สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งกับการรีวิวการท่องเที่ยวแบบชิลไปสไตล์หนวด ซึ่งคราวนี้ "เรา" ได้มาเยือนกันที่ ภาคเหนือ ของไทยนั่นเอง ... ต้องขอออกตัวล้อฟรีก่อนเลยว่า จริงๆทริปนี้เป็นทริปท่องเที่ยวภายใต้ชื่อสุดน่ารักที่มีนามว่า "สะพายกล้องท่องทัศน์" อ่านชื่อก็พอจะเดาออกใช่ไหมครับ ว่าไม่ใช่ทริปเที่ยวแบบเพียวๆ เพราะทริปนี้เป็นทริปไปฝึกและพัฒนาการถ่ายภาพกับทางคณะที่ผมเคยประสบพบเรียนนั่นเอง ดังนั้น ผมเลยมีความคิดว่าจะไม่รีวิวการมาเยือน "เชียงใหม่" ในทริปนี้ เพราะกลัวจะไม่รู้ว่าจะต้องเขียนอะไร ไอ้ครั้นจะไปทางวิชาการก็กลัวว่าผู้อ่านจะหลับคาคอมหรือปิดทิ้งไปเสียก่อน แต่พอมาเที่ยวแล้วมันก็อดไม่ได้จริงๆ อยากบรรยายสรรพคุณความงามที่มองเห็นมากับตาและสัมผัสได้ด้วยใจ งั้นเอาเป็นว่า ลองเขียนดูแล้วกัน เผื่อมันจะไปรุ่ง 55555+ ปล.คือว่าเป็น มินิรีวิวไปนะครับ ^^
เริ่มต้นกันที่....
ทริปนี้เรามีแผนการเดินทางจากจังหวัดนครราชสีมา เวลา 04:00 น. ซึ่งมีข้อตกลงว่า ห้ามมาสาย!!! ไอ้ผมเองก็กลัวว่าจะหลับลึกแบบนาฬิกาเรียกไม่สะทกสะท้าน เลยไม่นอนมันเสียเลย ซึ่งแน่นอนครับว่า เป็นการตัดสินใจที่ผิดอย่างสุดซึ้ง T^T ... เรามากันทั้งหมด 19 คน โดยมียานพาพนะเป็นรถตู้ 2 คันและสวิฟสุดน่ารักอีก 1 คัน สมาชิกทุกท่านมาโดยพร้อมเพรียงกันและเริ่มเดินทางเกือบ 05:00น. เอาหละๆ ไม่สายเกินไปที่จะออก (ไหนว่าไม่สายไง๊!!!)
ด้วยความฟิตแบบไม่หลับไม่นอนของผม นี่แหละครับนรกของจริง เพราะดันลืมไปว่าเป็นคนหัวอ่อนต่อการนั่งรถเป็นที่สุด แค่ก้าวขาขึ้นรถอาการเมารถก็มาเคาะประตูสมองให้รบกวนจิตใจแบบไม่ปราณีกันเลยทีเดียว ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุด คือนอนหลับทับสิทธิ์เพื่อเซฟชีวิตไม่ให้ตายระหว่างทาง ซึ่งแลกกับการอดดูวิวสวยๆระหว่างทางที่จะบอกว่าเสียดายก็ต้องยอม ... แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น ... เพราะการที่เราไม่หลับไม่นอนบนรถที่มีน้องๆนั่งกันแบบพร้อมหน้า กว่าจะหยุดบทสนทนาที่น่าแจมด้วย ก็ปาไปจนสว่าง เมาท์ไปเมาท์มาก็เพลินกันไปเรื่อย เมารถก็เมา อยากคุยก็อยากคุย เลยแบกร่างกายที่เริ่มจะแก่ทนเมาท์ต่อไปแบบกึ่งสนุกกึ่งทรมาน 5555+ คุยไปได้ซักพัก สมองก็กด shut down เครื่องดับไปดื้อๆกลางอากาศ ตื่นมาก็ สิงบุรี เมืองคนกล้าเสียแล้ว
เอาหละชาวคณะ ตื่นมายัดข้าวเสร็จก็เซลฟี่ก่อนเดินทางเสียหน่อยยยยย ... ฮิ้ววววววว ... เอาหละ เดินทางต่อ !!!
