ย้อนเวลากลับมาที่เย็นวันหนึ่ง บนทางด่วนบูรพาวิถี ขามุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพ เป็นเวลาหลังเลิกงานที่ผมกำลังขับรถกลับบ้าน พร้อมกับครุ่นคิดเรื่องทริปในวันหยุดยาว....


ท้องฟ้าเบื้องหน้าที่เคยสาดแสงอาทิตย์มาแยงลูกตาจนต้องหยีตาแทบปิด ณ ที่นี่ และเวลานี้ วันนี้กลับเป็นสีเทาเข้ม ครึ้ม เป็นสัญญาณบอกชัดเจนว่า ประเทศนี้กำลังเข้าสู่ ฤดูฝน......

...

พื้นที่ป่าเขาลำเนาไพร กำลังจะเข้าสู่โหมดเขียวชะอุ่ม ชุ่มฉ่ำอีกครั้ง

พื้นที่เมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ นักสู้ชีวิตทั้งหลายก็ต้องเตรียมตัวรับมือกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่พักหลังนี้เกิดขึ้นบ่อยส๊าดดดด....

...


“น้ำขังรอการระบาย"

..

.

“จะว่าไปหน้าฝนแบบนี้ ได้ไปน้ำตก คงจะเห็นอะไรสวยๆ กว่าตอนหน้าร้อนแบบที่คนส่วนใหญ่ชอบไปกัน"

ผมครุ่นคิดกลับไปกลับมา เพื่อหาเหตุผลชักจูงให้ตัวเองหันมาสนใจเที่ยวน้ำตกบ้าง จากที่ปกติเป็นคนที่รู้สึกเฉยๆ กับการเที่ยวน้ำตก

...

และอีกอย่างที่มักจะมาพร้อมกับฤดูฝน....


ซึ่งผมเชื่อว่าทุกคนก็น่าจะคิดเหมือนกัน ก็คือระดับความเหงาที่แมร่งเพิ่มขึ้นมาแทบจะขั้นสุด

จากนั่งมองดูรถวิ่งผ่านไปมา จิบเบียร์เบาๆ ฟังเพลงเพลินๆ เหงากำลังดี

แต่พอมีฝนตกลงมาเท่านั้นแหละ

...

บางที...เจือกมีน้ำตาเล็ดบ้าง ไหลบ้าง!!!! งง อิ๊บหาย ฮ่าๆๆๆ

..

.

.

เกริ่นมาซะขนาดนี้แล้ว ทริปนี้ผมคงไม่ไปคนเดียวแน่ๆ เกิดทะลึ่งเหงาขึ้นมา คิดสั้นโดดน้ำตก ไอ้ตายไม่เท่าไหร่ ถ้าไม่ตายแล้วเจือกเจ็บขึ้นมานี่สิ จะทำไง....ไม่เอาๆๆๆๆ

..

..


“แล้วใครจะไปด้วยกันมั๊ยเนี่ยยยยยยยยยย ย ยย ย"


ถูกใจ อยากพูดคุย หรือสอบถาม ชม ด่า หรือจะอะไรก็เอาเหอะ (ยกเว้นชวนทำงานผ่านเน็ตนะ ฮ่าๆๆ) ที่นี่ได้เลย

https://www.facebook.com/gohangaround/

...

..


กลับเข้าเรื่องของเราต่อ

อย่างที่บอกไปตั้งแต่แรกครับ ผมไม่ได้เป็นคนอินกับการเดินป่า หรือไปเที่ยวน้ำตกอะไรเทือกๆ นั้น เพราะหลายครั้งที่ไปก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันก็เป็นสเต็ปเดิมๆ คือขับรถไปจอด แล้วเดินฝ่าฝูงหมู่มวลมหายุงเข้าไปที่น้ำตก อากาศชื้นๆ ยืนๆ ดูน้ำตกไหล ดูคนกระโดดน้ำ เสร็จกลับ เป็นแบบนี้ทุกครั้งไป ไม่เห็นจะมีอะไรน่าสนใจ...

...


ผิดกับทะเล...

ที่มีสาวๆ ขาวๆ นวลๆ พริ้วไปพริ้วมา ให้เราได้เดินหิ้วรองเท้า เอาเท้าจุ่มน้ำ มองเส้นขอบฟ้า แถมลมทะเลคอยปะทะให้เสื้อผ้าได้กระพรือเล่น ชิวกว่ากันเยอะ...อย่างเช่นภาพด้านล่างนี้ เป็นต้น!!!

เดี๋ยวนะ...สาวขาวๆ??


อ๋อ... “หาดทรายขาวๆ" บ้าจริงๆ พิมพ์ผิดซะได้ แหะๆ

..

.

แต่ถ้าตัดประเด็นเรื่องชิว ไม่ชิวออกไป แล้วกลับมามองที่ของดีในประเทศเรา นอกจาก แมงป่องทอดที่ถนนข้าวสาร แท็กซี่ที่โบกไปไหนแมร่งก็จะส่งรถอย่างเดียว หรือข่าวที่พาดหัวล่อคนอ่านแบบไม่แคร์เนื้อหาแบบสุดตรีนแล้ว ยังมี “น้ำตกทีลอซู" ที่มีดีกรีเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของเอเชีย เป็นของดีอีกอย่าง ที่ผมในฐานะคนไทยจะยอมพลาดไม่ได้ ถึงจะไม่ค่อยชอบเที่ยวแนวนี้ก็เถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆละ ไปทั้งทีต้องลำบากหน่อย ถึงจะได้ชื่อว่าไปพิชิต...เดินไปละกัน!!!!!

