หากจะพูดถึงจังหวัดยะลาขึ้นมา ดินแดนที่อยู่ใต้สุดสยามของประเทศไทย
หลายต่อหลายคนคงจะนึกถึงแต่ภาพเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
แต่ใครจะรู้ว่าจังหวัดชายแดนใต้มีธรรมชาติที่สวยงามซ่อนอยู่มากมายเต็มไปหมด
เราจะพาทุกคนไปรู้จักที่นี่กันให้มากขึ้น ตะลุยเที่ยวไปกับพวกเราครับ
กับดินแดนที่มีชื่อว่า
"อัยเยอร์เวงแลนด์"
ถ้ า พ ร้ อ ม แ ล้ ว ก็ แ บ ก เ ป้ ส ะ พ า ย ขึ้ น ห ลั ง
แ ล้ ว อ อ ก เ ดิ น ท า ง ไ ป พ ร้ อ ม กั บ พ ว ก เ ร า กั น เ ล ย เ ฮ้ ! ! !
เราออกเดินทางกันแต่เช้าที่สนามบินดอนเมือง
พร้อมกับสมาชิกเพื่อนร่วมทริปทั้งห้าคน
เราจะนั่งเครื่องไปลงกันที่สนามบินหาดใหญ่ครับ
ถึงหาดใหญ่ปั๊บพี่มังคนหมวกเขียว
คนพื้นที่ที่เราได้คุยวางแผนกันไว้ร่วมปี
ก็มารอรับพวกเราตรงเวลาเป๊ะ
ก่อนจะออกเดินทางกันอีกไกล
เราพักนั่งดื่มอะไรร้อน ๆ กันหน่อย
จุดหมายปลายทางวันแรกอยู่ที่ยอดกูนุงซิลิปัตครับ
น่ะสงสัยกันแล้วว่ามันคืออะไร ชื่อก็จำยากซะเหลือเกิน
ตามเรามาเดี๋ยวจะบอกให้ทุกคนรู้กัน
พร้อมแล้วก็เก็บกระเป๋าขึ้นรถกันเลย
เดี๋ยวๆๆ ขึ้นรถไม่ทันไรก็หลับซะแล้ว
แหม่หลับง่ายซะจริงๆ แม่คู้นนน
จากจังหวัดสงขลาเราจะวิ่งเข้าสู่จังหวัดปัตตานี
ระหว่างทางเราก็จะเจอด่านตรวจแบบนี้ไปตลอดทางครับ
ไม่ต้องกลัวกันนะนั่งเล่นกันไปเพลินๆ
มองวิวข้างทางเดี๋ยวก็ถึงกันแล้ว
มาๆ ถ่ายรูปกันหน่อย แช๊ะ
นั่งกันไปสักพักเราก็เข้าสู่เขตจังหวัดยะลากันแล้ว
อีกนิดเดียวก็จะเข้าสู่ตำบลอัยเยอร์เวง
ดินแดนที่เต็มไปด้วยธรรมชาติรายล้อมเต็มไปหมด
เราจะเข้าไปดูระดับน้ำที่เขื่อนบางลางกันก่อน
เพราะสองวันสุดท้ายของทริปนี้เราจะนั่งเรือ
เพื่อที่เข้าไปยังผืนป่าฮาลาบาลากันครับ
น้ำน้อยน่าดูครับปีนี้
พี่มังบอกกับพวกเราเลยว่าเดินไกลแน่นอนไม่รู้ว่าไกลเท่าไหร่ด้วย
เตรียมตัวกันให้ดีเลย พวกเราไม่หวั่นกันอยู่แล้วครับเต็มที่ ลุย!!!!
เขื่อนบางลางเป็นโครงการพัฒนาแหล่งน้ำแห่งแรกของภาคใต้สร้างกั้นแม่น้ำปัตตานีที่บ้านบางลาง
ตัวเขื่อนเป็นเขื่อนแบบหินถมแกนดินเหนียว บริเวณเหนือเขื่อนมีศาลาให้ได้ชมวิวกัน แต่ทางขึ้นค่อนข้างสูงชันครับ
นอกจากนี้ที่เขื่อนยังมีบริการล่องแพชมทิวทัศน์เหนือเขื่อน ใช้เวลาล่องประมาณ 4 ชม.
ค่าบริการชั่วโมงแรก 500 บาท ชั่วโมงต่อไป 400 บาทติดติดต่อสอบถามรายละเอียดที่เบอร์นี้ (073-299-2378) ครับ
ถึงเขื่อนที่นี่น้ำจะดูน้อยดูแห้งแล้ง
แต่ธรรมชาติรอบ ๆ เขื่อนบางลาง
ยังทำให้พวกเราสดชื่นได้เสมอครับ
ก่อนจะเข้าสู่อัยเยอร์เวง
เราก็จะต้องผ่านที่สะพานข้ามทะเลสาบฮาลา บาลา
ยิ่งได้มาเห็นระดับน้ำบนสะพานนี้
ยิ่งรับรู้ได้ถึงความแห้งแล้งของน้ำในปีนี้ได้เป็นอย่างดีเลยครับ
ถึงน้ำจะน้อยรู้ว่าจะต้องเดินเยอะ
น้องจิ๋วเสื้อชมพูคนนี้ก็ยังคงถ่ายรูปไปยิ้มไป
ราวกับว่าชั้นมาทริปชิวยังไงยังงั้น ฮ่าๆๆๆ
เพื่อนไอคนนี้ก็ไม่เบา
จะคึกอะไรกันขนาดน้านนนนน
ปะออกเดินทางกันต่อ
ในที่สุดก็ถึงอัยเยอร์เวงกันแล้ว
พวกเรามาถึงกันประมาณเที่ยง
แน่นอนกองทัพต้องเดินด้วยท้อง
หาอะไรกินกันก่อนครับ
โอ๊ะไม่ใช่นะครับ พวกเราไม่ได้มากินเนื้อแมวกัน เดี๋ยวจะเข้าใจผิดไปกันใหญ่ ฮ่าๆๆ
พวกเราหาอะไรกินกันง่าย ๆ
อย่างตามสั่งนี่แหละครับ
ทั้งเร็วแล้วก็สะดวกที่สุดแล้ว
รูปนี้เป็นรูปที่มีทุกบ้านจริงๆ ครับ
ไม่ว่าเราจะเดินทางไปจังหวัดไหน ๆ ก็ตาม
เราเชื่อเลยว่าไม่มีบ้านไหนไม่มีรูปพระองค์ท่านติดอยู่
กินข้าวกันเสร็จเรียบร้อยเราจะเอาของบางส่วนที่ไม่จำเป็น
คัดแยกไว้ที่บ้านหลังนี้ครับ
เราจะไปเดินป่าเพื่อพิชิตยอดกูนุงซิลิปัตกัน
ที่ที่เราจะได้เห็นทะเลหมอก 360 องศา
จะสวยแค่ไหนเดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะได้เห็นกันครับ
นี่ก็เป็นแผนผังคร่าว ๆ กับแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่อยู่ในตำบลอัยเยอร์เวง
สำหรับชื่อ
"อัยเยอร์" นี้มาจากความหมายว่า ต้นน้ำ
ส่วนคำว่า "เวง" มาจาก ชื่อคนที่เคยก่อตั้งที่นี่ครับ
ระหว่างรอรถมารับ
เราก็เดินสำรวจพื้นที่แถบนั้น
ไปเจอกับสะพานแขวนไม้เก่าแก่นี้
สะพานแขวนนี้มีชื่อว่า
"แตปูซู"
เป็นสะพานข้ามแม่น้ำปัตตานี ยึดด้วยสลิงมีพื้นเป็นไม้เนื้อแข็ง
และจะมีการซ่อมบำรุงทุกๆ 5-7 ปี โดยที่ยังคงความอนุรักษ์ความเป็นพื้นไม้ไว้ครับ
ปัจจุบันชาวบ้านใช้สัญจรไปมาเพื่อขนถ่ายพืชผลทางการเกษตร
ใช้เดินเท้าและรถมอเตอร์ไซค์เท่านั้น
โดยมีนายมูเซ็ง แตปูซู กำนันคนนี้เป็นผู้บุกเบิก
จึงเป็นที่มาของชื่อสะพานแห่งนี้ครับ
เดินชมสะพานกันไปไม่เท่าไหร่
ได้ยินเสียงเพื่อนเรียกมาแต่ไกล
รถมาแล้วเร็วๆๆๆๆๆ ช่างขัดใจจริงกำลังถ่ายรูปเพลินๆ
ขนของขึ้นรถแล้วก็ออกลุยกันเลย
เราเลือกออกเดินทางไปวันธรรมดา
เราเลยได้เห็นวิถีชีวิตของคนในจังหวัดชายแดนใต้
ผู้คนที่นี่ใช้ชีวิตกันอย่างปกติ
ข่าวความไม่สงบที่เกิดขึ้นตามหน้าหนังสือพิมพ์
มันเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เราเห็นอยู่ตรงข้างหน้านี้
รถกระบะพาเราขึ้นไปยังจุดที่จะปล่อยตัวเดินป่า
เ ริ่ ม เ ดิ น ค รั บ !!!
