ถ้าพูดถึงประเทศสิงคโปร์ ทุกคนก็คงคิดถึงพี่สิงโตพ่นน้ำ Merlion แล้วก็เมืองที่มีตึกสูงๆเต็มไปหมด อย่าง Marina Bay Sand ที่อยู่ใกล้ๆพี่สิงโตเป็นต้น เราเองก็คิดแบบนั้น เพราะเคยไปเมื่อสองปีที่แล้ว 2 วัน 1 คืน ทริปสั้นๆหลังจากมาเลเซีย ตอนนั้นเราจำได้แค่ว่าไปเที่ยวครบตามแลนด์มาร์ค ไปเยี่ยมพี่สิงโต ไป USS ประมาณนี้ แต่ที่แม่นกว่าคือเพื่อนโดนกักที่ ตม. ฝั่งเข้าจากมาเลเซีย อันนั้นจำได้แม่นกว่าไปเที่ยวอีก 5555 ก็ไม่คิดว่าจะกลับมาเที่ยวอีกในเร็วๆนี้ แต่ช่วงที่ผ่านมา ได้อ่านรีวิวของหลายๆคนในพันทิป ที่ไปเปิดมุมมองใหม่ๆ ที่เป็นธรรมชาติของสิงคโปร์ เฮ้ยยยย สิงคโปร์มีแบบนี้ด้วยเหรอ?? มันกระตุ้นต่อมผู้หญิงสายธรรมชาติ(ลงโทษ)อย่างเราเหลือเกิน ขอบคุณเจ้าของรีวิว ด้านล่างมา ณ ที่นี้ค่า (จริงๆอาจมีเยอะกว่านี้ แต่เราไม่ได้เซฟกระทู้ไว้ ยังไงก็ขอบคุณไว้ด้วยนะคะ)
คุณ Komushiru
http://pantip.com/topic/35014816
น้องปั้น The Walking Backpack
http://pantip.com/topic/34252990
คุณ WBTT http://pantip.com/topic/34990828
เอาล่ะ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า ทริปนี้เราเดินทางเมื่อวันที่ 24-26 มิ.ย ที่ผ่านมา เป็นการเดินทางต่างประเทศครั้งแรกของเราด้วย แอบตื่นเต้นเล็กๆ อย่างที่บอกไปว่าการไปเที่ยวครั้งนี้ เราตั้งใจจะไปตามหาธรรมชาติในสิงคโปร์ เลยเสิร์ชหาพวก park ต่างๆของที่นี่ จนไปเจอเว็บนี้
https://www.nparks.gov.sg/gardens-parks-and-nature/walks-and-tours/going-on-a-diy-walk เป็นเว็บของรัฐบาลสิงคโปร์ เกี่ยวกับ National Park ที่รวบรวมเกี่ยวกับเส้นทางการเดินป่า หรือเส้นทางชมธรรมชาติต่างๆไว้ แล้วแต่เวลาและความชอบของแต่ละคนเลย เรานี่อยากไปให้ครบทุกเส้นทางนะ แต่เวลาไม่อำนวย 555 ส่วนการเดินทางเราใช้บริการ www.gothere.sg ทั้งตอนวางแพลนแล้วก็ใช้หน้างานตอนอยู่ที่นู่นด้วย เป็นเว็บที่ใช้สะดวกมาก แค่ใส่หมายเลขป้ายรถเมล์ที่เราอยู่ แล้วก็ที่ที่จะไป แค่นี้เค้าก็บอกเส้นทางได้หมด อันไหนใช้เวลาเท่าไหร่ ค่ารถเท่าไหร่ พี่ปลื้มมมมม แต่ถ้าโง่ใส่เลขป้ายรถเมล์ผิดแบบพี่ก็โทษเค้าไม่ได้นะ 5555
อุปกรณ์ท่องเที่ยวของเราไม่มีอะไรมาก แพลนเที่ยว พาสปอร์ต กล้อง 1 ตัวกับเป้ 1 ใบ พร้อมลุย!!!
ที่เห็นเป็นสมุดสีดำๆ เยินๆ นั้น ไม่ใช่บัญชีหนังหมาที่ไหน แพลนเที่ยวเราเอง ปรับหลายรอบเลย แต่หน้างานก็ไม่ตามแพลนอยู่ดี 5555 หน้าตาประมาณนี้ (กับการทำงานตั้งใจขนาดนี้มั๊ย ตอบเลยว่าม่ายยยยยยย)
Day 1 : 24 June 2016
เราออกเดินทางด้วยสายการบิน Jetstar เที่ยวบิน 9.25น. ถึงสิงคโปร์เวลา 12.50น. ตามเวลาสิงคโปร์ที่เร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ค่าเครื่องบินเราซื้อตอนโปรช่วงต้นปีประมาณ 2,7xx บาท
พอเครื่องบินแตะพื้นรันเวย์ก็เจอฝนเลย แต่ตกปรอยๆ ฟ้าครึ้มๆ ขมุกขมัวมาก แอบหวั่นๆใจ จะได้เที่ยวมั๊ยเนี่ย?? พอออกจากเครื่องบินมาก็เดินไป Plaza Premium Lounge ใช้สิทธิ์บัตรเครดิต KTC Platinum เข้าใช้ฟรีซะหน่อย (จริงๆ คือหิวมาก ขอหาของกินประทังท้องไปก่อน) ทางไปก็คือออกจากเครื่อง เดินตามเค้ามาเรื่อยๆ สังเกตป้ายที่เขียนว่า Lounge แล้วชี้ขึ้นข้างบนทางขวามือ เดินขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นมาก็เจอเลย มาถึงก็ยื่นบัตรเครดิต พาสบอร์ดแล้วก็บอร์ดดิ้งพาสให้พนักงาน พนักงานที่นี่น่ารักมากกกกกก บริการดี๊ดีย์ มีชวนสมัครสมาชิกฟรี แถมซิมใช้เนตฟรีมาอีก แต่เราไม่ได้ใช้นะ ใช้ไม่เป็น 5555 เข้ามาก็พุ่งไปที่เคาน์เตอร์อาหาร สั่ง laksa มาตามรูปเลย รสชาติอร่อยใช้ได้ หรือเพราะหิวก็ไม่รู้นะ โดยรวมก็ถือว่าดี คนใช้น้อย เดินตักของกินสบายเลยเรา 555
