ทำไม? ต้องมาโคร
เพราะมาโครคือโหมดหนึ่ง ของการถ่ายภาพในระยะใกล้และเมย์ก็หลงใหลกับการเก็บภาพในแบบนี้ ซึ่งรีวิวนี้ จะทำให้ได้รู้อะไรหลายๆ อย่างจากการเดินทาง ของพวกเรากลุ่มเล็กๆ ในระยะประชิดและละเอียดยิบ ตั้งแต่ก่อนออกเดินทางจนจบทริปแบบว่าต้องมาโครกันใกล้ๆ เลยทีเดียว
เพราะพวกเราไปกันเอง เขียนเอง จัดเป็นรูปเล่มเอง จากรูปทุกคนที่ไปร่วมทริป เพื่อเอามาเพิ่มเติมในการเดินทางของพวกเรา ให้คนที่มาดู มาอ่านเห็นภาพก่อนการตัดสินใจเดินทาง เราไม่ต้องการให้ทุกคนทำตามเราทุกอย่าง แค่เป็นแรงบันดาลใจเล็กๆ ให้ทุกคนเริ่มออกเดินทาง พวกเราก็พอใจแล้ว
ครั้งนี้กับทริปม่อนจองที่ได้รวบรวมการเดินทางและภาพความประทับใจของทั้ง 2 ครั้ง เอาไว้ด้วยกัน เป็นการเดินทางที่แตกต่างกันทุกอย่าง ในระยะเวลาที่ต่างกันนานพอสมควร แต่สิ่งที่ได้เหมือนกันคือความประทับใจ
และที่นี่ก็ยังจะเป็นที่ที่เรายังหลงรัก และจะยังคงรัก ไปอีกนาน ม่อนจอง เดินไม่ยากแต่ก็ไม่ง่ายเกินไป สามารถทำให้ใครหลายคนเหนื่อยไปตามๆ กัน แต่สิ่งที่ได้เจอตลอดทางจนถึงจุดหมาย บอกเลย ว่าคุ้มค่าที่ได้มา คุ้มค่าที่เหนื่อย
ดอยม่อนจอง ตั้งชื่อเรียกตามลักษณะเขาในภาษาพื้นเมือง "ม่อน" แปลว่า ภูเขา ส่วน "จอง" จะออกเสียงว่า จ๋อง หมายถึง ลักษณะจั่ว ซึ่งที่ม่อนจองมีลักษณะเป็นสันเขาลาดเทลงสองด้านเหมือนจั่วสามเหลี่ยม
จุดสูงสุดของที่นี่ คือ หัวสิงห์ สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,929 เมตร ก่อนเดินขึ้นดอยต้องติดต่อขออนุญาต จากเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย หน่วยมูเซอเสียก่อน
แต่การไปครั้งแรกไม่ได้จัดการเองเลย ทำให้การจะจัดไปครั้งนี้ต้องหาข้อมูลมากพอสมควร ทั้งติดต่อกับเจ้าหน้าที่ หาสมาชิก และทุกๆ สิ่ง บอกได้คำเดียวว่าปวดหัวใช่เล่น วุ่นวายใช่ย่อย
กว่าสมาชิกจะครบ กว่าทุกอย่างจะลงตัว แต่ก็ตื่นเต้นดี ลุ้นระทึกจนถึงวันเดินทางกันเลยทีเดียว ต่างคนต่างที่มา มีทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก แต่หลังจากนี้เราจะเป็นเพื่อนร่วมทางกันในระยะเวลา 2 วัน 1 คืน
เราออกเดินทางตั้งแต่คืนวันศุกร์กว่าจถึงที่ทำการก็สายมากแล้ว จากจุดนี้เราต้องเปลี่ยนรถโฟล์วิล เพื่อไปส่งที่จุดเริ่มเดิน ระยะทางประมาณ 15 กิโล แต่ใช้เวลาค่อนข้างมาก เพราะทางค่อนข้างลำบาก กว่าจะถึงจุดนี้ ก็ปวดตัวไปตามๆ กัน หลังจากขนของลง และแบ่งให้ลูกหาบเรียบร้อยแล้ว เราตกลงที่จะกินข้าวเที่ยงกันที่นี่
หลังจากอิ่มได้สักพัก เราก็ทยอยกันเดิน ใครเดินเร็วเดินนำ ใครช้าเดินตาม แต่เราก็ยังเกาะกลุ่มกันไปเรื่อยๆ ทิ้งระยะห่างบ้างบางช่วง เพราะทางค่อนข้างเป็นทางชัน ทำให้หลายคนเดินช้าลงอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งพอถึงเนินหมาหอบก็ยิ่งช้าลงไปอีก
