โทรศัพท์มือถือดังขึ้นในช่วงเย็นวันหนึ่ง เสียงรุ่นพี่ปลายสายพูดมาสั้นๆ ว่า
"หนุ่ม...พี่จะไปถ่ายรูปที่หัวหิน? ไปด้วยกันไหม"
คำตอบเดาได้ไม่ยากครับว่า "ไป" แม้ว่าเย็นนั้นฝนตกหนักที่กรุงเทพ เลยคิดว่าที่หัวหินปลายอาทิตย์นี้ ฝนจะตกด้วยหรือเปล่า? แต่ก็ไม่มีผลอะไร เพราะใจมันเดินทางไปก่อนเรียบร้อย
หัวหินใน พ.ศ. นี้เปลี่ยนแปลงเร็วตามเทรนด์ที่เปลี่ยนไป ตามนักท่องเที่ยวที่มีตั้งแต่เด็ก วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนต่างชาติ เรียกว่าเอาใจครบทุกเพศทุกวัย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มีมากมายไม่ต่างจากกรุงเทพเลย แต่เสน่ห์ของหัวหินก็ยังคงอยู่นะครับ ในแง่ของการเป็นเมืองตากอากาศชายทะเลที่มีอากาศดี มีก้อนหินเยอะๆ เป็นพร็อพ ลมทะเลเย็นๆ เรียกได้ว่าฮอตฮิตตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณย่า จนมาถึงเจนทัชกรีนที่ชอบมาหัวหินด้วยเหตุผลร้อยแปดพันเก้า
อย่างผมมาหัวหินครั้งนี้ก็ด้วยความบังเอิญกึ่งไม่มีเหตุผลและใจง่าย (ฮา) แต่กลับพบว่าท่ามกลางเมืองท่องเที่ยวแบบนี้ ยังมีบางอย่างหมือนถูกหยุดเวลาไว้ในบรรยากาศย้อนยุค คลาสสิคแบบวันวานที่ผ่านมาแล้วเป็นสิบๆ ปี เหมือนกับได้นั่งไทม์แมชชีนของโดราเอมอนเลย
เพราะเพียงเลยตลาดนัดซิเคด้าและเลี้ยวเข้าซอยหัวหิน 23 มาไม่กี่ร้อยเมตร ผมได้เจอกับ “วรบุระ หัวหิน รีสอร์ทแอนด์สปา" ที่นัดหมายระหว่างผมกับรุ่นพี่ที่จะมาถ่ายรูปกัน...อืมมมม อธิบายยังไงดี??? คือภาพที่เห็นตรงหน้าเหมือนกับเราหลุดเข้าไปในยุครัชกาลที่ 5 ศิลปะแบบโคโลเนียลเต็มไปหมดเลย บางคนก็เรียกงานแบบนี้ว่าตึกฝรั่ง ซึ่งมีความเป็นไทยผสมเข้าไปอยู่พอสมควร
ยังไม่ทันจะดื่มด่ำกับบรรยากาศดี อยู่ๆ ก็มีเสียงเรียกอย่างสุภาพว่า “เชิญนั่งพักที่ล็อบบี้ก่อน...ขอรับ" ผมนี่ตกใจเลย (ฮา) ไม่ใช่กลัวนะครับ แต่งงๆ อยู่ว่าสมัยนี้ยังมีคนพูดแบบนี้ด้วยเหรอ? ก็เดินตามเข้าไปแต่โดยดี พอถึงหน้าฟร้อนท์แผนกต้อนรับ น้องๆ ผู้หญิงก็ขานเสียงอย่างไพเราะว่า “สวัสดีเจ้าค่ะ จองไว้ในชื่ออะไร...เจ้าคะ?" โอ้โฮ! พูดย้อนยุคทั้งผู้ชายผู้หญิงเลย พอเริ่มเข้าใจแล้วว่า น่าจะเป็นคอนเซ็ปต์ของวรบุระที่ให้ความรู้สึกกลับไปในช่วง ร.ศ. กลางรัตนโกสินทร์...แบบ 5D ครบทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส
