Day 1 ) Suvarnabhumi airport, Macau airport, Narita airport

Page: facebook.com/mynewexperiences

ก่อนอื่นบอกก่อนเลยว่าเราวางการทริปนี้ไว้นานมาก ซึ่งเราจองล่วงหน้าเกือบปี และแล้ววันเดินทางก็มาถึง เคยเป็นมั้ย ว่าจะเดินทางเที่ยวบ่อยขนาดไหน แต่ทุกครั้งก็ยังตื่นเต้นเสมอ


เราเลือกสายการบิน มาเก๊าแอร์ไลน์ ราคาและเวลาการเดินทาง เราก็ถือว่าโอเคสำหรับเรา ไฟล์ของเราออก 21.50 น


ถึงเกทแล้ว ก็รออีก 1 ชั่วโมงคะ เนื่องจากเครื่องเลทไป 1 ชั่วโมง ก็นั่งเล่นรอไปคะ ชิวๆเนาะ แค่ 1 ชั่วโมงเอง



ได้เวลาก็เดินขึ้นเครื่อง ภายในเครื่องบิน จะแบ่งที่นั่งเป็น 3 / 3




นั่งไปสักพัก ได้เวลาดินเนอร์แล้วคะ (หิวสิคะ เพราะเลิกงานเราก็รีบมาสนามบิน เลยไม่ได้มีเวลาแวะหาอะไรรองท้องมาเลย)


อาหารบนเครื่อง น่าตาดูดี บอกเลยว่ารสชาติก็ดีเช่นกันนะ



นั่งมาประมาณ 2 โมงครึ่ง ก็ถึงสนามบินมาเก๊า

สนามบินเงียบมาก มีเฉพาะคนที่นอนรอต่อเครื่อง ต่างคนก็ต่างจับจองที่นอนกันคะ สนามบินไม่ใหญ่มากคะ มีจุดชาร์ทแบต ให้บริการ จุดอินเตอร์เนต นอนสนามบินครั้งสองของเรา รอบนี้เราเตรียมพร้อมกว่าครั้งแรก เพราะเรารู้ว่ามันหนาวมากกกก หมอนผ้าห่มผืนใหญ่ แต่สุดท้ายก็หนาวอยู่ดี


ตื่นเช้า ล้างหน้าแปรงฟัน เตรียมพร้อมต่อเครื่องไปสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ไฟล์ของเรา 9.30 น จะไปถึงญี่ปุ่น 15.30 น


และแล้วเราก็มาถึงสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น


เมื่อรอรับกระเป๋า ผ่านตม มาเรียบร้อยแล้วก็แวะซื้อ บัตร suico และ metro subway สำหรับ 3 วัน


สำหรับที่พักของเรา เราผ่านแถว Okubo, Shinjuku เป็นย่านKorea Town ย่านเกาหลี อาหารเกาหลีเยอะมาก และอยู่ใกล้ ย่านซินจุกุ


จากที่เราได้ทำการบ้านสำหรับการเดินทาง เราเลือกนั่ง Keisei Main line (สังเกตสีน้ำเงิน) 1030 yen โดยใช้ บัตร Suica นั่งไปลง สถานี Nippori ปลายทางคือ Uneo



เดินตามหมายเลข 3 สีน้ำเงินไว้




ถึงชานชาลา ก็รอขบวนของเรามาถึง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จนถึง สถานี Nippori

เมื่อถึงสถานี Nippori เราก้อต้องเปลี่ยนไปขึ้นสาย Yamanote line ( สังเกตตสีเขียวอ่อน) เพื่อไปลง สถานี Okubo, Shinjuku


สายJR Yamanote line เดินตรงไป มีป้ายบอกทางตลอดไม่ต้องกลัวหลง





ที่พักของเรา คือ Sophiearth Hostel ใกล้ อยู่สถานี Okubo, Shinjuku เดินมาทางเลข 11 แล้วก็เดินลงบันไดไปเลยเพื่อไปขึ้นรถไฟสายสายJR Yamanote line ไปที่พักกันจร้า


ลงมารอรถไฟ ก็สังเกตอีกทีว่าเราขึ้นถูกมั้ย ตอนนี้เราอยู่ที่สีแดง คือ Nippori เราต้องการไปลงที่ สถานี Okubo, Shinjuku ก็คือหมายเลข 19 ตามหัวลูกศร ถูกต้องแล้วจร้า เห็นมั้ยง่ายนิดเดียว


....................................................

