“ เชียงของ " อำเภอเล็กๆ แห่งนี้เป็นเมืองน่ารัก น่าอยู่

ด้วยเสน่ห์ของลำน้ำโขง ที่หล่อเลี้ยงชีวิตชาวเชียงของและชาวลาว
ทำให้ที่นี่มากไปด้วยวัฒนธรรมที่น่าค้นหา และการได้ปั่นจักรยานไปตามเรียบชายโขง
ได้ชมพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า มองเห็นสายหมอกบางๆ เหนือลำน้ำ
ได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เป็นอะไรที่ดูบ้านๆ นะ แต่ก็มีความพิเศษอยู่ในตัว :")
สำหรับใครกำลังหาที่สงบ หลบความวุ่นวาย ต้องการพักผ่อนจริงๆ
เราแนะนำที่นี่ “ เ ชี ย ง ข อ ง " ไม่ลอง ไม่รู้

กว่าจะถึงเชียงของ :

สวัสดีค่ะ เราชื่อใหม่ เพื่อนเราชื่อเบ้
ทริปนี้เราเดินทางกับเพื่อน 2 คน นัดกันเที่ยวแบบมึนๆ ไม่ได้เตรียมข้อมูลอะไรไว้มากนัก แต่จองที่พักไว้แล้ว
08.00 น. ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดเชียงใหม่(อาเขต)
เรารีบวิ่งไปซื้อตั๋วที่ กรีนบัส รถโดยสารเพียงเจ้าเดียวที่ไปเชียงรายและเชียงของ
ห๊ะ...อะไรนะ...รถเต็มหมดทุกรอบ !! เชี่ยละ เอาไงต่อดี ><
มีนะ...รอบรถไปเชียงราย แล้วค่อยต่อรถหวานเย็นไปเชียงของ แต่มี 5 โมงเย็นเลย ยังไงก็ไปเชียงของไม่ทัน
เดินทางช่วงเทศกาลด้วย สมน้ำหน้าตัวเอง TT เรานั่งคุยกันว่าจะเปลี่ยนที่เที่ยวหรือจะไปต่อดี?
จนในที่สุดก็ตกลงกันว่า ไหนๆ ก็ตั้งใจจะไปแล้วหนิ ก็ไปเหอะ ขับรถยนต์ไปกันเองเลย เออ...ไปก็ไป !!
แล้วคือเพื่อนเราเลิกงานดึก ได้นอนแค่ 1-2 ชั่วโมงเอง กลัวมันหลับในมากๆ แล้วเราก็ขับเป็นแต่มอไซค์ ช่วยไรมันไม่ได้เลย
ก่อนไปเลยจัดกาแฟ ระหว่างทางเราไม่หลับ เรานั่งคุยเป็นเพื่อนมันตลอดทางจนถึงเชียงของ เวลา 14.30 น.

การเดินทาง :

เราใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1020 เส้นเดียวตลอดสายค่ะ
มาง่ายมาก ไม่อันตราย ถนนดี และวิวสองข้างทางสวย
ถ้าไปเส้นอื่นเป็นทางลัดก็จริง แต่ถนนไม่ค่อยดีนะคะ อาจทำให้การเดินทางล่าช้าลง
เชียงใหม่ – เชียงราย ใช้เวลา 3 ชั่วโมง | เชียงราย – เชียงของ ใช้เวลา 2 ชั่วโมง
หากเพื่อนๆ ไม่มีรถส่วนตัว ให้นั่งรถโดยสารจากต้นทางมาเชียงของรวดเดียวจะง่ายกว่า
แต่ถ้าต้นทางเป็นภาคเหนือก็จะมีกรีนบัสนี่แหละค่ะ ต่อเดียวถึงเชียงของเลย แต่จองตั๋วล่วงหน้านะคะ เดี๋ยวรถเต็มเหมือนเรา
หรือไม่ก็หารถจากต้นทางไปลงขนส่งเก่า จ.เชียงราย แล้วต่อรถหวานเย็นไปเชียงของอีกทีค่ะ
รถหวานเย็นจะออกทุกๆ 30 นาที จนถึง 17.00 น.

มาถึงเชียงของสิ่งแรกที่เรารู้สึกคือ “คิดถึง"


เพราะครั้งนี้เป็นการมาเยือนเชียงของครั้งที่ 2 ของเรา และครั้งแรกของเพื่อน

รถตุ๊กๆ ที่นี่น่ารักค่ะ เป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำที่อื่น ใครเดินทางมาลงที่ขนส่งเชียงของ จะมีรถตุ๊กๆ แบบนี้คอยให้บริการอยู่

ถามว่าเคยมาแล้ว..ทำไมเลือกมาที่นี่อีก? ขอตอบแบบไม่ลังเลเลย ว่าชอบที่นี่มาก เราชอบความเป็นเชียงของ

อำเภอเล็กๆ ติดลำน้ำโขง ฝั่งตรงข้ามเป็น สปป.ลาว ที่นี่สงบ ไม่วุ่นวาย ขนาดมาช่วงเทศกาลก็ยังไม่วุ่นวาย

อากาศก็ดีด้วย ที่นี่เลยตอบโจทย์เราในหลายๆ อย่าง :")

ระหว่างที่เราขับรถไปที่พัก เราเจอน้องหมานั่งพ่วงมากับมอไซค์ด้วยแหละ น่ารักดี

และนี่ก็คือที่พักคืนแรกของพวกเรา Funky Box Hostel


พิกัด : https://goo.gl/maps/XVi1p9ZBXUu

เราจองผ่าน http://www.booking.com

ไม่ต้องมีบัตรเครดิตก็จองที่พักได้ในราคาถูก และจ่ายเงินในวันเข้าพักทีเดียว

ก้าวแรกที่เราลงจากรถ หนุ่มฝรั่งตาน้ำข้าวส่งยิ้มอ่อนๆ มาให้ “ซาวัดดีคั๊บ"

กรี๊ดดดด พูดไทยได้ โคตรน่ารักอ่ะ จริงๆ ฮีพูดได้แค่นี้แหละ ห้าาาา

เราขึ้นไปถามที่จอดรถและการเช็คอินท์ สาวฝรั่งอีกคนก็ทักทายเราพร้อมหยิบแก้วน้ำมาให้สองใบ คือดีงาม

ตอนแรกเรานึกว่าเจ้าของ ป่าวเลย...นักท่องเที่ยวนี่แหละ ฝรั่งสองคนเรียกพี่เมย์ เจ้าของ Hostel ลงมาหาเรา