เท่ห์มากกกกก!!!!!

ฮือ....!!!!!

จริงๆ ผมไม่มีทางเลือกมากนัก จากการสอบถาม ได้คำตอบว่าถ้าอยากเห็นตอนที่มันสวยที่สุดก็ต้องเป็น “หน้าฝน" น้ำจะเยอะ เยอะแบบที่ว่า มีกี่รูๆ พวกไหลออกมาหมด แต่ถ้าไปหน้าฝนเค้าห้ามรถขึ้น “เดินเท้า" เท่านั้น


ปั๊ดโธ่!!!


เอาก็เอาวะ....!!!!!


หยุดยาววันแม่พอดี...เก็บข้าวเก็บของ

ไปเดินป่า...พิชิตทีลอซูกัน!!!!!


คำเตือน

1. กระทู้ยาว ใครอ่านข้ามระวังโดนหลอก อิอิ ส่วนใครไม่ชอบอ่าน...

....

...

.

..


ก็อ่านเถอะนะ อ่านให้หน่อยเถอะ ขอร้องล่ะ อ่านผ่อนวันละนิดก็ได้ ฮ่าๆๆๆๆ

อ้อนวอนนนนนนนนน.....!!




6.30 น. เช้าวันที่ 12 สิงหาคม 2559


ทันทีที่กัปตันค่อยๆ ลดความเร็ว พร้อมกับเสียงประกาศพนักงานต้อนรับว่าเรากำลังจะถึงจุดหมายในอีกไม่กี่นาที ผมรีบม้วนเก็บหูฟัง ล้วงหยิบเป้ที่วางไว้ใต้เบาะมากอดไว้แสดงอาการว่าอยากจะลุกออกไปเต็มที หลังจากที่นั่งบิดตัวไปมาด้วยความเมื่อยล้า ท้องไส้เริ่มส่งเสียงร้องเรียกเชิงบังคับให้ผมหาไรกระแทกปากได้แล้ว ทั้งที่ผมเพิ่งจะฟาดมื้อล่าสุดไปเมื่อคืนตอนตี 1 ที่จุดแวะพักรถเอง

...

..


หืม??

...

..


อ๋อ..ผมนั่งรถบขส.มาน่ะครับ ไม่ใช่เครื่องบิน แหะๆ

10 ชั่วโมงบนรถบขส. จากกรุงเทพฯ – แม่สอด จ.ตาก นี่มันเมื่อยใช่เล่น

ทันทีที่ก้าวเท้าลงจากรถ ก็เดินวนไปวนมากะจะหาอะไรติดไม้ติดมือเอาไว้กระแทกปากเอาใจพุงระหว่างนั่งรถไปอุ้มผางซะหน่อย

...


สงสัยจะเช้าไป ไม่มีอะไรกิน!!!...ฟ้าค!!!

..


“งั้นก็รีบไปขึ้นกันเถอะพวกเรา"

หลังจากเพิ่งสำนึกได้ว่าพี่อี๊ด พลขับที่โคตรใจดีมารอตั้งแต่ตี 5

..


จากบขส. แม่สอด จะใช้เวลาอีกประมาณ 3 ชั่วโมงวิ่งผ่านถนนลอยฟ้าเพื่อเข้าสู่อุ้มผาง กับ 1,219 โค้ง แต่พูดเลย

..

.


กินผมยาก!!!


ซัดยาแก้เมารถมาตั้งแต่หมอชิตละเม็ดนึง มาถึงแม่สอดอีกเม็ดนึง!!!! ถ้ายังเมาอีก กะว่าจะกินซักกำนึง ดีนะไม่เมา ไม่งั้นได้ตายก่อนแน่ ฮ่าๆ

“ยาแก้เมารถหน่อยมะ เจ๊"


ผมเอ่ยถามเจ๊แน๊ทที่นั่งติดกัน พร้อมยื่นยาแก้เมารถให้ หลังจากเห็นนางเริ่มนั่งเงียบๆ หน้าเริ่มซีดมาซักพักใหญ่


คนดีมั๊ยละ....

..

พร้อมกับยิ้มในใจ

หึหึ!!! “สมน้ำหน้า ดีนะกรูอ่านเกมขาด กินยาไว้ก่อน" ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ

ก่อนหน้าจะมาผมพอได้หาอ่านรีวิวมาบ้าง มีแต่คนบอกว่าถนนเส้นนี้ใครมาเป็นต้องอ้วก จนได้มาสัมผัสเอง เชื่อเลยครับ โค้งแม่มเยอะจริงๆ โค้งที่ว่าไม่ได้แค่โค้งแบบเลี้ยวๆนะ มันคือโค้งแบบหักเป็นตัวเอบ้าง ตัวเอฟบ้าง หรือตัวทีก็ยังมี

...

ถ้ากำลังคิดภาพตามว่าโค้งตัวเอ ตัวเอฟ ตัวทีเป็นไง...

..

.