เราค่อยๆ เดินไปเรื่อยๆ เส้นทางที่เดินชัดเจนไม่ต้องกลัวหลงจากคนข้างหน้า ตลอดทางที่เราเดินจะมีลมพัดมาเป็นระยะๆ ให้ได้ชื่นใจและหายเหนื่อยไปได้บ้าง
หลังจากผ่านเนินมาได้ก็เจอที่โล่ง ที่มีภูหินช่อตั้งตระหง่าน โดดด่น และดึงดูด ให้ใครต่อใครหลายคนที่กำลังเหนื่อยอยู่ ยอมทิ้งเป้และปีนขึ้นไปเก็บภาพสวยๆ จากตรงนี้มองเห็นวิิวได้รอบทิศ สวยงามมาก ลมพัดแรง แต่แดดก็แรงพอกัน เราดื่มด่ำอยู่ที่นี่นานพอสมควร
บางคนในกลุ่มเราเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว จากตรงนี้ทางเดินค่อนข้างเป็นทางเรียบ มีต้นไม้ให้ร่มเงาสองข้างทางกันทั้งแดดและลมได้เป็นอย่างดี เดินกันตัวปลิวเลย
พอพ้นร่มไม้มาได้ ก็จะเจอเนินนี้ ที่ทุกคนเดินมาถึงจะต้องหยุดยืนมองกันทุกคน จ้องกันอยู่สักพัก ก่อนที่จะรวบรวมพลังและเริ่มทยอยเดินตามกันขึ้นไป อย่างช้าๆ ช้าๆ บางคนถึงกับเดิน 3 ก้าว แล้วก็หยุดพักก็มี
เนินนี้เป็นเนินที่ชันลูกสุดท้ายก่อนที่เราจะได้เดินตามสันเขา ตั้งฉากประมาณ 60 องศา เป็นลานโล่ง มีต้นหญ้าปลิวไปตามแรงลมเป็นระยะๆ ทำให้เราหยุดเป็นระยะๆ เช่นกัน กว่าจะเดินพ้นเนินนี้มาได้ บอกเลยว่าทั้งเหนื่อย ทั้งล้า หลายคนถึงกับทิ้งตัวลงนั่งทันทีที่ผ่านเนินนี้มาได้
พอผ่านขึ้นมาจนถึงข้างบนแล้วมองย้อนลงไป หายเหนื่อยเลย แม้ว่าจะยังหอบกันอยู่บ้าง หลังจากนี้ก็เดินตามสันเขาไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดเดินขึ้นชันๆ แล้ว หลายคนเริ่มเดินชิว ชมวิว เตร็ดเตร่ตามคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ มีทางให้เห็นชัดเจน ไม่มีต้นไม้ใหญ่ เป็นลานโล่งๆ
เราเดินมาจนถึงจุดที่มองเห็นหัวสิงห์แล้ว เรียกว่ามุมนี้น่าจะเป็นมุมบังคับ ที่ใครมาถึงจุดนี้ต้องหยุดถ่ายรูป ทั้งเดี่ยว ทั้งหมู่ แม้ว่าแดดในช่วงบ่ายตอนนี้จะแรงมาก แต่ลมก็พัดแรงไม่หยุดเช่นกัน ทำให้พวกเราเผลอนั่งกันเพลินอยู่นานสองนานรู้ตัวอีกทีก็แสบผิวไปตามๆ กัน เราใช้เวลาอยู่มุมนี้นานที่สุด จนหลายกลุ่มที่เดินตามมาข้างหลัง แซงพวกเราไปกันจนหมดแล้ว
เราเริ่มเดินต่ออีกครั้ง จะได้รีบไปกางเต้นท์ เก็บของ เพื่อไปให้ทันแสงสุดท้าย ซึ่งโชคดีที่ลูกหาบและเพื่อนในกลุ่มที่มาถึงก่อน จัดการเรื่องเต้นท์เรียบร้อย เราแค่เก็บของ เตรียมน้ำ ขนม ไฟฉาย และอุปกรณ์กันหนาวพร้อม ก็เดินตามลูกหาบเพื่อไปยังหัวสิงห์
เดินตามทางสันเขาไปเรื่อยๆ แต่หลายคนก็เลือกที่จะนั่งรอแสงสุดท้ายระหว่างทาง มุมใคร มุมมัน ทำให้เหลือไปถึงยอดแค่ไม่กี่คนเอง สำหรับกลุ่มเรา แต่บางคนก็ชิลเกินไปนะ นี่คิดว่าห้องนอนรึเปล่า เกลือกกลิ้งแบบไม่กลัวอะไรเลย