หลังจากออกจากปั้ม การนอนเริ่มเป็นสิ่งที่ง่ายขึ้น เพราะโลกนี้มียาที่ชื่อว่า "ยาแก้เมารถ" วางขายกันทั่วไปตามมินิมาร์ท ดังนั้น ผมเองก็ไม่ลังเลที่จะแวะอุดหนุนซื้อมากินให้นอนหลับแบบซ้อมตายแน่นอน ขึ้นรถมาซัดยาไป 1 ดอก ... หลับไปเป็นตาย โผล่มาอีกทีก็เชียงใหม่ละจ้าาาาา..... คืนนี้ที่แม่แจ่ม ไม่ได้ถ่ายอะไร เพราะร่างกายไม่อำนวย ...
ตื่นเช้ามาเวลาตี 4 นิดๆ เตรียมตัวเก็บข้าวของเพื่อเดินทางต่อไปยังสถานที่ใหม่ นั่นก็คือ กิ่วแม่ปาน !!!! เราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน ฮูเร่ (จะดีใจอะไรขนาดนั้น) สิ่งที่ผมยอมรับเลยว่าเกลียดที่สุดในทริปนี้ นั่นก็คือ ... "ทางโค้ง" ... เยอะไปไหน เยอะแบบไม่รู้จะมีอะไรมากมายขนาดนี้ เยอะจนแค่มองก็เมา เยอะจนอยากจะร้องขอชีวิต ในใจผมนี่ได้แต่ภาวะนาให้การมาครั้งนี้คุ้มค่ากับการทรมานนั่งหลังแข็งและโค้งเป็นร้อยที่ทำให้น้ำในหูเสียศูนย์ด้วยเถิ๊ดดดดดด
ถึงกิ่วแม่ปาน !!! พระอาทิตย์กำลังจะขึ้น สาดแสงสีส้มสะท้อนกับก้อนเมฆเป็นริ้วไปทั่วฟ้า ... ผู้คนต่างมาที่นี่กันมากมายมหาศาล ชนิดที่ว่าไม่มีที่จอดรถกันเลย ดังนั้น ใครจะมาที่นี่ผมแนะนำให้บริหารเวลาให้ดี ไม่งั้นกว่าจะเจอที่จอดรถอาจพลาดแสงแรกของวันไปแล้วก็เป็นได้ ...
หลังจากที่ผมพยายามต่อสู้แย่งชิงพื้นที่อยู่นานสองนาน ผมก็ได้พื้นที่ที่คิดว่าเหมาะแก่การใช้เลน KIT ติดกล้องถ่ายภาพแล้ว ... การตื่นมาถ่ายพระอาทิตย์ทุกๆสถานที่ที่ผมไปเที่ยว มันทำให้ผมรู้ว่า ... ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ตอนพระอาทิตย์ขึ้นมันมีเสน่ห์เสมอ ...
หาถ่ายภาพสวยๆกันเยอะแล้ว หันมาเซลฟี่และถ่ายภาพสมาชิกกันบ้างดีกว่า ...