หยุดคิดได้แล้วครับ มันไม่มี ฮ่าๆๆๆๆๆ ขอบคุณที่มีอารมณ์ร่วมในการอ่านนะครับ

เอาจริงๆ มันโค้งแบบตัวซี ตัวยู ตัวเอส มาครบเลย ยังขาดแค่ฮ.นกฮุกเพียงเท่านั้น ถนนเส้นนี้ก็จะกลายเป็นรถไฟเหาะอย่างสมบูรณ์แบบ

...

.


ฮือ.....พะอืดพะอม

นั่งๆ หลับๆ ตื่นๆ มาได้ซักพัก ก็มาถึงจุดพักรถจุดแรก ซึ่งจริงๆ มันก็มีจุดเดียวเนี่ยแหละ ฮ่าๆๆ


ขอบคุณที่ยังมี...อีกนิดเดียวนี่ตูดผมคงละลายติดเบาะแน่ๆ


“เอ้าๆๆ เหลืออีกครึ่งทางแล้ว แวะพักหาไรกิน ข้าวห้องน้ำห้องท่ากันก่อนเล้ยเด็กๆ"

เสียงนิ่งๆ อมยิ้มนิดๆ ของพี่อี๊ดลอดผ่านเข้ามาหลังกระบะโฟร์วีลที่มีหลังคาทรงสูงไว้บังแดดบังฝนให้พวกผมในการเดินทางแสนโหดร้ายนี้

....


และแน่นอนครับ...ซักพักที่ว่า คือ ชั่วโมงครึ่ง!!!!!!

นั่งมาชั่วโมงครึ่ง แมร่งงงงงงง เพิ่งจะครึ่งทาง!!!!



นี่กะจะเอาให้อ้วกกันจริงๆ ใช่มั๊ยเนี่ยยยยยย


คือผมเป็นประเภทที่ถ้าเมารถแล้ว มันจะเมายาว เมาแบบลมจับ จะทำอะไรยังไงก็ไม่หาย จนกว่าจะได้นอนเต็มๆวัน ซึ่งทริปนี้ตามแพลนแล้วเมื่อถึงอุ้มผาง ก็ต้องเตรียมตัวลุยกันเลย ไม่มีเวลาให้นอนขนาดนั้น เลยกลัวเรื่องเมามากเป็นพิเศษ ฉะนั้นจะเมาไม่ได้เด็ดขาด


..

.

จนกระทั่งขึ้นรถ...เสียงเปิดกระป๋องซ่าๆ


“อะ...รีบเมาอย่างอื่นซะก่อน จะได้ไม่เมารถ" พี่เอกพูดพลางยื่นเบียร์มาให้ผม หุหุ

ผมนี่แทบจะก้มไปกราบ เลียหน้าพี่แกซักสองสามแผลบ รู้ใจกันอะไรกันปานนี้

..

.


เอาเป็นว่า ดีกว่าเมารถละกันโน๊ะ ฮ่าๆๆๆๆ (ตรงนี้ด่าได้ แต่อย่าแรงมากนะ ฮ่าๆๆๆ)

..

และดูเหมือนว่าวิธีแก้เคล็ดของพี่เอกจะได้ผลแฮะ บรรยากาศบนรถก็เริ่มเงียบ บางคนเริ่มเมารถ ส่วนผมเริ่มง่วงตามฤทธิ์ของเครื่องดื่มสีเหลืองทอง มีฟองด้านบน เริ่มหาวถี่ขึ้น และถี่ขึ้น ที่เห็นก็ยังมีอยู่อีกคนนึงที่ยังคงดี๊ด๊า กับสองข้างทาง


“เอ้...ฝากถ่ายรูปวิวให้บ้างนะ!!!!" ผมเอ่ยปากฝากน้องที่นั่งตรงกันข้ามด้วยน้ำเสียงสลึมสลือ ก่ อ น ที่ จะ . . . .

...

..

คร้อก......Zzz

ประมาณชั่วโมงครึ่งผ่านไปนับจากจุดพักรถ ตามเวลาที่พี่โชเฟอร์อี๊ดบอก รถก็มาจอดที่บุญล่ำรีสอร์ท เวลาตอนนี้น่าจะประมาณเกือบๆ เทียงวัน ถ้าผมจำไม่ผิด พวกเรามีเวลาเพียงน้อยนิด ในการรับประทานอาหารที่ทางรีสอร์ทเตรียมไว้ และเคลียร์กระเป๋า ซึ่งแนะนำว่าควรจะเอาไปแค่ที่จำเป็นอย่างเช่นหนังสือเอาไว้นอนอ่านชิคๆ เสื้อผ้าหลายๆชุด เอาไว้เปลี่ยนถ่ายรูปได้หลายๆเซ็ท หรือโน๊ตบุ๊กเอาไว้เปิดเพลงฟัง นั่งดูซีรี่ส์แก้เบื่อนะครับ

...

..


ถุ้ยย!!! นั่นก็บันเทิงเกินไป๊ ฮ่าๆๆๆๆ

..

.


