 
	ทริปภูกระดึงเป็นทริปที่เราตั้งใจอยากจะไปมานานมากแล้วแต่ก็ติดนู่นนี่ , รอคนนู้นคนนี้มาหลายปี
	
	ครั้งนี้เราเลยตัดสินใจไม่รอใครแล้วลองไปเที่ยวคนเดียวก็น่าจะเฟี้ยวดีนะ
	
	การเดินทางเปลี่ยวๆของเรานั้นเป็นช่วงวันหยุดยาว 10-12 ธ.ค. 2559  ที่หลายๆคนรอคอยที่จะไปเที่ยวกัน
	
	เราเลยต้องมีการเตรียมการกันซะหน่อย เริ่มด้วย....
	
	
	1. การจองรถทัวร์ไว้ล่วงหน้าผ่านในเว็บไว้ก่อนเลย ทั้ง ขาไป-ขากลับ เพื่อที่เราจะได้กำหนดเวลาในการเที่ยวของเราได้
	
	2. หาจองเต็นท์ให้เรียบร้อย ถ้าจะให้ดีจองล่วงหน้าไว้ยาวๆจะดีกว่า เราจองในเว็บอุทยานไม่ถึง 2 อาทิตย์ 
	
	ไม่มีเต็นท์ว่างแล้วต้องแบกไปเอง ถ้าจะจองได้ที่เว็บนี้เลยครับ 
	http://www.dnp.go.th
	3. วางแผนการเที่ยวของเราไว้คร่าวๆ จะได้เที่ยวให้ทั่วภูไปเลย (แผนที่เราปริ้นจากใน Google ควรมีติดไว้นะอันนี้)
	
	4. เตรียมของใช้ที่จำเป็น ที่ขาดไม่ได้สำหรับเราเลยคือ ยาดม , ยานวด , ไฟฉาย และที่สำคัญคือ PowerBank 
	
	5. สิ่งสำคัญที่สุดที่ขาดไม่ได้คือ เงิน  ทุกสิ่งอย่างหาได้บนภูกระดึงแต่ราคามันแพงกว่ามาก พกไปให้พอก็สบายแล้ว
	
	เตรียมให้พร้อมแล้วก็ไปออกเดินทางกันน..... 
	
	เราจองรถของบริษัทภูกระดึงทัวร์ รอบ 21.35 น. โดยเรากะเวลาจะให้ถึงที่ผานกเค้าตอนช่วงเช้ามืดพอดี
	
	
	ก่อนอื่นเราต้องนำสลิปที่โอนเงินมาทำตีตั๋วที่ช่องของบริษัท แนะนำว่ามาก่อนเวลาประมาณ 40 นาที เพราะคนต่อแถวเยอะมาก
 
	 
	 
	
แต่รถออกของเราออกจริงจากหมอชิตจริงๆอ่ะ เวลา 22.00 น. เพราะเป็นช่วงเทศกาล 
	
ถึงเราจะต้องนั่งรอรถนานๆเราก็ไม่เห็นจะเหงาตรงไหนเลย เพราะระหว่างที่เรานั่งรออยู่เราก็จับกลุ่มเม้ามอยพูดคุยแลกเปลี่ยน
กันไปเรื่อยเปื่อยอย่างกับว่าเรารู้จักกันมาก่อนก็ไหนๆจะร่วมชะตากรรมเดียวกันแล้วนิ่
	
	 
	
ณ เวลาประมาณ 5.00 น. เราเดินทางมาถึงที่ "ผานกเค้า" แล้วพอลงรถมาอากาศแบบว่า Cool ดีอ่ะ แบบนี้แหละที่อยากเจอมันใช่เลย
	
	อุณหภูมิ 16 C กำลังสบายๆมาถึงทุกคนต่างก็ทำธุระของตัวเองเพื่อจะได้มุ่งหน้าไปเที่ยวกันต่อ 
	
แต่บางคนก็มาต่อแถวจองตั๋วรถกลับกันไว้เลย แต่เราจองไว้แล้วก็ขอไปก่อนได้เลยละกันน๊า
	
	 
	