ระหว่างรอเช็คอิน ตามประสาคนไม่ชอบอยู่กับที่ ก็เดินไปมาสำรวจล็อบบี้เพลินๆ มีกลิ่นไอในยุคพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือรัชกาลที่ 5 อย่างเต็มเปี่ยม ทั้งโซฟา โต๊ะ เก้าอี้ สีน้ำตาลเข้มแบบไม้โอ๊คช่วยสร้างบรรยากาศได้อย่างดีมาก ตามเสาต้นต่างๆ มีภาพพระราชกรณียกิจของพระองค์ท่านให้ได้ดูกัน เรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้ไปในตัว
“คุณเฉลิมชัย พักห้องนนทบุรีนะ...เจ้าคะ" เสียงน้องพนักงานต้อนรับเดินมาบอกอย่างสุภาพ และยื่นคีย์การ์ดมาให้พร้อมกับ Welcome Drink น้ำมะตูมหวานเย็นชื่นใจ ผมว่าเสน่ห์ของการเข้าพักไม่ว่าจะเป็นที่แห่งไหนในโลกคือบริการที่ดี นักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ติดใจและกลับมาเมืองไทยอยู่บ่อยๆ ก็เพราะเหตุผลนี้ครับ และแน่นอนว่าวรบุระคือหนึ่งในนั้น
ลืมบอกไป...กว่าผมจะขับรถฝ่าฝนช่วงบ่ายแก่ๆ จากกรุงเทพออกมานอกเมืองสู่เส้นพระราม 2 - ปากท่อ ได้ก็หนักเอาการ จึงมาถึงที่พักวรบุระก็มืดค่ำแล้ว เลยไม่ได้เดินสำรวจอะไรมากมายนอกจากล็อบบี๊ (ภาพที่เห็นมาถ่ายใหม่อีกที่ตอนเช้านะครับ) แต่น้องที่พาไปยังห้องพักก็ยังยิ้มแย้มแจ่มใสและยังฟิตอยู่ ระหว่างทางเดินจึงอธิบายถึงรูปแบบห้องพักว่ามีทั้งหมด 77 ห้อง โดยตั้งชื่อตามจังหวัดของประเทศไทย 76 ห้อง และอีก 1 ห้องเป็นชื่ออำเภอหัวหิน...เหมือนน้องเขารู้ว่าผมกำลังจะถามอะไรต่อ? จึงชิงตอบก่อนว่า “...วรบุระเปิดมาได้ 11 ปีแล้ว ตอนนั้นยังไม่มีจังหวัดที่ 77 บึงกาฬ ที่พักจึงมีเพียง 76...เจ้าค่ะ" เป็นอันว่าคลายข้อสงสัยผมได้อย่างชัดเจน แต่ยังติดอยู่อีกนิดนึงว่า...ทำไม? ถึงให้ผมพักที่ห้องนนทบุรี เหมือนจะรู้ว่าบ้านผมอยู่เมืองนนท์...น้องยิ้มมุมปากแล้วตอบนิ่มๆ ว่า “...เจ้าค่ะ"
เมื่อการ์ดเสียบที่ผนังประตูห้อง ระบบไฟทุกอย่างเปิดและเริ่มทำงาน บอกได้คำเดียวว่าน่านอนมากๆ การแต่งห้องดูโปร่ง โล่งสบาย เตียงนุ่ม มีความวินเทจด้วยพื้นไม้ที่แข็งแรง ไม่มีเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดให้รำคาญใจ (บางที่ทีผมไปพักเสียงพื้นไม้ดังจริงๆ นะครับ - ขนาดว่าเดินย่องแล้ว 555) ห้องน้ำก็กว้างขวาง มีอ่างอาบน้ำที่สามารถเปิดหน้าต่างและนอนแช่เพื่อดูทีวีในห้องนอนได้ไปพร้อมกัน คุยไปคุยมาเริ่มหิวน้ำครับ สงสัยโม้เยอะไปหน่อย (ฮา) เลยหยิบน้ำในห้องมากินรวดเดียวหมดทั้ง 2 ขวด น้องเขายิ้มและบอกว่า “...น้ำดื่มสั่งได้ตลอด 24 ชม. ฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายนะ...เจ้าค่ะ"