เสื้อผ้งเสื้อผ้านี่ชุดขาไปกลับขากลับนี่ชุดเดียวกันไปเลย ติดแค่ชุดนอนไปพอ ไฟฉาย เครื่องอาบน้ำ เสื้อกันฝน แค่นั้นพอ!!!! ที่เหลือที่ไว้ที่รีสอร์ทดีที่สุด


11:45 น. บ่ายวันที่ 12 สิงหาคม 2559



เคลียร์ของเสร็จก็รีบขึ้นรถออกมาที่ท่าเรือ สีและปริมาณของน้ำ บวกกับสภาพพื้นดินกึ่งแฉะกึ่งแห้ง บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าพื้นที่บริเวณนี้เพิ่งโดนฝนกระหน่ำมาตลอดช่วงระยะเวลาหนึ่ง ส่วนกึ่งแฉะกึ่งแห้งที่ว่า ใครนึกภาพไม่ออก ลองนึกถึงขนมทิวลี่ดูนะครับ แบบที่มีช็อคโกแลตเคลือบเวเฟอร์ยังไงอย่างงั้น ไม่ลื่นเท่าไหร่ แต่แมร่งติดรองเท้าราวกับช็อคโกแลตติดมือ...

...


ยิ่งเดิน ยิ่งพอก หนาขึ้นเรื่อยๆ รองเท้าแตะนี่ดีดขึ้นกะบาลเลยนะ!!!!!


“นี่ถ้าเมิงกินได้นี่ กรูจะก้มลงไปเลียตั้งแต่ขอบถนนยาวไปยันริมตลิ่ง แบบที่ตอนเด็กๆ ชอบดูดช็อคโกแลตที่ติดนิ้วไปละ!!!!!"


หลังจากพี่ๆ ไกด์สูบลม ตรวจเช็คความเรียบร้อยของเรือเสร็จ ก็เตรียมออกเดินทาง เรือลำนึงจะนั่งได้ประมาณ 5-6 คน (รวมไกด์) และแน่นอนว่า อย่างผมจะยอมเชื่อฟังใครง่ายๆ ได้ยังไงกัน


.....

“กระโดดมาขึ้นมาพร้อมกันหมดนั่นแหละ ลำนี้จะได้มีแต่พวกเรา ไกด์ไม่ต้อง เดี๋ยวอาสาผมคัดท้ายให้เอง!!!!!!"

....

..


ถะ ถะ ถะ ถุ้ยยย!!!!!!

..


แค่ปั่นจักรยานทุกวันนี้ยังจะล้ม เสร่อจะคัดท้ายเรือ ฮ่าๆๆๆๆๆ



ความจริงคือแยกเป็น 2 ลำครับ แต่ก็จะไหลตามๆ กันไปเนี่ยแหละครับ ไม่ได้ทิ้งห่างกันไปไหน ใครที่รักธรรมชาติ และความสงบจะกระโดดขึ้นมาลำเดียวกับผม!!!!



ส่วนใครที่กะเลวกะลาด สายดื่มเบียร์ ตลกโปกฮา ไร้สาระไปวันๆ เชิญไปขึ้นอีกลำนึง ที่มีพี่หมอเจน กับพี่เจี๊ยบเป็นหัวเรือใหญ่!!!.....


..



และหลังจากนี้ จนกระทั้งกลับ พวกเราแทบจะไม่ได้พบพาลกับแสงแดดอีกเลย....


ซ่า..............!!!!!


เสียงเปิดเบียร์ดังลั่นสนั่นไปทั้งพนาไพร...พี่เอกเปิดเบียร์ ยื่นมาที่ผม พร้อมทั้งให้เหตุผลสั้นๆ เพื่อโน้มน้าวใจผม (พี่เอกอีกแล้ววววว!!!)

“เอาหน่อยเว้ย...ก่อนจะเมาเรือ"

.


..


เดี๋ยวๆๆๆๆ

เมื่อกี๊ที่บอกใครกะเลวกะลาด สายดื่มเบียร์ให้ไปลำพี่หมอเจน กับพี่เจี๊ยบไง?????


แหะๆ ผมล้อเล่นนนน...ตั้งใจเขียนสลับกัน ให้ตัวเองดูเป็นคนดี

..

.

เอ่อ...ซักนิดนึงก็ยังดี ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

“เมิงๆ ใช้กล้องเสียวหมีเป็นปะ ตั้งค่ายังไงอะ"


เสียงดรีมถามผม (เมื่อวานตอนเย็นเพิ่งจะเรียกแทนตัวผมว่า “แก" อยู่เลย) พร้อมกับยื่นกล้องแอคชั่นแคมมาให้ผมดู แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือว่า...

.

..

“กล้องเห็ดไรเมิงวะ ชื่อแมร่งโคตรขนลุกเลย...เสียวหมี!!!!!"

หาไปหามา พบว่ามันคือกล้องแอคชั่นแคม ยี่ห้อ “เสี่ยวหมี่" เห็ด ไม่ใช่ “เสียวหมี" ขนลุกหมดเลย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ

ระหว่างล่องเรือไป ก็นั่งจิบเบียร์คุยกันไป โหวกเหวกสนุกสนานกันไปเรื่อยเปื่อย ไกด์ของเราพี่พอลก็ทำหน้าที่ไกด์ คอยแนะนำสถานที่สองข้างทางไปตลอดทาง ซึ่งจริงบ้าง ไม่จริงบ้างตามประสาคนกวนๆ


..

ซึ่งส่วนใหญ่จะไม่จริง!!!!