พี่เมย์ต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี และเป็นกันเอง เอาผ้าห่มผ้าเช็ดตัวมาให้

พร้อมกับแนะนำร้านอาหารอร่อยๆ ในเชียงของ

มาถึงก็ขอเอนตัว พักร่างแปรบ คือ 5 ชั่วโมงนี่เพลียเอาเรื่องเลยนะ ห้าาาา


ที่นี่เป็นห้องพักพัดลม ห้องน้ำแบบรวม เตียงสองชั้นง่ายๆ 8-10 เตียง

ค่าที่พัก คืนละ 100 บาท/คน ถือว่าคุ้มค่ามาก เกิดมายังไม่เคยพักแบบ Hostel เลย ทริปนี้ประเดิมๆ

Funky Box Hostel ที่นี่มีเรื่องเล่าเมื่อ อลัน (Alan bate) นักปั่นจักรยานระดับโลกชาวอังกฤษ


ตัดสินใจมาใช้ชีวิตคู่กับภรรยาชาวไทยชื่อพี่เมย์ ทั้งสองไม่ใช่คนเชียงของ แต่ทั้งสองหลงรักที่นี่

ขณะปั่นจักรยานผ่านเมืองนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เลยตกลงกันว่าจะมาสร้างครอบครัวและปักหลักอยู่ที่อำเภอเชียงของแห่งนี้ค่ะ


เมื่อปี 2553 อลันเคยปั่นจักรยานรอบโลกเพื่อประกาศความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

ให้โลกได้รับรู้มาแล้ว ด้วยสถิติโลกใหม่ 113 วันผ่าน 5 ทวีป 18 ประเทศ ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย

นิวซีแลนด์ โปรตุเกส สเปน ฝรั่งเศส อังกฤษ โมนาโก อิตาลี กรีซ และอินเดีย รวมระยะทาง 29,400 กม.

ถือเป็นฝรั่งหัวใจไทย น่ายกย่องและชื่นชมมากค่ะ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://goo.gl/4gZPCY)


นอกจากนี้ อลันกับพี่เมย์ยังได้สร้างพิพิธภัณฑ์จักรยานเล็กๆ ไว้ใกล้ๆ Hostel รวมทุกอย่างที่เกี่ยวกับจักรยานไว้ด้วย

เดินไปฝั่งตรงข้ามก็ถึงเลย ไว้จะลงภาพอีกทีนะ เพราะเดี๋ยวเราจะไปหาอะไรกินกันก่อน หิวมาก

เราเดินออกมาหน้าปากซอย เลี้ยวขวา แล้วเดินไปนิดเดียวก็เจอร้านผัดไทย พี่เมย์แกบอกว่าร้านนี้อร่อย


ชื่อ “ครัวบ้านยิ้ม" ขายผัดไทยสูตรโบราณ เปิด 2 ช่วง 10.00 – 15.00 น. และ 17.00 - 21.00 น.

โชคดีที่เรามาก่อนร้านปิดนิดเดียวเอง ไม่งั้นอดแหลกแน่ ><

และนี่ก็คือ ผัดไทยห่อไข่สูตรโบราณ ราคาจานละ 35 บาท

เส้นเหนียวนุ่ม รสชาติอร่อย ไม่ต้องปรุงเลย จัดว่าเด็ดตามที่พี่เมย์บอกจริงๆ และราคาไม่แพง อิชั้นให้ผ่านข่าาาา

อร่อยไม่อร่อยดูกันเอาเองนะคะ ดูดเส้น ดูดแล้วดูดอีก ณ จุดนี้ความหิวไม่ปรานีใครจริงๆ ห้าาา

ร้านนี้มีโต๊ะนั่งทั้งด้านนอกและด้านใน สไตล์ร้านจะออกแนวฮิปปี้เบาๆ น่ารักดี คือถ่ายรูปเล่นไว้เยอะมาก


คราวนี้ขอใช้โหมด IQ Camera : refocus กันบ้างค่ะ กดถ่ายแค่ครั้งเดียว แล้วกล้องจะจับภาพชัดตื้นชัดลึก

เราสามารถเลือกแตะส่วนที่อยากให้ชัดและเบลอได้ตามใจชอบเลย สนุกดี โหมดนี้

อิ่มแล้วเรากลับที่พัก กินแล้วนอนเลยจ้า คือหิวและง่วงมาก ขอชาร์จพลัง 1 ชั่วโมง ตื่นมาก็พร้อมลุยในช่วง 4 โมงเย็น


ที่ Funky Box มีจักรยานให้ปั่นฟรีด้วยนะ ไม่ใช่จักรยานธรรมดา แต่เป็นฟิกเกียร์

บางคันพี่เขาจะประยุกต์ติดเบรกมือเพื่อให้ใช้งานง่ายขึ้นด้วยค่ะ

และนี่คือห้องเก็บจักรยาน บางคันก็ยางแบน บางคันก็ซ่อมอยู่

พี่เมย์เล่าว่าเห็นเยอะขนาดนี้ ไม่ใช่ของเราหมดนะ มีคนมาฝากไว้

พวกนักปั่นจักรยานที่จะข้ามไปฝั่งลาว แล้วเจอกฏระเบียบ ข้อบังคับเยอะ จนเอาข้ามไปไม่ได้

ก็จะฝากจักรยานไว้ที่นี่ก่อน เขาบอกว่าถ้ากลับมาเมืองไทยอีกเมื่อไหร่ จะแวะมาเอาจักรยานคืน

เออ...นั่งฟังแล้วก็ตลกดี มีแบบนี้ด้วย ห้าาาา น่ารักดีน้อ ^^

สรุปเราได้คันสีชมพู ปั่นเที่ยวกับเพื่อน 2 คัน ป๊ะ !! ลุย

และแล้ว การปั่นฟิกเกียร์ของใหม่กับเบ้ก็เริ่มต้นขึ้น ณ อำเภอเชียงของ รู้สึกชิคแบบบ้านๆ เก๋ไก๋สไลเดอร์อ่าแกรรร

วันที่เรามา คือวันที่ 23 ตุลาคม วันปิยมหาราช นะ หยุดยาว 3 วัน


เรานึกว่าคนจะเยอะเว้ย ผิดคาด!! เชียงของสงบมาก คนน้อย ชอบ ฟิน >\\<

เราปั่นจักรยานไปดูบ้านดูเมืองเขา สไตล์จะเป็นบ้านหลังเล็กๆ ปลูกต้นไม้ ดอกไม้ประดับไว้หน้าบ้าน น่ารักดี

