั่นเลย ขากลับ เราเดินไปโรงแรมข้างๆ เพื่อหาห้องนอน จะย้ายวันพรุ่งนี้ และห้องก็ว่างอยู่พอดี แค่ 1 ห้อง
และวันนี้ก็ไม่ถ่ายรูปห้องเพราะว่าเกรงใจเพื่อนร่วมห้อง ส่วนอีกเรื่องที่อยากบอกทุกคนคือ ข้างในไม่มีร้านอาหารแบบที่ไปหากินทั่วๆไปได้นะคะ ส่วนใหญ่ ก็จะกินในโรงแรมเนี่ยแหละคะ ซึ่ง คนเยอะมาก แถมอาหารสำหรับเรา ไม่อิ่มเลยค่ะ ข้าวต้มน้ำๆ กับผักดอง คิดรายหัว
ด้วยความประหยัดและอร่อยกว่า ถึงเวลามาม่าที่พกมาแล้วหล่ะ ต้มกินในห้องเนี่ยแหละ คนจีนก็ถามว่าไม่ไปกินข้างนอกหรอ เราก็ไม่ และก็มีความน่ารักของคนจีนไปอีก ถึงแม้ว่าจะพูดไม่ได้ แต่ว่าพิมพ์ในแอปแปลภาษามาว่า "ออกไปดูดาวกัน" ถ้าเป็นคนไทยนี่โคตรโรแมนติก แต่เรากับเพื่อนเราเอามาม่าไปกิน แถม ไม่รู้เรื่องที่พวกคนจีนคุยกันอีกตังหาก ดาวก็สวย แต่หนาวนี่ สุดๆไปเลย
วันที่ 5: ย่าติง 亚丁自然保护区 อีกแล้ว
ยามเช้าอยากให้เห็นวิวว่าที่พักเราเกือบที่เป็นสุดท้ายก่อนถึงอุทธยาน เลยใกล้ภูเขาหิมมะมากๆ ของจริงคืออลังการมากๆค่ะ
วันนี้เราวางแผนว่าจะไปเดินเส้นทางที่ไกลกว่า เพื่อนร่วมห้องเราตื่นออกไปเรียบร้อยแล้ว เราก็จัดการเก็บของย้ายไปโรงแรมข้างๆที่เราติดต่อไว้เมื่อวาน ราคาถูกกว่าห้องดูดีกว่าอีก ได้ 420 หยวน แถมวิวห้องที่ได้ก็สวยมาก แต่!!! ไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษได้ ด้วยความใจดีปนความไม่รู้เรื่อง เข้าให้เราขึ้นห้องได้เลย แต่เหมือนพูดว่า เดี๋ยวเอาของไปวางไว้แล้วจะทำห้องให้ ก็โอเคๆไป สร้างสัมพันธไมตรี ด้วยการซื้ออาหารเช้า กินสักมือแล้วกันนะอาม่า
อาหารที่ได้มาบอกเลยคะ อึ้งจนไม่ได้ถ่ายมา อึ้งเพราะราคา 20 หยวน ได้แค่ข้าวต้มเหลวๆ ผักดอง และแป้งทอด น้ำมันเยิ้มๆ กินได้น้อยมาก แล้วเราก็ออกมารถรถหน้าโรงแรม เพื่อไป ทะเลสาปห้าสี 五色海 กับทะเลสาปน้ำนม 牛奶海 กัน วันนี้แหละที่เรียกว่า ของจริง!!! สำหรับเราไม่เคยปีนเขาเดินป่าที่ต่างประเทศมาก่อน เลยดูค่อนข้างเหนื่อยง่าย