แสงพระอาทิตย์ที่ส่องโดนต้นหญ้าในตอนนี้ได้ทำให้ภูเขาทั้งลูกกลายเป็นสีทอง พระอาทิตย์ค่อยๆ ต่ำลงๆ เรื่อยๆ หลายคนไปถึงหัวสิงห์แล้ว แต่บางคนก็สุขใจและเพลิดเพลินกับแสงสุดท้ายอยู่ระหว่างทาง
อากาศตอนนี้เริ่มเย็นขึ้น หนาวขึ้นมาก ยิ่งตอนที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ความหนาวยิ่งทวีคูณ ทุกคนพร้อมใจกันเดินกลับที่พักอย่างเป็นระเบียบ ตามสันเขามาเรื่อยๆ
ลงมาถึงเต้นท์ ช่วยกันทำกับข้าว กินมื้อเย็นท่ามกลางอากาศที่หนาวขึ้นๆ จนสุดท้ายทุกคนก็ทนไม่ไหวแยกย้ายกันเข้าเต้นท์นอน แต่หนึ่งในนี้กลับท้าความหนาวเดินขึ้นไปถ่ายดาวยามค่ำคืนจนสมใจ
รุ่งเช้า เราพยายามปลุกตัวเองให้ลุกมาเพื่อสู้กับความหนาวที่ยังมีมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งคืน จนถึงตอนนี้ หลายคนสละสิทธิ์การขึ้นไปชมแสงพระอาทิตย์ แต่หลายคนกลับเลือกที่จะฝ่าความหนาวนั้น ออกมาจากเต้นท์และเดินขึ้นไปชมแสงแรกของวัน ความงดงามไม่แพ้แสงยามเย็นเลย
เราเดินขึ้นไปที่ผาหัวสิงห์ ผ่านต้นกุหลาบพันปี ที่ดอกกำลังบานสะพรั่งอยู่ตามทางไปเป็นระยะๆ แดดเริ่มแรงแล้วแต่ความหนาวเย็นก็ยังไม่ได้จางหายไปเท่าไรนัก จากผาหัวสิงห์มองวิวได้รอบตัว 360 องศา และยังคงมีเส้นทางไปผาหัวลิงที่อยู่ไกลออกไป
เราได้แค่คิดว่าครั้งหน้าคงได้เจอกัน อยากไปเห็นบรรยากาศ และวิวที่ผานั้นจะเป็นเช่นไร เราเดินกลับที่พัก กินข้าวและเก็บของเพื่อเดินกลับทางเดิม กว่าจะถึงจุดเริ่มเดินก็เหลือแค่รถที่มารอเรากลุ่มสุดท้ายแล้ว
มิใช่แค่ปลายทาง
หลายต่อหลายครั้ง ที่ออกเดินทาง เราต้องหวังเพื่อไปยังจุดหมาย แต่ทุกครั้งที่ได้กลับมามันมากกว่าการได้ไปถึง ระหว่างทาง มิตรภาพ ทุกสิ่งที่พวกเรได้เจอร่วมกัน ได้ช่วยเหลือกัน ตลอดทริปที่เราไปด้วยกัน รอยยิ้ม เสียงหัวเราะมีให้ได้ยินตลอดทาง
ธรรมชาติที่เราได้เห็นกับตาก็งดงามกว่าภาพถ่ายเป็นไหนๆ ได้สัมผัส อากาศ สายลม แสงแดด แบบสดชื่น ลืมความเหนื่อยไปในบางขณะ เพียงเพราะเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวอย่างธรรมชาติ
เก็บตก
เมื่อ 8 ปี ตั้งใจแน่เแน่วว่าอยากมาที่แห่งนี้ให้ได้สักครั้ง พอมีโอกาสก็ตกลงแบบไม่ลังเล แม้ว่าจะเป็นการไปเดินป่าที่ไม่เหมือนทุกๆ ครั้งก็ตาม ไม่ได้ไปเที่ยวกันเองกับเพื่อน แต่ไปเพื่อร่วมกิจกรรมกับเด็กๆ ที่นั่น การไปเดินป่ากับคนที่ไม่รู้จักและที่สำคัญเราต้องดูแลน้องๆ ในระยะเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แต่บางครั้งก็รู้สึกเหมือนน้องๆ ดูแลเรามากกว่า