เมื่อถึงที่พัก เก็บข้าวของเสร้จ ก็ออกมาเดินเล่นตระเวร หาของกิน และกะว่าจะไปซื้อตั๋วรถบัสเพื่อจะไปดูฟูจิกันเลยในวันพรุ่งนี้คะ ซึ่งพยากรณ์อากาศวนพรุ่งนี้บอกว่าฝนจะตก แต่เราก็เสี่ยงเอาคะ เผื่ออากาศจะดีหลังจากฝนหยุดตก

สำหรับที่พักของเรา ขอไม่่รีวิวที่พักนะคะ สำหรับเรา เราให้ 8 คะแนน สำหรับทำเลที่ตั้ง ความสะดวกสบายด้านห้องน้ำ ใกล้ร้านอาหาร

แต่เสียอย่างเดยวห้องพักค่อนข้างแคบ เป็นเตียงที่นอน 2 ชั้น





เดินมาเรื่อยๆ เดินเที่ยวดูแสงสี ย่านซินจุกุ จนหิว เราก็เจอร้านนี้ ร้านราเมง คนนั่งทานเต็มร้านเลย ยืนรอต่อคิว อย่างมีระเบียบ สิ่งหนึ่งเมื่อเราเที่ยวต่างประเทศคือ เราต้องปรับตัวให้กลมกลืนให้คนท้องถิ่น ความเป็นระเบียบของคนญี่ปุ่นค่อนข้างเห็ฯชัดเจนตั้งแต่วันแรกเมื่อมาถึง


ราเมงร้อนๆ ในวันที่อากาศหนาวแบบนี้ มันเป็นอะไรที่เข้ากันดีเนาะ



(Day 2) Mount Fuji ,Chureito Pagoda , Kawaguchiko Lake

สำหรับการเดินทางไปฟูจินั้น สามารถเดินทางได้ทั้งรถไฟและรถบัส แต่เราเลือกเดินทางด้วยรถบัส เพราะนั่งยาวถึง Kawaguchiko Lake เลย ( หลับยาวได้ )

จุดที่ซื้อตั๋ว จะอยู่ที่ตึก NEWWoman ชั้น 4 ซึ่งข้างล่างเป็น JR Shinjuku Station

พยากรณ์อากาศวันเดินทาง คือฝนตกจร้า ตื่นเช้ามาพร้อมสายฝนโปรยปราย ลุ้นสิคะ ลุ้นตั้งแต่รถออกจนถึง Kawaguchiko Lake สรุปไม่ได้หลับ ดูวิวมาตลอดทาง พอใกล้จะถึงแดดออก ดีใจน้ำตาแทบไหล




ตั๋วรถบัส ไปฟูจิ คนละ 1,750 yen รถบัสออก 8.15 น ถึง สถานีฟูจิ ประมาณ 11.31 น ใช้เวลา ประมาณ 2 ชั่วโมง กว่าๆ

รถมาตรงเวลา 8.15 น (ชอบความตรงต่อเวลาที่ญี่ปุ่นจริ๊งงง) ขึ้นรถพร้อมเดินทาง


ถึงแล้ว kawaguchiko station


เมื่อถึงKawaguchiko Lake ตามที่เราวางแผนไว้คือเราจะไปเจดีย์แดงก่อน โดยต้องนั่งรถไฟย้อนไป ที่สถานีลงสถานี Shimoyoshida เพื่อไปขึ้นไปชม Chureito Pagoda ค่ารถไฟ 300 yen

พอถึงสถานี SHIMOYOSHIDA ก็มีคนลงพร้อมเรา เราก็เดินตามๆ เค้าไป

ตลอดข้างทาง ก็มีบ้านคนตามสไตล์คนญี่ปุ่น บางบ้านก็ปลูกผักไว้กินเอง มีสวนเล็กๆข้างบ้าน



เจดีย์แดง มีป้ายบอกทาง ไม่ต้องกลัวหลง เดินตามป้ายไปได้เลย




เดินมาจนถึงทางเข้า ไม่แน่ใจว่าต้องเดินขึ้นบันไดกี่ขั้น แต่มาถึงแล้ว เราก็พร้อม สู้ๆ บอกตัวเอง


และ.....แล้วก็ถึงเจดีย์แดง....

แล้วเราก็เดินขึ้นไปอีกหน่อย ณ จุดมหาชน ที่ใครๆ ที่มาที่นี้ก็ต้องมีรูปเจดีย์แดงคู่ภูเขาฟูจิกลับไป


สวยมาก สวยเหมือนภาพวาด ยืนมอง แล้วถามตัวเองว่า.... นั้นฟูจิ ภูเขาไฟฟูจิของจริงใช่มั้ย??

นี่ฉันมาถึงญี่ปุ่นจริงๆแล้วใช่มั้ย ??