ป่าที่นี่เต็มไปด้วยสวนยางพารา
อาชีพหลักของผู้คนที่นี่ก็มาจากการกรีดยาง
เพื่อที่เอาน้ำยางไปขายกันนี่แหละครับ
เดี๋ยวๆๆ นั่นคนบ้าที่ไหนน่ะ
เอาเรนคัฟเวอร์มาคลุมหัวตัวเอง
ยังไม่ทันถึงยอดอาการออกซะแล้ว ไหวมั๊ยเนี้ยยยยยย
ระยะทางการขึ้นไปพิชิตยอดกูนุงซิลิปัต ทางเดินไม่ค่อยชันมาก
ใช้เวลาเดินไปประมาณชั่วโมงครึ่งครับ
เดินไปชมวิวกันไปแปป ๆ ก็ถึงจุดกางเต็นท์กันแล้ว
ธรรมชาติไม่ว่าจะไปที่จังหวัดไหน ๆ
การช่วยกันดูแลรักษาความสะอาดเป็นสิ่งจำเป็น
ทิ้งขยะกันให้เป็นที่จะดีที่สุดครับ
ถึงที่หมายแล้วพวกเราก็ไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยเลยสักนิด
เตรียมตัวเดินขึ้นยอดสูงสุดกันต่อเลย
และนั่นก็เป็นยอดที่เราจะขึ้นไปพิชิตกันครับ
ก่อนจะถึงยอดบนนั้นทางจะชันเป็นพิเศษ
แต่ไม่ต้องห่วง ที่นี่มีเชือกไว้ให้ไต่ขึ้นไป
ปลอดภัยแน่นอนครับ
ทะเลหมอกบาง ๆ เริ่มก่อตัวขึ้นมาให้เราได้เห็นแล้วครับ
ยอดเขาที่นี่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 607 เมตร
ไม่น่าเชื่อครับว่าที่นี่จะเกิดทะเลหมอกขึ้นได้
มันช่างมหัศจรรย์อันซีนจริงๆ
วันนี้เราอาจจะยังเห็นทะเลหมอกกันไม่มากเท่าไหร่
พี่คนนำทางบอกกับเราไว้ว่า
พรุ่งนี้เช้าทะเลหมอกจะเยอะกว่านี้หลายร้อยเท่า
คืนนี้จะหลับกันลงมั๊ยเนี่ย ตื่นเต้นชะมัด
ถ่ายรูปกันไปเพลิน ๆ
อ่าวเฮ้ยฝนมาก้อนเบ้อเร้อเลย
วิ่งสิครับไม่งั้นเละแน่ๆ
แน่ะๆ ยังอีกยังจะยืนทำท่าสวยอยู่อีก
พี่จะไม่รอแล้วนะ
ค่อย ๆ นะทุกคนเดี๋ยวตกเขาไปละจะยุ่งนะ
แล้วพวกเราก็รอดจากฝนได้พอดิบพอดี
พอฝนหยุดพวกเราก็มาจัดเตรียมที่นอนกันก่อน
การนอนเปลเป็นสิ่งสะดวกสบายที่สุดสำหรับการเดินป่า
ไม่ต้องแบกอะไรกันให้เยอะ
ขอแค่มีต้นไม้แล้วก็จัดการผูกมันเลยครับ
กางเปลกันเสร็จเรียบร้อย
พวกเราก็มานอนเทสความแข็งแรงกันดูก่อน
คืนนี้จะได้ไม่มีใครตกจากเปลครับ
สำหรับใครที่จะซื้อเปลเราแนะนำให้ซื้อเปลมุ้ง
เพราะจะได้ป้องกันพวกยุงและแมลงหลับสบายหายห่วงครับ
ได้เวลากินข้าวแล้วสิ
รู้ว่าทุกคนหิวกันจะแย่แล้ว
อาหารเราก็กินกันง่าย ๆ
พวกพี่คนนำทางเตรียมไว้ให้แล้วครับ
อากาศเริ่มหนาว
หาอะไรร้อน ๆ กินกันดีกว่า
คงจะหนีไม่พ้นโอวัลตินร้อน ๆ แก้วนี้
คืนนี้ยังไม่จบง่าย ๆ ครับ
พี่ ๆ เค้ามีเมนูเด็ดเตรียมไว้ให้กินกันต่อ
ไก่ย่างหอม ๆ บนสันเขา
อบอวลไปด้วยอากาศที่เย็นกำลังดี
อะไรจะมีความสุขไปได้มากกว่านี้ละ
กินเสร็จเริ่มง่วงหนังท้องตึงหนังตาเริ่มหย่อน
ไปดูดาวก่อนนอนกันดีกว่า
โอ้โหดาวจะเยอะอะไรขนาดนี้
ราตรีสวัสดิ์ฝันหวานไปกับกลุ่มดาวสวย ๆในค่ำคืนนี้กันครับ
เข้าสู่วันที่สองบนยอดเขา
เราตื่นมารับแสงวันใหม่
พร้อมด้วยหมอกที่กำลังลอยปกคลุมฟุ้งทั่วภูเขา
เราค่อย ๆ หรี่ม่านตาขึ้นอย่างช้าๆ
ค่อย ๆ ซึมซับบรรยากาศที่อยู่ตรงหน้าอย่างช้าๆ
สูดอากาศดีๆ กันให้เต็มปอด
เรากำลังจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์สุดอันซีนของที่นี่กันแล้ว
นั่นไงครับพระอาทิตย์กำลังจะสาดแสงส่องขึ้นมา
ตัดกับทะเลหมอกด้วยแสงสีส้มนวลตา
ภาพที่เห็นอยู่ตรงข้างหน้าสวยเกินกว่าที่จะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
เช้าวันนี้เราไม่รีบร้อน
เราปล่อยตัวปล่อยใจไปกับสิ่งสวยงามตรงหน้าให้นานที่สุด
พร้อมกับจิบโอวัลตินร้อน ๆ
มันช่างมีความสุขซะจริงๆ
หลายคนอาจจะสงสัยว่าชื่อกูนุงซิลิปัตนั้นมันมาจากไหน
เราจะมาบอกให้ทุกคนได้รู้กัน
คำว่า กูนุง ซึ่งหมายถึง ภูเขา ส่วนคำว่า ซิลิปัต นั้นหมายถึง ฝาชีครอบ
เราไปดูคำว่า ซิลิปัต กันให้เต็ม ๆ ตา
เป็นไงครับเหมือนฝาชีครอบมั๊ยล่ะครับท่านผู้ชม
ที่ยอดกูนุงซิลิปัตสามารถมองดูทะเลหมอกได้รอบตัว 360 องศา
หลายคนอาจจะไม่เห็นภาพเรามีวีดีโอมาให้ชมกัน
กดดูได้ตามลิ้งข้างล่างนี้เลยครับ
เท่านี้ยังจุใจไม่พอ เรามีภาพมุมสูงมาให้ชมกันอีก
รับรองว่าไม่เคยเห็นที่ไหนกันมาก่อนแน่นอน
เพราะเรามีทีมงาน Cinta Advertise