ถ้าใครเตรียมตัวพร้อมแล้วก็ยืนต่อคิวขึ้นรถสองแถวแดงไปที่ทำการอุทยานได้เลยย ค่ารถจะอยู่ที่คนละ 30 บาท
 	ใช้เวลานั่งรถไปประมาณ 20 นาทีก็จะถึงที่ทำการอุทยาน แต่บรรยากาศระหว่างทางที่นั่งรถผ่านจะมองเห็นเพียงความมืดและสัมผัสถึงลมหนาวตลอดทางที่เราผ่าน ถ้ามองไปเราก็จะเจอแต่หมอกที่ปกคลุมตลอดสองข้างทาง
	
พอมาถึงอุทยานใครชำระเงินค่าที่กางเต็นท์ผ่านธนาคารเรียบแล้วสามารถยื่นเอกสารที่เจ้าหน้าที่ได้เลย ไม่ต้องมาต่อแถวคิวแบบนี้
	 
	
จากนั้นเราก็รีบเดินเข้าไปจองลูกหาบก่อนเลย ขนาดเรามาจองตอน 6.18 น. ยังได้คิวลูกหาบ 305 เลย จะได้ลูกหาบไหมเนี้ยยย
	
	พอใกล้ๆประมาณ 7 โมง เจ้าหน้าที่ประกาศงดรับบัตรคิวลูกหาบแล้ว เพราะคนเยอะมากลูกหาบไม่พอต่อนักท่องเที่ยว 
	
(( มารู้ตอนหลังว่าคนขึ้นภูวันนี้ตั้ง 5,000 กว่าคน )) แต่แล้วก็ถึงคิวลูกหาบของเราจนได้ จะได้เดินขึ้นซักภูกันซะที ตื่นเต้นจังวุ้ยย
	 
	 
	
มาเจอป้ายบอกว่าระยะทางขึ้นภูแค่ 5.5 กม. เองแค่นี้เองสบายๆมาก เดินถ่ายรูปเป็นสิบๆโลก็เดินมาแล้ว โถ่ววววแค่นี้เอง
	
	 
	 
	 
	 
	
ยังไม่ถึงซำแรกก็แทบจะแย่แล้วพักไปไม่รู้กี่รอบไหนบอกว่าสบายๆไงแล้วกว่าจะถึง 5.5 กิโล ตายละมั้งเนี้ยถอยก็ไม่ได้ด้วยสิ เสียเชิงชายหมด
	
	 
	 
	 
	 
	
ถ้าใครที่เดินไม่ไหวจริงๆพี่ลูกหาบเค้าก็มีบริการหาบลงด้วยนะ ค่าหาบ 3,000/เที่ยว ไม่ได้นับน้ำหนัก นอนลงภูก็ท่าจะฟินดีนะ 
	
	แต่เราเดินเล่นของเราไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็แวะพักดื่มด่ำความเป็นภูกระดึงเข้าไวก่อนที่วันนึงมันอาจจะเป็นเปลี่ยนแปลงไปก็ได้
	
ระหว่างทางที่เราเดินดันเจอเพื่อนที่เรียนด้วยกันตั้ง 2 ปี แต่วันนี้เราพึ่งจะได้คุยกันซะงั้น โลกมันกลมดีเนอะ
	
	 
	 
	 
	 
	 
	
ซำสุดท้ายก่อนขึ้นถึงหลังแปนี่เราเป็นที่สุดของการเดินขึ้นภูกระดึงจริงๆ เหนื่อยโคตรมีแต่ทางขึ้นเขาเลยจริงๆหยุดนั่งพักเป็น 10 รอบเลยช่วงนี้
	
	พอถามคนที่ลงมาจากภูว่าอีกไกลไหมกว่าจถึง เค้าบอกเราว่าถ้าเจอบันไดแล้วอีกนิดเดียวก็ถึงแล้วน้องไม่ไกลๆ 
	
ใกล้ม๊ากกกเลยพี่นิ๊ดดเดียวจิจิ๊งงงงงงง เล่นมีเป็น 10 บันไดเลย
	 
	 
	
แต่ในที่สุดเราก็ถึงหลังแปจนได้ เดินขึ้นมาใช้เวลาไปตั้ง 3.25 ชม. จะไวไม่ไวไม่รู้แหละเอาเป็นว่าเราถึงแล้ว ^^ 
	
	
	 
	 
	 
	
Next Station : วังกวาง 3.5 กม. Let's Go !!
	