ท้องอิ่มแล้วเราก็มีแรงไปต่อ ลงบันไดเลื่อนลงมา เดินไปทางขวาเจอบูธธนาคาร RHB แวะซื้อซิมการ์ดของ Singtel tourist sim ราคา 15 SGD พนักงานขายบอกไม่ต้องทำอะไร เปลี่ยนซิมละใช้ได้เลยไม่ต้องติดตั้งอะไร มันดีตรงนี้! จากนั้นเดินท่องในใจ Train to T2 เพราะจำได้ว่าในรีวิวให้มาขึ้นรถไฟฟ้าที่นี่ พอไปถึงตม.ที่นั่นไล่กลับ บอกว่าเข้า terminal 1 ให้ไป ตม ที่นั่น แต่?? มีด้วยเหรอ ทำไมไม่เห็น เดินงงๆ นั่งรถรางกลับไปใหม่ ปรากฏอยู่ตรงทางเข้าสถานีรถรางเลย แต่นี่มองไม่เห็น มัวแต่หาป้ายไป T2 ปล่อยไก่ตั้งแต่เข้าประเทศเค้าเลย คราวที่แล้วก็มาทางรถบัสจากมาเลเซีย ไม่ได้เข้ามาทางเครื่องบิน เอ๋อเลยเรา 555 เดินผ่านพี่ ตม. แบบเตรียมพร้อมเต็มที่ ทั้งใบจอง รร. ตั๋วเครื่องบินขากลับ แพลนเที่ยว บัตรพนักงาน เพราะคราวที่แล้วมาเพื่อนโดนกัก คราวนี้มาคนเดียวเลยต้องเตรียมพร้อมหน่อย ปรากฏพี่แกเรียกแค่ชื่อเรา แล้วก็ปล่อยผ่านเฉ้ยยยย เอิ่มมม ถามไรหนูซักคำสิค๊า อุตสาห์เตรียมมา โถ่วววว หลังจากผ่านพี่ ตม. มาเรียบร้อยก็เดินตามป้าย Train to city ไป T3 เอ๊ะ! ทำไมไป T3 หว่า ไม่ใช่ T2 เหรอ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย แต่ก็เดินตามๆเค้าไปจนเจอสถานีรถไฟฟ้า ดีใจน้ำตาจะไหล ตรงดิ่งไปซื้อบัตร EZ-link ได้บัตรมาลาย little twin star มีความมุ้งมิ้งไปอี๊กกกกก
ที่แรกที่เราจะไปคือ Fort Canning Park ไปถ่ายรูปอุโมงค์ต้นไม้ ส่วนวิธีไปนั้นก็ตามรีวิวของคุณ Komushiru ( http://pantip.com/topic/34886451) อธิบายละเอียดเลย ออกทางออก B สถานี Dhoby Ghaut มาเจอห้าง Park Mall
เดินไปทางซ้ายมือเรื่อยๆ เดินเข้าอุโมงค์มาเราก็เจอแล้ว แลนด์มาร์คแรกของเรา แท่นแท๊นนนนนน
โชคดีตอนเรามาฝนเพิ่งหยุดไป บรรยากาศชุ่มฉ่ำเชียว เดินไปทางขวา เจอกำแพงสวยๆ
ทีนี้ก็เดินขึ้นมา ข้ามถนน เดินไปทางขวา ลงเนินมาเจอ National Museum อยู่ทางขวามือ
เดินย้อนกลับมาทางสถานี Dhoby Ghaut ผ่านโบสถ์ Orchard Road Presbyterian Church แชะภาพมาแว๊บนึง
จากนั้นเดินไปถนน Orchard ไปป้ายรถเมล์ ใช้บริการพี่ gothere หาสายรถเมล์ไปที่พักแถว chinatown การขึ้นรถเมล์ที่นี่ก็ง่าย ขึ้นประตูหน้าแตะบัตร พอถึงป้ายที่จะลง กดกริ่ง แตะบัตรอีกรอบตอนลงประตูหลัง แค่นี้ก็เสร็จละ แต่ต้องสังเกตป้ายรถเมล์ไปเรื่อยๆอ่ะ จำเลขป้ายที่จะลง เราชอบนั่งฝั่งซ้ายข้างคนขับ เห็นชัดดี ได้ดูบ้านเมืองเค้าไปด้วย ชิวๆๆ ไม่ถึง 10 นาทีก็มาถึง China town
เดินตรงไปหาที่พักก่อนเลย ทริปนี้เราพักที่ Adler Hostel เราพักแบบ Female Dorm 2 คืน จองล่วงหน้ากับอโกด้าราคาประมาณ 2,000 บาท ไม่ได้ถ่ายรูปข้างในโฮสเทลเลย แต่เหมือนกับรูปในเว็บเลยค่ะ สะอาด สวย พนักงานน่ารัก อ้อ ที่นี่จะมี 2 ตึกนะคะ ใกล้ๆกัน ไปตึกที่มีเคาน์เตอร์พนักงานนะคะ เราเข้าผิดอันมาแล้ว 555 เค้าบอกต้องเดินไปเช็คอินอีกตึก 555 เอาของเก็บได้สักพักก็ออกเที่ยวต่อ ที่ต่อไปก็คือ Marina Barrage เดินออกมาหน้าที่พักก็เจอวัดแขก อยู่ตรงข้ามที่พักเลย