อยู่ด้วยกันมาทั้งวันทั้งคืน มารู้ก็ตอนจะกลับละว่าจริงๆ พี่แกชื่อผ่อง!!! ไอ่เราก็หลงเชื่อ เรียกชื่อพอล เท่ห์ๆ ของแกอยู่ตั้งนาน นี่ยังไม่นับเรื่องอื่นๆ อีกร้อยแปดพันอย่างที่พี่แกหลอกให้พวกเราเชื่อนะ ฮ่าๆๆๆๆ

..

.


โถ่...พี่ผ่อง!!!! (รูปด้านล่าง เสื้อลายฟ้าสลับขาวนี่แหละครับ พี่พอลของพวกเรา!!!!)

ปกติแล้วถ้าหารีวิวอ่านก่อนมา ที่จะพลาดไม่ได้คือน้ำตกสายรุ่ง แต่มาหน้าฝนแบบนี้ เอาชีวิตให้รอดไปถึงเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าอุ้มผางได้ ก็ถือว่าเป็นบุญแล้วครับ ฮ่าๆๆๆๆๆ


“แจ่มจันทร์!!!!....เชิญรับเบียร์จ้า" เสียงดรีมเรียก พร้อมกับยื่นเบียร์ที่รับมาจากพี่เอกอีกต่อนึง ข้ามไปให้แจ่มที่รู้สึกจะนั่งผิดลำ


“ลำนั้นลุงๆ ป้าๆ เค้ามาเที่ยวกั๊น ตัวเองสายดื่ม ไปนั่งอะไรลำนั้นเล่าแจ่มจันทร์!!!!!!! ฮ่าๆๆๆๆๆ"

ล่องมาซักพักใหญ่ๆ ซึ่งใหญ่แค่ไหนก็จำไม่ได้เหมือนกัน ตอนนั้นเริ่มตึงๆ แหะๆ เราก็มาถึงบ่อน้ำพุร้อน พี่ผ่องก็จอดให้เราได้ไปแช่กันพอหอมปากหอมคอ นานมากไม่ได้ เดี๋ยวจะมืดซะก่อน แต่ถึงจะเป็นเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่รู้สึกว่า...

..

..

.

ร้อนชิหายยยยยยยยยยยยยยย!!!! ไอสาดดดด ร้อนขาแทบสุก นี่ถ้าหย่อนตูดลงไปนั่งมีหวัง

“ไข่คงโดนต้ม"

.

..

สงสัยเพราะผมรีบลงเร็วไปหน่อย อากาศมันหนาวๆ เพราะฝนตกด้วยแหละ


15:00 น. บ่ายวันที่ 12 สิงหาคม 2559



หลังจากผ่านบ่อน้ำพุร้อนเราก็มาซักพัก ซักพักแค่ไหนก็จำไม่ได้อีกเหมือนเดิม เริ่มตึง!! ตึงกว่าตอนถึงบ่อน้ำพุอีก!!!! ฮ่าๆๆๆๆ แต่รู้ว่ารวมๆ แล้วจากที่ลงเรือมาตั้งแต่แรกจนมาถึงตรงนี้เป็นเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ก็มาถึงจุดจอดเรือเพื่อเตรียมจะเดินเท้ากัน สภาพพื้นริมตลิ่งตอนนี้กลางเป็นช็อคโกแลตเหลวเป็นที่เรียบร้อย

..


เรื่องลื่นไปต้องพูดถึง...

“แมร่งลื่นตั้งแต่ยืนอยู่เฉยๆ กับที่ละ ตอนเดินไม่ต้องถาม!!!!!!"

..


กว่าจะมาถึง ฟังดูเหมือนจะน่าเบื่อนะครับ 3 ชั่วโมงแหนะ

แต่ส่วนตัวผมแล้ว ด้วยวิวธรรมชาติสองข้างทาง ที่ดูแปลกตา หรือพืชพรรณต่างๆ ที่ไม่เคยเห็น ยิ่งทำให้เรารู้สึกสนใจจนทำให้ต้องหันไปถามไปถามพี่ผ่องอยู่บ่อยๆ (ซึ่งคำตอบแรกจะโดนหลอกก่อนเสมอ!!!) ไม่น่าเบื่อเลย ออกจะตื่นเต้นมากกว่า ยิ่งผมเป็นคนเก่งเรื่องงานมโนด้วยแล้ว ก็ยิ่งพยายามจินตนาการว่าเรากำลังล่องเรือออกไปผจญภัยกับอะไรซักอย่างตามแบบพลอตเรื่องของการ์ตูนผจญภัยสมัยเด็กๆ ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ฮ่าๆๆๆๆๆ

..

.

และยิ่งไปกว่านั้น...

..

.


“ยิ่งยง ยอดบัวงาม"

ถุ้ย!!!!! จะ “ยิ่ง" เยอะไปไหน

ก่อนจะเริ่มเดินกัน ผมขอท้าวความกลับไปที่จุดเริ่มต้นก่อนนิดนึงนะครับ ว่าสรุปแล้วที่ผมโวยวายไว้ตอนแรกว่าใครจะมากับผมมั๊ย แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงมีตัวละครเยอะแยะมากมาย เพิ่มมาเต็มไปหมด ซึ่งก็เชื่อว่าทุกคนอ่านแล้วก็คงขัดใจไม่เบา ว่าอยู่ๆ มีใครนักหนาโผล่ ไม่มีที่มาที่ไป ฮ่าๆๆๆๆๆๆ


...