ผลัดกันถ่ายรูปคู่แฟน 5555555555
เมื่อไล่หาถ่ายภาพกันอย่างสนุกสนานเสร็จแล้ว ... ความหนาวเริ่มซัดเข้ามาใส่ตัวจนเริ่มจะชาไปหมดแล้ว เรียกได้ว่าฉีดยาตอนนี้ก็ไม่เจ็บ มันชา!!!! จึงลงมติกันว่า ควรหาอะไรอุ่นๆกินกันก่อนที่จะเดินขึ้นไปยังกิ่วแม่ปาน ไม่งั้นอาจแข็งตายคาทางเดินระหว่างขึ้นก็เป็นได้
และนี่ก็คือ ข้าวต้มหมูแอบบบบบบ....ถ้วยละ 30 บาท หากคุณซื้อมากิน ผมรับรองว่าอร่อยครับ แต่อาจหาหมูยากนิดนึง5555555 สำหรับราคานี้ มีท็อปปิ้งให้คุณหยิบแบบสบายๆฟรีๆไม่เสียตังค์ อาทิเช่น กระเทียมเจียว หอม ผักชี ซอสปรุงรส ซึ่งถ้าต้องการ สเปเชียลท็อปปิ้งอย่างไข่ต้ม จะต้องเพิ่มเงินอีกฟองละ 10 บาทครับผม
เมื่อท้องอิ่ม เราก็เดินบุกตะลุยเข้าไปยังกิ่วแม่ปานกันเล้ยยยย
ก่อนขึ้นสังเกตเห็นป้ายบอกอุณหภูมิต่ำสุดของวันนั้น เจอเข้าไป 8 องศา ... รอดมาได้ไงฟะกู!!!???
ก่อนขึ้นทุกท่านจะต้องไปซื้อตั๋ว ลงชื่อในหนังสือให้เรียบร้อยเพื่อเป็นหลักประกันว่าขึ้นไปต้องลงมาอย่าหายไปไหนกลางป่า 555 เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัยเผื่อใครหายไปครับ โดยเขาไม่ได้ปล่อยให้ขึ้นไปแบบอิสระเหมือนเช่นภูกระดึงเด้อ เขามีไกด์ให้แต่ละกรุ๊ปด้วย ซึ่งค่าจ้างไกด์ก็เหมือนกับการกระจายรายได้สู่สังคมเพื่อสร้างอาชีพให้กับพวกเขานั่นแหละครับ
นี่คือโฉมหน้าไกด์กรุ๊ปผม บอกเลยมีปวดหัว 555 มากันตั้ง 19 คน แต่พี่เค้าก็ยิ้มสู้ไม่หวั่นนะเอ้อออออ
ระหว่างทางเราได้สัมผัสกับธรรมชาติที่เรียกได้ว่าเต็มอิ่มกันสุดๆ ระยะทางเดินนี่บอกเลยว่าไม่ใช่น้อยๆ เล่นเอาหอบได้เหมือนกัน แต่ตลอดทางก็มีความงามให้ได้หยุดมองและพักให้หายเหนื่อยตลอด รวมถึงครอบครัวเล็กๆของเรา ที่ให้กำลังใจกันตลอดเส้นทาง
จริงๆแล้วความสวยงามของธรรมชาติเวลาเราไปเที่ยว มันไม่ได้มีแค่ แลนด์มาร์คของสถานที่นั้นๆอย่างเดียวนะ ยังมีความสวยงามที่ซ่อนอยู่เล็กๆน้อยๆตลอดทาง อยู่ที่ว่า เราได้หันไปมองมันรึเปล่าแค่นั้นเอง
เดินลากร่างอันบอบบางมาถึงจุดสุดยอด(เขา)แล้ว เชิญเสพบรรยากาศธรรมชาติให้จุใจตามสบายเลยจ้า
ข้อควรระวังอีกอย่างของนักท่องเที่ยวนั่นก็คือ การปฏิบัติตามกฎข้อตกลงที่ทางอุทธยานตั้งไว้ เพื่อความเป็นระเบียบและรักษาความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว อะไรที่เขาห้ามก็อย่าทำเลย เดี๋ยวจะมีตัวเองโผล่ในพันธิปแล้วดราม่าไปอีกยาว มันไม่คุ้ม!
ด้วยความซวยบวกกับความหละหลวมของผม เปิดกล้องจะงัด Fuji ตัวน้อยมาถ่าย สัญญาณแบตเตือนขีดแดง !! OMG ไม่นะ ทีแรกก็ว่าแบตเสื่อม สืบไปสืบมา อ๋อ ที่เราถ่ายหนะ RAW ไฟล์ล้วนๆ
ไม่เป็นไร ถ่าย JPG ต่อจนกว่าแบตจะหมดละกัน
ไอ้ตอนแรกก็หนาวอยู่หรอก พอขึ้นไปถึงยอดถอดอะไรได้อยากถอดหมด ร้อนโฮก!!