วันนี้เราต้องเลือกที่จะนั่งรถไฟฟ้าที่อยู่ข้างในต่อเข้าไปอีก คือคนเดินก็มีนะ สวยด้วย แต่สำหรับเราเราว่าไกลมากนะ เสียเวลาด้วย เพราะว่าข้างในก็ต้องเดินต่ออีกไกลมาก จำไม่ได้ว่ากี่หยวนขออภัยค่ะ เมื่อมาถึง ทางที่รถมาส่ง ก็มีความว้าวเพราะว่าข้างในที่กว้างใหญ่มาก กว่าเมื่อวานที่เราเดินอีก
โอ้วถ่ายรัวๆ นะคะ นึกว่าที่ข้างนอกสวยอลังการสุดแล้ว แต่ยิ่งเดินไปยิ่งสวย แบตชาร์ตไปเต็มๆนะ พอเข้าไปนี่รัวจนเมมจะเต็ม สวยจังเลย หันซ้ายก็สวย หันขวาก็สวย แต่ความสวยมันก็ต้องแลกมาด้วยความลำบากนะ เพราะสถานที่สวยๆ ไปถึงง่าย มันก็คงเหลือความสวยไม่มากให้เราดูหรอก มันต้องยากๆ ถึงจะคุ้ม จากนี้เราจะให้ดูระหว่างทางนะคะ เยอะหน่อย เห็นใส่ชุดหนาๆกันแบบนั้น เดินไปเดินมา ร้อนมาก อยากจะถอดทิ้งไว้กลางทาง แถมหน้านี่ลอกไหม้ไปทั้งหน้า โบกครีมกันแดดไปเยอะๆนะคะหนาๆ แถมช็อกโกแลต ออกซิเจ้น จัดไปเพราะว่าหลังจากนี้ เบๆ แบบเมื่อวานจะไม่มีอีกแล้ว!!
ภาพปรับแสงตามสมควรไม่ต้องโฟกัสหน้าแต่โฟกันธรรมชาติเอาแล้วกัน นะจ๊ะ
เหนื่อยก็นั่งพัก ดูวิวข้างหน้าดิแกจะถึงก่อนค่ำไหม นี่ครึ่งทางรึยังวะ?
อันนี้วิ่งเข้าไปถ่ายตามคนจีน สุดท้าย ห้ามเข้า เว้ยเฮ้ย !! แต่ไม่มีใครออกเลย งง คือฟังผิดหรอที่ตะโกนมาไม่ให้เข้าใช่ปะ แปลถูกใช่ปะ แต่ภาพสวยมากเลยนะ 555
เฮ้ย หิมมะมันหายไปไหนแล้วเนี่ยมีแต่ความร้อน อย่าลืมพก แว่นตา ผ้าปิดปาก ผ้าโพกหัวหรือหมวกไปด้วยะจ๊ะไม่งั้นเกรียม ขนาดพกไปกลับมาไทยยังไหม้ไปหลายวัน เริ่มไปเนินนิดๆ ชันขึ้นเรื่อยๆ แวะพักน้อยกว่าเมื่อวาน แต่ว่า โหดกว่าเมื่อวานนะ ถือว่าร่างกายดีขึ้น 55
ความจริงเริ่มมาถึงแล้ว รูปเริ่มน้อยเพราะเอาเวลาไปหาทางเอาชีวิตรอดอยู่ 555 รองเท้าที่ใส่มานี่เละ มีทั้งน้ำทั้งฝุ่น น้ำที่ไหลตามเขามาตอนนั้นบอกเลยว่า เอามาล้างหน้าเลย แบบไม่สนและสะอาดไม่สะอาด ร้อนมากๆๆๆ
สังขารไม่เที่ยง ยังมีอารมณ์ตั้งกล้องถ่าย ดูทางด้วยคับเพื่อน ไหวอะป่าวเบเบ้ 555 ตอนนั้นบอกเลยในใจคิด จะกลับทันไหม แต่ดันเจออากงเดินมา บอกสู้ๆเป็นภาษาจีน เดินสวนกลับมา โอ้ว วัยรุ่นพื้นราบอย่างเรา ต้องสู้ซิ อากงที่ราบสูงยังทำได้เลย เอาวะไปต่อๆ