ที่ร่วมเดินทางไปกับพวกเราด้วย
นี่ก็เป็นโฉมหน้าคนบินชื่อพี่หยองพร้อมกับโดรนตัวเก่งครับ
ภาพมุมสูงจะสวยงามขนาดไหน
ไปกดดูได้ที่ลิ้งข้างล่างนี้เลยครับ
แรงยังเหลือกันอีกเช่นเคย
สองสาวสุดแกร่งของทริป
โชว์ท่ายากให้ดูกันแต่เช้า
เล่นเอาคนบนนั้นตะลึงกันไปเลยครับ
ยังไม่หมดแค่นี้
พวกเราทั้งห้าคนก็กระโดดโชว์กันอีก
เอ้า เฮ้!!!!!
จะบินแล้วววววว
รอด้วยยยยย
พริ้ว ๆ นะคนนี้ท่าสวยตลอด
งานรวมร่างก็มา
ส่วนคนซ้ายมือชื่อน้องเฮง เป็นคนที่ดูแลทุกอย่าง
ใครที่อยากจะเข้ามาเที่ยวที่นี่ประสานโดยตรงได้ที่
กลุ่มเยาวชนเบอร์นี้เลยครับ 081-093-8549 (เฮง)
ค่าใช้จ่ายที่นี่เป็นค่านำเที่ยว ลูกหาบ รถยนต์ อาหารว่าง 2 มื้อ ข้าว 1 มื้อ
และเต็นท์ กรุ๊ปละ 5 คน คนละ 600 บาท หรือใครจะเอาเปลมากางกันเองก็ได้ครับ
ยังไม่พอ เราขอให้พี่สต๊าฟบนนั้นพาเราไปดูทะเลหมอกในระดับสายตาอีกหน่อย
อยากจะรู้ว่าจะได้อารมณ์อีกแบบมั๊ย ไปครับ
พอแค่นี้ดีกว่าครับ ถ่ายไปถ่ายมาทางเดินยิ่งชัน
ได้เวลากลับกันแล้ว
ก่อนกลับเรามาเก็บที่นอนกันให้เรียบร้อยครับ
ขากลับพวกเราเดินลงกันอีกทาง แยกกันไปเป็นสองทีม
สายโหดอย่างเราก็ต้องมาทางนี้แหละ
ทางก็ชันกว่าตอนขามาเยอะต้องใช้ไม้เท้าช่วยยันไม่งั้นลื่นแน่ๆ
ภาพก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละครับ
เดินไปได้สักพักเราก็จะเจอกับป้าที่บ้านกลางป่าหลังหนึ่ง
คุณป้าเตรียมกล้วยไว้ให้พวกเรากินครับ
พร้อมด้วยเสียงหัวเราะต้อนรับที่ดังจับใจ
เสียงหัวเราะอะไรจะดังสะใจได้ขนาดนี้ ฮ่าๆๆๆๆ
แล้วพวกเราก็เดินลงมาเจอกันที่จุดนัดพบด้านล่าง
ไปครับไปกินข้าวเช้ากันต่อ
มีชาชักหวานๆ ดื่มเพิ่มพลัง
ค่อยมีแรงลุยต่อกันหน่อย
ร้านนี้สองสาวการันตีเลย
ว่าหรอยแน่นอนจ้าาาาา
กินกันเสร็จไม่ได้หายใจหายคอ
พวกเราจะไปเล่นน้ำตกกันต่อ
จะไปที่นี่ครับ น้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9
เดินเข้าไปยังไม่ถึงตัวน้ำตก
สองสาวก็โชว์ท่ายากกันอีกแล้ว
เถาวัลย์ที่โหนก็ใช่ว่าจะเตี้ยนะ ซนเป็นบ้า
นี่มันคนหรือลิงกันเนี้ยยยย
น้ำตกที่นี่มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "น้ำตกวังใหม่" มีทั้งหมด 5 ชั้นด้วยกัน
เป็นน้ำตกที่ลงมาจากหน้าผาสูงกว่า 30 เมตร
รอบบริเวณปกคลุมไปด้วยพรรณไม้เขียวขจี
รอช้าอะไรกันอยู่ละเล่นสิครับ
เค้าให้มาเล่นน้ำกัน
ยั๊งจะมานอนเล่นโทรศัพท์อยู่อีก
ไปเล่นน้ำได้แล้ววววว
น้ำไหลได้แรงสะใจดีจริงๆ
สดชื่นเป็นบ้าเลยครับ
สำหรับใครที่จะมาเล่นน้ำตกกันที่นี่
สามารถมาได้ทุกวัน เล่นกันอย่างระมัดระวังด้วยนะครับ
เพราะบริเวณน้ำตกมีมอส ตะไคร่น้ำขึ้นเยอะ
เดี๋ยวลื่นล้มมาจะหาว่าไม่บอกกันนะจ้ะ
เปียกกันมาทุกคนแบบนี้ เราไม่หยุดสนุกกันแค่นี้แน่ๆ เราจะไปล่องแก่งคายัคกันต่อครับ
ตะลอนเที่ยวกันได้มาราธอนดีจริงๆ มาแล้วต้องเอาให้คุ้มครับ
ทริปนี้มีลูกทริปดีหัวหน้าทริปอย่างเราก็สบายไปสิ
มีความจริงจังในการใส่มากนึกว่าเจ้าหน้าที่มาใส่ให้ซะเอง
ขอบคุณหลายๆ เด้อน้องจิ๋วคนงาม
ก่อนจะล่องแก่งทางทีมงานก็มีอุปกรณ์เตรียมให้ครบ
หมวกกันน็อค เสื้อชูชีพ สนับเข่า สนับศอก ต้องใส่ให้หมด
อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ความปลอดภัยต้องมาก่อนครับ
เมื่อพร้อมแล้วก็ไปยังจุดล่องแก่งอัยเยอร์เวงกันเลย
พวกเราพร้อมจะลุยกันแล้วววว
แต่ละคนพร้อมมากกกกกก
แต่คนนี้ดูเกร็ง ๆ นะ ฮ่าๆๆๆ
สำหรับใครที่พายไม่เป็นหรือไม่เคยพาย
ทางทีมงานก็จะจัดสต๊าฟประกบตัวต่อตัวทุกคนครับ
ในวันนี้น้ำค่อนข้างเยอะ
ทางทีมงานเลยกลัวว่าจะอันตรายเกินไป
พวกเราเลยได้ล่องในระยะทาง 3 กิโลเมตร
ใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่ง ราคาอยู่ที่คนละ 250 บาทครับ
ล่องกันไปล่องกันมา
แต่ละคนก็ตกจากเรือบ้าง
สำลักน้ำกันไปบ้าง
ความสนุกมันอยู่ที่ตรงนี้แหละครับ
ล่องกันไปไม่นานพวกเราก็มาถึงยังจุดสุดท้าย