นี่คือ "กุหลาบพันปี" ไม่รู้ว่าทำไมเรียกงี้ รู้แต่ว่าสวยมากครับ
เดินลงมาไหวไหมถามใจดู
หลังจากลงมาถึงบริเวณลานด้านล่าง สภาพผู้รอดชีวิตแต่ละท่านก็เหมือนกับผ่านสงครามมา บ้างก็เบาหวานขึ้น บ้างก็หน้าจะมืด บ้างก็ปวดขาไปตามๆกัน ดังนั้น แผนต่อไปที่ดีที่สุด คือการเดินทางไปยังที่พักใหม่ของเราเพื่อพักฟื้นร่างครับผม
เราย้ายที่พักมาพักที่ตัวเมืองเชียงใหม่ตามแผนการที่วางกันไว้ ได้ที่พักสุดสวยน่ารักชื่อ udee cozy bed & breakfast ครับ จะบอกว่าที่นี่ห้องพักสวยมากกกกกกกก.... แต่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้เพราะขนของเข้าไปกองกันพร้อมทิ้งตัวลงเตียงกันทันทีที่ถึง เอาเป็นว่าใครสนใจ ลองหาดูในเนตแล้วกัน
ก่อนไปทานข้าว ถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึกเพื่อเก็บไว้ระทึกในภายหลังกันเสียหน่อย เฮ้!
มื้อเย็นนี้เราไปกินกันในเมืองครับ ซึ่งก็อยู่ห่างจากที่พักไม่ไกล อยากจะปั่นจักรยานชิลๆไปก็ย่อมได้ ที่นี่มีบริการครับ
เอาหละ....หมดวัน พักผ่อนกันเถ๊อะ!
.......................
วันที่สอง ... ดอยสุเทพ
ตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ วันนี้เราได้ไปลุยดอยสุเทพครับ ได้ข่าวมาจากคนขับรถตู้ว่าทางไปไม่ได้โหดเหมือนวันที่ผ่านมา...ขอบคุณสวรรค์ เพราะตอนนี้หน้าตาสมาชิกในรถผมไม่พร้อมจะเจอความโหดของถนนอีกแล้ว 555555
เมื่อมาถึงพระธาตุดอยสุเทพ เราสามารถเลือกได้ว่า จะทดสอบกำลังขาเพื่อเดินขึ้นบรรได หรือ นั่งกระเช้าขึ้นไปเพื่อเซฟแรง อันนี้แล้วแต่ความชอบและความฟิตส่วนบุคคลครับ
ตรงทางขึ้นบรรได จะมีสาวดอยตัวน้อยๆมาบริการต้อนรับเป็นแบบให้กับนักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป โดยคิดค่าถ่ายภาพด้วยแล้วแต่กำลังศรัทธา ... ถือเป็นค่าขนมให้น้องๆ มาแล้วอย่าลืมอุดหนุนกันด้วยนะครับ
เนี่ยะ! ก็น่ารักซะขนาดนี้ ไม่อุดหนุนได้ไง๊ ...
ความสวยงามของที่นี่มีตั้งแต่ขั้นบรรไดเลยครับ เพราะเกล็ดของพญานาคนั้นซ่อนรายละเอียดอันสวยงามไว้ด้วย หากมีโอกาสไป ลอยถ่ายกันดูนะครับ
บรรยากาศข้างบนแม้จะดูวุ่นวายนิดหน่อย แต่ความสวยงามไม่ได้หายไปตามจำนวนคนที่มาเลยครับ
นี่คือพระอุปคุต...ทีแรกผมถ่ายเพราะความแปลกที่เห็นท่านมองไปทางขวาของท่าน เผอิญกับว่าดวงอาทิตย์สาดแสงลงมาพอดี แต่พอถ่ายมาแล้ว อ.ที่ไปด้วยบอกมาว่าที่เป็นอย่างนี้เพราะท่านมีประวัติ
ช่วงสาระก็มีนะ!!!
