"ญี่ปุ่น" เป็นจุดหมายปลายทางของเหล่านักเดินทางและนักท่องเที่ยวที่หมายมั่นที่จะได้ไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต ถ้าเอ่ยถึงเกาะแห่งนี้ความคิดที่ฝุดขึ้นมาในหัวของเราก็จะมีเมืองที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีปรากฏขึ้นมา เช่น แถบคันโต (โตเกียว และละเเวกใกล้เคียง) แถบคันไซ (โอซากา เกียวโต นารา โกเบ) แถบทางตอนใต้ แถบคิวชู (ฟุกุโอกะ คุมาโมโต ) หรือแถบเหนือสุดของญี่ปุ่นก็คือ แถบฮอกไกโด (ซับโปโร ฮาโกดาเตะ) แต่หลายคนอาจเข้าใจว่าตอนใต้สุดของญี่ปุ่นคือ จังหวัดคาโงชิมา ภูมิภาคคิวชู

รีวิวนี้ผมจะเน้นเนื้อหาปนสาระเพื่อให้ทุกคนได้รู้จักกับโอกินาวาให้มากขึ้นเล็กน้อย รวมถึงภาพถ่ายกาก ๆ ของผมที่จะใส่ให้เยอะมาก (เสียดายตัดไม่ลง) มีทั้งภาพสวยและภาพกากปนกันไป และที่สำคัญการเดินทางในรอบนี้ไม่ได้เช่ารถขับนะครับ ไปกับตัวและเงินในกระเป๋า

รีวิวตอนที่ 2 : สู่ตอนใต้นาฮา OKINAWA WORLD http://pantip.com/topic/35953525

รีวิวตอนที่ 3 : สู่ตอนเหนือ OKINAWA http://pantip.com/topic/35962970

ที่มาของภาพ : http://travel.rakuten.co.jp/en/map/japan/


จากแผนที่ประเทศญี่ปุ่นจะเห็นว่า ส่วนที่อยู่ใต้สุดจริง ๆ แล้วก็คือ จังหวัดโอกินาวา โดยจังหวัดนี้เป็นเกาะแยกตัวอยู่ต่างหาก ค่อนข้างไกลจากแผ่นดินใหญ่พอสมควร ค่อนไปทางไต้หวัน ประกอบกับประเทศญี่ปุนมีลักษณะภูมิศาสตร์ค่อนข้างยาว ทำให้แผนที่ส่วนใหญ่จึงต้องตัดปะจังหวัดโอกินาวาไว้ตรงมุมแผนที่เหมือนภาพด้านล่าง

จังหวัดโอกินาวาถูกตัดแบ่งไว้ตรงมุมล่างขวาของแผนที่ แยกตัวจากจังหวัดอื่น ๆ บนแผ่นดินใหญ่


คำถาม : ทำไมต้องไป "โอกินาวา" และทำไมต้องไปช่วงหน้าหนาว

คำถามนี้คาดว่าหลายคนที่ไปโอกินาวา จะต้องโดนถามกันไม่มากไม่น้อยเลยทีเดียว เหมือนกับตอนผมไปไต้หวันเมื่อปีก่อนก่อนที่จะบูมเหมือนวันนี้ก็โดนคำถามนี้เหมือนกัน คำตอบของผมง่าย ๆ เลยคือ อยากไปจังหวัดในญี่ปุ่นที่คนไทยไม่ค่อยจะไปกันเพื่อหลีกหนีจากความวุ่นวย และไม่ได้เที่ยวเพื่อตามกระแสเพราะบางครั้งเรามองภาพจากจอคอมพิวเตอร์เห็นฟูจิ เห็นวัดทอง วัดน้ำใส หรือหิมะตกซับโปโรจนเริ่มเป็นความคุ้นชิน ทำให้เกิดความคิดว่าเราไปโอกินาวาดีกว่าเพื่อหาอะไรที่แตกต่างและไม่จำเจ

คำถามต่อมาทำไมต้องไปช่วงหน้าหนาว

คำตอบเลยคือ หน้าหนาวของโอกินาวาจะเป็นช่วงโลว์ซีชั่นทำให้ค่าที่พักราคาถูกลง อย่างโรงแรม 5 ดาวที่ตกคืนละหมื่นกว่าพอมาช่วงนี้ราคาถูกลงเป็นครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว รวมถึงค่าใช้จ่ายก็จะถูกลง

การเดินทางสู่โอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น

ผมเดินทางไปโอกินาวาในช่วงระหว่างวันที่ 13 - 18 ธันวาคม 2559 โดยผมจองตั๋วไปโอกินาวาตั้งแต่เดือนเมษายนซึ่งตอนนั้นฮ่องกงแอร์ไลน์ออกโปรมาในราคา 6700 กว่าบาทรวมภาษีนั่นนี่ก็ราคาประมาณ 8000 กว่าบาทซึ่งก็ยอมรับได้เพราะรวมค่าโหลดกระเป๋าเรียบร้อย ดังนั้นมาดูการเดินทางไปโอกินาวากันเลยครับ เนื่องจากในปัจจุบันยังไม่มีเส้นทางบินตรงจากไทยไปโอกินาวา ทำให้มีแต่วิธีต่อเครื่องซึ่งมี 2 วิธี (อัพเดทล่าสุด 15 ธันวาคม สายการบินพีชเเอร์ได้เปิดเส้นทางบินตรงจากไทยไปโอกินาวาแล้วนะครับ) คือ

1. ต่อเครื่องโดยเริ่มต้นจากไทยไปโอกินาวา ซึ่งปัจจุบันมีสายการบินต่อไปนี้

1.1 ฮ่องกง แอร์ไลน์ (กรุงเทพฯ - โอกินาวา) เปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง

1.2 คาร์เธย์ แปซิฟิค (กรุงเทพฯ - โอกินาวา) เปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง

1.3 ไชน่า แอร์ไลน์ (กรุงเทพฯ - โอกินาวา) เปลี่ยนเครื่องที่ไทเป ไต้หวัน

1.4 EVA airlines (กรุงเทพฯ โอกินาวา) เปลี่ยนเครื่องไทเป ไต้หวัน

โปรดอย่าถามว่าจะเลือกสายการบินไหน ผมก็เลือกฮ่องกง แอร์ไลน์สิครับเพราะราคาถูกสุดแล้วในช่วงปลายปีแบบนี้ รวมถึงเวลาก็ยังโอเคอีกด้วย ตีตั๋วไปประมาณ 8000 กว่าบาทเองงงงงง