ระหว่างทางก็ถึงทางแยกว่าจะไปที่ไหนดี เขาบอกทะเลสาปน้ำนม ใกล้กว่า แต่สวยกว่าคือ ทะเลสาปห้าสีนะ ดีนะฟังออกเลยบอกเพื่อนตรงไปเลย ไม่อยากเสียเวลา ไหนๆมาแล้วเอาให้สุด ดูเบื้องหน้าสวยสุดๆ แต่เบื้องหลังนี่ ไม่เคยมีใครบอกว่าจะต้องเจอเหว หิน ทราย น้ำ ตลอดทาง คือถ้าไปก็อยากให้ทุกคน สนุกกับมัน และเตรียมร่างกายไปด้วยนะคะ เจอคนไทยระหว่างทางด้วย หอบและยิ้มให้กัน 555
ณ จุดนี้ จะถ่ายมุมไหนวิวมันก็สวยไปหมดเลย ระบายสีไว้รึเปล่าเนี่ย สีสดชัดจริง แสงก็จัดฉากได้จ้าหน้าไหม้มากๆจ้า
อยู่ตรงนี้ได้สักพักก็้ต้องรีบเดินกลับก่อน จะมืด เราตัดสินใจจะไป น้ำนมกันต่อ แต่ใครจะรู้ว่า ทางมันสุดยอดมาก กว่าอันนี้อีกนะเธออออออ
อีกนิดเดียวก็จะถึงขอบฟ้าแล้ว มีหิมะตรงหน้าแต่ทำไมร้อนจังว้าาา ต่อไปลุยต่อ ทะเลสาปน้ำนม
เฮ้ย คนข้างหน้ากลัวความสูง แถมลื่นด้วย คือกะถ่ายรูปไปให้แม่ดูว่า แม่ลูกไปปีนเขาแบบนี้มา ลูกเก่งไหม 55 แต่ต้องระวังมากจริงๆ ดอกยางรองเท้าก็ไม่ได้ช่วยอะไรเวลานั้น เดินไปทางกลับไม่ไกลหรอกคะ แต่ว่าโหดมาก
ข้างหลังนี่แหละทะเลสาปน้ำนม ห้าสีสวยกว่าเยอะจริงๆ เอาละเราต้องรีบกลับและนะ ก่อนจะเย็น รีบก็ได้แต่ความคิด เพราะว่าลงมาก็เหนื่อยเหมือนกัน
ระหว่างทางตอนเย็นจะมีสัตว์ในอุทธยาน โดนปล่อยให้มากินหญ้า ดองกี้ ม้า จามรี เดินให้ทั่ว น่ารักมาก
ขากลับขากลับลืมบอกไปนะคะว่า รถออกจากอุทธยาน มันมีสองแบบ คือออกไปหน้าอุทธยานเลย กับ ย่าติงฉุน สักอย่าง ย่าติงฉุน นี่คือคนที่นอนข้างในอุทธยานแบบเราคะ ฟังดีๆนะคะ คืนนี้อาหาร ที่พกมาจากไทยเหมือนเดิม
วันที่ 6 : เต้าเฉิง 稻城亚丁机场
กลับออกมานอนที่เต้าเฉิง เหมือนเดิม จริงๆไม่กี่ชั่วโมงจะต้องถึงแล้ว แต่!! มาเที่ยวทั้งทีจะปกติแบบคนอื่นได้ยังไง ในรถ ขากลับก็ 50 หยวนต่อคนเหมือนเดิม มีแวะรับคนระหว่างทางออกไปเหมือนเดิม
นั่งสักพัก คนขับรถกับคนจีนที่นั่งมาด้วยคุยอะไรกันไม่รู้ สักพัก เราก็ได้ความแปลกใจคือ เขาสะกิด และพิมพ์ข้อความแปลกเป็นภาษาไทยว่า " พวกเราต้องลงจากรถ ตอนนี้!!!" ฮะ ? ยังมีความงงอยู่ ว่าอะไรนี่มันทางอุทธยานนะ ลงไปไหน มีแต่ป่า กำลังหันไปบอกเพื่อนว่า เขาบอกให้ลงรถหว่ะ? ลงทำไม ยังไม่ทันเข้าใจ ทุกคนก็ลงหมดเลย เราก็ต้องลงตาม