บางบ้านก็ดูเก่า ขลัง มีเสน่ห์ เห็นแล้วต้องจอดรถลงไปเก็บภาพอยู่บ่อยๆ

คุณป้ากำลังเด็ดดอกอัญชัน คาดว่าคงเอาไปจิ้มน้ำพริกกิน :")

ใกล้ๆ จะมีสนามหญ้า เด็กๆ จะเตะฟุตบอลกันตอนเย็นๆ ข้างในมีหุ่นเป็นคุณตาหัวล้านใส่ชุดหม้อฮ่อมด้วย

ปั่นจักรยานกันจนเย็น เบ้บ่นปวดตูดมาก พักเหอะ เลยวนๆ หาร้านขายอาหาร


คราวนี้ต้องเดาแล้ว จะเอาร้านไหนดี จะอร่อยไหม ปั่นวนไปวนมาจนมาจบที่ร้านนี้ “อีสานแซ่บบัว"

ร้านนี้ติดถนนเรียบริมโขง หาไม่ยากค่ะ เป็นตึกแถวเก่า แต่ทาสีใหม่สีส้ม และยังคงกลิ่นอายทรงตึกแบบโบราณ

สังเกตที่บล็อกปูนจะเป็นรูปเครื่องหมายบวก เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีให้เห็นแล้วนะ

จิ้มจุ่มร้านนี้ แซ่บอีหลี้เด้อ ชุดละ 99 บาท เราสั่งยำรวมมิตร กับตำปูปลาร้ามาเพิ่ม เด็ดจริง


ตำปูปลาร้าใส่มะกอกด้วย ห๊อมหอม จัดว่าผ่านค่ะ มื้อนี้หมดไป 259 บาท

เบ้บอกว่า “เราเป็นคนหน้าหม้อ" ตึ่งโป๊ะ..แฉ่ ><

กินเสร็จเรากลับที่พักค่ะ คืนนี้น่าสนุกแน่ๆ เพราะเรามีนัดกันที่ The Hub Pub


ที่นี่เป็นบาร์เล็กๆ เจ้าของไม่ใช่ใครที่ไหน พี่เมย์กับอลัน นี่แหละค่ะ เดินออกมาจากที่พักก็เจอเลย

อยู่ติดกับพิพิธภัณฑ์จักรยานที่เราจะขึ้นไปชมพรุ่งนี้

ที่ Hostel และที่บาร์ มีเราเป็นคนไทยแค่ 2 คนเท่านั้น ที่เหลือต่างชาติ ไม่ชาติหน้านะชาตินี้เลย


คืนนี้แขกเยอะมาก พี่เมย์ดูแลไม่ไหว เลยขอให้เราช่วย โอเค...จัดไป

ที่นี่จะมีฝรั่งสองคนชายหญิงมาช่วยพี่เมย์ดูแลแขกทั้งที่พักและที่บาร์

เรางงว่าเขาเป็นนักท่องเที่ยวไม่ใช่หรอ พี่เมย์บอกว่าใช่ แต่แกมีน้ำใจ ที่พักก็พักถูก เลยมาช่วยงาน เหมือนเป็นเพื่อนกันไปเลย

ที่สำคัญอยู่โน่นการชงเหล้า มันมีกฎ มีข้อบังคับเยอะ พอเขามีโอกาสได้ทำ ก็ชอบ ก็สนุก

นางสอนเราชงเหล้าด้วยแหละ มันส์เลยทีนีี้

เราได้เพื่อนกลับมาด้วยนะ เป็นคนญี่ปุ่น ชื่อโมโตะ(อายิโนะโมโต๊ะ) ฮีบอกมาแบบนี้ ห้าาาา


เราก็ชวนคุยไปเรื่อยอ่ะ มั่วบ้าง ไม่มั่วบ้าง โชคดีมีเบ้มา เบ้คุยรู้เรื่อง

แต่เรานี่อ่อนด้อยมาก แต่พอแอลทำปฏิกิริยากับต่อมเสตรสเสียง สักพักพูดได้เฉยเลย ตลกดีแฮะ

เราแม่มกวนทีนโมโตะ บอกฮีว่า “รู้ไหมเราร้องเพลงญี่ปุนได้นะ" (ฮีตั้งใจฟังเรามาก)

“สุกี้ สุกี้ สุกี้ สุกี้ สุกี้ สุกี้ อ่าอิชิเต่รึ"

เท่านั้นแหละ ฮีลั่นเลยจ้าาา ห้าาา (ว่าแล้วก็หิวเลยน้อ..อยากกินสุกี้) ^O^

เราบอกโมโตะว่า ยูรู้ไหมเพลงนี้ป๊อปปูลาร์ในไทยมกเลยนะ ห้าาา (อย่างเกรียนเลยกุ)

และคืนนี้ทำให้เราได้รู้ว่า การเข้าไปคุยกับคนแปลกหน้า โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

และมิตรภาพจะตามมา คืนนี้...หลับยาว หลับสบาย ฝันดี ราตรีสวัสดิ์ ^^

อรุณสวัสดิ์ เช้าวันที่สอง ณ เชียงของ เมืองน่ารัก
เช้านี้เราตื่นกันหกโมงกว่า คว้าจักรยานปั่นไปตามเรียบชายโขงเพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น

มีคนมาวิ่งออกกำลังกายกันแต่เช้าเลย อากาศดี สดชื่น เย็นสบาย

ว่าแล้ว...เรามาปั่นจักรยานเรียกเหงื่อ ชมวิวสวยๆ ริมฝั่งโขงกันค่ะ

ตอนเช้าที่นี่จะมีหมอกบางๆ เหนือลำน้ำโขง มองไปไกลๆ ฝั่งตรงข้ามจะเห็นหมอกลอยล้อมภูเขาอยู่ค่ะ

เราปั่นจักรยานมาที่ท่าผาถ่านซึ่งเป็นจุดชมวิวแม่น้ำโขงค่ะ เป็นลานกว้างๆ มีโขดหินเรียงราย


จากที่นี่ไปจะมีถนนเลียบชายโขงประมาณ 1 กิโลเมตร สุดทางเดินจะเป็นท่าเรือเชียงของ

อ้อมไปบนถนนก็จะเป็นท่าเรือบั๊กค่ะ เป็นท่าเรือผ่านแดนข้ามไปฝั่งลาวซึ่งเราจะไปกันวันนี้

หินพวกนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ สีดำ คมและแหลม ทำให้กว่าจะขึ้นไปถ่ายรูปได้ ก้นแทบทะลุทะลวงกันเลยทีเดียว ห้าาาา


ขอบคุณพี่ตากล้องนักท่องเที่ยว ใครก็ไม่รู้ ที่ถ่ายรูปให้เรา นานๆ ทีจะมีรูปคู่ :")

หลังจากแดดเริ่มมา เรากลับขึ้นด้านบนค่ะ แต่ยังคงปั่นจักรยานเล่นเรื่อยๆ

และนี่คือภาพที่ถ่ายด้วยโฟกัสเร็ว 0.3 วินาที กล้องหลัง 18 ล้านพิกเซลค่ะ ถือว่าโอเคเลย

เราคุยกับเบ้เพื่อนสาวคนสนิท ว่าจะเอาไงต่อ ชิวซะเหลือเกินทริปนี้ ห้าาาา


เลยหาข้าวเช้ากินกันก่อน แล้วค่อยคุยกัน

ได้ “ร้านข้าวมันไก่ไหหลำ" ที่นี่ขายบะหมี่โบราณเส้นทำเองด้วยนะคะ

เปิดมานานกว่า 50 ปี ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2506 รสชาติโอเคเลย ชอบน้ำจิ้มอ่า จานละ 35 บาท

กินเสร็จเราคุยกันว่าจะไปทำบัตรผ่านแดนที่ว่าการอำเภอเชียงของก่อน แล้วค่อยไปตอนบ่าย


ใช้บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงยื่นให้เจ้าหน้าที่ค่ะ โดยเสียค่าบริการคนละ 35 บาท

จะได้หนังสือผ่านแดนเอสี่มาสองใบ มาทำที่นี่คนน้อย สะดวก รวดเร็ว ไม่ถึง 5 นาทีก็เสร็จแล้ว

โดยด่านตรวจคนเข้าเมืองเปิดเวลา 08.00-18.00 น. ค่ะ

จากนั้นเปิดเน็ตหาร้านกาแฟชิวๆ สักทีของเชียงของ ร้านน่ารักๆ บรรยากาศดีๆ


สุดท้ายก็เลือกที่นี่ “บ้านปันสุข" อยู่ข้างวัดศรีดอนชัย

จะรออะไรหล่ะ ปั่นจักรยานไปนั่งร้านชิวๆ กันโลด

เรามาถึงตอนร้านเพิ่งเปิดพอดีค่ะ ร้านนี้เป็นปูนเปลือยกึ่งไม้ คลาสสิกดีนะ น่ารักด้วย


เราชวนพี่เจ้าของร้านคุย จนรู้ว่าพี่เขาเป็นคนเชียงใหม่ และเป็นหนึ่งในหลายๆ คนที่หลงรักเชียงของ

จึงได้ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่นี่ และเปิดร้านกาแฟในชื่อ “บ้านปันสุข" ค่ะ

เราสั่งชาเขียวเย็น 50 บาท เบ้สั่งอเมกาโน 45 บาท

ด้านหน้าจะปลูกต้นสตรอเบอร์รี่ป่าไว้ ผลลูกแดงๆ เล็กๆ กินได้ด้วยนะ

พิกัด : https://goo.gl/maps/9UD7jpHVrys

ด้านหลังร้านจะตกแต่งเป็นสวนเล็กๆ ปลูกต้นไม้สวยๆ แปลกตาไว้โดยรอบค่ะ


หมุนตัว 360 องศา ทุกมุมสามารถถ่ายภาพได้หมด ถือว่าเป็นการใช้พื้นที่ได้คุ้มค่า และเกิดประโยชน์มากเลย

สวนเป็นแบบผสมออกแนวญี่ปุ่น ใครที่อยากมานั่งร้านกาแฟชิคๆ ชิวๆ ร้านนี้ตอบโจทย์ค่ะ

และเราเจอเจ้าเหมียวลายเสือตัวนึง มันชอบเอาตัวมาถูเก้าอี้ ถูพื้น ถูขาเรากับเพื่อน เดินตามตลอด

ตอนแรกนึกว่านังคันตัว มีหมัด ที่ไหนได้...พี่เจ้าของร้านบอกว่ามันชอบมาอ้อน มาเล่น มาคลอเคลียร์กับลูกค้า คือน่าร้ากก

เรามาชมความน่ารักของเจ้าเหมียวกันค่ะ

พื้นในสวนจะเป็นก้อนหินก้อนมนๆ เล็กใหญ่หลายขนาด มีรองเท้าหูคีบให้ใส่เดินเล่นด้วย

แรกๆ ก็ใส่นะ หลังๆ ถอดเลย ไม่ถนัด ปกติเราชอบเดินเท้าเปล่าให้ได้สัมผัสพื้นค่ะ เหมือนได้นวดเท้าไปในตัว

หลังจากเต็มอิ่มที่บ้านปันสุขเรากลับที่พักเพื่อเช็คเอาท์ และแว๊บไปชมพิพิธภัณฑ์จักรยานของ อลัน ค่ะ

ตอนที่ไปเขากำลังจัดห้องใหม่ ด้านล่างเลยรกๆ แต่ด้านบนยังเปิดให้เข้าชมได้ตามปกติ และไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ

จักรยานมีตั้งแต่รุ่นเล็กไปถึงรุ่นใหญ่ รุ่นเก่าไปรุ่นใหม่ จักรยานแปลกๆ ก็มีให้เห็นค่ะ

อย่างพวกล้อเดียว จักรยานพับ จักรยานที่ใช้ลงสนามต่างๆ ของอลัน ก็นำมาวางโชว์ไว้ให้เป็นแหล่งเรียนรู้ค่ะ

ใครที่ชื่นชอบและหลงใหลในจักรยาน คุณไม่ควรพลาดที่นี่นะคะ

ที่นี่ไม่ได้มีแค่จักรยาน ยังมีภาพถ่าย โปสเตอร์การแข่งขันในที่ต่างๆ หลังสือ แสตมป์ ขวดน้ำ

ของแทบจะทุกชิ้นมีความหมาย มีที่มาที่ไป บ้างชิ้นได้รับมาจากมือนักปั่นในตำนานอย่าง แลนซ์ อาร์มสตรอง