จริงๆ ก็ไม่มีไรมากครับ อย่างที่บอกผมไม่รู้จะไปทริปนี้กับใคร อีกอย่างผมรู้จักเพื่อนผมดี ถ้าไม่ใช่ทริปนอนกระดิกตีนเล่นไพ่สบายๆ ในรีสอร์ท นี่ไม่มีใครมากับผมแน่ เลยตัดสินใจเปิดอีเวนท์ชวนเพื่อนๆ ที่ติดตามเพจผมเนี่ยแหละเป็นทริปชวนเที่ยว หารกัน โดยเปิดรับทั้งหมด 8 คน เพราะจะครบหนึ่งกรุ๊ปพอดี (ตามที่ทัวร์เค้ากำหนดไว้)


..

ซึ่งผลปรากฏว่า...เพื่อนๆ ให้ความสนใจอย่างล้นหลามมมมมมม....แบบที่ว่าเว็บไซต์เฟสบุ๊คนี่ล่มกันไปเลย

มีคนรับคำจะมากับผมทั้งหมด...

...

..

6 คน ถ้วน!!!!!!

ล้นหลามมั๊ยล่ะ สาดดดดด ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

และพอมาถึงที่แม่สอด ก็มีพี่เจี๊ยบ กับพี่หมอเจน ที่จองมากัน 2 คน เลยรวมกับกรุ๊ปเราครบ 8 คนพอดี ซึ่งนับว่าเป็นการรวมกลุ่มคนแปลกหน้า 8 คนที่โชคดีมากๆ เป็นกรุ๊ปที่สนุกสนานๆ เฮฮา และเข้ากันได้ง่าย เลยทำให้ทุกคนสนิทกันเร็วแบบที่ผมแทบตั้งตัวไม่ทัน

..

.


ถ้าไม่ถามกัน...ผมคงเข้าใจว่าแต่ละคนนี่รู้จักกันมาก่อนละ ฮ่าๆๆๆๆ

...

ไปๆๆๆๆ ได้เวลาเดินแล้วครับ

ขอสรุปเป็นใจความสั้นๆ ให้ใครที่ยังไม่เคยไปพอนึกภาพออกกันซักนิดนะครับ ว่าเรากำลังเดินไปไหน อะไรยังไง แล้วทำไมต้องเดิน คืองี้ครับ...


...

จุดหมายปลายทางของเราคือน้ำตกทีลอซู ซึ่งจะตั้งอยู่ห่างจากที่ทำการเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผางประมาณ 1.5 กิโลเมตร โดยปกติแล้วสำหรับใครที่มาเที่ยวในฤดูร้อน หรือฤดูหนาว หลังจากลงเรือยางแล้ว ทางทัวร์ที่เราซื้อมาก็จะมีรถมารับนั่งต่อเข้าไปที่ที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ฯ ซึ่งเมื่อถึงทำการเขตรักษาพันธุ์ฯ แล้ว ก็จะต้องเดินต่ออีก 1.5 กิโลเมตรตามที่บอกไว้ด้านบนครับ สามารถไป – กลับในวันเดียวกันได้เลย

...

แต่ด้วยเหตุผลที่ทางที่ทำการเขตรักษาพันธุ์ฯ ต้องการเว้นช่วงเวลาให้ธรรมชาติให้ฟื้นตัว จึงปิดเส้นทางเดินรถในหน้าฝน ห้ามนำรถทุกชนิดเข้า ยกเว้นแต่รถของทางเจ้าหน้าที่ที่ต้องคอยขนส่งเสบียง แต่ยังคงให้นักท่องเที่ยวที่ต้องการชมความงดงามเข้ามาเที่ยวชมได้อยู่ด้วยการเดินเท้า ซึ่งจากระยะทาง และเวลาแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะไป – กลับภายในวันเดียว...



จากจุดลงเรือ เราจะต้องทำการเดินเท้าต่ออีกประมาณ 9 กิโลเมตร โดยใช้เวลาคร่าวๆ โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 3 ชั่วโมง ถือเป็นการเดินทางที่ยาวมาก ถ้านับตั้งแต่นั่งรถบชส.มาจากหมอชิตมาแม่สอด จนต่อรถจากแม่สอดมาอุ้มผาง นั่งเรือจากมาอีก 3 ชั่วโมง แล้วก็ต้องเดินท้าวต่ออีก 3 ชั่วโมง...

...

.


“อิห่า นี่กูมาเที่ยว หรือติดตามพระถังซัมจั๋งมาอันเชิญพระไตรปิฎกเนี่ยยยยยยย ฮ่าๆๆๆๆ"

และอย่างที่บอกครับ ตั้งแต่ลงเรือยางมา เราก็ไม่ได้พบพาลกับพระอาทิตย์อีกเลย



ฝนตกตลอดเวลา....


ทางเดินก็เป็นทางรถวิ่งอย่างที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ ไม่ได้ต้องเดินลุยป่าโหดร้ายอะไร เพียงแต่ก็จะมีบ้างที่ลื่นจนแทบจะต้องคลาน หรือบางจุดก็เป็นโคลนที่จมไปทั้งเท้า แต่ก็เป็นเพียงส่วนน้อย ไม่น่ากังวล ที่น่ากังวลคือทางแมร่งชัน ถึงชันมากกกกกกกกกกก!!!! ชันจนต้องใช้เวลาเดินเป็นชั่วโมงกับระยะทางเพียงแค่ 2 กิโลเมตร ถึงกับต้องนับก้าวเดินแล้วหยุดพักทุกๆ หนึ่งพันก้าวกันเลยทีเดีย...