2. ต่อเครื่องภายในประเทศญี่ปุ่น เช่น PEACH AIRLINES เป็นต้น

3. บินตรงจากไทย - โอกินาวา (กรณีนี้ต้องรอให้มีการเช่าเหมาลำการบินไทย ซึ่งจะมีการเปิดให้จองอีกทีหนึ่ง) และล่าสุดสายการบินโลวคอสจากแดนปลาดิบ (PEACH AIR) ก็ได้เปิดเส้นทางบินตรงกรุงเทพฯ - โอกินาวาแล้วนะครับ โดยเปิดเส้นทางไปเมื่อ 15 ธันวาคม 2559

เนื่องจากครั้งนี้การไปโอกินาวาผมใช้บริการฮ่องกงแอร์ไลน์ ตอนแรกผมจะไปวันที่ 14 - 17 ธันวาคม แต่ประมาณกันยายน ตุลาคมทางฮ่องกงแอร์ไลน์ได้ส่งอีเมล์เปลี่ยนแปลงเวลาจากที่ออกตอนตี 1:40 น. เป็นออกตอน 03.30 น. การเปลี่ยนเวลารอบนี้จะทำให้แพลนที่ผมวางไว้เสียไปเกือบครึ่งวันทำให้ผมต้องติดต่อกับฮ่องกงแอร์ไลน์เพื่อเปลี่ยนวันจากเดิมเป็น 14 ก็เปลี่ยนมาเป็น 13 ธันวาคม 2559 แทนครับ

เข้าเรื่องต่อดีกว่า ฮ่องกงแอร์ไลน์จะตั้งอยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ แถว K ถ้าเป็นไปได้ก็แนะนำให้ทำการเชคอินออนไลน์ไปก่อนจะดีที่สุดและเพื่อความรวดเร็ว

พอทำการเชคอินออนไลน์จากบ้านมาเรียบร้อย ก็ไปแถว K ตรงช่อง Internet check in เพื่อทำการ Bag drop กระเป๋า โดยการเดินทางไปโอกินาวา พนักงานที่เคาเตอร์จะให้ตั๋วมาสองใบ คือ ใบที่ 1 ( กรุงเทพฯ - ฮ่องกง) และใบที่ 2 (ฮ่องกง - โอกินาวา) ดังนั้นเมื่อถึงสนามบินฮ่องกงแล้วก็สามารถ tansfer ต่อเครื่องได้เลยครับไม่ต้องออกมาหาตม. เพียงแต่ดูรหัสไฟล์ทบินกับเกทแค่นั้นพอ ส่วนกระเป๋าที่โหลดก็จะถูกส่งไปสนามบินปลายทางก็คือ โอกินาวาเลยทีเดียว

สำหรับยุคสมัยที่เน้นโซเชียล ติดต่อญาติ พ่อแม่พี่น้องว่าเดินทางปลอดภัย การเดินทางครั้งนี้ผมตัดสินใจซื้อซิม 2FLY ของ AIS ราคา 399 บาทสามารถใช้ได้ทั้งฮ่องกงและญี่ปุ่น ดังนั้นการซื้อซิมนี้จึงช่วยประหยัดเวลาและปัญหาเวลาไปเที่ยวทั้ง 2 ที่เลยครับ สำหรับใครที่ซื้อซิมนี้แนะนำให้ใส่ก่อนขึ้นเครื่องประมาณ 1-2 ชั่วโมงแล้วก็ทำการโทร *120 แล้วกดโทรออก แล้วค่อยเปิดสัญญาณตอนไปถึงประเทศปลายทาง (ที่ผมไม่เปิดที่ต่างประเทศ กลัวเกิดปัญหาครับ)

หลังจากไปหาอะไรลองท้องที่เลาจน์ของคิงพาวเวอร์แล้ว ผมก็เดินต่อไปยังเกท F5 อยากจะบอกว่าเลาจน์คิงพาวเวอร์นี้ก็อยู่สุดทางเกท A ส่วนเกทเครื่องบินก็อยู่เกท F5 สุดสนามบินอีกฝั่ง เดินลากยาวกันเลยทีเดียว

การเดินทางไปฮ่องกงโดยสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์นั้น นอกจากจะมีผู้โดยสารจากฮ่องกงแอร์ไลน์แล้ว ยังมีผู้โดยสารจากเคนย่าแอร์ไลน์ เอธิฮัดแอร์ไลน์มานั่งด้วย เพราะเป็นสายการบินที่โคกัน

ระหว่างที่นั่งบนเครื่องก็ได้กินขนมปังหนึ่งชิ้นในตำนานที่หลายคนได้กล่าวไว้ (แต่ไม่ได้ถ่ายภาพมา) จากนั้นก็นอนจนถึงสนามบินฮ่องกงตอน 7.30 น.

เมื่อมาถึงมีเวลาประมาณเกือบ 4 ชั่วโมงเลยไปเทอร์มินอล 1 นั่งรถไฟฟ้าไปหาอะไรกินที่เทอร์มินอลนั้นดีกว่า พูดง่าย ๆ คือเดินเล่นในสนามบิน

มาถึงฮ่องกงยามเช้าและอยู่ในสนามบินในช่วงหน้าหนาว ดังนั้นก็ต้องกินโจ๊กฮ่องกงร้อน ๆ ให้ลื่นคอเติมพลังก่อนจะไปโอกินาวา อร่อย โออิชิ สุโค่ยยยยย

หลังจากดื่มด่ำกับโจ๊กฮ่องกงในราคาเฉียดสองร้อยกว่าบาทแล้ว (เหงื่อตกเลยทีเดียว) ก็ได้เวลาดูเกทขึ้นเครื่องว่าได้เกทไหน ปรากฏได้เกท 216 โอ้พระเจ้า นั่นเกทเกือบสุดทางเดินของเทอร์มินอลที่เรามาเลยนะ

เมื่อรู้เกทเรียบร้อยก็ไปนั่งรถไฟกลับไปยังเทอร์มินอลที่มาตอนแรก และเดินไปยังเกท 216 ที่อยู่เกือบสุดเทอร์มินอล ก็เห็นเครื่องบินลำที่คุ้นเคยแล้วแต่ลำนี้ไปซับโบโรจ้า มิใช่ โอกินาวา 5555 ก็นั่งรอต่อไป

ระหว่างรอก็ถ่ายภาพบรรยากาศสนามบินฮ่องกงอันเงียบเหงาของเทอร์มินอล 1 ส่วนฝากไส้ติ่งมาฝากกัน 555


ป้ายเปลี่ยนจากซับโปโร แดนเหนือสุดญี่ปุ่นมาเป็นโอกินาวา แดนใต้สุดของญี่ปุ่นแล้ว


บรรยากาศวังเวง เอวัง คลังนา จากนั้นก็ได้เวลาเดินทางไปยังโอกินาวาที่เฝ้ารอมานานหลายเดือนแล้ว