สนุกสนานชุ่มฉ่ำกันไปตาม ๆ กันครับ
ใช้แรงกันมาทั้งวันยันเช้า
แต่ละคนหิวโซกันแล้ว
เย็นนี้เราจะเข้าเมืองเบตงกัน
ของอร่อยๆ รอพวกเราอยู่
ก่อนจะเข้าเมืองอาบน้ำกันให้ชื่นใจ
คืนนี้เราจะนอนกันที่โฮมสเตย์อัยเยอร์เวง
ราคาหลังละ 700 บาท ถูกมากครับ
มาเที่ยวกันเถอะครับชายแดนใต้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ทุกคนคิด
ขนของเข้าที่พัก ที่นอนก็ง่ายๆ แบบนี้
หลังใหญ่ขนาดนี้ราคาแบบนี้หาได้ที่ไหนกันอีกล่ะครับท่านผู้ชม
มุ่งหน้าสู่เมืองเบตงกันต่อครับ
ยิ่งตกดึกด่านตรวจก็จะยิ่งเพิ่มความเข้มข้นเข้าไปอีก
ด่านนี้ตรวจไปตรวจมาเอ๊ะยังไงให้ผลไม้มากินอีก
ใจดีชะมัดเลยจนต้องร้องมาเป็นเพลงนี้เลย
"โอ้โอ ปักษ์ใต้บ้านเรา แม่น้ำ ภูเขา ทะเลกว้างไกล อย่าไปไหน กลับใต้บ้านเรา"
ว่าแต่เอ๊ะเพลงนี้มันเกี่ยวกันป่าวว้าาา
เข้าสู่เมืองเบตงกันแล้ว
แวะถ่ายรูปป้ายเช็คอินแลนด์มาร์คของที่นี่ซะหน่อย
ใครมาเป็นต้องถ่ายกันทุกคนครับ มีหรือพวกเราจะพลาด
เวลาที่ทุกคนรอคอย เราจะได้กินอาหารเย็น
อาหารเมนูชื่อดังหลายอย่างที่ขึ้นชื่อ แค่คิดน้ำลายก็ไหลแล้ว
พวกเรามากินกันที่ร้านครัวต่วนครับ
มาถึงร้านกันแล้วก็สั่งๆๆๆๆและก็สั่ง
มันเยอะแยะไปหมด
นี่ไม่ค่อยหิวกันเลยเนอะ
ไม่รู้ล่ะอาหารมาเมื่อไหร่จะซัดให้เรียบ
มาแล้วกับจานแรก ไก่เบตงที่ขึ้นชื่อลือชา
มันอร่อยมากกกกกก
เมนูต่อไปยำผักน้ำ
รสชาติจี๊ดจ๊าดกำลังดี
แกงส้มปลาทอดยอดมะพร้าวอ่อน
เอาไว้ซดให้คล่องคอ
แหม่อร่อยมันไปหมดซะทุกอย่าง
มันช่างโอเคเบตงซะจริงๆ
กินข้าวกันเสร็จพวกเราจะไปดูอุโมงค์สิ่งสวยงามของเมืองเบตงกันในยามค่ำคืน
เดินออกมาหน้าร้านเล่นเอาตกใจหมด
พี่ ๆ ตำรวจเค้าตั้งแถวตรวจความเรียบร้อยกันเฉย ๆ
ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรนะไม่ต้องตกใจ
ว่าแต่ออกรถกันก่อนเลยก็ดีนะพี่ ฮ่าๆๆๆ
เราจะไปชมอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์กัน
อุโมงค์นี้เป็นอุโมงค์ที่รถยนต์สามารถลอดภูเขาได้เป็นแห่งแรกของเมืองไทย
มีการขุดทอดโค้งให้รถวิ่งไปมาได้ ก่อสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก
มีความยาวตลอดอุโมงค์ ประมาณ 273 เมตร
เป็นอุโมงค์ที่ยาวและคลาสสิคมาก ๆ เลยครับ
ยิ่งแสงสีของไฟกระทบกับอุโมงค์พอดิบพอดี
ยิ่งทำให้บรรยากาศของที่นี่ไม่เหมือนกับที่ไหน ๆ ที่เคยเห็นมาเลยครับ
นางแบบของเรารอโพสท่ากันแล้ว
โอ๊ะสายตามีจิกกัดด้วยดุชะม้าดดดดเลย
ไปถ่ายน้องจิ๋วต่อดีกว่า
เราจะไปดูตู้ไปรษณีย์กันต่อ
ความพิเศษของที่นี่เป็นตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
มีความสูงประมาณ 9 เมตร ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกหอนาฬิกาใจกลางเมืองเบตง
เป็นจุดเด่นที่นักท่องเที่ยวนิยมแวะมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกครับ
ถัดมาใกล้ ๆ เป็นหอนาฬิกาเบตง
เป็นสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ที่อยู่คู่บ้านคู่เมืองเบตงมาช้านาน
สร้างไว้เพื่อเป็นสัญลักษณ์จุดศูนย์กลางของเมือง
รอบๆ หอนาฬิกาจะระโยงระยางไปด้วยสายไฟเต็มไปหมด
ในช่วงหัวค่ำสายไฟเหล่านี้จะเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ที่เรียกว่า "นกนางแอ่น"
เกาะบนสายไฟเต็มพรืดไปหมด มันหนีหนาวมาจากไซบีเรียมาอยู่เบตงแทนนี่แหละครับ
นกที่อพยพมาอยู่ที่นี่เลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตคนเบตงไปโดยปริยาย
ซึ่งพวกเขาก็ผูกพัน และรักนกพวกนี้มากครับ
ชมเมืองเบตงกันจนหนำใจ ได้เวลากลับไปนอนต่อกันแล้วครับ
พรุ่งนี้เราต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปดูทะเลหมอกที่สวยที่สุดอีกที่หนึ่ง
จะสวยแค่ไหน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาภาพมาฝากกันครับ
นั่น ๆ บอกให้นอนไม่ยอมนอนกันอีก กินกันให้หายเมื่อยสักแก้วสองแก้ว
มันคงจะดีไม่น้อยนะ เอ้าชนก็ชน!!!!