(คนที่ทำให้สายรัดข้อมือโด่งดังไปทั่วโลก เป็นกำลังใจให้คนทั่วโลก)

ข้อมูลเพิ่มเติม : http://goo.gl/UlI68C

ก่อนไปเซลฟี่เป็นที่ระทึกกันสักภาพค่ะ :")



เราเช็คเอาท์เสร็จแต่ยังไม่กลับนะ จะอยู่ต่อแต่เปลี่ยนที่นอนไปที่ “บ้านตำมิละ" ค่ะ
“ตำมิละ" เป็นชื่อชนเผ่าดั้งเดิมในแถบลุ่มแม่น้ำโขง และได้ถูกนำมาตั้งเป็นชื่อเกสเฮ้าส์แห่งนี้
ซึ่งเป็นเกสเฮ้าส์แห่งแรกของอำเภอเชียงของค่ะ สร้างมาเกือบ 30 ปีแล้ว
ที่นี่เลยดูเก๋า มีเสน่ห์ แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ที่ปลูกไว้นานหลายสิบปี เราเลยชอบที่นี่มาก ^^

ซึ่งเจ้าของที่นี่ไม่ธรรมดานะคะ มีดีกรีเป็นถึงเจ้าของตำนาน “คนขี่เสือท่องเจ็ดแผ่นดิน" เป็น 1 ใน คนค้นฅน 12 ฅนค้นโลก
กับพี่วัชระ หลิ่วพงศ์สวัสดิ์(เสือเทา) เราไปทีไรไม่เคยได้เจอทุกทีเลย พี่เค้าไม่อยู่ ไปปั่นจักรยานตลอด รอบนี้ก็เหมือนกันค่ะ
ไปเป็นทูตจักรยาน โครงการสองล้อเพื่อน้อง ของขวัญเพื่อโลก ถวายเป็นพระราชกุศล
เนื่องในโอกาสมหามงคลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ 88 พรรษา
แกเขียนหนังสือ “คนขี่เสือ" ด้วยนะมี 3 ตอน ผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
รู้สึกว่าเชียงของนี่จะรวมเรื่องราวของเสือนักปั่นไว้หลายคนเลยทีเดียวนะคะ
พิกัด : https://goo.gl/maps/tU9CA7tqsaM2
อยู่ซอยตรงข้ามกับ Funky Box สุดซอยซ้ายมือเจอเลย หาไม่ยากค่ะ

เดือนนี้เมื่อปีที่แล้ว เราเก็บกระเป๋ามาพักที่นี่...ครั้งนี้ก็เช่นกัน


เข้ามาถึงบ้านตำมิละ เราเจอผู้ชายคนหนึ่ง คนเดิม คนเดียวกันกับที่เราเจอเมื่อปีที่แล้ว

“พี่ต๊ะ" ผู้ชายอารมณ์ดี ผู้ดูแลที่นี่ เขายังน่ารักเหมือนเดิม :")

ที่เพิ่มเติม คือ พี่เขาจำเราได้ ที่เซอร์ไพรส์ คือ พี่เขาติดตามการเก็บกระเป๋าของเราอยู่ตลอด เขินจัง >\\<

แผนที่เที่ยวเชียงของที่พี่ต๊ะให้เราไว้ค่ะ

เราเช็คอินท์ เอาของเข้าที่พัก เป็นบ้านบังกะโลหลังเดียวที่มีระเบียง มองเห็นวิวแม่น้ำโขงและฝั่งลาว คืนละ 650 บาท


ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้ว หิวมากด้วย พี่ต๊ะแนะนำให้กินข้าวที่ฝั่งไทยไปเลย ฝั่งลาวไม่ค่อยมีอะไร เที่ยวไม่เกิน 3 ชั่วโมงก็ครบแล้ว

พี่ต๊ะใจดีให้พวกเรายืมมอไซค์ขับไปเที่ยวได้ไกลๆ เลยทีนี้ ก่อนอื่นเอารถไปเติมน้ำมันค่ะ

คราวนี้ถึงตาเราแล้วที่จะได้ขับมอไซค์พาสาวเบ้ซ้อนท้าย กิกิ เรามาร้าน คาเฟ่ เดอ ลาว (Cafe' de Lao) ตามที่พี่ต๊ะแนะนำ

เข้ามาที่ร้าน แม่เจ้ารองเท้าวางเรียงโคตรเป็นระเบียบ ลูกค้าพร้อมใส่เดินออกนอกร้านได้สบาย

หลักๆ ร้านนี้ลูกชายขายกาแฟ ส่วนคุณแม่เป็นคนลาวทำอาหารทานโซนด้านนอกค่ะ

อาหารมี 4 อย่างให้เลือก ก๋วยจั๊บญวน เฝอ ขนมเบื้อง และปอเปี๊ยะสด

เราสั่งแบบไม่คิด เอาหมดทุกอย่างที่มี ทั้งที่ยังไม่รู้ราคา ห้าาาา หิวมาก และได้เร็วมาก

อยากชมร้านนี้ตรงการจัดร้านค่ะ ของทุกอย่างครีเอทเองโดยคุณแม่และลูกชาย

ใส่ใจรายละเอียดทุกอย่าง เป๊ะเวอร์ ที่สำคัญอาหารไม่แพงเลย และอร่อยมาก ไม่ต้องปรุง

ทุกเมนูราคา 40 บาท มื้อนี้จึงหมดไป 160 บาท อิ่มจัง :")

สถานีต่อไป สปป.ลาว :")


เรานำบัตรผ่านแดนมายื่นที่เรือบั๊ค และเสียค่าเรือเที่ยวละ 40 บาท/คน

จริงๆ มีใครเอารถยนต์มา สะดวกสุดข้ามไปที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว ได้เลยค่ะ

แต่พวกเราขอเลือกการเดินทางข้ามฟากไป สปป.ลาว ด้วยวิธีนี้ ซึ่งเป็นวิถีดั้งเดิมของคนที่นี่

โดยเรือจะไม่รอนักท่องเที่ยวขึ้นมานั่งเต็มลำนะคะ มาแล้วออกเลย ซึ่งเราโชคดีมีแก๊งคุณลุงคุณป้า 5-7 คน ลงเรือลำเดียวกัน

ระหว่างเดินเรือข้ามฟาก วิวดีจริงๆ ชอบอ่ะ ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ถึงค่ะ