บอกตรงๆ ว่าเป็นความประทับใจอีกอย่างเลยครับ น้ำดื่มฟรีที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่แสดงถึงความห่วงใยและใส่ใจลูกค้าสุดๆ ครับ เพราะกว่า 90% ของห้องเมืองไทย ส่วนใหญ่ให้จำกัดน้ำดื่มให้วันละ 2 ขวดเท่านั้นเอง เกอนกว่านั้นเสียเงิน และสิ่งที่เป็น Gimmick อีกอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในทุกห้องพักคือ “ของดีประจำจังหวัด " 77 จังหวัดก็ 77 ชิ้น...สุดยอดครับ! แน่นอนว่าของดีประจำเมืองนนท์ก็คือ...เครื่องปั้นดินเผา เกาะเกร็ด...ใจจริงแล้วอยากเดินไปดูให้ครบทุกห้องเลยครับ แต่ดึกขนาดนี้คนที่พักในห้องคงจะไม่ให้ (ฮา) เอาเป็นว่านอนพักเอาแรงก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
ที่พักระดับ 5 ดาวแบบวรบุระนี้ ติดทะเลแน่นอน ยิ่งตอนเช้าๆ พระอาทิตย์จะขึ้นมาใกล้ๆ กับวิวเขาตะเกียบที่อยู่ทางขวามือ โรแมนติกมาก ส่วนใครอยากใส่บาตรที่นี่ก็มีนะครับ ทุกวันอาทิตย์ทางวรบุระจะเตรียมชุดใส่บาตรไว้ให้ และไปรอพระที่ริมทะเลได้เลย สดชื่นกันทั้งใจและกาย แต่เช้าวันที่ผมไปอาจครึ้มๆ นิดนึง เพราะอยู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว อากาศริมทะเลจึงมืดๆ ไม่สดใส ไม่ค่อยแน่นอน แต่ที่แน่นอนแล้วคือ "ห้องอาหารเช้า จุลมงกุฎ" เปิดแล้วครับ เปิดตั้งแต่ 6 โมงครึ่ง ยาวถึง 10 โมงครึ่งเลย ถือว่าเป็นบุฟเฟ่ต์คุณภาพมากๆ มีให้เลือกทั้งสัญชาติไทยและฝรั่งมากมาย โดยเฉพาะเมนูพาสต้าได้รางวัลการันตีมาเลย ใครชอบอาหารอิตาลีต้องลองดูครับ ส่วนขากินแนวญี่ปุ่นก็มีข้าวปั้นหลากหลายหน้าให้ได้ลิ้มลองกัน สำหรับพี่ไทยไม่ต้องกลัวน้อยหน้า พ่อครัวรอทอดปาท่องโก๋ร้อนๆ พร้อมปั้นพร้อมหั่นอยู่หน้ากระทะ น้ำเต้าหู้ก็มาครับ และอาหารหนักอย่างก๋วยเตี๋ยวก็พร้อมประจำการเช่นกัน
เราสามารถเลือกนั่งได้ทั้งด้านในและด้านนอก ถ้านั่งด้านนอกก็จะได้ชมสวนสไตล์อังกฤษ โดดเด่นด้วยน้ำพุขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลาง ร่มรื่นมากๆ ครับ หากทานอาหารเช้าเสร็จแล้วลองขึ้นบันไดมาด้านบน จะเห็นสวนนี้ในมุมสูง จินตนาการได้เลยว่าเหมือนเราย้อนยุคยืนชมสวนของเราเอง ซึ่งในหัวหินปัจจุบันสวนแบบนี้หาดูได้ยากนะครับ หากลองสังเกตอีกนิด จะเห็นว่ากระเบื้องมุงหลังคาตึกเป็นแบบ "กระเบื้องว่าว" นำมาเรียงต่อกันในแนวเส้นทะแยงมุมอย่างเป็นระเบียบ จนได้รูปทรงสวยงามแนวโคโลเรียลอย่างที่เห็น โดยตึกที่พักจะถูกออกแบบให้มีเพียง 3 ชั้น เพื่อไม่ให้บดบังวิวทิวทัศน์ทะลและต้นไม้ที่อยู่รอบๆ มากเกินไป ด้วยความสูงเท่านี้จึงไม่มีลิฟท์ แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องการยกกระเป๋าและข้าวของนะครับ น้องๆ ทุกคนพร้อมให้บริการ 24 ชม.