ระหว่างที่บินใกล้โอกินาวา ก็จะเห็นเกาะต่าง ๆ อยู่เบื้องล่าง อันนี้คล้ายม้าน้ำเลยเนอะ แสดงว่าใกล้ถึงความฝันที่รอคอยแล้ว


ในที่สุดเครื่องบินของเราก็ได้บินมาสู่น่านน้ำ น่านฟ้าของจังหวัดตอนใต้สุด โอกินาวาแล้ว โอ้ ทะเลสีคราม ฟ้าสดใส


พอบินมาเรื่อย ๆ ใกล้สนามบินสีจากน้ำทะเลสีครามก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวมรกตเบื้องล่าง โอ๊ย พระเจ้า นี่หรือฮาวายแห่งญี่ปุ่น เทอช่างดูสวยงามแม้ในหน้าหนาว แต่สายการบินครับช่วยทำความสะอาดกระจกนิดนึงนะครับ ขุ่นเชียว ภาพเลยไม่ค่อยสวยเลย 555


พอเครื่องบินลงจอดตรง Naha international airport แล้วก็จะต้องผ่านตม.ที่เคร่งพอสมควร แต่สู้ศูลกากรญี่ปุ่นไม่ได้ตรวจเข้มยิ่งกว่า ตรวจกระเป๋า เปิดกระเป๋า ลูบคลำตัวเกือบถึงเป้าเลยทีเดียว เหงื่อแตกพลั่กๆๆๆ


พอผ่านด่านตม.และศุลกากรเรียบร้อยแล้ว จากนั้นให้ทุกคนเดินไปยังอาคารบินภายในประเทศ โดยดูป้าย Monorail แล้วเดินตามทางไปเรื่อย ๆ


เมื่อเดินมาถึงอาคารภายในประเทศแล้วก็เข้าไปข้างในอาคารเพื่อขึ้นไปยังชั้น 2 และเดินตามป้ายที่เขียนว่า Monorail ซึ่งอาคารโมโนเรลจะอยู่อีกอาคารหนึ่งครับ

พอเดินไปถึงสถานีโมโนเรล (NAHA KUKO) เพื่อไปซื้อบัตรเพื่อเข้าไปในเมืองนาฮา ปรากฏยังไม่ทันซื้อบัตรก็เจอสามีภรรยาชาวญี่ปุ่นผู้ใจดีมอบบัตร 2 DAY PASS ที่จะหมดอายุวันที่ 14 ธันวาคม 2559 เวลา 12.03 น. ตอนแรกที่เค้ามอบให้ผมแบบตกใจและไม่เชื่อว่าจริง กลัวโดนหลอกจนเค้าบอกว่า ฟรี ใช้ได้ถึงพรุ่งนี้พร้อมกับพาผมไปสแกนบัตร และสอนการสแกนคิวอาร์โค้ดบนบัตรด้วย (คนญี่ปุ่นคู่นี้ใจดีจัง) ทำให้ผมประหยัดตังค์ไปตั้ง 1200 เยน

ภาพจาก : http://www.naha-airport.co.jp/en/access/monorail.htm

OKINAWA MONORAIL

- โอกินาวา เป็นจังหวัดที่ไม่มีเส้นทางรถไฟ รถไฟฟ้าใต้ดิน หรือรถไฟลอยฟ้า มีเพียงการคมนาคมด้วยรถไฟที่เรียกว่า โมโนเรล เท่านั้น

- โมโนเรลที่โอกินาวา เรียกว่า YUI RAIL

- สถานีของ Yui rail นั้นมีเพียง 15 สถานี โดยเริ่มจากสถานีสนามบินนาฮา (Naha airport/Naha koku) จนสิ้นสุดที่สถานีชูริ

- จากสถานีแรกถึงสถานีสุดท้ายจะใช้เวลาเพียงแค่ 27 นาทีเท่านั้น

ภาพจาก : http://www.yui-rail.co.jp/en/faretable.html

- อัตราค่าโดยสารของ Yui rail ต่ำสุด 110 เยน สูงสุดที่ 330 เยน

หมายเหตุ สถานี Kencho-mae ปัจจุบันคือสถานี Prefectural Office Station ดังนั้นสองสถานีคือสถานีเดียวกันนะจ้ะ อย่าสับสน

บัตรโดยสาร Yui rail

บัตรโดยสารจะมีอยู่ 2 แบบดังนี้

- QR 1-day ticket (2-day ticket) บัตรแบบ 1 วันหรือ 2 วัน ซึ่งราคา 700 เยน และ 200 เยนตามลำดับ (ภาพด้านบนเป็นแบบ 2 Day) ซึ่งจะมีอายุการใช้งาน 24 และ 48 ชั่วโมงตามลำดับ เช่น ถ้าซื้อบัตร 1 DAY วันที่ 13 ธันวาคม เวลา 10.07 น. บัตรจะหมดอายุวันที่ 14 ธันวาคม เวลา 10.07 น. ครับ

- บัตรอีกประเภทเรียกว่าบัตร OKICA อันนี้จะดีหน่อยตรงที่นอกจากใช้กับโมโนเรลแล้ว ยังใช้กับรถบัสทั้งในเมืองและวิ่งนอกเมืองได้ด้วย

ดังนั้นจะใช้บัตรแบบไหนก็ขึ้นกับความสะดวกของแต่ละคนครับ ส่วนผมวันแรกได้บัตรฟรีจากคนญี่ปุ่นใจดีก็ขอเที่ยวให้คุ้มกับบัตรก่อนดีกว่า เดี๋ยวเจ้าของจะเสียใจเอาจากสถานีโมโนเรลนาฮะโคคุ ผมก็นั่งโมโนเรลไปที่สถานีโอโมโรมาชิ (Omoromachi station) เพราะผมจองที่พักแถวสถานีนี้ไว้

เมื่อมาถึงสถานีโอโมโรมาชิ ก็จะเจอกับห้าง T Galleria ซึ่งเป็นห้างดิวตี้ฟรีที่มีสาขาในญี่ปุ่นเพียงที่เดียวเท่านั้นคือ โอกินาวา ไม่มีที่จังหวัดอื่นนะจ้ะนายจ๋า นอกนั้นก็จะพบแบรนด์นี้ได้ที่สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเก๊า บลาบลาบลา


บริเวณสถานีโอโมโรมาชิ และห้าง T Galleria มองเห็นส่วนโค้งรางโมโนเรลด้วย

ข้าง ๆ ก็เป็นห้าง T Galleria ที่บอกไปแต่ต้นสำหรับคนชอบชอปปิ้ง ของแบรนด์นี่ห้ามพลาด