ระหว่างทางไปรถไฟฟ้าเดินผ่าน Smith street เจอคุณป้ากำลังจัดโต๊ะเตรียมเปิดร้านตอนเย็นๆ หันมายิ้มให้ด้วย
สีสันตึกระหว่างทาง
นั่งรถไฟฟ้าจาก Chinatown มาลงสถานี Downtown ออก Exit A เดินเลียบซอยไปทางขวา วิวสวยเชียว
ข้ามถนนไปรอรถเมล์สาย 400 ที่ป้ายนี้เลย
ระหว่างรอรถเมล์ก็แว๊บไปถ่ายรูปซะหน่อย
นั่งรถเมล์มาลงสุดสายเลย แต่เอาจริงๆก็ลงตามคนอื่นๆเค้านั่นแหละ ลงมาก็เดินไปถ่ายรูปตรงสะพานก่อน มีคนเล่นโรลเลอร์เบลดด้วย คิดถึงตอนเด็กๆเลย เล่นไม่เคยได้ 5555
มุมนี้มันดีจริงๆ
เดินตรงมา เจอแล้ววว ทางเดินไปวิวหลักล้าน เดินเข้ามาไม่กี่สิบเมตรก็ถึงแล้ววววว
เจอคุณลุงมาเล่นว่าวด้วย ว่าวมีเสียงฟิ้วๆๆๆ ด้วย เก๋อ่ะ
บรรยากาศเหงาๆดี คนไม่เยอะ ลมเย็นๆ
หันหลังกลับเจอมุมนี้ ฟินนนนน
ไม่มีขาตั้งกล้องก็ตั้งพื้นมันนี่แหละ ทั้งทริปมีรูปตัวเองที่ใช้ได้ไม่กี่รูป หนึ่งในนั้นก็รูปนี้แหละ มีความลืมปิดกระเป๋า 555
นั่งชิวได้สักพักก็เดินกลับออกมา เพราะเหมือนฝนจะมาละ เริ่มปรอยๆ เดินออกมาก็เจอกับมุมนี้
เดินมาสุดสะพาน เข้าไปตัวอาคารถึงลิฟท์ก็กดขึ้นไปข้างบนโลดดดด แล้วก็ถึงแลนด์มาร์คที่สองของเรา Marina Barrage!
หลังจากฝนเริ่มปรอย คนก็หาย
นั่งรอฝนซาได้สักพักเราก็เดินไป garden by the bay แวะกินข้าวที่ศูนย์อาหาร Satay by the bay สั่งหมี่ traditional อะไรซักอย่างมาลองกินดู ตอนแรกไม่ได้ใส่น้ำส้มมา พอมากินเลี่ยนมากกกก ต้องกลับไปใส่น้ำส้มที่ร้าน พอใส่แล้วตัดเลี่ยน อร่อยดีแฮะ ราคาไม่แพงด้วย 5.5 SGD
กินอิ่มก็ออกเดินไปที่ super tree เพื่อรอดูการแสดงตอน 19.45 น. ระหว่างทางก็เจออันนี้ที่พื้นเป็นระยะๆ
เดินย่อยถ่ายวิวไปเรื่อยๆ
นาฬิกาดอกไม้
มาถึงที่ super tree ก็รีบจับจองที่นั่งรอเวลา เจอแสงทไวไลท์สวยมากกกก
และแล้วก็ถึงเวลาแสดงโชว์พร้อมฝนปรอยเบาๆ อยากบอกว่าเป็นอะไรที่ไม่ควรพลาดจริงๆ ดูเพลินมากกกกก เพลงก็เพราะ เสียดายไม่มีขาตั้งกล้อง เลยถ่ายมาได้แค่นี้ ของจริงสวยกว่านี้เยอะ
ดูจบก็เดินตามฝูงชนมาทาง Marina Bay Sand ระหว่างข้ามสะพานก็ถ่ายวิวไปเรื่อยๆ
เดินเข้า Marina Bay Sand มาแล้วก็เจอกับมวลมหาประชาชนจีน ที่เห็นๆข้างล่างนั้นกรุ๊ปทัวร์จีนทั้งนั้นเลย คนเยอะมากจริงๆ
แว๊บถ่ายน้ำวนซะหน่อย เห็นเค้ามุงๆกัน เลยเข้าไปมุงด้วย 555
เดินออกมาข้างนอก วิวกลางคืนของสิงคโปร์นี่สวยจริงๆ แสงไฟของแต่ละตึกที่เปิดแข่งกันมันทำให้ดูสว่างไปหมด
เดินไปทางขวาเพื่อไปสะพาน Helix แสงไฟตอนกลางคืนสวยจริงๆ
เดินข้ามมาซื้อไอติมตัดรสมะม่วงของโปรด แล้วแวะถ่ายมุมมหาชนซะหน่อย
เดินมาซักพักเห็นเค้ามีงานเทศกาลดนตรีอะไรซักอย่าง มีของกินเป็นบูธๆ แล้วก็เวทีหลายอันเลย แต่เพลงร็อคมาก ไม่ใช่แนวเลยไม่ได้อยู่ฟัง
แอบไปหาข้อมูลมา มันคือเทศกาลดนตรี alternative ประจำปีของสิงคโปร์ จัดมาตั้งแต่ปี 2002 ปีละ 3 วัน ใครชอบแนว alternative น่าจะชอบ ฟังเพลงริมอ่าว Marina bay ได้บรรยากาศดีเหมือนกัน น่าจะจัดช่วงประมาณนี้ของปี ใครสนใจปีหน้าก็ลองมาดูนะคะ
เดินข้ามมาทักทายพี่สิงโตกันซะหน่อย
พี่สิงโตที่ฮอตตล๊อดดดด คนเยอะมากกกก ถ่ายมาได้แค่นี้แหละ
จบวันนี้เดินเมื่อยมาก รองเท้ากัด ปวดเท้าไปหมด ไม่น่าเล้ยยยยย เอารองเท้าใหม่มาเที่ยวเนี่ย พลาดจริงๆ เดินต่อไม่ไหวเลยหารถเมล์กลับไปพักเหนื่อย พร้อมลุยพรุ่งนี้ต่อ Day 2 : 25 June 2016