หลังจากที่เราไปขึ้นเขาเพื่อไปดูเจดีย์แดง แล้วก็กลับมาที่ Kawaguchiko Lake

สำหรับ Kawaguchiko Lake สามารถเที่ยวชมด้วยการเดิน นั่งรถบัส หรือเช่าจักรยาน เที่ยวรอบทะเลสาบได้

เราเลือกเช่าจักรยาน ปั่นเที่ยวรอบทะเลสาบ ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย มันคงเป็นที่ฟินน่าดู ( อันนี้คิดก่อนปั่นจักรยาน )

เดินมุ่งตรงที่ร้านเช่าจักรยานอยู่ซอยตรงข้ามกับสถานีรถไฟ Kawaguchiko จะมีร้านให้เช่าจักรยานอยู่จร้า

ค่าเช่าจักรยาน ชั่วโมงละ 500 yen ถ้าเช่า 1 day 1,500 yen



ได้รถจักรยานปั่นเที่ยวรอบทะเลสาบ ก็ออกไปเที่ยวกันเลยจร้า ( ยังคึกอยู่ๆ )



ตลอดเส้นทางที่ปั่นมา สวยจริงๆ มีความเป็นธรรมชาติมาก



ณ ทะเลสาบ คาวากุจิโกะ

วิวมันสวยเกินห้ามใจ ใครๆ จะพลาดได้ละคะ มันต้องรูปสวยๆกลับบ้างสินะ



กว่าจะกลับมาถึงจุดนี้ บอกเลยว่า เหนื่อยมาก ปั่นจนขาสั่น เพราะสภาพตอนกลับเป็นลักษณเนินเขา ช่วงไหนปั่นไม่ไหวก็เข็นสิคะ ทำเอาลิ้นห้อยจร้า

เอาจักรยานไปคืนที่ร้านตามเวลาที่กำหนดคือ ต้องมาคืนไม่่เกิน 17.00 น

หลัวจากคืนรถจักรยานเสร็จก็แวะซื้อของฝากที่สถานี Kawaguchiko ก่อนกลับเข้าเมือง



ขนมที่ญี่ปุ่นน่ากินทั้งนั้นเลย



( Day 3 ) Kawagoe station, วัดคิตาอิน (Kita-in Temple), Naritasan Kawagoe Betsuin Temple) ,โซนบ้านเมืองเก่าคุราซุคุริ , หอระฆัง Time Bell Tower, ย่านขายขนม Kashiya Yokocho (Candy Alley) ,Shibuya Crossing , Hachiko Statue ,midori sushi shibuya


Kawagoe station

สำหรับการเดินทาง เราเลือกเดินทางโดยรถไฟ เนื่องจากเราพักอยู่ Okubo, Shinjuku

เราเดินทางจากสถานี Ikebukuro ด้วยรถไฟ Tobu ภายในรถไฟจัดวางที่นั่งเป็นเบาะยาว



การเดินทางใน Kawagoe

สามารถเดินทางได้ด้วยรถบัส KOEDO KAWAGOE LOOP BUS หรือจะเดินก็ได้ ระยะทางจากสถานี Kawagoe ไปยังที่เที่ยวต่างๆ และกลับมายังสถานี ประมาณ 3 กิโลเมตร

แต่.... เราเลือกเดินไป ส่วนตอนกลับ เราเลือกนั้งรถบัสกลับ




วัดคิตาอิน (Kita-in Temple)



Naritasan Kawagoe Betsuin Temple



หอระฆัง Time Bell Tower


โซนบ้านเมืองเก่าคุราซุคุริ



ย่านขายขนม Kashiya Yokocho (Candy Alley)








Hachiko Statue


Shibuya Crossing


midori sushi shibuya

ร้านซูชิ Midori Sushi สาขา Shibuya ซึ่งตั้งอยู่ที่ตึก Shibuya Mark City ชั้น 4

กว่าจะได้กินเล่นสะหิวเลย รอเกือบชั่วโมง

แต่พอได้กินเท่านั้นแระ ลืมแม่งทุกอย่างเลย

ฟินนนนสิจ๊ะ









Shibuya Crossing

จุดมหาชน ผู้คนมากมาย มากมายจริงๆ

สำหรับใครที่ได้มา เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
ลองหาโอกาศมาเดินข้ามถนนกันที่ 5 แยก ชิบูย่า (Shibuya) กันดูนะคะ บอกเลยว่าเป็นข้ามถนนที่สนุกสนานจริงๆ ซึ่งถือได้ว่านี้คือ Landmark อีกอย่างของกรุงโตเกียวเลยก็ว่าได้






( Day 4)

Tsukiji fish market ,Sensoji Temple,Ueno Park ,Ameyoko market ,ตึกม่วง Ueno หรือ Takeya


Tsukiji fish market

ตลาดปลาแห่งนี้ถือว่าเป็นตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก เราตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นตั้งแต่จัดทริป ไม่รู้ทำไม เราตื่นตั้งแต่เช้า ใจจริงก็อยากเข้าไปเห็นบรรยากาศการประมูลปลา แต่มาไม่ทัน (แอบเศร้า