ยืนถ่ายรูปบรรยากาศไปสักพัก ตัวเด่นของนาฮามาแล้วครับ นั่นคือ โมโนเรลของโอกินาวาที่ผมนั่งมานั่งเองจะเห็นว่า โมโนเรลมีเพียง 2 ตู้แค่นั้นตอนเช้ากับตอนเย็นจะเบียดขนาดไหนเนี่ย น่ารักไหมครับทุกคน จากนั้นไปดูบรรยากาศรอบ ๆ สถานีโอโมโรมาชิกันเลย


T-GALERRIA


NAHA MAIN PLACE


เดินหาที่พักจนหลงทาง อากูเกิลไม่ช่วยเลยเอ๊ะหรือเราโง่เองไม่เข้าใจมัน


เดินจนเมื่อยกว่าจะหาที่พักเจอ (เดี๋ยวรีวิวที่พักจะแยกเป็นอีกรีวิวหนึ่งนะครับ)

หลังจากเก็บข้าวของที่โรงแรมแถวย่านโอโมริมาชิเสร็จ ก็ได้เวลาเดินเล่นที่ถนนอันโด่งดังของโอกินาวานั่นคือ ถนนโคคุไซโดริ นั่นเอง


การเดินทางไปยัง KOKUSAI DORI : นั่งโมโนเรลลงสถานี Prefectural Office Station (Kencho-mae) หรือลงสถานี Miebashi Station ก็ได้


เมื่อถึงถนนโคคุไซโดริ จะสังเกตเห็นรูปปั้นคล้ายสิงโต คนโอกินาวาเรียกว่า ซีซาร์ ครับ ตั้งเด่นตรงทางเข้าถนนเลย เดี๋ยวผมจะพาไปดูบรรยากาศดีกว่า ถ้าอยากรู้เป็นร้านไหนไปสัมผัสด้วยตัวเองโลดดด

เดินไปสักพักก็สังเกตเห็นร้านหนึ่งที่แปลกตา เหมือนร้านขายยาสมุนไพร เหล้าดองอะไรประมาณนี้


นั่นมัน งูดองนี่หว่าาาาา สรรพคุณช่วยอะไรเนี่ย 555

เดินไปเรื่อย ๆ ก็เห็นโคลลอนไส้สับปะรด ที่เป็นออริจินอลเฉพาะโอกินาวาเท่านั้น รสนี้หาที่อื่นไม่ได้นะจ้ะนายจ๋า (รึป่าวหว่า)


ฺBLUE SEAL @OKINAWA


ท่ามกลางตอนกลางคืนที่ลมพัดผ่านร่างกายต้องหาอะไรอุ่น ๆ มากินเพื่อแก้หนาว เลยตัดสินใจไปกินไอศกรีมบูลซิลดีกว่า (เอิ่ม มันร้อนยังไงหว่า ยิ่งหนาวต้องกินอะไรเย็น ๆ มันจะฟิน)

ร้านไอศกรีม Blue Seal จะพบได้ทั่วไปในโอกินาวา ยิ่งถนนโคคุไซโดริ ไม่ต้องห่วงเจอแทบทุกช่วงตึกดังนั้นไม่ต้องถามว่าจะกินร้านไหน เหมือนกันทุกร้าน 555


ร้าน Blue seal ถ้าสังเกตตราแบรนด์จะคล้ายกับนมโฟร์โมสต์ ซึ่งมีจุดกำเนิดในอเมริกาก็จริงแต่ถูกยกระดับและพัฒนาในโอกินาวา ดังนั้นบลูซิลจึงได้ชื่อว่าเป็นไอศกรีมของโอกินาวา นั่นเอง

PURPLE SWEET POTATO SOFT SREVE


ดังนั้นเพื่อไม่ให้พลาดก็ต้องกินไอศกรีมท้องถิ่นที่ขึ้นชื่อ รสที่ผมกินรสนี้เป็นรสมันม่วงครับที่ชื่อ Beni-imo soft sreve อร่อยหวานนุ่มเลยทีเดียว

หลังจากกินของเย็นเสร็จแล้ว ก็เดินไปตามทางเรื่อย ๆ ก็สังเกต (สังเกตอีกแล้วนะแก) ป้ายสัญลักษณ์คุ้น ๆ แบรนด์ดังจากโอซาก้า นั่นคือ พาลโบ นั่นเอง มีหรือที่จะพลาดข้ามถนนแล้วไปดูดีกว่า


PABLO MINI CHOCOLATE


อันนี้ธรรมดาไปขอผ่าน

PABLO MINI ORIGINAL


อันนี้ก็หากินได้ทั่วญี่ปุ่นและไทย ขอผ่าน

PURPLE OKINAWAN SWEET POTATO


เฮ้ย สายตาก็เหลือบไปเห็นรสชาติที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน นั่นคือ รสมันหวานโอกินาวา นั่นเอง ซึ่งรสชาตินี้ไม่มีขายในจังหวัดอื่นของญี่ปุ่นนะครับ มีขายเฉพาะโอกินาวาเท่านั้น เสร็จเรา

PURPLE OKINAWAN SWEET POTATO CHEESE TART


ชีสทาร์ตก้อนใหญ่รสมันหวานโอกินาวา อันนี้ก็มีเฉพาะโอกินาวาเท่านั้นนะครับ ถ้าจะกินรสชาตินี้ก็มาที่นี่เท่านั้น

ละลายตากับเมนูของหวาน


มินิทาร์ตรสมันหวานโอกินาวา ค่อนข้างอร่อยครับหวานนิด ๆ มีกลิ่นหอมหน่อย ๆ 8/10 พอ

ตลาดสด MAKISHI

เป็นตลาดสดที่อยุ่ในตรอกซอกซอยที่ไม่ไกลจากถนนโคคุไซ ที่จะทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตของคนโอกินาวาได้หรือเบื่อความแออัดพลุกพล่านบนถนนโคคุไซก็สามารถหลีกหนีมาเดินในตลาดแห่งนี้ได้เลย

ฺBENI-IMO KITKAT (PURPLE SWEET POTATO)

คิทแคทถือได้ว่าเป็นของฝากยอดนิยมจากญี่ปุ่น แต่ในแต่ละจังหวัดของญี่ปุ่นก็มีรสชาติประจำจังหวัดนั้น ๆ เช่น คิทแคทชาเขียวก็นึกถึงเกียวโต คิทแคทแอปเปิลชินชูจากนากาโน เป็นต้น ส่วนโอกินาวาก็มีคิทแคทประจำจังหวัดเช่นกัน โดยวัตถุดิบนั้นทำมาจากวัตถุดิบท้องถิ่นที่หาได้ในโอกินาวา ก็คือ มันม่วง นั่นเอง