สองสาวคู่นี้ยังคงฟิตยันก่อนนอน
เดี๋ยวๆ ถ้าพรุ่งนี้ไม่ตื่น
จะเป่านกหวีดใส่หูเข้าให้ ฮ่าๆๆๆ
ตัดภาพกลับไป
เอ้าไหงเข้าห้องน้ำไปแปปเดียว
หลับกันไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี้ยยย คร่อกฟี้
เข้าสู่เช้าวันที่สาม เอ้าตื่นๆๆๆ กันได้แล้วทุกคน
พี่ ๆ เค้านัดกับพวกเราไว้ตี 5 ครึ่ง
อาการทุกคนยังคงง่วงไม่ตื่นดีนัก
ไปครับขึ้นรถกระบะแล้วออกเดินทางกันต่อ
จากที่พักเราจะไปยังเขาไมโครเวฟจุดชมวิวทะเลหมอกอีกที่ซึ่งสวยงามไม่แพ้กัน
ระยะทางไปจากอบต.อัยเยอร์เวงประมาณ 7 กิโลเมตรได้
อากาศในเช้าวันนี้หนาวกำลังดีครับ
พอท้องฟ้าเริ่มสว่างเราก็เห็นทะเลหมอกกันแล้ว
เป็นทริปที่ช่างโชคดีจริงๆ
เจอทะเลหมอกสองวันติด เกินคุ้มแล้วครับที่ได้มา
จุดชมวิวทะเลหมอกที่นี่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 2,038 ฟุต
ซึ่งเส้นทางที่จะขึ้นไปยังบนยอดเขานั้น เป็นถนนลาดยาง และถนนคอนกรีตอย่างดี
ทางค่อนข้างปลอดภัยเลยทีเดียวครับ
ที่เรียกกันว่า "
เขาไมโครเวฟ"
เพราะว่าที่นี่มีเสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ของทีโอทีตั้งอยู่บนภูเขาลูกนี้
เป็นเสาส่งสัญญาณไร้สายคลื่นความถี่วิทยุไมโครเวฟ
จึงเป็นที่มาของชื่อที่นี่นั่นเองครับ
นั่น ๆ พวกเด็ก ๆ ปีนขึ้นไปดูทะเลหมอกบนนั้นกันแล้ว
อย่ารอช้าไปดูกันบ้างดีกว่าครับ
เมื่อเดินทางไปถึงยอดเขาเราจะสัมผัสได้ถึงอากาศที่เย็นสบาย
มีจุดชมวิวบนยอดเขาเป็นหอคอยแบบนี้
ให้เราได้ถ่ายรูปชมทะเลหมอกกันในยามเช้าครับ
ทะเลหมอกที่นี่มีตั้งแต่ช่วงเช้ามืดไปจนถึงช่วงสาย ๆ
หากสภาพอากาศมีฝนตกก็จะยืดระยะเวลาของทะเลหมอกดังกล่าวให้นานขึ้นไปอีก
นักเดินทางอย่างเราก็ไม่นึกเหมือนกันว่าดินแดนใต้สุดสยาม
จะมีทะเลหมอกเหมือนกับที่ภาคเหนือ เราว่าเผลอ ๆ จะสวยกว่าด้วยนะเนี่ย
สำหรับคนที่สนใจจะเดินทางไปชมทะเลหมอก เที่ยวในอัยเยอร์เวงโทรไปติดต่อพูดคุยกันได้
ตามเบอร์นี้เลยครับ 080-706-4004 , 095-350-2595 (พี่ดิงหัวหน้าทีมงานอัยเยอร์เวงแลนด์)
และที่เราเห็นยอดเขากันอยู่ไกล ๆ นั้น
เป็นยอดกูนุงซิลิปัตที่เราได้ไปขึ้นกันมา
ไม่ว่าเราจะนึกย้อนไปตรงนั้นอีกกี่ครั้ง
ความสวยงามบนนั้นยังคงติดตาตรึงใจพวกเราตลอดเวลา
ไปครับไปกินข้าวเช้ากันดีกว่า
วันนี้พวกเรามีภารกิจใหญ่
ที่เหนื่อยยิ่งกว่าวันแรก ๆ เยอะ
พวกเราจะไปเข้าไปสัมผัสยังผืนป่าฮาลาบาลาครับ
ร้านที่พวกเราไปกินกันเป็นร้านค้าชุมชนแถวนั้น
เป็นอาหารตามสั่งข้าวราดแกงกินกันง่าย ๆ ครับ
ขนมก็มีให้เลือกกินเพียบ กินเข้าไปกันให้เยอะ ๆ
วันนี้ได้ใช้แรงกันเยอะแน่ ๆ
กินกันเสร็จได้เวลาแบกเป้เข้าป่ากันแล้ว
เดี๋ยวนะสองสาวนั้นทำอะไรกันน่ะ
สงสัยจะเมื่อยจากการเดินป่า
เหยียบหลังกันซะกระดูกดังเปรี๊ยะๆ
พี่มังนี่นอนงงเลย
มันทำอะไรกันว้าาาาา
นี่สงสัยเมื่อคืนยังค้างอยู่
น้องจิ๋วจะเอาเบียร์เข้าไปกินในป่าอีก
เลยเป็นที่มาฉายา จิ๋วสี่ป๋องนั่นแหละคุณผู้ชม
เช็คของกันเรียบร้อย
ก็ไปกันเล้ยยยย
แหม่สีสันกินกันไม่ลงจริง ๆ สองสาวคู่นี้
ก่อนจะเข้าป่าก็ต้องมีการเตรียมวางแผนกันพอสมควร
แหม่หน้าตาเอาจริงเอาจังกันน่าดู
ไม่ใช่เครียดอะไรกันหรอกนะ
เป็นกังวลเรื่องเจอทากเนี่ยแหละ
จะเอายังไงกับมันดีน้าาาา ฮ่าๆๆๆ
สัมภาระทุกอย่างพร้อม น้ำมันเต็มถัง
นั่งกันไปยาว ๆ จากอบต.อัยเยอร์เวงไปถึงป่าฮาลาบาลา
ระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตรได้
เหมือนจะใกล้นะแต่ทางที่ไปนี่โค้งกันไม่รู้กี่ตลบ
ใครไม่ไหวนี่มีอ้วกระหว่างทางกันได้ง่าย ๆ
นั่งไปสักพักเราก็ไม่ค่อยจะไหว
ออกมานั่งข้างหลังรถกระบะสูดอากาศดี ๆ กันดีกว่า
สบายกว่านั่งในรถเย๊อะะะ
ก่อนเข้าสู่ป่าฮาลาบาลา เราก็มาแวะเข้าห้องน้ำห้องท่า
นี่เป็นโรงเรียนบ้านเยาะห์ วิวทิวทัศน์ที่นี่สวยไม่เบา
มีสนามบอลที่อยู่กลางหุบเขา รายล้อมไปด้วยภูเขาและต้นไม้น้อยใหญ่เต็มไปทั่วโรงเรียน
น่าอิจฉาเด็ก ๆ ที่นี่นะครับ ได้มาเรียนในห้องเรียนท่ามกลางธรรมชาติกับบรรยากาศดี ๆ แบบนี้
สิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจคนใต้ก็เป็นสิ่งนี้แหละครับมัสยิด
แวะพักกันไปแปปเดียว
ทั้งน้ำทั้งขนมแบกกันมาเต็มสองมือ
เสบียงพวกเรามีกันไม่เคยขาดจริง ๆ
แล้วพวกเราก็ใกล้เข้าสู่จุดหมายมากขึ้น
ถึงแล้วครับจุดขึ้นเรือที่จะนั่งต่อเพื่อไปยังป่าฮาลาบาลา
บังเฮาะคนเรือที่เก่งที่สุดในอัยเยอร์เวง
มารอต้อนรับพวกเราครับ
ที่นี่มีพวกพี่ ๆ ตำรวจพลร่ม ตชด.