ตื่นแต่เช้ามากินข้าวเช้าที่ล็อบบี้ วันนี้มีแพนเค้กแล้วก็ครัวซองชิ้นเล็กๆ (ที่กินหมดแล้วเลยไม่ได้ถ่ายมา) อร่อยดี กินกับชาพีชร้อนๆ น้ำแอปเปิ้ล ฟินนนน
อิ่มท้องแล้วเราก็ออกเดินทางได้ ตอนแรกวันนี้แพลนจะไป tree top walk ที่ MacRitchie Reservoir แต่คงต้องงดไป เพราะรองเท้ากัด คงเดินไม่ไหวแน่ๆ ประกอบกับเพื่อนสาวงอแงอยากมาด้วย เลยว่าจะยกยอดไปคราวหน้ากับนางแทน เลยปรับแพลนไปถ่ายรูปแถวๆ City Hall แทน ใช้บริการพี่ gothere เจ้าเก่า หารถเมล์ไปโบสถ์ St. Andrew ระหว่างทางเดินไปป้ายรถเมล์ก็ถ่ายรูปบรรยากาศ Chinatown ไปพลางๆ
รร อะไรจำชื่อไม่ได้เหมือนกัน แต่ถ่ายกับฟ้าใสๆแล้วสวยดี
รถเมล์จอดป้าย American Church (04142) โบสถ์เล็กๆ สีขาว สวย น่ารักดี แต่ไม่ได้ไปถ่ายข้างในเพราะเค้ามีจัดงานแต่งงาน
เดินมาอีกหน่อยเจอตึก Singapore Chinese Chamber of Commerce & Industry (หอการค้าจีนป่ะ? อันนี้ไม่แน่ใจ) สวยดี
เดินๆอยู่ก็มีพี่จีนถือแผนที่มาถามทาง รัวภาษาจีนใส่เราใหญ่ คงนึกว่าเราเป็นคนจีนที่นี่ คุยกันเมื่อยมือเลยกว่าจะเข้าใจว่าเราไม่ใช่คนจีน 555 เดินๆไปสักพักก็ยังมองไม่เห็นโบสถ์ St. Andrew เลยต้องพึ่งพี่ google map ถามทางอีกรอบ สรุปเดินเลย 555 เราว่าการหลงนี่ก็เป็นเสน่ห์ของการเดินทางอีกแบบนึงนะ ตื่นเต้นดี ต้องหาวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า สนุกดี
ในที่สุดก็ถึงซะที เย่!
เราไม่ได้เดินเข้าไปนะ เพราะอยากเดินถ่ายรูปไปรอบๆอีกหลายที่ ต่อมาก็ National Gallery
ด้านหลัง Victoria Theatre & Concert Hall
The Art House นี่นึกถึงเจ้าขุนทองเลย
Hello ท่านเซอร์
นั่งพักดูตึกสูงๆ อยู่กับตึกแถวโบราณ เข้ากันแปลกๆดี
หายเหนื่อยก็เดินเลียบด้านหลังโรงแรม Fullerton ไปเรื่อยๆ
เจอด้านหน้า Victoria Theatre & Concert Hall แล้ว
เดินข้ามสะพานไปทักทายพี่สิงโตตอนกลางวันซักหน่อย
สรุปไม่ได้รูปพี่สิงโต เพราะพี่แกเพื่อนเยอะจัด ถ่ายวิวมุมอื่นแทนละกัน 5555
ถ่ายรูปเสร็จแล้วก็ข้ามถนนกลับมาป้ายรถเมล์หน้าโรงแรม Fullerton ถามทางพี่ gothere เจ้าเก่าไปหน้าผาสีส้ม (ตั้งเอง) ที่ Bukit Batok Nature Park สรุปต้องต่อรถเมล์ 2 ต่อ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่าๆ นั่งชิวยาวไป แต่ค่ะแต่ นี่ตั้งใจจะไปลงที่ป้าย 43201 (ตามรูป) แต่ตอนเสิร์ชดันใส่ผิดเป็น 43021 เลยได้เดินซะไกลเลย ดีนะที่ป้ายมันไม่ห่างกันมากเท่าไหร่ ถ้าไปอีกที่นึงเลยนี่คงแย่กว่านี้ 5555 เราเดินตามเส้นทางเขียวๆเลย กะเข้าข้างๆสวน เพราะอยากเดินชิว ชมนกชมไม้ แล้วก็ได้ชมนกชมไม้ของจริง หลงค่ะ หลงงงงง
นี่รูปทางเข้าด้านข้างสวนนะคะ
เดินๆไปถ้าเจอบันไดนี่ อย่าขึ้นนะ
ถึงแม้จะมีป้าย Lookout point ชี้ขึ้นไปก็เหอะ เราขึ้นไปมาแล้ว มันไม่เห็นอะไรเลยค่า โชคดีเจอคนที่เค้าวิ่งลงมา เปิดรูปหน้าผาใน google ให้ดูว่าจะไปที่นี่ มันอีกไกลมั๊ย? เค้าบอกยูเดินขึ้นมาทำไม มันอยู่ข้างล่าง หา!!! อิป้ายหลอกลวง จริงๆ เดินตามลูกศรป้ายที่ชี้ไปห้องน้ำค่ะ เดินไปอีกไม่กี่สิบเมตรถึง เห้อออ โง่เดินขึ้นมาตั้งนาน หึหึ ถือว่ามาออกกำลังกายยามเช้าค่ะ เพื่อสุขภาพที่ดีย์ ส่วนใครที่อยากจะมา เราแนะนำให้มาลงที่ป้าย 43221 ไม่ก็ป้าย 43229 ค่ะ เพราะใกล้ทางเข้า เดินเข้ามาตามทางลาดยางเข้ามาแป๊บเดียวถึงเลย ตามเส้นทางสีน้ำเงินเลย แต่ถ้าอยากเบิร์นไขมัน จะตามมาก็ไม่ว่ากัน 5555
เย้! ในที่สุดก็เจอ