รสชาติคิทแคทมันม่วงจากโอกินาวา ค่อนข้างหวาน มีกลิ่นมันม่วงเล็ก ๆ


ส่วนอันนี้เป็นทาร์ตมันม่วงจะพบขายอยู่ทั่วไปในโอกินาวา นิยมซื้อเป็นของฝากกันครับ

บรรยากาศตลาดในยามกลางคืน

บรรยากาศถนนโคคุไซยามกลางคืน ที่เต็มไปด้วยเหล่าเด็กนักเรียน เสมือนสยามสแควร์เมืองไทย ซีเหมินติงไต้หวัน ชิบุย่าโตเกียว ประมาณนั้น

DAY 2 : 14 DECEMBER 2016

NAHA - MANZA BEACH

พิพิทธภัณฑ์ OKINAWA PERFECTURAL MUSEUM & ART MUSEUM

ตึกที่เห็นด้านหน้าเป็นพิพิทธภัณฑ์แสดงความเป็นมาของชนชาติริวกิว รวมถึงงานศิลปะทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม เป็นต้น แต่ผมไม่ได้เข้าไปนะครับพอดีต้องไปที่อื่นก่อน

การเดินทาง : นั่งโมโนเรลลงสถานี OMOROMACHI เดิน 5 นาทีจากสถานี

วันที่สองของการอยู่ในนาฮา โอกินาวา ผมจะต้องไปมันซา บีทที่อยู่ทางตอนเหนือของนาฮาในเวลา 11.40 น. ทำให้มีเวลาช่วงเช้าเล็กน้อยผมเลยตัดสินใจจะไปเก็บภาพปราสาทชูริก่อนแล้วกัน ส่วนกระเป๋าก็ฝากที่โรงแรมไว้ก่อน

DAY 2 : 14 DECEMBER 2016

NAHA - MANZA BEACH

บรรยากาศยามเช้า บริเวณสถานีโอโมริมาชิซึ่งบรรยากาศในเมืองนาฮายามเช้าก็ไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไหร่ครับ สบาย ๆ สไตล์เรื่อย ๆ ช้า ๆ

บริเวณสถานีโมโนเรลจะมีแค่สองเส้นทางคือ เส้นหนึ่งไปสนามบินนาฮา ป้ายก็จะเขียนว่า "NAHA KUKO'' ส่วนเส้นที่ไปปราสาทชูริก็จะเป็นเส้นที่เขียนว่า "SHURI"


ภาพด้านบนเป็นบรรยากาศภายนอกหน้าต่างโมโนเรล จะเห็นเมืองนาฮายามเช้าสวยไปอีกแบบ


บรรยากาศภายในโมโนเรล


ในที่สุดก็มาถึงสถานีชูริซะที จากนั้นก็เดินไปตามป้ายที่เขียน Shurijo castle ได้เลย


บันไดชันเชียว ตั้งสติก่อนเมื่อคืนนอนดึกไปหน่อย จากนั้นไปดูบรรยากาศรอบสถานีชูริกันครับ




การเดินทางมาปราสาทชูริ : นั่ง Monorail มาลงสถานีชูริแล้วเดินมายังปราสาท


วันที่สองของการมาอยู่โอกินาวาก่อนที่จะไปมันซะบีท ผมตัดสินใจไปชมปราสาทชูริบริเวณรอบนอกก่อน ส่วนภายในผมจะมาอีกวันหลังกลับมาจากมันซะบีท เพราะถ้าเข้าไปข้างในเวลาคงไม่พอแน่ ๆ ผมหาทางเข้าปราสาทไม่เจอแถมยังเดินผิดทางทำให้ต้องขึ้นเนินที่สูงชันแทน กลายมาเป็นโผล่มาด้านข้างพระราชวังตรงประตู Kyukeimon gate 555

Kyukeimon gate

ประตูคิวไคมอนเป็นประตูด้านนอกของปราสาทชูริโจ หรือชูริ (อันเดียวกันนะ) ตั้งอยู่บริเวณทิศเหนือ กำแพงทำจากหินส่วนด้านบนกำแพงทำมาจากไม้

Zuisenmon Gate

Zuisen มีความหมายว่า ฤดูใบไม้ผลิที่สวยงามและเป็นมงคล ซึ่งชื่อประตูนัมาจากฤดูใบผลิของริวกิว มีชื่อว่า Hikawa-ujo

Roukokumon Gate


Roukokumon Gate

เมื่อผ่านประตู Roukokumon Gate ก็จะเริ่มเจอกับตัวปราสาทสีแดงบริเวณด้านนอก ซึ่งรีวิวตอนนี้ผมจะไม่กล่าวถึงประตูปราสาทมากนะครับ เดี๋ยวจะกล่าวในตอนที่ 2 ทีเดียวเลย

Koufukumon Gate

เมื่อผ่านโควฟุกุมอนเกทแล้ว ผมมีเวลาอีกไม่กี่นาทีต้องรีบไปให้ถึงประตู Houshinmon Gate ก่อนเวลา 8.25 น. แต่ ๆ ไปถึง 8.28 น.แล้ว

Houshinmon Gate

ทำไมต้องไปถึงก่อนเวลา 8.25 น.เพราะเจ้าหน้าที่จะแต่งตัวด้วยชุดโบราณ และทำการตีฆ้องดังกังวาลเป็นจังหวะ และเสียงประกาศ “อุเคโจ(เปิดประตู)"แล้ว ประตูโฮชินมง(Hoshinmon)ซึ่งเชื่อมไปยังสวนหน้าตำหนักหลักแห่งปราสาทชุริก็จะถูกเปิดออก เป็นช่วงเวลาพิเศษในยามเช้าที่มีเสียงดนตรีโบราณแห่งริวกิวดังลอยมาเป็นสัญญาณถึงการเริ่มวันใหม่ของมรดกโลกด้วยเสียงฆ้อง

https://youtu.be/X6t8MPCrQLg

อันนี้เป็นคลิปจากยูทูป ขอบคุณคุณ首里城公園 นะครับ พอดีถ่ายแต่ภาพนิ่ง และไปไม่ทันไปฟังตีเสียงฆ้อง

พอดีเสร็จเจ้าหน้าที่สองคนก็จะมายืนตรงประตู และประตูปราสาทชูริก็จะเปิดรับนักท่องเที่ยวในเวลา 8.30 น.