	 
	 
	 
	 
	 
	 
	
ในที่สุดก็ถึงแล้วศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง มาถึงก็ต้องติดต่อขอจองอุปกรณ์การนอนก่อนเลยดีกว่าจะได้เอาไปวางจองที่กางเต็นท์ไว้
	 
	 
	 
	 
แล้วก็จะได้ไปหาข้าวกินเติมพลัง  พอถึงร้านพี่เจ้าร้านก็ใจดีมากเลยถามว่าเรามาคนเดียวเองหรอ แล้วก็ยิ้มๆ	 
เราก็ถามนู่นนี่พี่เค้า พี่เลยแนะนำให้เราไปกางเต็นตรงใต้ร่มต้นสนเพราะจะได้ไม่ร้อนแดดและสะดวกใกล้ห้องน้ำดีด้วย
	 
	 
	
และทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเราก็มานั่งรอลูกหาบกัน กระเป๋า - เต็นท์ อยู่ที่ลูกหาบหมดเลยด้วย
	
	แต่จุดนี้เป็นจุดที่เราพลาดมากเลย เรานั่งรอลูกหาบ 2 ชั่วโมงก็ยังไม่มาแผนที่เราวางไว้ผิดไปหน่อยเลย 
	
	(( แนะนำว่าไม่ต้องรอของดีกว่าไปเที่ยวเลย 6 โมงเย็นค่อยมาเอาก็ได้ถ้าไม่มา จนท.เค้าประกาศเรียก ))
	
(( และ อย่าเอาของมีค่ารวมถึงของที่แตกได้ใส่ในกระเป๋าเพราะเราเห็นเค้ากดกระเป๋าแน่นๆ มันอาจแตกได้นะ ))
	
	 
	
เราเลยตัดสินใจไม่รอกระเป๋าละ ไปนั่งรอดูพระอาทิตย์ตกที่ ผาหมากดูก ดีกว่า
	
	 
	 
	 
	 
	 
	
คนนั่งดูพระอาทิตย์ตกคนเดียวไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยใช่ม่ะ ใครๆเค้าก็ทำกัน
	 
	 
	 
	 
	 
	 
	 
	
เดินกลับมาถึงจุดกางเต็นท์ก็เกือบ 1 ทุ่มแล้ว ก็ไปจ่ายเงินรับของจากลูกหาบกันจะได้เอาเต็นท์ไปกางซะที
	
	พอเอาเต็นท์ไปกางน้องเต็นข้างๆก็ออกมาช่วยเรากางกันด้วย อีกคนถือไฟฉายให้เรามิตรภาพดีๆเรามีให้กันเสมอแม้ไม่ต้องรู้จักกัน 
	
	เสร็จเราไปก็มุ่งหน้าไปกินหมูกะทะ บรรยากาศกลางหมอกกันเลย ราคาเพียงชุดละ 500 บาท ราคาก็ตามความยากที่จะเอาขึ้นมาแหละ 
	
	พอเราไปถึงร้านหมูกะทะ
	
	
	เจ้าของ  : มากินกี่คนคะน้อง (ถามเสียงดังหน่อย )
	
	เรา        : อ๋อ คนเดียวครับ
	
	เจ้าของ  : ................... ( เงียบไปแปบนึง )
	
	คนที่นั่งโต๊ะรอบๆนั้นหันมามองกันเป็นสายตาเดียว
	
	เรา        : (คิด) กูทำไรผิดว่ะเนี้ยมองกันซะ  มาทั้งทีก็ต้องลองสิแล้วคนตั้งใจชาร์จแบตหลายอย่างด้วยนี่หว่า
	
	สุดท้ายพอเก็บตังพี่เค้าบอกพี่เอาน้องแค่ 400 พอ พี่สงสารน้องมากินคนเดียวแบบนี้ก็ได้ด้วยหรอพี่นี่น่ารักที่สวดเลย 
	
	เรากินร้านปักษ์ใต้(พี่ธรรม)รักเลยร้านนี้เลยต้องบอกต่อ(( แต่เราไปนั่งกินตอนมืดๆแล้วคนเริ่มน้อยแล้วนั่งนานๆะพี่เค้าก็ไม่ว่าไร ))
	
	
	 