มาเดินลาดตระเวนสำรวจความเรียบร้อยในพื้นที่
พวกเราและทีมงานทุกคนก็ขอเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกหน่อยครับ
พี่คนนี้หนวดเท่ชะมัด นึกว่านายจันหนวดเขี้ยวมาเอง
นั่นๆๆ จะไปไหน
ไปขึ้นเรือข้างล่างโน้น
แหม่เผลอไม่ได้จะไปกับทหารซะละ
เราเริ่มต้นเดินทางสู่ป่าฮาลาบาลาด้วยเรือหางยาว
จะใช้เวลานั่งกันประมาณ 1 ชั่วโมงจะถึงจุดเริ่มเดินครับ
วันนี้เราเดินกันไกลแน่ ๆ สังเกตจากระดับน้ำที่ลดลงเยอะมาก
ต้นไม้ที่มีอยู่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำเต็มไปหมด
ข้างล่างใต้ผิวน้ำลงไปในอดีตเคยเป็นหมู่บ้านเยาะห์มาก่อน
แต่เนื่องจากมีการทำเขื่อนบางลางขึ้น
ทำให้ต้องอพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่และมีการเวรคืนกัน
เลยทำให้หมู่บ้านเดิมตรงนี้จมน้ำลงไปนี่แหละครับ
ที่เห็นกันอยู่ตรงนั้นเป็นสวนยางพาราของชาวบ้านแถวนี้
ก่อนที่น้ำจะท่วม เลยทำให้ลำต้นของมันยืนต้นตายเป็นซากไม้เก่า ๆ
ให้เราได้เห็นกัน ถือว่าเป็นอะไรที่แปลกตาดีเหมือนกันครับ
อนจะเข้าป่าฮาลาบาลาเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
นั่งกินข้าวกันบนเรือกันเลยดีกว่า
ข้าวเหนียวไก่ทอดกับหอมเจียว
กินไปนั่งมองวิวสองข้างทางกันไปมันช่างเพลินดีแท้
บังเฮาะแอบเหงาเลยเปลี่ยนมาขับเรือลำนี้แทน ฮ่าๆๆ
โอ๊ะเพลินกันมากท่าจะไม่ได้แล้ว
ฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล
ดูแล้วท่าจะไม่รอดแน่ครับ
ด้วยน้ำที่ลดน้อยลงมากในปีนี้
ทำให้พวกเรานั่งเรือกันไปได้ไม่ไกล เลยจำเป็นต้องลงเดิน
ก็พี่มังเค้าบอกไว้แล้วว่าเดินไกลแน่ ๆ
ไกลสมใจเลยล่ะทีนี้
ว่าแต่สีสันมันจะเยอะไปไหน
มาเดินป่าหรือเดินแฟชั่นกันเนี้ยยยยย
เมื่อคนบ้ากับคนบ้ามาอยู่รวมกัน
ทีมนี้เลยยิ่งกว่าคำว่าโคตรบ้าครับ ฮ่าๆๆๆ
เดินกันไปได้ไม่ไกลเท่าไหร่
พวกเราก็ต้องเดินลุยน้ำลุยทรายกันไปแบบนี้
เป็นทริปที่ครบทุกรสทุกอารมณ์ความมันส์เลยทีเดียว
เละขนาดนี้ต้องถอดรองเท้าเดินน่าจะดีที่สุด
เรือมาจอดได้แค่นี้
ต้องแบกเป้กันเองแล้วครับ
ระยะทางอีกยาวไกล
ก่อนจะเข้าสู่ป่าฮาลาบาลา เราก็ต้องมารายงานตัวกันก่อนที่นี่
เพื่อความปลอดภัยสำหรับทุกคน เพราะผืนป่าแห่งนี้อุดมสมบูรณ์มากเต็มไปด้วยสัตว์นานาชนิด
การลักลอบนำสิ่งของออกจากที่นี่เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
ถ้ารักป่าต้องปล่อยให้ป่าอยู่แบบที่มันเป็นครับ
ป่าฮาลาบาลาแห่งนี้ไม่ได้เปิดให้ใครก็ได้ที่จะเข้ามา
ก่อนจะเข้ามาก็ต้องมีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่กันให้เรียบร้อย
ว่าต้องการเข้ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร ด้วยความโชคดีที่เรามากับทีมงานสำรวจ
เราเลยได้ขอพวกพี่ ๆ เข้าป่าไปด้วย ไม่งั้นคงไม่ได้เข้ามายังที่นี่แน่ๆ ครับ
รายงานตัวกันเสร็จหัวหน้าที่ประจำอยู่ที่นี่ก็ส่งเจ้าหน้าที่เดินนำหน้านำหลัง
แบ่งกันเป็นสองชุดเพื่อจะได้ดูแลกันอย่างทั่วถึง
จุดหมายปลายทางเราอยู่ที่ฐาน มว.ตชด.445 กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 445
ซึ่งเป็นฐานแรกก่อนเข้าสู่ป่าที่ลึกเข้าไปอีก เราจะไปนอนค้างคืนกันที่นั่นครับ
เริ่มเดิน!!!!