ไม่เคยคิดว่าการไปม่อนจองครั้งนั้นจะทำให้เราได้รู้ว่านี่แหละ คือที่ที่เราชอบที่สุดในการเดินป่าในหลายต่อหลายที่ ไม่รู้ว่าช่วงที่เราไปเป็นจังหวะดีด้วยรึเปล่าก็อาจจะเป็นได้
แสงสุดท้ายลาลับขอบฟ้าไปแบบงดงาม ส่องแสงสะท้อนต้นหญ้าจนกลายเป็นสีทอง ทะเลหมอกยามเช้าที่พัดผ่านตัวเราไปหลายต่อหลายครั้ง อากาศยามค่ำคืนก็หนาวเหน็บจนต้องหาถึงขยะมาสวมเท้าเพื่อบรรเทาความหนาว ฝนดาวตกที่กระหน่ำจนทำให้เรานอนนับกันไม่ทัน และอีกหลายสิ่งที่ทำให้ครั้งนั้นมีแต่ความทรงจำที่ดีๆ พยายามบอกตัวเองเสมอว่ายังไงก็จะกลับไปที่นี่อีกสักครั้งให้ได้
ที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย และคงไม่มีวันลืมได้ง่ายๆ ภาพทุกภาพยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำ และอยากให้ทุกคนได้ไปเห็นแบบนั้นเช่นกันลองไปสักครั้งนะ ที่นี่ ม่อนจอง
ปล. ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปทั้งครั้งแรกและครั้งที่สอง ในการออกเดินทางด้วยกัน รวมทั้งภาพจากทุกมุมทุกกล้องของทุกคนที่มาเต็มเต็มให้รีวิวนี้เป็นเหมือนความทรงจำของพวกเราที่ไปด้วยกัน Kong Handneramitr, Kassi พญาเหยี่ยวถลาลม, Worapot Juntaranil, Gungga Anusit, Peace Pks, PPaiifnns Kusaya, Bom Patvivatanasiri, Tum Platookem
ม่อนจองเปิด ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนไปจนถึง 15 กุมภาพันธ์ ของทุกปี เท่านั้น และป่าแต่ละช่วงเดือนก็แตกต่างกัน ก่อนไปต้องติดต่อเจ้าหน้าที่อย่างน้อย 3-4 วัน ค่าใช้จ่ายหลักๆ ก็จะมีค่าลูกหาบ เจ้าหน้าที่นำทาง และค่ารถรับส่งจากศูนย์ฯ ไปจุดเริ่มเดิน
**แต่ปีนี้จากการติดต่อสอบถามไปมีเพิ่มค่าเข้าคนละ 20 บาท กับค่ากางเต้นท์หลังละ 50 บาท เพิ่มขึ้นมา
เส้นทางเดินคร่าวๆ จุดเด่นๆ บางจุด ที่ควรแวะดู แวะชม เหมือนเป็นอันซีนของที่นี่ แต่จริงๆ แล้วก็ยังมีอีกหลายจุดหลายมุมที่หลายคนไม่เคยเห็น รึอยากไปเห็นกับตาตัวเอง ลองหาเวลาพาตัวเองไปที่นี่สักครั้งแล้วคุณจะหลงรักเหมือนที่เราหลงรัก
ปกติผู้คนที่ไปมักจะเป็นทริป 2 วัน 1 คืน แต่ครั้งต่อไปเราจะลองเพิ่มวันเป็น 3 วัน 2 คืน เพื่อไปที่หัวลิงสักครั้ง
เราตั้งใจทำรีวิวนี้อย่างน้อยเวลาเรากลับมาอ่านดูอีกครั้งจะทำให้เรานึกถึงช่วงที่เราไป และหวังว่ารีวิวที่พวกเราตั้งใจทำ จะเป็นประโยชน์จากผู้คนที่สนใจไม่มากก็น้อย
ฝากติดตามผลงานอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่ www.rsatieow.co
อา สา เที่ยว แค่ อยาก ให้ คน ไป เที่ยว ได้ อะไร มาก กว่า แค่ ไป เที่ยว
May Macro
วันอังคารที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.19 น.