เห็นวินเทจแบบนี้ แต่สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เข้าขั้นเพอร์เฟ็กต์เลยครับ ผมจึงขอตัวรุ่นพี่ที่มาด้วยกันว่าเปลี่ยนใจ ไม่ไปถ่ายรูปที่อื่นแล้ว แต่ขอเดินเที่ยวชิลล์ๆ ที่วรบุระแทน เสร็จธุระแล้วค่อยเช็คเอ้าท์พร้อมกัน
พูดง่ายๆ ว่าขอเดินสำรวจแก้ตัวเมื่อคืนที่มาถึงเสียดึก และที่พักสไตล์โคโลเนียลแบบนี้ที่หัวหินหาได้ยากนะครับ เพราะเดี๋ยวนี้ออกแนวโมเดิร์น มินิมอล ลอฟท์ เมดิเตอร์เรเนียม หรือแบบอื่นๆ กันหมดแล้ว ดังนั้นหากมีเวลาควรอยู่ที่นี่ให้คุ้มเหมือนผมครับ เดินไปเล่น wifi ฟรีได้ทั่วโรงแรมเลยนะครับ หรือจะนั่งเล่นริมสระว่ายน้ำที่หันหน้าออกทะเลก็ได้ บรรยากาศดีใช่ย่อย จักรยานก็มีให้ยืมปั่นฟรี ห้องฟิตเนสก็มีรองรับนะครับ เล็กๆ แต่อุปกรณ์มีครบ เหมาะกับคนที่อยากออกกำลังเบาๆ พอผ่อนคลาย ซึ่งห้องนี้จะอยู่ฝั่งเดียวกับสปาที่มีแพ็คเกจให้เลือกเยอะเลยครับ ชอบแบบไหนเลือกได้ตามใจเลย ส่วนครอบครัวไหนมีเด็กก็ไปห้องเด็กเล่นได้เลย ของเล่นเพียบ เลือกกันเล่นไม่ถูกเลย หรือใครอยากปลีกวิเวก นั่งเงียบๆ ห้องหนังสือก็มี พร้อมเครื่องคอมพิวเตอร์ Desktop ไว้บริการอย่างพร้อมสรรพครับ
เดินไปเดินมาท้องเริ่มหิวอีกรอบ จึงถามน้องๆ พนักงานว่าทานอาหารกลางวันได้ที่ไหน? "ห้องอาหารรักษ์ทะเล อยู่ริมทะเล...เจ้าค่ะ" คำตอบและคำพูดเพราะๆ แบบนี้ บอกตรงๆ นะครับว่าอยากถามพวกเขาทุกครั้ง จะได้ตอบ "...ขอรับหรือเจ้าค่ะ..." บ่อยๆ ดูเหมือนตัวเองเป็นท่านเจ้าคุณเลย (ฮา) แต่ก่อนไปถึงที่หมายก็ไปสะดุดตากับเรือน 3 หลังที่อยู่ใกล้ทะเล จริงๆ เขาเรียกว่าวิลล่าครับ แต่ขอเรียกเรือนเพราะดูเข้ากันดี
เรือนหรือวิลล่าหลังแรกคือ "Bangkok หรือกรุงเทพฯ" เป็นห้องพักใหญ่ที่สุดในวรบุระ เอกลักษณ์ก็ยังคงของดีประจำจังหวัดอยู่ นั่นก็คือเสาชิงช้า ด้านในมีทั้งหมด 2 ห้องนอน พร้อมห้องนั่งเล่น เหมาะกับครอบครัวใหญ่มากๆ ครับ พักกันสบายเลย แถมยังมีอ่างน้ำจากุ๊ซซี่แบบ Outdoor ให้มองดาวกันเพลินๆ ยามค่ำคืนด้วย ถัดมาล่องใต้ทันทีครับ "ภูเก็ต" ชื่อวิลล่าที่ตกแต่งสไตล์ชิโนโปรตุกิสอย่างที่รู้กัน ฉาบโทนภายในด้วยสีฟ้า เหมือนพักผ่อนอยู่ท่ามกลางทะเล สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และยังมีมินิบาร์เล็กๆ ไว้นั่งปาร์ตี้กันด้วย
ส่วนหลังสุดท้ายปิ๊กขึ้นเหนือ “เชียงใหม่" ถือเป็นห้องสำหรับคู่รักฮันนีมูนเลยครับ นอกจากใส่สไตล์ล้านนาเข้าไปอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว วิลล่านี้ยังเป็นเรือนที่ติดชายทะเลมากที่สุด แถมยังมีอ่างจากุ๊ซซี่สุดหรูที่หันหน้าออกทะเลได้วิวครบทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น