ส่วนตรงนี้เป็นด้านหลังของประตู Koufukumon ที่เป็นที่จำหน่ายตั่วสำหรับเข้าชมปราสาทด้านใน แต่วันนี้ผมยังไม่พาเข้าไปนะครับ รออีกวันหลังกลับจากมันซะบีทก่อน อิอิ


ประตูตรงนี้เป็นประตู Houshinmon ที่จะเป็นประตูที่ต้องเสียเงินเข้าไปชมด้านในครับ (ตั๋วซื้อได้จากเคาเตอร์ตรงประตู Koufukumon)

วันที่ไปผมตกใจมากว่าเด็กนักเรียนโอกินาวายกทัพมาโจมตีปราสาทชูริหรือยังไงไม่ทราบ มาหลายโรงเรียนมากนับไม่หวาดไม่ไหวเลยกลายเป็นทริปถ่ายเด็กยุ่นแทน


ZUISENMON GATE

เดินจากประตู Zuisenmon ก็จะเจอประตูอีกบาน

KANKAIMON GATE

เมื่อมองลอดผ่านประตู KANKAIMON ก็จะเป็นวิวแบบนี้ครับ แต่ย้อนแสงไปหน่อย (ไม่หน่อยน่าจะมาก)


SHUREIMON GATE

ประตูสุดท้าย แต่จริง ๆ ประตูนี้ต้องเป็นประตูแรกก่อนจะไปเจอปราสาทชูรินะครับ แต่ผมเข้าผิดทางกลายเป็นประตูสุดท้าย นี่แหละวางแผนไม่ดีแต่ก็สนุกไปอีกแบบ

ปราสาทชูริรอบนี้เด็กนักเรียนโอกินาวามาทัศนศึกษากันเยอะเชียว เป็นอาหารตาอย่างดีสำรวจบริเวณรอบนอกปราสาทชูริไปเรื่อย ๆ ก็ได้เวลาปล่อยตัวและใจให้หลงตามทางซึ่งต้องกลับไปเอากระเป๋าที่ที่พักเวลา 10.00 น. มีเวลาหลงทางแถวปราสาทนิดนึง


บรรยากาศถนนบริเวณรอบปราสาทชูริ ดูสวยงามไปอีกแบบเงียบ ๆ สะอาดสะอ้านแถมลมเย็น ๆ พัดผ่าน


เดินไปสำรวจรอบ ๆ ก็มาเจอทางเข้าปราสาทที่แท้จริงแบบไม่ต้องขึ้นเนินอันสูงชัน


นี่ไงทางเข้าปราสาทชูริแบบทางราบเรียบเห็นปราสาทมาแต่ไกลด้วย


ก่อนถึงปราสาทชูริก็จะผ่านมหาวิทยาลัยศิลปะ


และแล้วก็ถึงตัวปราสาทอย่างสมบูรณ์ จากนั้นก็เดินไปตามทางที่เค้ากำหนด 555 สักพักมองนาฬิกาเฮ้ยใกล้จะสิบโมงแล้วรีบเผ่นไปสถานีชูริทันใด ไม่งั้นตายแน่ ๆ

Bezaitendo Shrine and Enganchi Pond


แต่ยังไม่สำนึกก็ยังเดินเล่นต่ออีก เมื่อมาอีกทางที่เป็นทางที่ถูกที่ควรจะเจอกับศาลเจ้า Bezaitendo และสระน้ำ Enganchi ศาลเจ้านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเก็บพระไตรปิฏกที่ได้รับมาจากกษัตริย์ของเกาหลีในยุคนั้น

เมื่อเดินเลยจากศาลเจ้า Bezaitendo แล้วก็มาเจอกับประตูที่ผมหลงมาเจอตอนแรกคือประตู Kyukeimon จะเห็นว่าตัวปราสาทนี้ถูกโอบล้อมด้วยกำแพงที่สูงชันและหนาทีเดียว


มองเห็นปราสาทจากระยะไกล และก็ชำเลืองเวลาอีกรอบก็คิดว่าได้เวลาไปที่พักแล้ว มัวแต่ถ่ายรูปเพลิน ติดตามกันต่อนะครับ


หลังจากชมปราสาทชูริบริเวณรอบนอกเสร็จ ก็รีบเบิ่งมาที่โรงแรมที่สถานีโอโมริมาชิ จากนั้นผมก็นั่งโมโนเรลจากสถานีไปยังสนามบินนาฮาเพื่อขึ้นลีมูซีนบัส


ลีมูซีนบัส คืออะไร

ลีมูซีนบัส คือ รถบัสที่จะรับผู้โดยสารจากสนามบินหรือท่ารถนาฮาไปยังโรงแรมทางตอนเหนือของโอกินาวา ซึ่งจะเป็นโรงแรมระดับ 4 ดาว 5 ดาว โดยการซื้อตั๋วลีมูซีนบัสสามารถซื้อได้ที่อาคารผู้โดยสารภายในประเทศชั้น 1

เส้นทางการเดินรถของลีมูซีนบัสมีทั้งหมด 5 สายเรียงจาก A ไป E ใครพักโรงแรมไหนก็ดูว่าสายที่ตัวเองจะขึ้นอยู่สายอะไร ส่วนผมได้จองที่พักที่ ANA INTERCONTINENTAL MANZA BEACH เอาไว้ก็จะต้องขึ้นสาย C


ข้อมูลลีมูซีนบัส : ดูได้จากลิงค์นี้ครับhttp://okinawabus.com/en/ls/

หรือต้องการดูรถบัสที่วิ่งระหว่างเมืองก็สามารถดูได้ลิงค์นี้ครับ : http://okinawabus.com/eng

พอซื้อตั๋วรถบัสลีมูซีนบัสเสร็จก็เดินไปรอที่ป้ายหมายเลข 12 ตรงหน้าสนามบินนาฮาเจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายเส้นทางครับว่าเดินไปยังไง จากนั้นก็รอรถและเตรียมตัวเดินทางไปตอนเหนือกัน

รถติดก็ชมวิวสะพาน เห็นทะเลสวยงาม

หลังจากนั้นก็เป็นป่าไม้ บ้านเรือนชาวบ้าน และจากนั้นขอหลับต่อดีกว่า เดี๋ยวผมจะมาบอกว่าทำไมผมถึงไปพักที่ ANA MANZA BEACH ยอมเก็บเงินเพื่อไปพักเลยทีเดียว (ผิดสไตล์แบกเป้ของตัวเองมาก) แต่ถือให้กำไรชีวิตเนอะ ครั้งหนึ่ง

นั่งลีมูนซีนบัสมาเป็นเวลาประมาณ 98 นาที เกือบสองชั่วโมงก็มาถึงโรงแรม ANA INTERCONTINENTAL MANZA BEACH แล้วครับ เป็นที่พักที่แพงสุดแล้วและผิดคอนเซปตัวเองอย่างแรกเนื่องจากส่วนใหญ่เดินทางก็จะเป็นโฮสเทล เกสเฮาส์มากกว่า แต่ที่เลือกที่นี่เพราะว่าบรรยากาศโดยรอบ รวมถึงราคาในช่วงหน้าหนาวจะถูกครึ่งหนึ่งจากช่วงไฮซีชันประกอบกับเป็นรางวัลชีวิตให้ตัวเองด้วย 5555