จริงๆมันก็ไม่ได้สวยมากนะ แต่มันสงบดี คนไม่เยอะ ส่วนใหญ่เป็นครอบครัวมาออกกำลังกายกันเช้าๆวันเสาร์-อาทิตย์งี้ อันนี้ไม่ได้มาก็ไม่เสียหายนะ 5555
หันกลับไปถ่ายอีกรอบก่อนกลับ บรั๊ยยยยยยย
เดินกลับตามทางลาดยางเลย
เดินออกมาก็ไปขึ้นรถเมล์ที่ป้าย 43191 ไป Chinese garden ต่อ จริงๆ ถ้าใครจะไปที่ Chinese Garden ใช้บริการรถไฟฟ้าดีที่สุดนะ ออกจากสถานีมาเจอทางเข้าเลย แต่ถ้าไปรถเมล์ต้องเดินไกลหน่อย แต่ถ้าไปจากที่เราอยู่นี่ก็ต้องรถเมล์ 555ทางเข้าสวน ถ่ายย้อนไปทางสถานีรถไฟฟ้า
เดินเข้ามาก็เจอนี่ก่อนเลย 7-Storey Pagoda
จะบ่ายสองแล้ว แวะหาที่นั่งกินข้าวกลางวันหน่อย มื้อนี้เป็นข้าวไก่ทอด thai style ตอนแรกก็งงว่ามันคืออะไร ลองสั่งมาดู ตกลงคือข้าวไก่ทอดน้ำจิ้มไก่แม่ประนอม 555 กับ 7up เย็นๆสักกระป๋อง นั่งกินชิวๆ ถึงแดดจะร้อน แต่นั่งชิวใต้ต้นไม้ ลมเย็นๆ ก็สบายดีนะ
วิวด้านหน้าที่นั่งปิกนิก สวยมาก แดดแรงมากเช่นกัน
กินอิ่มแล้วก็เริ่มออกเดินไปเรื่อยๆ เจอสวนบอนไซ (Bonsai Garden) เข้าไปถ่ายรูปซะหน่อย เค้าจัดสวนสวยดีนะคะ คนไม่ค่อยเยอะด้วย ถ่ายรูปสบายใจไปเลย
เดินทะลุออกมาด้านหน้า
ตรงข้ามก็เป็นศาลาริมน้ำ เสาสีส้มๆ สีสันสดใส
เจอ Twin Pagoda แล้ว
เดินขึ้นไปสำรวจข้างบนหน่อย บันไดสวยดี
ถึงข้างบนแล้ว วิวดี ลมเย็นใช้ได้
เดินลงถ่ายบันไดอีกมุม
เดินออกจาก Twin Pagoda ไปทางขวาก็เจอเป็นประตูอะไรใหญ่ๆสักอย่าง ไม่ได้เดินเข้าไปดูข้างใน เพราะร้อน แล้วก็คนเยอะ เห็นมีกลุ่มครอบครัวมาถ่ายรูปหลานชาย น่าจะเป็นวันเกิดครบขวบไรมั้ง เยอะแยะ วุ่นวายเลยไม่ได้เข้าไป เพิ่งรู้ตอนมาเขียนกระทู้นี่แหละว่าเป็นพิพิธภัณฑ์เกี่ยวกับเต่า (Chinese Garden-The Live Turtle & Tortoise Museum)
วิวจากบนสะพานถ่ายย้อนไป น่าจะเป็นประตูทางเข้าสวนอีกทาง
ไม่ไหวแล้ว อากาศร้อนเกิ้นนนน ตัดสินใจไปขึ้นรถไฟฟ้า ไปปั่นจักรยานที่ Punggol ดีกว่า ใช้เวลาประมาณเกือบๆ ชั่วโมงก็มาถึง MRT Punggol เดินออกมาหาป้ายไปท่ารถไม่เจอ ออกมาเจอตลาดนัด เลยเดินสำรวจหาของกินซะหน่อย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ซื้ออะไร จนมาถึงสุดทางถึงรู้ว่าท่ารถอยู่ฝั่งตรงข้าม ข้ามถนนไป ถ้าใครมาให้ออกมาตามป้ายที่มันชี้ไป LRT นะ จะได้ไม่ต้องมาข้ามถนนแบบเรา
มาเข้าแถวรอรถเมล์สาย 84
นั่งมาจนสุดสายก็ถึง Punggol Jetty นี่เดินหาร้านขายน้ำก่อนเลย หิวน้ำมาก อากาศร้อนได้อีก ระหว่างทางเจอพี่น้องเล่นชิงช้ากัน ในภาพดูมุ้งมิ้งนะ แต่หลังจากนี้ เจ้าน้องชายเล่นหมุนชิงช้าพี่สาวแล้วปล่อยแรงๆ พี่สาวก็กรี๊ดกันไป 5555 เป็นเด็กนี่ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากดีเนอะ
ซื้อน้ำที่ 7-11 เสร็จก็เดินย้อนกลับมาทางเดิม ไปเช่าจักรยาน อ้อ ถ้าลงรถเมล์มา มันอยู่ทางซ้ายมือเลย เป็นป้อมๆอยู่ หาไม่ยาก ชื่อร้าน GoCycling การเช่าก็ไม่ยาก ใช้พาสปอร์ตยื่น แล้วก็เลือกว่าจะเอาจักรยานแบบไหน เราเลือกแบบ city bike มา ราคาชั่วโมงละ 8 SGD มีโปรเช่า 2 ชั่วโมง ฟรีอีก 1 ชั่วโมง เป็น 16 SGD ต่อ 3 ชั่วโมง มีเหรอเราจะพลาด เอาแบบ 3 ชั่วโมงไปเลย เผื่อเวลาหลง (แล้วก็หลงจริงๆ 5555)
เราวางแผนปั่นตามเส้นทางนี้ แต่ตัดเอาแค่ช่วงด้านบน ช่วง Punggol waterway park ไม่ครบ loop เพราะสังขารไม่เอื้อ 5555
เริ่มต้นปั่นจากหน้าร้านจักรยานไปทางซ้าย ตามเค้าไปเรื่อยๆ มีคนปั่นกันเยอะ ตามๆเค้าไป ปั่นมาได้สักพักก็ขอหยุดถ่ายรูปนิดนึง