...

ตอนแรกเดินแบบเรื่อยๆ ไม่สนใจ ไม่นับห่าไรทั้งนั้น...ไม่ไหวแฮะ ไม่ถึงไหนซะที แปปๆ พัก พักบ่อยเกิ้น

..


หมดจากทางชันก็จะเป็นทางเรียบ และลาด ถึงจุดนี้นี่เดินฉิว ปราดเปรียว คล่องแคล่ว ยกเว้นตอนเจอจุดลื่น อันนี้หงายหลังก้นจั้มเบ้ากันก็เยอะ เละเทะไม่เป็นท่า ฮ่าๆๆๆๆ..

...

..

.

แต่ๆๆๆๆ...ลืมคิดไปว่า ทางลาดของวันนี้ จะกลายเป็นทางชันในวันเดินกลับ


“ไอส๊าดดดดดดด เมือกี๊ที่เพิ่งเดินผ่านมา ลาดซะยาวววววววววววววว ว.แหวนแปดพันล้านตัว"



ฮือ.....!!!!!


(รูปนี้มาถ่ายตอนเช้า เพราะตอนไปถึงทุกกอย่างมืดหมดละ)


18:30 น. เย็นวันที่ 12 สิงหาคม 2559


และแล้ว...เราก็มาถึงจนได้ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จำเวลาไม่ผิด เรามาถึงกันตอนประมาณ 1 ทุ่มเห็นจะได้สภาพแต่ละคนคือซากวิญญาณมาก ก่อนสิ่งอื่นใดคือวางของ และกินข้าวเย็น เข้าใจว่าผัดพริกแกงมื้อกลางวันที่เรากินกันท่ามกลางสายฝนบนเรือยาง ได้ถูกเปลี่ยนเป็นพลังงาน และทำหน้าที่ของมันจนหมดจด เพราะตอนนี้...

..

.


สั้นๆ เลยนะ

“หิวมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก"


โดยมื้อเย็นก็จะมีแม่ครัวคอยดูแลอยู่แล้วครับ ทางไกด์ของแต่ละทัวร์ก็จะคอยแนะนำ และจัดการให้อยู่แล้ว ไม่ต้องห่วง

....

...

จะห่วงก็แต่...มีเบียร์ขายมั๊ย ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

..

.


หลังจากกินข้าวกินปลา อาบน้ำอาบน้ำท่าเสร็จ ก็มานั่งตั้งวงเม้ามอยกันอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ร่วมทุกร่วมสุขกันมาตลอด 1 คืน กับอีก 1 วัน

..


ฝนตกปรอยๆ ท่ามกลางแสงเทียน (เค้าตัดไฟฟ้าหลังสี่ทุ่ม)

บรรยากาศใหม่ๆ เพื่อนใหม่ๆ อากาศเย็นๆ

...

และ

..


เบียร์อุ่น!!!!!!!!!! ไม่มีน้ำแข็ง ขนขึ้นมาไม่ได้ ทางลำบาก!!!!

แล้วพวกเราก็เข้านอนไปพร้อมกับความเมาจากเบียร์อุ่น คนละ 2 กระป๋อง ในคืนค่ำคืนที่สายฝนโปรยปราย......

...

.


พรุ่งนี้ จะไปได้เห็น ทีลอซู แล้วววววววววว!!!!!!


7.00 น. เช้าวันที่ 13 สิงหาคม 2559



พี่ผ่องมาปลุกพวกเราตั้งแต่เช้า ให้รีบไปล้างหน้าแปรงฟัน ข้าวต้มร้อนๆ ที่คุณป้าแม่ครัวตื่นขึ้นมาทำตั้งแต่ไก่โห่ พร้อมเสิร์ฟแล้ว...

...

..

บรรยากาศฝนปรอยๆ ยามเช้า ทำอากาศเย็นค่อยไปทางหนาวเลยทีเดียว

...


ส่วนเรื่องอาบน้ำ...ไม่เห็นมีใครเค้าพูดถึงกันนะ



ก่อนออกเดินไปน้ำตก อยากให้เพื่อนๆ ได้เห็นภาพบรรยากาศการกางเต๊นท์กันนิดนึง หลายๆ คนอาจจะเข้าใจว่าได้กางเต๊นท์ในลานโล่งๆ เลือกทำเลสวยๆ กันตามใจชอบ


..

..


แต่นี่มันหน้าฝนครับ...ถ้าเป็นแบบที่ว่า มีหวังได้นอนเปียกกันทั้งคืนแน่

ทางเขตรักษาพันธุ์ฯ จะจัดการกางเต๊นท์ไว้ให้ จะว่าไปจริงๆ ก็พวกพี่ๆ ไกด์ของแต่ละทัวร์และครับ เป็นคนจัดการไว้ให้ ซึ่งก็จะแบ่งการไปตามศาลาใหญ่ๆ นอนแบบชิดๆ กัน ใครกรน ใครคุยกัน ได้ยินหมด

..

.

ส่วนใครมากับแฟน แล้วคิดจะ.......