เลยถามภาษาจีนเขาไปว่า ทำไม? แล้วรถก็จากไป พร้อมกับกระเป๋าเราที่ไม่ได้เอาลงมา เราเริ่มโวยวายและ เพราะเราไม่เข้าใจแล้วกระเป๋าละ มีของอยู่ในนั้น นะ
เขาเลยรีบแปลมาให้เราอ่าน ว่ารถยางเสียต้องไปซ่อม เราเดินไปก่อน เดี๋ยวเขามารับ กระเป๋าเดี๋ยวเขาเอามาให้
วางแผนไว้ว่าจะออกไปกินข้าวที่เต้าเฉิง หิวมาก ร้อนด้วย น้ำก็ไม่ได้เอาลงมา ดีนะ คนจีนสามคนคอยหันมาดู และแปลตลอดว่า เดินไปอีกแปปนึง คอยหันมาดู มันไกลมากนะ หิวด้วย เป็นชั่วโมงเหมือนกันกว่ารถจะมา คือสงสัยว่าทำไมไม่นั่งรอ เดินไปทำไม 555
กว่าจะมาถึงเต้าเฉิง ได้ก็เย็นๆเลย พวกเรารีบเดินมาซื้อตั๋ว เพื่อไป คังติง ได้คนละ 150 หยวน ที่นี่ตอนกลางคืน จะค่อนข้างคึกคัก อาหารการกินไม่ค่อยถูกปากเท่าไหร่ แถมภาษาอังกฤษนี่ไม่ต้องหาเลยจ้า แต่ที่นี่ รองเท้าพวกกันหนาว มีหลายแบบมากและถูกมากด้วย ตอนนั้นคิดในใจทำไมไม่ซื้อมาเนี่ย
วันที่ 7 : คังติง 康定
รถมีรอบเดียวตอนเช้า 6.10 ต้องเดินไปท่ารถ ตอนตีห้าครึ่ง หนาวมาก ดีนะซื้อของกินไว้เมื่อวาน ช่วยได้เยอะเลย นั่งรถรวมๆประมาณ 10 ชั่วโมง ไปถึงก็เย็นๆแล้ว แต่ว่าวันนี้จะราบรื่นปกติก็ไม่ใช่แล้ว เราตลอดเวลา จะเข้าห้องน้ำ นี่ยังพอทำใจนะ แต่วันนี้ ดัน ปวดฉี่ ตรงที่ที่ เรียกว่า local แบบมากๆ จำไม่ลืมยันแก่ 555 ไปเจอกันเอาเองนะคะ แล้วจะรู้ว่า ห้องน้ำ สมัยราชวงศ์ก่อนเขาอยู่กันยังไง 55
คังติง เอาตรงๆไม่รู้เลยว่ามันมีรูปร่างหน้าตายังไง แต่เพื่อนบอกว่า ไปเหอะ เป็นเมืองผ่าน เพราะเราต้องไปขึ้นเครื่องที่เฉิงตู เราจะนอนที่นี่กันสองคืน พอไปถึงลงมา เป็นเมืองใหม่ผสมกับ ศาสนา คนยังใส่ชุด แบบทิเบธอยู่เลย แต่ก็มีภาษาอังกฤษบ้าง แล้ว พวกเราเดินหาโรงแรมที่นี่ โรงแรมเยอะ เหมือนเป็นที่ท่องเที่ยว บางที่ก็เต็มนะ สุดท้ายก็ได้ห้องราคาถูกโดนใจ อยู่ไม่ไกลท่ารถอีกด้วย แถมเจ้าของโรงแรม ใจดี ชิวมากๆ จัดไป อยู่ตึกเดียวกับโอสเทล ฝรั่งเต็มเลย แต่ว่าไม่มีฮีตเตอร์ ซึ่งเรารับรู้ได้ว่าที่นี่ตอนกลางคืนหนาวเอาการ เลยลงมานอนข้างล่างแทน ได้แค่ 100 หยวนต่อคืนเอง