เอาคลิปมาฝากค่ะ

ถึงแล้ว สปป.ลาว เราและแก๊งคุณลุงคุณป้าไปที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ยื่นใบผ่านใบเดิมให้เจ้าหน้าที่


แล้วก็ลงมาด้านล่างเผื่อหารถตุ๊กๆ ไปเที่ยว แก๊งนั้นเขาจะไปที่พักก่อน เลยช่วยเราต่อราคาตุ๊กๆ

ตอนแรกตุ๊กๆ เรียกเรา 1000 บาท ธัมโม สังโฆ ต่อกันนานพักใหญ่เลย จนในที่สุดตกลงกันได้ในราคา 650 บาท

โดยแก๊งคุณลุงคุณป้า ช่วยออก 150 บาท ที่เหลือ 500 เราหารกับเบ้คนละครึ่ง หึหึ

ป๊ะ !! ลุย

ครั้งนี้เป็นการมาต่างประเทศ(เพื่อนบ้าน) ครั้งที่สองในชีวิตเราค่ะ ตื่นเต้นวุ้ย !!


รถจะขับเลนขวาค่ะ ไอเราก็ไม่ชิน มองไปที่นั่งคนขับทีไร ตกใจนึกว่าลุงคนขับหาย ที่แท้...อ่อ...พวงมาลัยซ้าย ห้าาาา

สถานีแรกลุงพาเรามาตลาด เป็นเหมือนตลาดนัดที่บ้านเรานี่แหละ


ขายพวกอุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องใช้ต่างๆ เราสองคนเดินดูไม่ถึง 10 นาทีก็ครบแล้ว

สินค้าส่วนใหญ่ก็จะเป็นสินค้าไทยและสินค้าลาวปนกันไปค่ะ

สถานีต่อไป “กาดศรีดอนมี"


ที่นี่จะมีสองโซนค่ะ เป็นล็อกขายของพวกเสื้อผ้าแบบลาวอยู่ด้านนอก ร้านจะทำดีหน่อย

ส่วนด้านในเป็นตลาดสด คล้ายแผงลอย และโซนที่เป็นกาดแบกับดิน ขายพวกผัก ผลไม้ของชาวบ้านค่ะ

เราเดินเข้าไปเห็นสามสาวคุยอะไรกันก็ไม่รู้ เลยทักทายไปว่า “สบายดี"

เด็กๆ ยิ้ม และเขินกันใหญ่เลย พร้อมทักทายเรากลับมาว่า “สบายดีค่ะ" น่ารักอ่ะ ^^

ผ้าซิ่น แบบลาวสไตล

ขนผัก.

แผงลอยขายของด้านใน

ด.ช.ชาวลาว ขายผักสดฮะ หัวปลียาวๆ ที่เห็นเป็นปลีป่า ค่ะ :")

กาดแบกับดิน

สถานีต่อไป “วัดพระธาตุสุวรรณผ้าคำ" ชาวลาวจะเรียก “วัดธาตุผ้าคำ"

ในวัดจะมีพระบรมธาตุเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่แขวงบ่อแก้ว ที่ชาวลาวนิยมมาสักการะค่ะ

พระภิกษุสงฆ์ชาวลาวกำลังช่วยกันเหลาไม้ไผ่มาขึ้นโครงอะไรสักอย่าง เราก็ลืมถาม แต่เท่าที่เห็นเหมือนจะเป็นโครงเรือเลย

คุณลุงโชเฟอร์ตุ๊กๆ

มาแว๊นกับน้องไหมพี่ ฮี่ๆ :")

ด้านล่างวัดจะเป็นบันไดพญานาคค่ะ

สถานีต่อไป “กาดลาว"


เบ้ว้อนอยากซื้อเบยลาว ลุงเลยจัดให้มาซื้อที่นี่ บอกว่าถูกสุดแล้ว 3 กระป๋อง 100 บาท

เราข้ามไปฝั่งตลาดสด เจอกล้วยทอด กับขนมอะไรไม่รู้ก้อนกลมๆ ลุงบอกว่า “เน่าใน" แหม..ชื่อโคตรน่ากินเลย ห้าาาา

เราซื้ออย่างละ 3 ชิ้น รวมกัน 20 บาท กล้วยทอดนี่ชุบแป้งหนามากเรานี่เลี่ยนไปเลย

ส่วนเน่าในเป็นแป้งทอดยัดไส้มะพร้าวหวานๆ อมน้ำมันทั้งลูก บีบทีน้ำมันย้อยเลย เรากินไปชิ้นเดียวจอด ห้าาาา

เข้ามาด้านในเจอน้องกินอะไรไม่รู้ เป็นก้อนๆ ขาวๆ น้ำใสๆ ตอนแรกนึกว่าขนมหวาน

ถามแม่ค้า พูดไทยคล่องปร๋อ บอกว่าไม่ใช่ขนมหวาน เขาเรียก “ข้าวแรมฝืน" เป็นอาหารหลักของคนลาวเลย

ขาวๆ ทำมาจากแป้ง มีให้เลือกเป็นก้อน เป็นเส้น แล้วแต่คนชอบ ถ้วยละ 10 บาท ใส่น้ำใสๆ เปรี้ยวๆ ลงไป

ใส่น้ำพริกที่ทำมาจากถั่วเน่า เติมเครื่องพวกน้ำปลา น้ำตาล ได้ตามใจชอบ

แม่ค้าถามว่าอร่อยไหม... เราตอบไม่ถูกเลย แต่รู้สึกแปลกๆ ดี คนไม่เคยกินอ่า แต่ก็หมดถ้วยนะ 10 บาทแบ่งกันกิน 2 คน ^^

จริงๆ เราอยากไปค่ายทหารฝรั่งเศสต่อ แต่ลุงบอกว่าไกล เหมือนแกขี้เกียจไปต่อแล้ว เลยแบบ เห่อ..กลับก็ได้


สรุปมาฝั่งลาว เที่ยว 4 ที่ 500 บาท เรารู้สึกเสียดายเงินนะ เพราะแต่ละที่ก็งั้นๆ ไม่ค่อยมีอะไรโดดเด่น

โอเคหน่อยก็วัดกับตลาดสดที่ได้กินของพื้นเมืองของชาวลาวนี่แหละ ฝั่งลาวอากาศร้อนกว่าฝั่งเชียงของ...ไม่รู้ทำไม