เอาเป็นว่าใครอยากได้อารมณ์ติดทะเลหน่อยต้องพักแบบ Villa ครับ ส่วนห้องที่อยู่ในตึกก็มีทั้งแบบห้อง Suite ที่มีห้องขนาดใหญ่และแบบสวีท แบบ Deluxe ก็จะสะดวกสบาย และสุดท้ายแบบ Superior ก็จะกะทัดรัดและพักผ่อนสบาย ไม่ต่างจากอยู่บ้านเลยครับ ทั้ง 4 แบบนี้ชอบแบบไหนจัดได้เลยครับ Happy แน่นอน
เอ้อระเหยลอยชายอยู่เสียนาน ในที่สุดก็มาถึง "ห้องอาหารรักษ์ทะเล" จนได้ สมชื่อครับ...เพราะที่นี่อยู่ติดชายทะเลและสระว่ายน้ำเลย มีทั้งส่วน Indoor และ Outdoor ให้เลือกตามใจชอบ ใครทานมื้อเย็นด้วยยิ่งสุดยอด ดินเนอร์ริมทะเล ฟังเสียงคลื่นเบาๆ สลับกับแสงดาวที่อยู่บนท้องฟ้า หรือมองไปไกลๆ ที่ขอบฟ้าทะเลก็จะเห็นแสงหลากสีจากเรือหาหมึกหาปลาของชาวประมง
นั่งเพ้อเพลินๆ พักนึง จนน้องพนักงานนำเมนูมาให้ "รับอะไรดี...เจ้าคะ?" ถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังหิวอยู่ (ฮา) แล้วก็ไปสะดุดตากับชื่อ "หอยจ๊อ ร.ศ. 126" ซึ่งเป็นปีที่รัชกาลที่ 5 หรือพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสยุโรป ถ้าเทียบ พ.ศ. แล้วก็จะตรงกับปี 2450 พอดี มี Story แบบนี้หรือจะพลาด! และก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ดูน่ากินด้วยสีเหลืองกำลังดี กรอบนอกและเนื้อในอัดแน่นไปด้วยเนื้อปูสดๆ แนะนำว่าคำแรกอย่าเพิ่งแตะน้ำจิ้มนะครับ ลองรสชาติออริจินอลก่อน แล้วจะรู้ว่าความอร่อยหอยจ๊อ ร.ศ. 126 เด็ดขนาดไหน
พอถึงเมนูถัดไปจึงให้น้องๆ แนะนำมาดีกว่า เขาจึง Proudly Present เป็น "กุ้งลายเสือราดซอสมะขาม" จานนี้เห็นช็อตแรกก็ชนะเลิศไปด้วยความสวยงามทันที กุ้งสดๆ ขนาดกำลังดี ถูกระบายด้วยซอสมะขามสีน่าทาน ที่ต้องใช้คำว่าระบายเพราะว่า มันเหมือนงานศิลปะมากๆ ผมยกนิ้วให้ Food Stylist เลย นี่แค่ภาพนะ ส่วนรสชาติต้องบอกว่า...รูปก็สวย จูบก็หอมครับ
คราวนี้น้องจัดมาเป็นเซ็ตรัวๆ เลย ทั้ง "ปลากะพงโบราณ" ที่ไม่ใช่แค่ตัวใหญ่สะใจเท่านั้น แต่เครื่องเคราที่นำมาราดนั้นครบสูตรจริงๆ มีกลิ่นหอมๆ ของผักสมุนไพรไทย ทุกอย่างช่างเข้าเนื้อเข้มข้นสุดๆ เหลือบไปด้านข้างโต๊ะ มองเห็นควันเบาๆ กลิ่นหอมๆ ลอยอยู่ สิงนั้นคือ "เย็นตาโฟหม้อไฟเครื่องกรอบ" ถือว่าเป็นอีกอารมณ์ครับ ปกติเราจะมักสั่งต้มยำนั่งกินริมทะเล คราวนี้มาเป็นเย็นตาโฟบ้าง ผักทุกชนิดจะทอดกรอบมาให้พร้อม เราแค่นำไปลงหม้อไฟเท่านั้นเอง รสชาติไม่ธรรมดาเลย...อ้อๆ ใครชอบผักอะไรเป็นการเฉพาะ บอกเชฟได้เลยนะ จัดให้ทันทีครับ