เจ้าหลง หมาตัวนี้ที่เดินตามพวกเรามาจากจุดรายงานตัว
ความฟิตของมันไม่เป็นสองรองใครเลย
เดินไปเดินมานำหน้าทุกคน สุดยอดจริงๆ
แบบนี้มันไม่ใช่หมาธรรมดาแล้วล่ะ ต้องเรียกมันว่า "หมาป่า" ซะแล้ว
ทางเดินที่นี่ไม่ชัน เป็นทางราบล้วนๆ
แต่เต็มไปด้วยลำธารที่เราต้องเดินข้ามน้ำกันไปทีละจุด ๆ
พี่เจ้าหน้าที่บอกกับพวกเราว่าเราต้องเดินลุยน้ำหลายด่านด้วยกัน
ก่อนจะถึงยังที่พักของเราในค่ำคืนนี้ครับ
เดินกันไปพักใหญ่พวกเราก็มาถึงครึ่งทางแล้ว
มานั่งพักเหนื่อยกันซักหน่อยแล้วค่อยไปต่อ
ไม่ต้องรีบนะ เดินไวกันจริงจิ๊งงงงง
เหนื่อยแค่ไหนถามใจดูสิ
หอบกันแฮ่ก ๆ ยังมาทำเดินเท่อีกนะพี่โอ ฮ่าๆๆ
ไปครับเดินทางกันต่อ ด่านต่อไปเดินลุยน้ำกันเลย
ทั้งร้อนทั้งฝนทั้งหนาว ครบทุกอารมณ์ล่ะมาเดินป่าที่นี่
ส่วนที่เดินนำหน้าอีกน่ะไม่ใช่ใครที่ไหน
เจ้าแบล็คหมาสีดำตัวโน้นน เพื่อนเจ้าหลงเองละฟิตพอกันทั้งคู่เลย
ระหว่างทางพวกพี่ ๆ ก็จับปลากันตรงนี้เลย
เพื่อจะเอามาเป็นอาหารเย็นให้พวกเรากินกันนี่แหละครับ
เหวี่ยงแหปุ๊บ ปลาติดรัว ๆ
มีน้ำ มีปลา มีอาหาร ทุกอย่างนั้นมาจากคำว่าป่า ล้วน ๆ ครับ
ยิ่งได้เข้าป่าเราก็ยิ่งรักป่ามากขึ้นกว่าเดิมอีกหลายร้อยเท่าตัว
มองดูเค้าจับปลากันซะเพลิน
เดินต่อได้แล้ว เดี๋ยวจะมืดซะก่อน
ก่อนข้ามลำธารไปยังด่านสุดท้าย
เดินผ่านป่าดิบชื้น แน่นอนว่าเราต้องเจอทากกันแน่ๆ
พี่คนนำบอกกับเราว่า 200 เมตรต่อจากนี้วิ่งกันได้เลย
ไม่มีใครรอใครกันเลยครับทีนี้
แล้วพวกเราก็เดินกันมาจนถึงด่านสุดท้าย
ด่านนี้น้ำเชี่ยวกว่าด่านอื่นหลายเท่า
เดินไม่ดีมีล้มแน่ครับ
ดูลีลาน้องจิ๋วเค้าซะก่อน พริ้วน่าดู
ถึงแล้วครับฐาน มว.ตชด.445 กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 445
ใช้เวลาเดินกันไปประมาณสองชั่วโมงได้ครับ
หน้าแต่ละคนดูชิว ๆไม่เหนื่อยเลยเนอะพวกเรา
พี่ป๋วยคนซ้ายสุดบอกหราาาาาาาาาาาา พี่เหนื่อยมากนะ ฮ่าๆๆๆๆ
ที่พักของเราในค่ำคืนนี้
นอนเปลกันเหมือนเช่นเคยครับ
แบบนี้แหละครับ
ที่เค้าเรียกกันว่า "คอนโดกลางป่า"
ว่าแต่มันติดกันเกินไปมั๊ย
แทบจะหายใจกันไม่ออกเลยทีเดียว ฮ่าๆๆๆ
อาบน้ำอาบท่ากันเรียบร้อย
ได้เวลากินข้าวเย็นกันแล้วครับ
บรรยากาศยามค่ำคืนอากาศหนาวกำลังดีเลยทีเดียว
มาดูพวกพี่ ๆ เค้าทำกับข้าวกันดีกว่าครับ
"ต้มฮาลา" สูตรดั้งเดิมของชาวฮาลา
ใช้ปลาในลำธารมาทำเป็นสูตรเฉพาะ
มีเครื่องป่าหลายอย่างผสมรวมกันอยู่ในนี้ครับ
รสชาติไม่เหมือนที่ไหน อร่อยมากครับ
เมนูในป่าฮาลานี้เป็นปลาล้วน ๆ
ปลาทอดอีกสักอย่างกับข้าวสวยร้อน ๆ
ก็เพียงพอแล้วกับอาหารเย็นวันนี้
แหม่อาหารวางบนโต๊ะไม่ทันไร
จ้วงกันเป็นระวิงเลยครับ
ไม่รอกันบ้างเลยนะ ฮ่าๆๆๆ
กินกันอิ่มพวกเราก็เดินไปดูทีวีกะพวกน้อง ๆ ที่ฐาน
แหม่กลางป่าลึกยังมีทีวีให้ดู
แต่ดูไปไม่ทันไร ตาก็เริ่มจะปิด ราตรีสวัสดิ์นะป่าฮาลาบาลาที่รัก
เช้าวันสุดท้ายก่อนกลับ
เป็นวันที่พวกเรานอนกันเต็มอิ่ม
แทบไม่อยากจะตื่นกันเลยทีเดียว
นั่นๆๆๆ สองสาวยังคงไม่ลุกจากเปลง่าย ๆ
ท่านอนนี่มันช่างสบาย
จนอยากจะแกว่งเปลซะให้ร่วง ฮ่าๆๆๆ
เจ้าหลงยังคงนอนหลับพริ้ม
เจ้าแบล็คพร้อมจะไปต่อแล้วครับ
เช้าวันนี้มีน้ำมะพร้าวสด ๆ จากป่า
มาเป็นออเดิฟก่อนกินข้าวเช้า
มันช่างหวานละมุนละไมลิ้นดีจริงๆ
โอ๊ะข้างหลังนั่นน้องจิ๋วใช้พลังกันแต่เช้า
ท่าขูดมะพร้าวนี่ดูโปรไม่เบาเลยนะน้อง ฮ่าๆๆ
พวกพี่ ๆ ไปจับปลากันแต่เช้า
แอบกระซิบเลยว่าเมนูเช้าวันนี้เด็ดมากกกกกกกกกก
จะอร่อยและน่ากินแค่ไหนเดี๋ยวค่อยมาดูกัน
แหม่ถือซะเนียนจนนึกว่าเป็นคนไปจับปลามาซะเอง
ไปดูพวกพี่ ๆ เค้าบินโดรนกันก่อนดีกว่า
นี่เป็นที่จอดเฮลิคอปเตอร์ครับ
แต่ทีมงานขอเอาโดรนบินสำรวจผืนป่าแห่งนี้แทนละกัน
ความอุดมสมบูรณ์ความชื้นของที่นี่มันมากมายจริง ๆ ครับ
มาดูกันดีกว่าวันนี้มื้อเช้าจะมีไรกินกันบ้าง
เมนูแรกปลาส้มครับ
น้องจิ๋วขอแจมอีกแล้วครับ
มาทุกซีนเลยคนนี้ ฮ่าๆๆๆ
เดี๋ยวๆๆ ไปเก็บที่นอนกันก่อน
แล้วค่อยมากินข้าว
คนอื่นเค้าเก็บกันหมดแล้วนะ ให้ไวเลยนะสองคนนี้
เก็บเสร็จช้าอดกินไม่รู้ด้วยนะ
มาแล้วครับอาหารเช้าของพวกเราในวันนี้
มะพร้าวที่ขูดกันไปเอามาโรยกับข้าวเหนียว
รสชาติมันช่างกลมกล่อมเอามาก ๆ
ปลาส้มเสิฟพร้อมไข่ปลา
ปลาทอดกรอบๆ กินได้ทั้งก้าง
กินใส่ถ้วยโฟมแบบนี้มันคงจะธรรมดาไป เราเอามาใส่กะลามะพร้าวดีกว่า
ได้ฟีลเป็นธรรมชาติกว่าเยอะ นี่แหละครับอาหารป่าฮาลา
ข้าวเหนียวโรยมะพร้าวกินคู่กับผักกูดปลาทอด
เมนูมื้อเช้าธรรมดาที่แสนพิเศษแต่อิ่มอร่อยไปด้วยบรรยากาศครับ
ได้เวลาที่เราจะต้องบอกลาผืนป่าแห่งนี้กันแล้วครับ
ด้วยระยะเวลาที่ค่อนข้างจำกัด
เราเลยทำได้แค่มาสำรวจผืนป่าเพียงแค่ฐานแรกเท่านั้น
ไว้มีโอกาสและเวลาที่พร้อมเมื่อไหร่
เราและทีมงานสำรวจจะไปยังฐานสุดท้ายฐานสามของผืนป่าที่นี่
หรือที่เรียกกันว่า "ฐานดาลา" อย่างแน่นอนครับ
เสื้อผ้าที่ตากไว้ยังไม่ทันแห้ง
พวกเราก็ต้องเดินกลับกันเปียก ๆ แบบนี้แหละครับ
ลุยน้ำกันต่อเลยครับ
ผ่านดงทากกันมาได้วันนี้น้ำไหลแรงกว่าวันมาเยอะ
พวกเราก็ต้องจับมือเดินกันไปแบบนี้
จับมือไว้แล้วไปด้วยกัน เฮ้!!!!