ที่นี้มีทั้งอาหารทะเลสด และอาหารทะเลแห้ง ร้านอาหาร ร้านปลาดิบ เยอะแยะมากมาย เรานี่ตื่นตาตื่นใจมาก ทุกอย่างดูน่ากินไปหมด












Sensoji Temple

วัดเซนโซจิ หรือ วัดอาซากุสะ หรือ วัดโคมแดง คนส่่วนใหญ่ชอบเรียกว่า วัดอาซากุสะ เพราะอยู่ในย่านอาซากุสะ และมีโคมแดงใหญ่ที่สัญลักษณ์

ถนนที่ทอดยาวไปจนถึงตัววัด ก็จะมีร้านค้าขายของมากมาย ทั้งขนม ของฝาก เสื้อผ้า

ซึ่งวัดที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมมากที่สุดวัดหนึ่งของโตเกียว












Ueno Park

สวนอุเอโนะ เป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของญี่ปุ่น บรรยากาศภายในเต็มไปด้วยต้นไม่ ร่มรื่น เหมือนอยู่อีกโลกหนึ่งก็ว่าได้








Ameyoko market

ตลาดที่คึกคักเกือบตลอดเวลาตั้งอยู่ที่สถานีอุเอโนะ มีทั้งของสด ของใช้ เครื่องสำอาง กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าทั้งของญี่ปุ่น และของนำเข้า

ที่นี้ ก็คือแหล่งช้อปปิ้งของเราเลยละ






ตึกม่วง Ueno หรือ Takeya

ไม่มีรูป เพราะไปถึงตึกก็มืดแล้ว ช้อปปิ้งอย่างเดียวเลย หมดแรง



Day 5

Meiji Shrine ,Harajuku and Shopping time


Meiji Shrine ศาลเจ้าเมจิ

ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine) [ภาษาญี่ปุ่น: 明治神宮 (Meiji Jingu)] เป็นศาลเจ้าชินโตขนาดใหญ่ สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1920 สร้างเพื่ออุทิศถวายแด่สมเด็จพระจักรพรรดิเมจิและสมเด็จพระจักรพรรดินีโชเก็งอยู่ที่ย่านฮาราจูกุ ในเขตชิบูย่า กรุงโตเกียว






บังเอิญจริงๆ มาพอเดินเข้ามาภายใน ศาลเจ้าเมจิ

เจองานแต่งงาน ซึ่งเป็น พิธีแต่งงานแบบชินโต ตามแบบฉบับของชาวญี่ปุ่น เราเคยเห็นแต่ในทีวี เพิ่งเคยเห็นของจริงก็วันนี้

ยืนดูยิ่งตื่นเต้นแทนเจ้าสาว 555 เป็นพิธีที่สวยงาม มาความขลังของพิธี คิดในใจอยากแต่งงานแบบนี้บ้าง




เที่ยวชมศาลเจ้าเมจิเสร็จก็มุ่งตรงสู่ย่าน ฮาราจูกุ สองข้างทางตามถนนหน้าสถานีรถไฟ ฮาราจูกุ ตามไปด้วยใบไม้เหลือง





ถนนทาเคชิตะ ถนนแห่งความการช้อปปิ้งของวัยรุ่นญี่ปุ่น ถนนแห่งสีสันแฟชั่นแบบหลุดโลก





เห็นเด็กน้อยกินสายไหม แล้วอดใจไม่ได้จริงๆ สายไหมที่น่ารัก น่ากินขนาดนี้

เหมือนโดนมนต์สะกด ให้เดินขึ้นไป ที่ร้าน TOTTI CANDY FACTORY


ภายในร้านเต็มไปด้วยสีสันขอลูกกวาดหลากสี กลิ่นลูกกวาด ทำไมมันเย้ายวนขนาดนี้นะ








เฟรนช์ฟราย ทำไมเรารู้สึกว่ามันอร่อยกว่าเบ้านเรานะ หรือเราคิดไปเอง




Shop จนตัวเบา อากาศมันหนาว การที่กินราเมง มันเป็นอะไรที่อร่อยมากจริงๆ

เราจำชื่อ ร้านราเมงไม่ได้ เป็นร้านข้างทาง เจอ หิวก็แวะกิน



ครั้งแรกกับการเที่ยวญี่ปุ่น

เป็นทริปที่ทั้งสนุก ทั้งเหนื่อยในการเดิน แต่ไม่ได้ทำให้ลดละความอยากมาญี่ปุ่นอีกครั้งแน่นอน

คราวหน้าจะไปเที่ยวเมืองไหนของญี่ปุ่นดีนะ ???

ความคิดเห็น