	
เราไปอาบน้ำตอน 3 ทุ่ม น้ำแช่เย็นมากกกกก  
	
	สำหรับวันแรกเราพอเท่านี้ก่อนละกันพักผ่อนเก็บแรงดีกว่าพรุ่งนี้เดินทางอีกยาวไกล
	
	
วันที่ 2
อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่บนยอดภูกระดึงของเรา 6.30 น. แล้วเรารีบตื่นไปล้างหน้าแปรงกัน รีบไปเที่ยวกันดีกว่า
	
	ส่วนเรื่องอาบน้ำหรอใครเค้าอาบกันตัวไม่เหม็นซักกะหน่อยย 
	
	แต่ก่อนอื่นต้องเติมพลังกันก่อน เลยไปจัดโจ๊กซะ 1 ชาม ราคา 60 บาท ข้าวมีความกรุบๆกรอบๆสุกๆดิบๆ 
	
	
	 
	 
	 
	 
	
เรียบร้อยแล้ว..... เราก็ไปเที่ยวเลยดีกว่า วันนี้เราตั้งใจจะไปหาดูใบเมเปิ้ลแดงที่แถวๆน้ำตกคิดว่าคงต้องได้เจอที่ไหนซักที่แหละ
	แล้วตอนช่วงเย็นๆ เราจะไปนั่งชมพระอาทิตย์ตกที่ ผาหล่มสัก
	
	
	 
	
เดินมาแปบเดียวก็เจอจุดหมายแรกของเราแล้ว
	
	
	
น้ำตกที่ 1 : น้ำตกวังกวาง
	 
	 
	 
	 
	 
	
น้ำตกที่ 2   :   น้ำตกพบเพ็ญใหม่
	
เริ่มเห็นใบเมเปิ้ลแล้ว เรามาช่วงจังหวะที่มันแดงจริงๆด้วย ดีใจเลย (เดือนที่แล้วพี่สาวมาบอกยังไม่แดงเลย)
	 
	 
	 
	
น้ำตกที่ 3   :   น้ำตกโผนผบ
		
	เดินมาเจอเพื่อนเลยคุยกันว่าจะไปไหนบ้าง สรุปได้ว่าเราไปทางเดียวกันแผนเที่ยวที่เราวางไว้เหมือนกันเลย มีเพื่อนแล้ว!
	
	
	 
	 
	
น้ำตกที่ 4 : น้ำตกเพ็ญพบ
	
	 
	 
	 
	
น้ำตกที่ 5   :   น้ำตกถ้ำใหญ่
	
	น้ำตกนี้ห่างออกไป 1.2 กม. แต่เราว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งบนภูกระดึงเลยก็ว่าได้นะเนี้ย 
	
ตกหลุมรักเธอเลยภูกระดึง
	
	 
	 
	 
	 
	 
	 
	 
	
มุ่งหน้าเดินทางสู่จุดหมายต่อไปของเราที่  " สระอโนดาด "  
	
	เราจะพบเห็นคนมากมายนั่งพักกินข้าวกัน เพราะเค้าว่าตลอดทางไปผาหล่มสักเส้นนี้ไม่มีร้านขายของเลย 
	
	
	ผู้คนส่วนใหญ่จะเตรียมของมาตั้งแต่จุดกางเต็นท์
	
	
	 
	 
	 
	
แต่เราไม่อยากเตรียมของมาให้หนักเปล่าๆเราก็เลยจะมุ่งหน้าไปกินข้าวที่มีวิวติดหน้าริมผาสวยๆดีกว่า
	
	ด้วยการเดินทางลัดจากสระอโนดาดไปยัง  " ผาเหยียบเมฆ "
	
ผาเหยียบเมฆเป็นอีกที่หนึ่งที่มีสวยงามมากๆบนยอดภูกระดึงเลย เราหลงรักเธออีกแล้วนะภูกระดึง
	 
	 
	 
	 
	 
	 
	 
	 
	
Next Station   :   ชมพระอาทิตย์ตกที่ผาหล่มสักสุดท้ายของวันที่สองแล้ว  
	
	
	 
	 
	 
	
เวลาประมาณบ่าย 3 ในที่สุดเราก็ถึงแล้วจุดหมายแล้ว ณ ผาหล่มสัก
	
	ผู้คนมากมายที่ตั้งใจอยากเดินทางมาเพื่อให้ถึงผาหล่มสักแห่งนี้กับเป้าหมายที่ต่างกันไป......
	