เมืองนี้ ตอนกลางวันก็จะเป็นภูเขาล้อมรอบ ตอนดึก นี่จะเรียกว่าสวยมาก ไฟระยิบระยันรอบเขาที่เราเห็น มีน้ำไหลผ่านกลางเมืองแรงๆ แถมมีต้นหลิวระหว่างทาง และที่แปลกอย่างนึง ที่คังติง นิยมเลี้ยงหมา พาหมาออกมาเดินเล่น แถมมีแฟชั่นน้องหมาด้วยนะ มีชุดมีรองเท้า
ถ่ายไม่ค่อยชัดแต่ของจริงสวยมากรู้สึกแปลกไม่เคยเจอที่ไหน ทำให้ตอนกลางคืนเปลี่ยนไปแบบนี้ แถมที่นี่แฟชั่นเสื้อกันหนาวไม่แพงเลย นึกแล้วอยากกลับไปซื้อ ที่เมืองไทยตัวตั้งหลายพัน ใครไปอยากได้เสื้อกันหนาวไว้เที่ยวต่างประเทศ เราว่าลองไปซื้อที่นี่ดู นะคะ
อาหารที่นี่ เผ็ดแบบเสฉวนเลยทีเดียว มีคาเฟน่ารักๆด้วยนะคะ แต่ที่คาดไม่ถึง สำหรับเราคือ ปิ้งย่าง หม่าล่า ซาวค่าว เคยไปจีนมาหลายที่ เราว่าสู้ที่นี่ไม่ได้เลย คือฟินมาก ตอนนั้นดันซื้อกลับมากินที่ห้อง พอกินเสร็จ เฮ้ย!!! อร่อยโคตรอะ เดินกลับไปซื้ออีกทีทันไหม? หนาวเกิน เลยอดเลย คิดแล้ว เสียดาย
วันที่ 8 : คังติง 康定
คนที่นี่รูปร่างสูงใหญ่ เหมือนคาวบอยอินเดียแดง ชุดการแต่งกายยังเป็นชนเผ่าอยู่บ้าง อาหารเช้าหาได้แถวในเมือง คนที่นี่กินดุมาก จานใหญ่มาก กินคนเดียวดูดเส้นบะหมี่ ปู้ดดด หมด ตกใจเลย
วันนี้เราจะเที่ยวในเมืองกันดู โดยเราจะไปนั่งกระเช้า pagon เราเรียกแท๊กซี่ งงมากเขารับรถตลอดทาง แบบว่าแชร์กันไป 5 หยวนเอง ราคากระเช้าก็มีหลายราคา ก็เลือกตามแบบที่ต้องการเลยจ๊ะ เราเลือก แบบ 55 หยวน ถามว่าขึ้นไปทำไม เราว่าสวยดีนะประทับใจ วันที่ไปใบไม้เปลี่ยนสีมีแต่สีเหลือง ทั้งนั้น
พอขึ้นไปถึง ทางเข้าภูเขาก้จะเสีย ค่าเข้าอีก 50 หยวน ระหว่างทาง ก็ต้องเดินขึ้นเขาต่อไปอีก ระหว่างทางมีธงแบบทิเบธตลอดทาง มีฝรั่งด้วยนะที่นี่ แต่ที่แปลกว่านันคือ เห็นคนแก่ๆ ก้มเก็บอะไรกันหน่ะ ตลอดทางเลย คือเมล็ดต้นส้นเขาไปผัดกินกันค่ะ
นี่คือมุมสูงของเมืองนี้ ถึงว่าอากาศดี ก็เขาล้อมลอบ
วันที่ 9 :ฉงฉิ่ง 重庆--> อุทธยาน อวู่หลง 武隆喀斯特