มาถึงสะพานไรซักอย่าง มีกลมๆข้างบน 555
ไม่ได้ขึ้นสะพาน ปั่นเลียบไปทางซ้ายของคลองแทน ระหว่างทางเจอน้องนักศึกษาสองคน เดินเข็นถุงขยะ เหมือนเพิ่งไปจัดบูธงานอะไรสักอย่างมา น่าเอ็นดู๊วววววว (ถ่ายใกล้ๆ เดี๋ยวเค้ารู้ตัว แอบถ่ายมาได้แค่นี้ 555)
งานกราฟิตี้ก็มา
เห็นเนินหญ้าเขียวๆ ละอยากใส่กระโปรงบานๆ วิ่งร้องเพลงแบบ the sound of music จริงๆ
ปั่นย้อนกลับมาเจอห้าง Waterway Point
ข้ามสะพานเพื่อจะไป Sengkang Riverside Park มีเด็กน้อยมาปั่นจักรยานด้วย น่ารักดี
เอาจริงๆ นะ อย่ามาเลยแก มันไม่ได้มีอะไรสวยมากมาย เราเจอแค่รูปปั้นไรสักอย่างนี่แหละที่สวยสุด 5555
ว่าแล้วก็ปั่นกลับทางเดิม ไป Punggol Waterway Park เจอครอบครัวมาออกกำลังกาย พาลูกๆมาวิ่งเล่นกันเยอะเลย
ปั่นๆไป คิดว่าเจอ Halus Bridge แล้ว แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ ต้องปั่นไปอีก ปั่นไป ถามทางไป คนที่นี่น่ารักดีนะคะ ให้ความช่วยเหลือดี ในที่สุดก็เจอ
ไม่ไหวละ ถ่ายไกลๆพอ ไม่ปั่นไปใกล้ๆละ พระอาทิตย์ใกล้จะตกละ ต้องรีบปั่นกลับเอาจักรยานไปคืนที่ Punggol Jetty ปั่นมาเรื่อยๆ ผ่าน Coney Island แต่ไม่ได้ข้ามไปนะคะ เห็นคนเยอะเลย มันใกล้เย็นละ กลัวหลงเลยไม่ได้ไป ปั่นเลียบทะเลไปเรื่อยๆ ลมเอื่อยๆ คนวิ่งกันเยอะเลย คนที่นี่ดูรักสุขภาพกันดีนะ
เย่ ในที่สุดก็กลับมาทันคืนจักรยานก่อนหมดเวลา 15 นาที 5555 คืนเสร็จก็เดินมาถ่ายรูปแสงทไวไลท์ที่ Punggol Jetty สวยยยย คนมาเที่ยวเยอะดีนะ
ถ่ายรูปหนำใจแล้วก็ได้เวลากลับ ระหว่างทางเดินไปป้ายรถเมล์ เจอไอติมตัดของโปรด เลยจัดซะหน่อย พอดีรสมะม่วงหมด เลยได้ถั่วแดงมาแทน
ขึ้นรถเมล์สาย 84 เหมือนเดิมกลับท่ารถ แล้วเราก็หารถเมล์ไป Fountain of Wealth ต่อ นั่งต่อนยอนไปสองต่อ ถึงน้ำพุเกือบๆ 3 ทุ่มเลย
นั่งพักได้แป๊บเดียวก็เห็นน้ำพุเริ่มเปลี่ยนสี อ้าว เริ่มแสดงแสงสีละเหรอ? เอ๋?? แต่ไม่มีเสียง 5555 นั่งดูได้สักพักก็กลับ คราวนี้ใช้บริการรถไฟฟ้าเพราะอยากกลับไปนอนเร็วๆแล้ว ปวดขา 55555
จาก Promenade ถึง Chinatown แป๊บเดียว เดินขึ้นมาทาง Smith street เดินผ่านร้านอาหาร เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้กินข้าวเย็นนี่หว่า? มิน่าถึงหิว 555 ปกติเวลาเราเที่ยวมักจะลืมกินบ่อยๆ ห่วงเที่ยวจนลืม 555 หันไปเจอร้านขายโจ้กกบ เฮ้ยยย น่าลอง เลยเดินเข้าไปสั่ง ได้โจ้กขากบ กับซี่โครงหมูตุ๋นมา อร่อยใช้ได้ แต่โจ้กเราไม่ได้ใส่ขิง มันเลยมีกลิ่นคาวกบนิดหน่อย (ค่าเสียหาย 12 SGD)
กินเสร็จเดินกลับที่พัก สลบยาวยันเช้าค่ะ 5555 Day 3 : 26 June 2016
วันสุดท้ายแล้ววววว วันนี้เราตื่นแต่เช้า ตั้งใจจะไปถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นที่ Keppel Bay แล้วก็จะเดินเที่ยวต่อที่ Labrador boardwalk ต่อด้วยสะพาน Henderson wave bridge หกโมงกว่า เราขึ้นรถเมล์มาลงที่ป้าย 14131 สังเกตว่ารถผ่าน Vivo city มาก็ลงอีกป้ายนึงเลย ลงเสร็จเดินย้อนกลับไปจะเจอทางเข้าเอง หาไม่ยากค่ะ เช้าๆขนาดนี้ยังเจอคนวิ่งสวนมาเลย เดินเข้ามาสักพักก็เจอสะพานแล้ว
ฝั่งตรงข้ามเป็นเกาะ Sentosa ค่ะ
สักพักพระอาทิตย์ก็เริ่มขึ้น แต่ดันขึ้นฝั่งข้างหลังซะนี่ ไม่ได้ขึ้นฝั่งเกาะ Sentosa เลย ฮ่าๆๆๆๆ ไม่เป็นไร เดินข้ามสะพานไปทางสวนด้านซ้าย อากาศดี ลมเย็นๆ ฟินนนนนน