	บางคนอาจอยากมาเพื่อแค่เป็นผู้พิชิต             บางคนอาจอยากมาเพื่อเก็บภาพไว้บันทึกไว้ในความทรงจำ   
	
บางคนอาจอยากมาเพื่อสารภาพความในใจกับใครคนหนึ่ง หรือบางคนอาจอยากมาเพื่อเพียงแค่ชมภาพพระอาทิตย์ตกที่สวยงาม
	 
	 
	 
	
มุมมหาชนที่ต้องต่อแถวรอกันยาวเลย
	
	 
	 
	
เราก็เตรียมตัวไปหาที่ชมพระอาทิตย์ตกของเราบ้างดีกว่า นั่งดูคนเดียวก็ฟิ๊นนนนไม่เหมือนใคร
	
	(( มาเที่ยวคนเดียวถ้าไม่ถ่ายรูปคนอื่นก็ต้องตั้งกล้องรูปตัวเองสินะ )) 
	
	
	 
	 
	 
	 
	 
	
พระอาทิตย์ตกแล้วทุกคนก็ต่างมุ่งหน้ากลับกัน ไปพร้อมๆกันนี่แหละอุ่นใจดี
	
	ขากลับจุดกางเต็นท์ สิ่งสำคัญที่ควรต้องมีเลย คือไฟฉายกับเสื้อกันหนาว เพระาบนภูถ้าพระอาทิตย์ตกแล้วอากาศจะเย็นไวมาก
	
3 ทุ่มแล้วก็ยังจะแวะกิน เติมพลังก่อนพรุ่งนี้เช้าเราจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ ผานกแอ่น จะมีเจ้าหน้าที่นำทางตอนเวลาตี 5
 
	 
	
วันที่ 3
กริ๊งงงงงง....งงงง  4.45 น. แล้วนาฬิกาปลุกแล้ว ตื่นๆไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันดีกว่า
	
	
	พอใส่รองเท้าออกจากเต็นท์  อ้าวว....เห้ยยยย เท้าบวม!!!!!! ก้าวเท้าปวดไปหมดเลย
	
	อดดูพระอาทิตย์ขึ้นเลยซินะเนี้ยเรา  งั้นเรากลับเข้าเต็นไปนวดเท้าแล้วนอนเอาแรงไว้เดินลงภูละกัน 
	
	
	7 โมงครึ่งตื่นมารีบเก็บของแล้วเอาไปให้ลูกหาบไว้ก่อนเลยจะได้คิวลูกหาบคิวแรกๆ  แล้วค่อยไปหาไรกินกันนน 
	
	
	 
	 
	
นี่น้องเฟรน ที่นอนเต็นท์ติดกับเราอีกหนึ่งมิตรภาพใหม่ที่แสนดีบนภูกระดึงของเรา
	
	 
	
ประมาณ 9 โมง เราก็ออกเดินทางลงจากภูกันเลยดีกว่าเดี๊ยวเราต้องไปอาบน้ำอีกจะให้เราอาบน้ำบนภูก็ไม่ไหวน้ำเย็นมั๊กมากกก
	
เพื่อนร่วมทางลงเยอะมากละคร่าวนี้ขาลงก็ไม่น่าเหนื่อยมากละก็มันทางลงนี่หน่าาาา
	 
	 
	 
	 
	 
	 
	 
	
ขาลงใครก็ว่าง่ายกว่าขาขึ้นแน่นอน แต่ที่ไหนได้ละยากกว่าขาขึ้นซะอีก 
	
	เพราะลงมาสายแล้วดินมันแห้งเป็นฝุ่นๆลื่นล้มกันเป็นแถวเลย บางคนล้มไป 3-4 รอบแหนะ 
	
	ลงถึงข้างล่างแล้วเราไปที่อาบน้ำกันดีกว่าจะเตรียมตัวกลับกันได้แล้ว (จองรถขากลับไว้ตอน 6 โมงเย็นด้วย)
	
	เรากลับก่อนนะ แล้วเราจะมาหาเธอใหม่ภูกระดึง
	
	บ๊ายบายน๊าาา........   ภูกระดึง !
	 
	 
	
สรุป : 3 วัน 2 คืน(รวมไป-กลับ) หมดค่าเสียหายไป 2,953 บาท กับ ระยะทางทั้งสิ้น 69 กม.
PeatParin
วันพฤหัสที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.31 น.

 Readme before you journey
Readme before you journey