ตอนแรก แผนที่คิดไว้คือจะไปนอนเฉิงตู เลย ว่าจะนอนสามคืน แต่คิดไปคิดมา เสียเวลาทำไม มีที่ไม่กี่เลยที่อยากไป เลยตัดสินใจใหม่เมื่อคืนว่าไป อวู่หลง กัน มาขนาดนี้แล้ว ไปอีกนิดนึงคงไม่เป็นไรหรอก 555
แต่ว่าการเดินทางเสียไปครึ่งวัน ตั๋วรถดันซื้อไปแล้วไปลงเฉิงตู รอบ 7 โมงเช้า เลยต้องไปต่อรถไฟ เพื่อไปฉงฉิ่งก่อน แล้วก็ไป อู่หลง นั่งรถไฟไปมา รถไฟเขาดีกว่าบ้านเรามากค่ะ เวลาก็ต้องรีบจนข้าวไม่กิน หลับระแวงเพราะว่ากลัวตกรถ รวมๆแล้วหลายต่อมาก ไปถึงก็ดีเลย์ ถึง ตอนตี 1 ฝนก็ตก โรงแรมก็ไม่เปิด เอาไงดีเนี่ย !!
เดินต่อไปนะ ไหวปะ? ถ้าไม่ไหวจะนอนไหนละ555 ถามกันไปมาก็เดินต่อไปจนเจอ โรงแรมในราคาที่แพงที่สุด ในทริปนี้ ตอนนั้นแพงกว่านี้ก็คงต้องเอาแล้วหล่ะ ได้เวลาสระผมแล้ววววววว เพราะก่อนหน้านั้นมันหนาวมาก ไม่มีที่เป่าผม 555 เขาบอกว่าอาบน้ำสระผมทันทีอาจทำให้ช็อก แต่ที่นี่สบายมาก ได้นอนดีๆสักที รวมอาหารเช้าด้วยนะคะ
วันที่ 10 : อุทธยาน อวู่หลง 武隆喀斯特
คอหนังต้องมาที่นี่ รถเราถามจากโรงแรม เรา Check out ก่อน แล้วก็ไป ท่ารถ บอกเขาว่าไป ที่นี่ ได้ในราคา รอบละ 9 หยวน เป็นรถตู้รอคนเต็มก็ออกทันที ขับรถเมาได้ใจเลยจ้า ไม่มีชาว ต่างชาติสักคน อากาศข้างล่าง นี่ไม่หนาวเลย สักนิด แต่พอขึ้นไป นึกถึง เสื้อกันหนาวที่ทิ้งไว้โรงแรม ทันทีจ้าา
ที่นี่เสียค่าเข้าคนละ 135 หยวน เข้าได้สามอย่าง พอซื้อเสร็จก็เข้าไปขึ้นรถของอุทธยานเลยจ้า อากาศหมอกหนามากๆ แต่ว่าข้างบนนี้ตกแต่งแบบเขาใหญ่บ้านเราเลย น่ารักๆ ที่นี่ พอถึงข้างในก็ไปต่อแถวเข้าลิฟต์ เดินไปนิดเดียวก็เจอ จุดเด่นของที่นี่แล้วจ้า
ที่นี่เดินไปเรื่อยๆ มองหามังกรด้วยนะ จะซ่อน เอาไว้ตามกำแพงถ้ำ ที่นี่อลังการงานสร้างมา ใหญ่มาก กว่าที่คิดไว้เยอะเลย อยู่ที่นี่ครึ่งวันก็ไปต่อ เลยจ้า กลับไปเฉิงตู ทางเดิมจ้าา ต่อรถไฟเป็นครึ่งวันอีกแล้ว
วันที่ 10 - 11 เฉิงตู 龟城
เมื่อคืนเรามาถึงที่นี่สี่ทุ่ม ได้ เข้าไปห้อง ได้ห้องดีมาก เมื่อเทียบกับราคา แนะนำเลยค่ะ ที่นี่ lasy bones hostel หาข้าวกินเดินไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้เวลาเที่ยวแล้วค่ะ เดินเที่ยวไปรอบๆเมือง แพนด้าเต็มไปหมดเลย แต่ว่าเราไม่ได้แวะไปแพนด้านะคะ แต่ว่าเราเน้นพวกวัด พวกตลาด มากกว่า