นั่งกินนมกับขนมปังริมทะเล ลมเย็นๆ มีคนมาออกกำลังกาย เปิดเพลงแดนซ์ด้วย ได้บรรยากาศดี 555 กินเสร็จก็เดินกลับ ข้ามสะพานไปถ่ายรูปตึก กับเรือยอร์ช ฟ้าใส บรรยากาศดีจริงๆ มีความอิจฉาคนอยู่บ้านแถวนี้
ระหว่างทางเดินไปนี่เจอคนมาวิ่งเยอะมากๆ เดินเลียบอ่าวไปก็จะเจอสะพาน Labrador boardwalk ข้ามไป Labrador Nature Reserve
เจอทัวร์พี่จีนด้วย มากันแต่เช้าเลย เสื้อแดงๆ ที่เห็นลิบๆ นั่นแหละ
เดินเลียบชายทะเลมาเรื่อยๆก็เจอ Dragon's Teeth Gate
Red Beacon
หันมาทางทะเล เจอคนเขียนที่ราวกั้น " Hey you!!! You already have wife...Why with other girls." อุ้ย สงสัยเจ้คนเขียนจะอัดอั้นมาก 5555
ฟ้าสวยมากวันนี้
มีลุงๆ ป้าๆ มารำไทเก็กริมทะเล บรรยากาศดีเชียว
ทีนี้ขากลับเราก็ใช้พี่ google map เปิดดูหาทางกลับ เห็นว่ามีป้ายรถเมล์ในนี้ด้วย เดินไปแค่ 8 นาที เลยกะว่าจะไปขึ้นรถเมล์ที่นั่น เดินชิวชมประวัติศาสตร์ไป เจอ Old Fort Entrance
เดินขึ้นเนินไปก็เจอรูปปั้นจำลอง เหมือนที่นี่เคยเป็นป้อมปราการตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย
จริงๆมีทางไปหลุมหลบภัยด้วย แต่ไม่ได้เดินไป เพราะค่อนข้างวังเวง ไม่มีคน นี่แอบกลัว 555 เดินมาเจอกำแพงนี่ สวยดี
เดินลงเนินมาเจอป้ายรถเมล์ ในที่สุดดดด รออยู่สักพักก็ไม่มีวี่แววรถผ่านมาสักคัน เลยตัดสินใจเดินไปแทน กว่าจะมาถึง MRT Labrador ทำเอาหอบแฮก เราแนะนำ อย่ากลับทางนี้เลยแก! แนะนำให้เดินกลับทางเดิม แล้วก็เลี้ยวซ้ายไปทางชมธรรมชาติตรงทางเข้ามาจาก Keppel Bay จะถึง MRT ใกล้กว่า ไม่ต้องเสียเวลาเดินขึ้นเนิน เหนื่อยค่อดๆ ดูจากเวลาแล้วเราคงไป Hendorson Wave Bridge ไม่ทันแน่ๆ เพราะต้องกลับไปเช็คเอ้าท์ที่พักอีก เลยตัดสินใจนั่งรถเมล์กลับที่พักเลย ไว้ค่อยมาคราวหน้า (ติดไว้ 2 ที่ละ เห้ออออ)
รูประหว่างนั่งรถเมล์กลับ ได้รถเมล์สองชั้น นั่งข้างหน้าเลย เห็นกระเช้าไปเกาะเซ็นโตซ่าด้วย
กลับมาเช็คเอ้าท์เสร็จก็สะพายเป้ไปปั่นจักรยานกันที่ Changi Beach Park ก่อนกลับ เดินออกมาหาสถานีรถไฟฟ้า Tanjong Pagar ระหว่างทางก็ถ่ายรูปไป
วัดพระเขี้ยวแก้ว
ตึกสวยๆเยอะเลย
แต่หายังไงก็หาสถานีไม่เจอ เลยไปถามคนแถวนั้น ปรากฏสถานีปรับปรุงอยู่ สังกะสีก่อสร้างบังหมด ดูไม่ออกเลยว่าเป็นสถานีรถไฟฟ้า เราไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่อยู่ใกล้ๆตึกนี้เลยค่ะ
นั่งรถไฟฟ้าไปลงสถานี Simei ออกทางออก A เดินไปป้ายรถเมล์ทางขวาหน้าห้างเลย รถรถเมล์สาย 9 ไปลง Changi Beach Park จุดสังเกตง่ายๆ ก็พอถึงวงเวียนก็กดลงเลย หรือกดก่อนถึงวงเวียนก็ได้ แถวนั้นจะเห็นเป็นร้านค้าเยอะๆ มีร้านเช่าจักรยานด้วย เราอ่านมาว่าถ้าเช่าจักรยานที่ PCN Pitstop จากจุดนึงแล้วเราสามารถเอาไปคืนที่อีกจุดได้ เลยกะว่าจะเช่าที่นี่ แล้วเอาไปคืนแถว East Coast Park แล้วค่อยต่อรถแถวนั้นไปสนามบิน แต่ที่ไหนได้ ไปถามเค้าแล้วตกลงข้อนี้ใช้ได้เฉพาะคนสิงคโปร์ หรือคนที่มี Work Permit อยู่ที่นี่ นักท่องเที่ยวต้องใช้พาสปอร์ตวาง เลยต้องทำให้กลับมาคืนที่เดิม แผนพังเลยเรา เห้ออออ แต่สุดท้ายก็เช่ามา 2 ชั่วโมง 14 SGD (มั้งนะ พอดีไม่ได้เก็บใบเสร็จไว้ ลืมจดอีกตะหาก 555) ร้านหาไม่ยากค่ะ มีป้ายเขียวๆหน้าร้าน สัญลักษณ์ตามนี้เลย (ยืมรูปจากในเนต) มีน้ำขนมขายได้ เราเลยจัดไป น้ำพร้อม เสบียงพร้อม ลุย!!!