ส่วนบ้านเมือง ถนน กำลังก่อสร้างกันเยอะมาก ดูวุ่นวายดี ไม่เหมือนฝั่งเชียงของที่ดูเงียบสงบมากๆ

ว่าแล้วก็กลับค่ะ ถือว่ามาเพื่อให้ได้รู้ ขากลับนั่งเรือยาวเหมือนเดิม 40 บาท/คน :")

ถึงฝั่งไทย...เราก็ต้องไปยื่นเอกสารขาเข้าประเทศที่เดิมนะคะ ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น

จากนั้นเราขับมอไซค์ต่อค่ะ...ไม่มีแพลนอีกแล้ว นึกได้ตอนนั้น...อยากไปเห็นสะพานมิตรภาพไทย-ลาว

เลยขับรถมอไซค์ไป โห...คือไกลอ่า 10 กว่าโล ไปถึงเจอแต่ด้าน สะพานไม่เห็น ห้า อดๆๆๆ

แต่เขาบอกมาว่ามันจะมีอีกทางที่ไปแล้วเห็นวิวสะพานนะ คราวหน้ามาอีกต้องมาซ่อม

ระหว่างกลับ สองข้างทางวิวดีมาก แวะถ่ายรูปเล่นเรื่อยค่ะ

ภาพนี้ มดกัดทีนค่ะ ><

ขับรถมาเรื่อยๆ มองไปในซอยเห็นทางเขียวๆ เราเลี้ยวเลยค่ะ บรรยากาศแดดร่มลมตก ลมเย็นๆ พัดมา


ในซอยต้นไม้เพียบ ขับไปเรื่อยๆ รู้ไหมเจออะไร..?!! >> ฮวงซุ้ย ข่ะ อยู่ข้างทางเลย เราเห็นละ เงียบไว้ ไม่ได้บอกไอเบ้

มันยิ่งกลัวผีอยู่ จนเข้าไปอีกนิด...คราวนี้เจอจะๆ เลย เบ้แม่มสะดุ้งโหยงง “เมิงงงง...กลับเหอะ" ห้าาาา

นึกแล้วโคตรขำ กลับรถออกแบบไม่ทัน นั่งขำกันสองคน แต่ก็ยังไม่เข็ดนะ เจอซอยเขียวๆ ก็เข้าไปกันอีก คราวนี้เจอทุ่งนาค่ะ

ท้องฟ้าตอนเย็นๆ สวยจริงๆ

ขากลับเราขับมอไซค์เลาะไปตามเรียบชายโขง วิวดีมากเลย ชอบๆ ถนนหนทางที่นี่จำง่าย ไปง่าย ทะลุหากันง่ายดี

วันนี้วันเสาร์...เชียงของมีถนนคนเดิน แต่ถนนคนเดินที่นี่ไม่ได้เหมือนถนนคนเดินเชียงใหม่ เชียงคาน หรือปาย นะ
ออกแนวตลาดสด ขายกับข้าวมากกว่าค่ะ ไม่เฟกดี ตลาดวายตอนประมาณ 3 ทุ่ม เราออกมาหาของกิน กะนั่งกินข้างนอก
แต่ไม่มีเลย มีแต่ต้องซื้อกลับไปกินที่เกสเฮาส์ เลยโอเคซื้อไปกินนิดหน่อย แล้วไปสั่งข้าวกินที่โน้นเอาง่ายดี

เราสั่ง “กระเพราะหมูสับ ไข่ดาว" พี่ต๊ะทำอร่อยมาก เพราะเราเคยกินมาแล้ว

เนี้ยแหละ เมนู Popular อาหารสิ้นคิด ที่อร่อยเป็นชีวิตจิตใจ

ค่ำนี้เราก็ชวนพี่ต๊ะมานั่งคุยกัน แกเล่าว่าช่วงนี้เชียงของนักท่องเที่ยวน้อยลงถ้าเทียบจากแต่ก่อน


เพราะปกติเวลาจะข้ามไปฝั่งลาว ต้องมาข้ามฝากที่ท่าเรือบั๊คที่เดียว แล้วด่านจะปิดตอน 18.00 น.

ทุกคนที่จะข้ามไปลาวจะรู้กันว่าต้องเข้ามาพักในเชียงของก่อน

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่...พอสะพานเสร็จ ทุกอย่างสะดวกสบายง่ายขึ้น เชียงของเลยเป็นแค่ทางผ่าน

โห...ฟังแล้วแบบเสียดายแทนเลย ข้ามไปลาว แล้วไม่แวะเชียงของ ถือว่าพลาด

เมืองสงบ น่ารักแบบนี้ต้องแวะมากันนะคะ ไม่ต้องแย้งกันกิน แย้งกันใช้

ปล่อยให้ชีวิตได้พักผ่อนแบบจริงๆ บ้าง ที่นี่ตอบโจทย์ค่ะ

คืนนั้นที่คุยกับพี่ต๊ะ สักพักได้ยินเสียงหมาร้อง ร้องด้วยเสียงโอดครวญ ฟังแล้วเราใจไม่ดีเลย

พี่ต๊ะเลยไปดูหมาอายุเยอะแล้ว 15 ปี มันอาการไม่ค่อยดี พี่แกกลับมาหน้าเศร้า แต่ด้วยความเป็นคนอารมณ์ดี

พี่แกยังเฮฮากับเราอยู่ ในขณะที่เพลงที่เปิดในร้านเป็นเพลงบรรเลง ฟังดูเศร้าๆ จัง TT

ไม่นานเราก็แยกย้าย พร้อมนอน พักร่างเพื่อลุยพรุ่งนี้ต่อ(อีกนิด)



เช้าวันสุดท้ายที่เชียงของ วันนี้เราตื่นสายนิดหน่อย หลับไปแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวว่าฝนตก ห้าาาา

สะดุ้งตื่นอีกทีเพราะเสียงตามสายจากฝั่งลาว เปิดเพลงภาษาลาว คล้ายๆ เพลงลูกทุ่งบ้านเรานี่แหละ

เช้านี้หิวมาก พี่ต๊ะบอกว่าให้ไปกินข้าวซอยฮ่อ ที่ร้านป้าจันทร์ ร้านอยู่ติดริมโขงเลย ป่ะ ลองไปดู

มาถึงร้านก็เจอป้าจันทร์กำลังทำข้าวซอยเลย อายุแกเยอะแล้วนะ แต่หน้าเด็กมาก

แกบอกว่าสูตรแกดัดแปลงมาจากข้าวซอยฮ่อ จากที่ใช้หมูมันๆ แกเปลี่ยนมาใช้หมูผัดถั่วเน่าแบบแห้งๆ ไม่มัน ไม่เลี่ยน