ข้ามมาได้แต่ละคนก็เช็คทากกันขนานใหญ่
โดนทากติดกันไปทุกคน
เดินป่าภาคใต้ก็แบบนี้แหละ ไม่เจอนี่สิแปลก
เป็นป่าที่เดินลุยน้ำกันได้ระห่ำดีจริงๆ
นั่นเจ้าหลง เจ้าแบล็ครอจะไปต่อละ
เดินเร็วๆ กันหน่อยสิทุกคน
โฉมหน้าพี่มังสุดหล่อครับ
คนพื้นที่ที่เราคุยติดต่อกันไว้ร่วมปี
ถ่ายเซลฟี่กันหน่อยยยยย
เดินมาได้สักพัก
พวกเราก็นั่งพักกันข้างลำธาร
ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นความทรงจำกันหน่อย
น้ำมันเย็นอะเล่นกันหน่อยมั๊ย ฮ่าๆๆๆ
นั่นป๋าหยองเผลอไม่ทันไร
กระโดดไปเล่นน้ำซะละ
นี่มันบอยแบรนด์ที่ไหนเนี้ยยยย
หล่อชะมัดเลยยยยย
พี่ดิงหัวหน้าทีมสำรวจครับ
น้องอาร์มเจ้าหน้าที่ที่นำทางเรามาทั้งไปและกลับครับ
ไปกันเถอะได้เวลาออกเดินทางกันต่อแล้ว
เดินไปเราก็เข้าสู่ลานกระทิง
ที่พวกมันได้ฝากรอยเท้าเอาไว้ให้เห็น
กระทิงจะลงมากินน้ำช่วงเวลาเช้าตรู่และช่วงเย็นเท่านั้น
เสียดายที่พวกเราไม่ได้เจอตัวเป็น ๆ
ไม่งั้นคงจะได้ภาพที่เราจะต้องจำไปตลอดชีวิตเลยละครับ
เดินมาเกือบจะถึงจุดที่เริ่มเดิน
เอ๊ะนั่นกลุ่มไหนกันน่ะพกร่มมาเดินป่าด้วย
ได้ทักทายกันเป็นพิธี ก็ชักภาพเก็บไว้ซะหน่อย
เดินป่าไปด้วยถือร่มไปด้วย เพิ่งเคยเห็นก็วันนี้แหละ ฮ่าๆๆๆ
ถือโอกาสพักอีกซักหน่อย
ก่อนจะเดินต่อกันยาวๆ
พี่ป๋วยโชว์แผลที่โดนทากดูดเลือดมาครับ
และสิ่งที่พวกเราเจอกันมาตลอดทาง
เป็นหญ้าเจ้าชู้นี่แหละ
ติดทนนานติดกันไม่ยอมปล่อยเลยครับ
อากาศในวันกลับค่อนข้างร้อนครับ
พวกเราเลยเดินกันไวมาก
ในที่สุดพวกเราก็เดินมาถึงจุดเริ่มเดินแล้ว
พักให้หายเหนื่อยกันก่อน
พี่ป๋วยมาเร็ว ๆ อีกนิดเดียว
เก่งมากเลยครับพี่สาวผมคนนี้
ร่างกายอาจจะไม่พร้อมแต่ใจสู้มากกกกก
เอ้าฮึบๆๆๆ
แล้วพวกเราทั้งห้าคนก็มารายงานตัวกลับกับเจ้าหน้าที่
กันด้วยสภาพที่สมบูรณ์แบบ
ทุกคนกลับมาอย่างปลอดภัยครับ
เป็นการเดินทางสู่จังหวัดยะลา ที่เต็มอิ่มครบไปทุกอารมณ์จริงๆ
จังหวัดชายแดนใต้ที่ใคร ๆ หลายคนมองว่ามันดูอันตราย
สิ่งที่ใครหลายคนมองว่ามันดูห่างไกลความเป็นจริง
เป็นที่ที่มันอาจจะดูเข้าถึงได้ยาก แต่ถ้าไม่ลองเปิดใจออกไปหามัน
เราคงไม่มีวันรู้ว่าสิ่งที่เราได้ออกไปพบเจอมันสวยงามมากแค่ไหน
" ประสบการณ์ทุกอย่างที่เราพบเจอมาในชีวิต
มันจะช่วยเปลี่ยนแปลงมุมมองเราให้เป็นคนใหม่ที่ดีกว่าเดิม
เพราะการเดินทางจะช่วยตอบคำถามบางอย่างที่อยู่ในใจ
ให้กับเราได้ไม่มากก็น้อย... "
รายละเอียดค่าใช้จ่าย
ค่าเครื่องบิน ขาไป กรุงเทพฯ-หาดใหญ่ คนละ 1,083 บาท
ขากลับ หาดใหญ่-กรุงเทพฯ คนละ 990 บาท
ค่ารถรวมน้ำมันเหมา 4 วัน ทั้งหมด 4,000 บาท คนละ 800 บาท
ค่าที่พัก โฮมสเตย์อัยเยอร์เวง 1 วัน คืนละ 700 บาท คนละ 140 บาท
ค่าขึ้นกูนุงซิลิปัต นอนเปล 1 คืน รวมอาหาร 2 มื้อ คนละ 600 บาท
ค่าล่องแก่งคายัค คนละ 250 บาท
ค่าเข้าป่าฮาลาบาลา นอนเปล 1 คืน รวมอาหาร 3 มื้อ คนละ 500 บาท
ค่ารถขึ้นเขาไมโครเวฟชมทะเลหมอก คนละ 100 บาท
ค่าอาหารและเครื่องดื่ม คนละ 1,300 บาท
ไปกัน 5 คน รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนละ 5,763 บาท
FB : Bean Skullflied
Bean Skullflied
วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 07.18 น.