อาหารการกินที่นี่ หม่าล่า แรงมาก ไม่ว่าจะสั่งอะไร เรามึนไปหมดเลย คือแรงมากชาจนไม่ไหว ตอนเย็นๆ เราไปที่ Jinli ถนนคนเดิน ประทับใจ ตรง สามก๊กนี่แหละ ที่นี่เป็นเมืองสามก๊ก เคยอ่านแล้วรู้สึกอิน พอมายิงอินใหญ่ อันนี้ก็มีเหมือนในหนังสือการ์ตูนเลย เฮ้ย อันนี้ก็มี ข่มใจตัวเองตลอดเวลาซื้อไปก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร
ของฝากที่นี่จะเน้นแพนด้าค่ะ น่ารักเกินห้ามใจ อาหารการกินใน Jinli ลองเดินไปหาอะไรกินเล่นๆดูนะคะ ถือว่าเป็นวันพักผ่อน ชิวๆ ไม่มีอะไรมาก วันพรุ่งนี้วันสุดท้าย เราก็เดินทางกลับแต่เช้าเลยค่ะจ้าาา
หากข้อมูลมีอะไรตกหล่นขออภัยด้วยนะคะ หวังว่ากระทู้นี้จะเป็นประโชน์กับคนที่อยากไปเที่ยวจีนบ้าง คนจีน เมืองจีน ไม่ได้แย่ขนาดที่ทุกคนคิดหรอกคะ เปิดใจนิดนึง ก็จะรู้ว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น คนจีนต้อนรับคนไทยดีมากนะคะ ถึงแม้ภาษาพูดไมได้ ก็ภาษามือไปแล้วกันค่ะ เราไปมาหลายนี่เราว่า คนแถบยูนนาน เสฉวน นี่นิสัยดีพอควรนะคะ ใจดี อาหารก็โอเค ยังไงก็ไปเที่ยวกันนะคะ ^^
รูปภาพเพิ่มเติม นิดๆหน่อยๆจ้า
เพิ่มเติมนอกเหนือจากข้อมูลเก่าในกระทู้
เราเชื่อว่าอย่างนึงว่าข้อมูลของเราจะมีประโยชน์ต่อใครหลายๆคนที่อยากจะไปคังติง เพราะว่าที่นี่เป็นเมืองของน้องติงเจิน หนุ่มชนชนเผ่าทิเบตที่กำลังเป็นที่โด่งดังในโลกโซเชียลจีน ซึ่งคนไทยยังไปกันไม่ค่อยเยอะ
ถึงแม้ว่าข้อมูลจะค่อนข้างหลายปีแล้วแต่ก็เชื่อว่าคงจะมีประโยชน์ต่อใครหลายๆคนบ้างนะคะ
มีกระเช้าลอยฟ้าให้ไปนั่ง แต่หลายปีมานี้ก็อาจเปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้วเพราะว่าน้องติงเจินช่วยเมืองนี้ฌปรโมท จนตอนนี้กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวจนหลายๆคนเรียกว่าเป็น ทริปตามรอยติงเจิน แล้วค่ะ
Mallibell
วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2567 เวลา 00.27 น.