เชื่อว่าไม่น่ามีแรงเหลือพอ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ


สำหรับทริปนี้ การที่เราฝ่าฟันมาได้จนถึงเขตรักษาพันธุ์ฯ นี้ได้นี่ถือว่าโอเคละ


เพราะหลังจากนี้ไปก็จะเป็นทางเดินสบายๆ ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ อีกเพียงแค่ 1.5 กม. อาจจะฟังดูเยอะน่า ถ้าเมื่อวานเราไม่ได้ปากกัดตีนถีบกันมา 9 เกือบ 10 กม. ฮ่าๆๆๆ

...

..

ฝนก็ยังคงปรอยๆ ต้นไม้ใบหญ้านี่เขียวดีจริงๆ

ยิ่งเดินเข้าใกล้น้ำตกเรื่อยๆ ผมเองก็ยิ่งมีเรื่องให้พูดน้อยลง...

...

..


ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ชอบเที่ยวอะไรแบบนี้ แต่มาตอนนี้ กลับเดินจ้ำด้วยความตื่นเต้นที่เรากำลังจะไปถึงเป้าหมาย

..

.


เริ่มรู้สึกได้ว่า ทุกอย่างที่เราอุตส่าห์ตรากตรำลำบากฝ่าฟันมันมาตั้งแต่กรุงเทพฯ ตลอดมาจนถึงตรงนี้ มันเริ่มจะแสดงคุณค่าให้เราเห็นแล้วล่ะ แม้มันอาจจะไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่อลังการ

..

..


แต่มันก็ได้มาไม่ง่าย

ถ้าวันนั้นผมเลือกนอนอยู่บ้านเฉยๆ รอค่อยมาตอนที่เค้าเปิดให้รถเข้าได้ ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่า จะรู้สึกยังไงกับการได้มาเห็นทีลอซู....


และสุดท้าย...พวกเราทุกคนก็มาถึงกันจนได้


..

..


ยิ่งใหญ่ อลังการอย่างที่รำลือกันมาจริงๆ น้ำเยอะ ไหลออกมาจากทุกรูอย่างที่เค้าว่า ผมใช้เวลายืนมองน้ำไหลลงมาอยู่อย่างนั้นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเริ่มลงมือเก็บภาพความประทับใจ...

ในใจก็ยังคงพูดย้ำไปย้ำมาว่าถ้าเราไม่ได้ผ่านความลำบากมาก่อนหน้านี้ เราจะอินกับน้ำตกนี้เท่าตอนนี้หรือเปล่า......

ความลำบาก ความเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลากว่า 30 ชั่วโมงที่เราฝ่าเข้ามา เพื่อยืนอยู่ตรงนี้ ทำให้ผมอดไม่ได้จริงๆ ที่ขอลงไปสัมผัสทักทายเจ้าน้ำตกทีลอซู ให้มากกว่าแค่ยืนดู

...

..


เย็นเจี๊ยบบ....ให้ตายเถอะ สุดท้ายเราก็ได้เจอกันซักทีนะ “ทีลอซู"

..

.


พวกเราใช้เวลาอยู่ตรงนี้ ถ้าผมจำไม่ผิดประมาณแค่ชั่วโมงครึ่ง จากที่ฝ่าฟันมากว่า 30 ชั่วโมงอย่างที่บอกไปตอนแรก ก่อนจะต้องกลับไปเก็บของเตรียมตัวเดินกลับทางเดิม

...

..


ถามว่าคุ้มค่ามั๊ยต้องทำอะไรขนาดนี้ เพื่อมาดูน้ำตกเพียงแค่เวลาสั้นๆ

ถ้าโฟกัสไปที่แค่น้ำตก...ไม่คุ้มเลยซักนิด เหนื่อย ลำบาก กับแค่มาเห็นอะไรแค่นี้...

..

..

แต่ถ้าโฟกัสไปที่การเดินทางทั้งหมด...เหล่าคนแปลกหน้าที่ร่วมชะตากรรมกับผม เติมเต็มทริปนี้ให้สมบูรณ์แบบ แบบที่ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง

..


กับเวลาเพียงไม่นานที่อยู่ด้วยกัน กลับทำให้เหงาขึ้นมาทันทีที่ต้องแยกกัน นั่นคือเวลาตลอดทริปของพวกเรา มันสนุก มันมีความสุข มันเกิดเป็นความผูกพันธ์เล็กๆ ที่เป็นผลมาจากความที่ได้ลำบากร่วมกัน ขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้เราได้มารวมกัน และขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ช่วยกันสร้างสรรค์ความสนุกให้เกิดขึ้นตลอดเวลาการเดินทางที่แสนลำบากนี้

..

.

หวังว่าวันนึง...เราจะมารวมตัวกันใหม่ ร่วมกับคนแปลกหน้าหน้าใหม่ๆ กันอีกเรื่อยๆ

สุดท้ายขอทิ้งท้ายไว้ให้ใครก็แล้วแต่ที่คิดจะไปทีลอซูหน้าฝน...


...

ท่องให้ขึ้นใจว่า...

“ทางชันในวันนี้ จะเป็นทางลาดในวันกลับ และทางลาดในวันนี้จะเป็นทางชันในวันกลับเช่นเดียวกัน"

ขอให้ทุกคนโชคดี

..

..

จนกว่าจะพบกันใหม่...สวัสดีครับ

ความคิดเห็น