รูปหาดแถวๆหน้าร้านเลย
ปั่นไปสักพัก เจอที่เหมาะๆ นั่งปิกนิกซะหน่อย อ้อ น้ำนี่เป็นเหมือนน้ำเกลือแร่ไรงี้ ไม่อร่อยเลย แนะนำซื้อน้ำเปล่าดีกว่า 5555
นั่งกินไปดูวิวเครื่องบินผ่านไป ลมเย็นๆ
อิ่มละปั่นต่อได้ ไปเจอทุ่งดอกหญ้า แชะมาซะหน่อย
แต่ค่ะแต่ ปั่นไปได้อีกแป๊บเดียว ฟ้าครื้มมา ฝนตกจ้า ไม่นะ ชั้นยังปั่นมาได้ไม่ถึงชั่วโมงเลย เธอจะมาตกตอนนี้ไม่ด้ายยยยยยย
สุดท้ายก็ต้องแวะจอดพักที่ศาลารอฝนซา เจอคุณลุงฝรั่งนักปั่นมาจอดพักเป็นเพื่อน แกบ่นใหญ่ว่าเพิ่งปั่นฝนดันมาตกซะนี่ 5555 แต่ฝนก็ไม่มีทีท่าจะหยุด ซาไปนิดๆ แต่ยังพอเปียก แกตัดสินใจปั่นกลางสายฝนจ้า โชคดีค่ะลุง แต่หนูขอรออีกแพร๊บนะ
จนแล้วจนรอดฝนก็ไม่หยุด เลยตัดสินใจเอาเสื้อกันฝนที่ซื้อเผื่อไว้มาใช้ แล้วปั่นกลับเอาจักรยานไปคืน ระหว่างปั่นกลับฝนดันตกหนักอีกรอบ ต้องจอดพักที่ป้ายไรสักอย่าง หมดกันทริปปั่นจักรยานเลียบชายหาดของช้านนนนนน
พอฝนซาอีกรอบก็ปั่นต่อ จนถึงร้าน พนักงานเค้าเสียใจกับเราใหญ่ ที่เพิ่งเช่าจักรยานไปแป๊บเดียวฝนก็ตกซะงั้น จริงๆพนักงานเค้าบริการดีนะคะ มีถามด้วยว่าจะไปไหนต่อ กลับไฟลท์กี่โมง พอเราบอกกลับตอนทุ่มนึง ซึ่งมันก็อีกตั้งเกือบๆ 6 ชั่วโมง นางเลยแนะนำให้เราไปช้อปปิ้งแทน เพราะฝนตกแบบนี้ไม่มีอะไรดีเท่ากับการฆ่าเวลาด้วยการช้อปปิ้ง 5555 เราก็เออ ไปช้อปก็ได้วะ ขากลับก็นั่งรถเมล์สาย 9 เหมือนเดิม ฝั่งตรงข้ามกับตอนขามา กลับมาลงที่ MRT Simei แล้วต่อไปสถานี Expo ไปห้าง Changi City Point
มาถึงก็หาของกินก่อน กินแก้เครียดนี่ช่วยได้จริงๆ 555 ได้มาเป็นข้าวเนื้อบูลโกกิ ศูนย์อาหารที่นี่ตกแต่งเก๋ดี ชิคๆ
อิ่มแล้วก็ขึ้นมาช้อปปิ้ง แต่ก็ไม่ได้อะไร รองเท้าที่อยากได้ไม่มีไซส์ ไซส์ที่มีไม่ชอบอีก สรุปไม่ได้มาสักคู่ เดินไปหาร้านกระเป๋า Charles & Keith แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ สรุปเค้าปิดสาขาที่นี่ไปแล้ว (หาเจอในกูเกิ้ล) อดค่ะ ช้อปไรก็ไม่ได้สักอย่าง เลยตัดสินใจไปสนามบินดีกว่า เป็นอันจบทริปนี้ 5555
ปล. ขากลับนี่ก็มาใช้บริการ Plaza Premium Lounge อีกเช่นเคย แต่มากินขนมรอชิวๆ พนักงานต้อนรับจำเราได้ด้วย ชวนเราคุยใหญ่ ไปเที่ยวไหนมาบ้าง สนุกมั๊ย น่ารักจริงๆ เสียดายลืมถ่ายรูปนางมา ไว้ไปคราวหน้าไม่พลาดแน่ๆ นางน่ารักมาก บริการดี ชอบบบบบ
สรุปทริป
ค่าใช้จ่ายคร่าวๆ
- ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ 2,7xx บาท
- ค่าที่พัก 2 คืนประมาณ 2,000 บาท
- ค่ากิน + EZ-link + ค่าซิมมือถือ เราแลกไป 350 SGD แต่เหลือกลับมาประมาณ 220 SGD ใช้ไปแค่ 130 SGD คูณ 26 = ~3,380 บาท
- รวมทั้งทริปก็ประมาณ 8,000 นิดๆ เอง ไม่ได้กะประหยัดนะ แต่เวลาไปเที่ยวละไม่ค่อยได้กินหรูเท่าไหร่ ห่วงเที่ยวมากกว่า 555 แล้วที่เที่ยวก็ไม่เสียค่าเข้าด้วย เลยไม่ได้ใช้เงินอะไรมาก แถมตั๋วโปรถูกไปอี๊กกกกกก
สุดท้ายนี้ขอบคุณที่อ่านเราบ่นจนจบนะคะ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง หลังจากอาศัยอ่านรีวิวในนี้มาตลอด มีอะไรสงสัยก็ถามกันมาได้ค่ะ ไว้โอกาสหน้าเจอกันใหม่ บ๊ายบายยยยย
NinjaAnn
วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 12.54 น.