ตอนแรกเรานึกว่าจะเป็นข้าวซอยไก่ ใส่น้ำกะทิ...ป่าวเลย เส้นข้าวซอยฮ่อ คล้ายเส้นเล็ก แต่ใหญ่กว่า

ใส่เครื่องเป็นหมูผัดกับถั่วเน่า คนลาวจะชอบกินถั่วเน่ามาก ครั้งแรกที่ได้ลองซดน้ำซุป ถึงกับต้องขอซดเป็นครั้งที่สอง คือเด็ดอ่า

ไม่ต้องปรุง อร่อยมาก รสชาติคล้ายกับน้ำเงี้ยว เนื้อหมูที่ใส่เป็นเนื้อติดกระดูก กินแล้วกรุบกรอบดี จานนี้ 35-40 บาทค่ะ

กินมื้อเช้ากันเสร็จแล้ว เรากลับที่พักค่ะเตรียมตัวเช็คเอาท์กลับบ้าน ฮือๆ อยู่ต่อเลยได้ไหม...


ตามสัญญาก่อนกลับจะเอาภาพบรรยากาศ “บ้านตำมิละ" มาฝาก

ตรงข้ามตำมิละจะมีกำแพงไม้ปุปะ กับต้นไม้เขียวๆ มุมมันได้มาก ชอบ ><

ถ้าตรงไปสุดทางจะเป็นบันไดลงไปถนนเรียบชายโขงค่ะ ด้านล่างจะเห็นวิวแม่น้ำโขง


จะมีคนมาออกกำลังกาย ปั่นจักรบานกันเยอะเลย เราเจอใบตองหล่นล่วงที่พื้นมาด้วย เอามาเล่นๆ (รู้สึกตัวเองเริ่มปัญญาอ่อน)

อยากเอาใบตองมาถ่ายรูปเล่นอ่า คิดไม่ออกว่าจะเอามาถ่ายท่าไหนดี แบบนี้ดีไหม...ดีดเป็นกีต้า ห้าาา

คือมันยังไม่ฮิปพออ่าแก ต้องท่านี้เลย ฉันไม่ใช่ฮิปสเตอร์ แต่ฉันคือฮิปสไบตอง :")

**แถวบ้านไม่มีหรอกนะใบเมเปิ้ล หรูสุดก็ “ใ บ ต อ ง" นี่แหละ ห้าาา


เข้ามาด้านในจะมีที่จอดรถยนต์ได้ประมาณ 3-4 คันค่ะ ด้านหน้าจะมี shop ขายของพื้นเมือง งานแฮนด์เมดต่างๆ

ต่อไปนี้จะพาไปชมบรรยากาศภายในตำมิละ เกสเฮาส์แห่งแรกของอำเภอเชียงของกันค่ะ

ร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ที่ปลูกไว้นานหลายสิบปี เราชอบมาก ><

บังกะโลที่เราพักเมื่อคืนค่ะ มีระเบียงมองเห็นวิวแม่น้ำโขง มีเปลให้นอนเล่นชิวๆ ด้วยนะ ^^

อยากหลับตาอยู่อย่างนั้น...ทำอยู่อย่างนั้น...

ภาพนี้ถ่ายจากด้านล่าง ของบังกะโลที่เราพักค่ะ จะปลูกตีนตุ๊กแกไว้เยอะมาก เหมือนอยู่ท่ามกลางป่าอเมซอลเลย ห้าาา ^O^

ภาพนี้เมื่อปีที่แล้ว.

ก่อนกลับเราซื้อโปสการ์ดจากที่นี่ส่งถึงแฟนเพจผู้โชคดี ฮี่ๆ และชิมเค้กฝีมือพี่กุ้ง เจ้าของตำมิละกันค่ะ

บราวนี่ :")

เค้กแอปเปิ้ล :")



บรรยากาศรอบๆ

ก่อนกลับเราคุยกับพี่ต๊ะ เห็นหมาตัวเมื่อคืนนอนอยู่ใกล้ๆ เลยถามไปว่าสรปเมื่อคืนที่มันร้อง มันเป็นอะไร

พี่ต๊ะบอกว่า “หลับแล้วไปเลย"

ช็อก!! ถึงว่าทำไมพี่เขาดูเศร้าๆ แต่ก็ยังยิ้มได้ ถึงจะเป็นหมาแต่มันก็อยู่กับพี่เขามาตั้ง 15 ปีเลยนะ เศร้าแทนเลย TT

ก่อนกลับพี่ต๊ะใจดีให้ขนมเรามากินระหว่างทางด้วย ขอบคุณมากๆ เลยพี่ ไว้มีโอกาสเค้าจะกลับมาที่นี่อีกแน่นอน

ขอบคุณเบ้ที่ลางานเก็บกระเป๋ามาเที่ยวด้วยกัน

ขอบคุณทุกมิตรภาพดีๆ ที่เราได้พบเจอ

ครั้งนี้เราได้มาลอง ได้มารู้ ได้มาสัมผัส กับอำเภอเล็กๆ น่ารัก ที่สงบเงียบ เรียบง่าย ริมฝั่งโขง :")

ลาก่อน “ เ ชี ย ง ข อ ง " ไม่ลอง ไม่รู้

ค่าใช้จ่าย 2 คืน 3 วัน :

ค่าน้ำมัน ไปกลับ เชียงใหม่- เชียงของ 1300 บาท/2 คน : 650 บาท

ที่พัก Funky Box Hostel : 100 บาท/คน

ที่พัก ตำมิละ : 650 บาท/คืน : 325 บาท

อาหาร ขนม เครื่องดื่ม 3 วัน : 1000 บาท/คน

ค่าทำบัตรผ่านแดนไปลาว 35 บาท/คน

ค่าเรือไปกลับ ไทย – สปป.ลาว 80 บาท/คน

ค่ารถตุ๊กๆ เที่ยว สปป.ลาว 500บาท/2 คน : 250 บาท

อื่นๆ 200 บาท/คน

รวม 2,640 บาท/คน


ตามไปเก็บกระเป๋าได้ที่ เพจ "เก็บกระเป๋า" >> https://www.facebook.com/kepkrapao

IG : instagram.com/kepkrapao

Twitter : https://twitter.com/kepkrapao

ความคิดเห็น