ใจจริงน่ะอิ่มมาก แต่น้องๆ บอกว่าอยากให้ชิมเมนูนี้ก่อน "ผัดไททะเลหัวหิน" ชื่อซิกเนเจอร์แบบนี้ไม่ลองไม่ได้ครับ ความพิเศษอยู่ที่วัตถุดิบคุณภาพสดๆ จัดเต็มแบบพอดีคำ ทั้งกุ้งและหอยแมลงภู่ ตกแต่งความสวยงามด้วยไข่กรอบที่เป็นลวดลายเส้นตารางแบบโบราณ ครีเอทเป็นเลิศมากครับ แต่ตอนนี้นั่งไม่ไหวแล้วครับ ต้องไปเดินย่อยที่ริมทะเลสักรอบ ทันใดนั้นสายตามองไปเห็นโต๊ะข้างๆ สั่งเมนูมาน่าทานมากๆ จึงถามว่าคืออะไร? "เนื้อย่างจิ้มแจ่ว" คำตอบของเขาทำให้ผมได้แต่กลืนน้ำลาย เพราะส่วนตัวผมไม่กินเนื้อวัวครับ แต่ก็ไม่ลดความพยายาม ยังนั่งถามเขาต่อว่ารสชาติเป็นยังไง? "...เนื้อนุ่มกำลังดี สั่งความดิบสุกตามชอบได้เลย น้ำจิ้มแจ่วก็แซ่บถึงใจ..." คำตอบรอบนี้ของเขาทำให้ผมอิจฉาไม่ใช่เล่น จึงขอกดชัตเตอร์เก็บภาพไว้ดูยั่วกิเลสเล่นๆ (ฮา)
ริมทะเลหัวหินสิ่งหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์คือ "ม้า" และสิ่งนี้กำลังผ่านมาตรงหน้าผมพอดี จึงขออนุญาตเจ้าของม้าและถือโอกาสเข้าไปลูบๆ คลำๆ อยู่พักนึง พาให้คิดไปว่า...มันก็น่าแปลกนะครับที่ชายฝั่งทะเลมีอยู่มากมาย แต่ถ้ามีม้าเข้ามาด้วยแล้ว คำตอบแรกส่วนใหญ่ต้องเป็น "หัวหินเท่านั้น" เพราะในยุคนั้นเครื่องเล่นทางน้ำยังไม่มีมากมายเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นการเดินเล่นชิลล์ๆ ริมทะเลจึงเป็นกิจกรรมหลัก พอเดินไกลขึ้นเริ่มเมื่อย จึงต้องหาตัวช่วยอย่างพี่ม้าตัวบึ๊กอย่างนี้แหละครับ หากย้อนไปดูภาพสมัยถ่ายฟิลม์ จะเห็นว่าคุณพ่อคุณแม่ยังวัยรุ่น ส่วนใหญ่ต้องมาขี่ม้าและถ่ายรูปคูลๆ กันที่หาดสวรรค์หัวหินแห่งนี้
ทริปวรบุระนี้ถือเป็นการเดินทางที่กะทันหันพอสมควร แต่ก็ถือว่าประทับใจมากๆ ครับ อย่างที่บอกเหมือนได้ย้อนยุคกลับไปในสมัยรัตนโกสินทร์ศก เชื่อได้เลยว่าเสน่ห์โคโลเนียลสไตล์จัดเต็มแบบนี้หาได้ยากครับ ท่ามกลางความทันสมัยของหัวหินในยุคนี้ ต้องขอบคุณความบังเอิญอีกครั้งที่ทำให้ผมมาที่แห่งนี้ และยิ่งช่วยตอกย้ำว่าการเดินทางทุกครั้ง แม้เราจะมาในที่เดิมๆ แต่สิ่งที่เพิ่มเติมคือความรู้สึกใหม่ๆ ตลอดเวลา
เหมือนกับไทม์แมชชีนที่ชื่อว่าวรบุระ--แล้วพบกันอีกแน่นอน...ขอรับ
วรบุระ หัวหิน รีสอร์ทแอนด์สปา
อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์
มุ่งหน้าเขาตะเกียบ ถึงตลาดซิเคด้า
เลี้ยวเข้าซอยหัวหิน 23 ประมาณ 300 เมตร ถึงวรบุระ
Tel : 032 – 655 - 333
Website :
www.worabura.com
Facebook : WoraBuraHuaHinResortandSpa
PS : งานนี้มีโปรโมชั่นมาฝากนะครับ "ส่วนลด 30% ค่าห้องพักพร้อมอาหารเช้า จากราคาปกติ"
เพียงจองผ่านเว็บไซต์ www.worabura.com โดยใช้ Promo Code : FANPANTAE14
จองได้ตั้งแต่ 8 - 31 ธ.ค. 2559 และเข้าพักได้ตั้งแต่ 8 ธ.ค. 2559 - 28 ก.พ. 2559
อย่าช้ากันนะครับผม :)
Nuim Navigator
วันพฤหัสที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 16.04 น.