พระพุทธรูปปางจกบาตร
พระอุปคุตปางจกบาตร หยุดตะวัน
เป็นปางที่พระอุปคุตแหงนหน้าหยุดพระอาทิตย์เพื่อฉันข้าว แสดงออกถึงความอุดมสมบูรณ์มีกินมีกินมีใช้และความยิ่งใหญ่ของท่าน เพราะ แม้แต่พระอาทิตย์ไม่ว่าใหญ่แค่ไหนก็ต้องหยุดด้วยอานุภาพของท่าน นิยมสร้างพระอุปคุตปางนี้ไว้บูชาเพื่อความเป็นสิริมงคล สำหรับท่านผู้ทำจิตให้นอบน้อมบูชาสักการะองค์พระอุปคุตมหาเถระปราบมาร ทำสิ่งใดไม่ว่าจะมีปัญหา
มากแค่ไหน ก็สำเร็จทุกประการ
พระอุปคุตมหาเถระ ผู้เป็นอรหันตสาวกที่ทรงมหิทธนุภาพ เป็นพระอรหันต์สมัยหลังพุทธกาล ร่วยุคสมัยกับพระเจ้าอโศกมหาราชกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่
พระอุปคุตมหาเถระเป็นยอดเป็นยอดแห่งธรรมกถึกผู้เป็นเลิศแห่งการแสดงธรรม ท่านตั้งความปรารถนาที่จะอยู่รักษาพระพุทธศาสนาให้ครบ ๕,000 ปีปกป้องคุ้มกันปราบมารและอุปทวอันตรายทั้งหลาย ผู้ใดปรารถนาความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม
จงนอบน้อมบูชาต่อพระอุปคุตเถระ เป็นสังฆานุสติ และปฏิบัติตนตามปฏิปทาของท่าน
คือ ฝึกตนเองให้สมบูรณ์ ขัดเกลากิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ของตนเองให้เบาบางและช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลายให้อยู่ร่วมกันอย่างผาสุกอีกทั้งช่วยพิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
ที่มา: http://pantip.com/topic/30004897 (ความคิดเห็นที่ 1)
ดังนั้นเท่ากับว่า รูปนี้ถ่ายได้ตรงตามตำนานที่กล่าวไว้แบบฟลุ๊คๆ ผมนี่อยากอัดกรอบไว้เลย สาธุ
ภาพต่างๆที่เรามองเห็นนั้น เอาจริงๆแล้วมันไม่ได้สวยเหมือนของจริงหรอกครับ อยากให้ลองไปสัมผัสเองดวงตา คุณจะรู้ว่าประเทศไทยยังมีอะไรที่น่าเที่ยวอีกเยอะแยะมากมายที่คุณอาจยังไม่ได้ไปสัมผัส อย่ารอให้แรงหมดก่อนจนไปไม่ไหว ไหนๆก็เกิดมาทั้งที ลองลุยให้รู้ไปเล้ยยยย!!
ผมขอลามินิรีวิวไปเท่านี้ ไว้ไปทริปหน้าจะเขียนรีวิวเที่ยวแบบเต็มๆมาให้ติดตามกัน ขอบคุณทีมงาน canon คณะครูและศิษเก่ารวมถึงศิษปัจจุบันมหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล ที่ทำให้ทริปครั้งนี้มีความทรงจำดีๆเกิดขึ้นมากมายและมันทำให้ผมรู้ว่า ผมเองไม่ได้อยู่ลำพังบนโลกที่โหดร้ายใบนี้ สำหรับทริปนี้หนวดลาไปก่อนไว้เจอกันใหม่ทริปหน้า บ๊ายยยย....
อาแป๊ะมีหนวด
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 12.30 น.