ผมจองที่พักประมาณเดือนพฤษภาคมราคาก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ไปในแต่ละเดือนโดยผมรีเควสว่าขอชั้นบน ๆ ทางโรงแรมก็จัดให้ชั้น 6 มันก็ไม่บนนะมันกลาง ๆ มากกว่าจากทั้งหมด 9 ชั้น

วิวจากห้องที่ผมได้ก็จะเห็นโบสถ์อยู่ตรงหน้าและวิวทะเลที่เป็นฝั่งทะเลสีครามและสีเขียวมรกตอีกด้านหนึ่ง ดูสวยงามไปอีกแบบ มาดูบรรยากาศในห้องพักกันบ้าง

บรรยากาศห้องพักของผมชั้น 6 ครับบรรยากาศค่อนข้างดี เสียแต่อากาศข้างนอกครึ้มฟ้าครึ้มฝน สลับแดดออกเดาใจไม่ถูกเลย หลังจากเก็บข้าวของเสร็จไปสำรวจโรงแรมกันดีกว่า


สระว่ายน้ำที่มีน้ำอยู่เต็มแต่ไร้คนว่ายน้ำ เพราะอากาศมันเย็น ซึ่งระหว่างเดินสำรวจโรงแรมทางโรงแรมก็มีทางเดินเลียบชายหาดด้วยครับ อุตส่าห์พกขาตั้งกล้องไปแต่ไม่ได้ใช้เพราะลมแรงมากกกกกกกก (ก ล้านตัว)

ระหว่างเดินเลียบชายหาดก็จะเจออุโมงค์ให้ลอดสนุก ๆ


เดินไปสักพักก็จะเจอชายหาดที่ไร้ผู้คน

พอเดินเสร็จก็จะเป็นทางขึ้นอีกทางก็จะเห็นวิวทะเลอีกแบบ


เดินชมวิวได้สักพัก สูดอากาศก็เดินกลับโรงแรมไปเดินเส้นทางเลียบชายหาดอีกด้านหนึ่ง ก็จะเป็นอีกแบบหนึ่งแต่ก็ต้องผ่านสระน้ำก่อนนะ


เดินชมได้สักพักก็ไปสำรวจด้านหน้าโรงแรม ตรงโบสถ์ของโรงแรม


โบสถ์ของโรงแรมจะใช้ประกอบพิธีแต่งงานครับ บรรยากาศคงฟินน่าดูเลย


ระหว่างที่สำรวจฟ้าก็เริ่มครึ้ัมอีกรอบและลมก็เริ่มแรง ดังนั้นกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อนก่อนดีกว่า แล้วผมจะพาไปกินอาหารสไตล์โอกินาวาครับ

ณ เวลายามมืดใกล้มาเยือน ได้เวลาเดินข้างล่างไปชมบรรยากาศกัน


ตรงบริเวณสระน้ำของโรงแรมก็มีการประดับไฟสีน้ำเงินเล็ก ๆ ด้วยนะครับ


ช่วงเทศกาลสิ้นปีการได้อยู่ท่ามกลางอากาศเย็น ๆ ไฟสีสวย ๆ ต้นคริสต์มาสที่ประดับไฟพร้อมกับฟังดนตรีทำให้ความสุขกลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง


บรรยากาศโรงแรมในยามกลางคืนครับ ตอนนี้ผมก็รอเวลา 20.00 น.เพื่อไปกินอาหารที่ห้องอาหารบุฟเฟต์สไตล์โอกินาวา


ห้องอาหารสไตล์โอกินาวาบุฟเฟต์ครับ ตอนเย็นจะมี 2 รอบคือรอบ 18.00 น. และรอบ 20.00 น.และก็จะมีการแสดงพื้นเมืองตามสไตล์โอกินาวาด้วยในแต่ละรอบรอบละประมาณ 30 นาที


ต่อไปผมจะพาไปสำรวจอาหารโอกินาวาในห้องอาหารแห่งนี้กันว่ามีอะไรบ้าง รอติดตามได้เลย

TIME TO EAT @ ANA INTERCONTINENTAL MANZA BEACH


เมื่อเข้ามาในตัวร้านอาหารก็จะเจอชุดที่เรียกว่า 紅型 bingata บิงงะตะ ตั้งเด่นบนเวทีซึ่งชุดนี้เป็นชุดประจำจังหวัดโอกินาวา หรืออาณาจักรริวกิวแต่เดิม สีเสื้อค่อนข้างจะสดเลยแตกต่างจากกิโมโน หรือยูคาตะบนแผ่นดินใหญ่ ตอนนี้มาดูเมนูอาหารที่เป็นอาหารท้องถิ่นสไตล์โอกินาวากันบ้างครับ ดังนั้นเพือที่จะเข้าใจวิถีชีวิตแบบฉบับคนโอกินาวาและมาดูอาหารว่าทำไมคนโอกินาวาถึงได้ชื่อว่ามีอายุกันดีกว่า


1.OKINAWA STYLE SPICY SAUCE FRITTER & HAMBERGER STEAK

(รูปบนซ้าย OKINAWA STYLE SPICY SAUCE FRITTER และขวา HAMBERGER STEAK ตามลำดับ)

2. UCHINA TEMPURA (OKINAWA SPECIALS TEMPURA)

เทมปุระสไตล์โอกินาวาคือ การเอามันม่วงมาชุบแป้งแล้วทอดนั่นเอง อร่อยไปอีกแบบนะครับ โดย Uchina มีความหมายถึง ชาวโอกินาวาท้องถิ่น โดยเทมปุระนี้จะใช้ส่วนประกอบจากท้องถิ่นที่ได้รับความนิยม เช่น มันฝรั่ง (Red potato) ที่อุดมด้วยแร่ธาตุ Goya หรือมะระที่อุดมไปด้วยวิตามิน และ Mozuku ที่เป็นสาหร่ายทะเล

3. GOYA CHAMPURA

GOYA CHAMPURA หรือแปลแบบไทย ๆ ก็คือ ผัดมะระญี่ปุ่น ซึ่งถือได้ว่าเป็นอาหารประจำของโอกินาวาที่ไม่ต่างจากของไทยเท่าไหร่ ซึ่งอาหารประเภทนี้อุดมไปด้วยวิตามินซี แคโรทีนและโปรตีน อาหารชนิดนี้ช่วยในเรื่องการฟื้นฟูร่างกาย Champura หมายถึงการรวมหรือผสม ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของโอกินาวาครับ

4. NABERA

NABERA หมายถึง Sponge cucumber หรือแตงกวาที่มีรูปร่างเหมือนฟองน้ำในภาษาถิ่นของโอกินาวา ซึ่ง Sponge cucumber ได้รับความนิยมในการนำมาใช้เป็นส่วนผสมของอาหารทั้งในบ้านและภัตตาคาร

5.GREEN PAPAYA CHAMPURA

เป็นผัดมะละกอของโอกินาวาที่ทำจากมะละกอสองชนิด ผักและผลไม้ ในเอเชียตะวันออกมะละกอถูกนำมาใช้เป็นสลัด แต่ในโอกินาวามะละกอเหล่านี้จะถูกนำมาทำเป็นอาหารผสมเนื้อและผักเข้าไป ตามสไตล์ Champura

6. RAFUTE (PORK RIBS)

RAFUTE (PORK RIBS) มีวัฒนธรรมมาจากอาหารจีนที่เรียกว่า Dong Po Rou หรือหมูซีอิ๊ว คล้าย ๆ พะโล้ของบ้านเรา

7. TACO RICE

Taco rice เป็นเมนูที่เกิดในเมือง Kin ครั้งแรกถูกทำให้ทหารสหรัฐอเมริกา เนื่อสัตว์สับปรุงรสแล้ววางบนข้าว ตามด้วยชีส ผักกาดหอม มะเขือเทศ แล้วราดด้วยซอสทาโก้สูตรพิเศษของโอกินาวา โดยจะเสิร์ฟกันแบบจานโตชนิดที่ว่าคนเดียวทานไม่หมดกันเลยล่ะ

8. TABICHI

TABICHI (ขาหมูตุ๋น) เป็นอาหารที่กินในประเทศจีนและเอเชียตะวันออก ซึ่งเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจน

9. OKINAWAN DOUGHNUT

SATA ANDAGEE – OKINAWAN DOUGHNUT

SATA หมายถึง น้ำตาล ANDA หมายถึง น้ำมัน AGEE หมายถึง การทอด (เป็นภาษาถิ่นของโอกินาวา)

โดนัดชนิดนี้เป็นโดนัทท้องถิ่นที่ได้รับความนิยม ข้างนอกกรุบกรอบ ข้างในนุ่ม

10. KOKUTO

KOKUTO LOCAL BROWN เป็นของกินในโอกินาวาที่ถูกจัดเตรียมเพื่อขอพรให้มีสุขภาพแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย เป็นขนมที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากจีน และรับประทานโดยการม้วนแผ่นแป้งบางๆ ที่มีลักษณะคล้ายกับขนมเครป รสชาติของขนมจะคล้ายกับฮอตเค้กและให้ความรู้สึกถึงความหวานนิดๆ ขนมชนิดนี้อาจเรียกว่าอีกอย่างว่า Chinbin (ちんびん)

11. UMIBUDO

Umibudo สาหร่ายองุ่นทะเล สาหร่ายทะเลแสนอร่อยมีลักษณะเป็นผลเล็กๆลูกกลมๆ ทานแล้วเหมือนไข่ปลาแซลม่อนที่แตกตัวในปาก รสชาติเค็มนิดๆ ทานคู่กับน้ำจิ้มปอนสึอร่อยเข้ากันได้เป็นอย่างดี อันนี้ผมก็เอาตัวอย่างในห้องอาหารสไตล์โอกินาวาบุฟเฟต์มาให้ชมกันครับ ดังนั้นถ้าใครอยากลิ้มลองอาหารพื้นเมืองท้องถิ่นแบบให้คุ้มค่าก็แนะนำร้านอาหารแนว ๆ นี้ครับที่จะทำให้เรามีเวลาได้ทำความรู้จักกันจนอิ่มกันเลยทีเดียวเมื่อใกล้เวลา 20.45 น. ไฟในห้องอาหารก็ดับลงเป็นสัญญาณบอกว่าการแสดงฉบับโอกินาวาได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

เออิซ่า

ประเพณีการเต้นรำบงโอโดริของโอกินาว่า เรียกว่า “เออิซ่า" เป็นการแสดงที่เร้าใจและสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก กล่าวกันว่าต้นกำเนิดการเต้นรำนี้มาจากการเต้นรำเพื่อสักการะเทพเจ้า การเต้นรำจะมีลักษณะคล้ายกับการเต้นรำบงโอโดริในญี่ปุ่น แต่ที่นี่จะเป็นการเต้นรำเพื่อเซ่นไหว้บรรพบุรุษในวันคิวบง ทั่วทั้งเกาะโอกินาว่าจะมีการจัดงานขึ้นเพื่อแสดงความเคารพและขอพรต่อบรรพบุรุษ เช่น ขอให้สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บใดๆ ขอให้ครอบครัวปลอดภัย เป็นต้น ในโอกินาว่ายังมีเพลงประจำเกาะ “ชิมะอุตะ" เป็นเพลงเก่าที่ถ่ายทอดจากรัชสมัยกษัตริย์ริวกิวมายังประชาชนธรรมดา ปัจจุบันนี้มีการปรุงแต่งเพลงเก่าอย่างโอกินาว่ามินโย เป็นดนตรีแนวป็อปที่แทรกซึมอยู่ในวิถีการใช้ชีวิตประจำวันไปแล้ว (ข้อมูลจากเว็บ http://ocvbth.namjai.cc/e47737.html)

หลังจากดูการเต้นรำเออิซ่าเสร็จเรียบร้อย ต่อไปก็จะเป็นการเต้นรำพื้นเมือง

ริวกิว บุโย (การรำพื้นเมือง)

เครื่องแต่งกายตามแบบฉบับโอกินาวาครับ ซึ่งสีเสื้อที่ดูสดงดงามแดงตัดกับสีเหลือง บ่งบอกถึงสภาพภูมิอากาศเขตร้อนได้เป็นอย่างดีเลย ประกอบกับการแสดงที่มีเสียงดนตรีประจำท้องถิ่นที่ขาดไม่ได้ในการแสดง “ซันชิน" เป็นเครื่องดนตรีประเภทสาย มีเสียงอันไพเราะและสร้างสีสันให้กับ “ริวกิว บุโย" การรำพื้นเมืองเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยของกษัตริย์ริวกิว มีไว้แสดงรับแขกบ้านแขกเมืองในปราสาท เรียกว่า “โกเตง บุโย" มาถึงสมัยที่ศิลปะการร่ายรำจากเมจิเข้ามามีอิทธิพล และขยายเข้ามาสู่ประชาชนโดยทั่วไป เรียกการรำแบบนี้ว่า “โซอุโดอิ" ปัจจุบันนี้มีการประยุกต์และปรับแต่งท่ารำมากขึ้น เรียกว่า “โซซาคุ บุโย" ต่อไปก็เป็นการแสดงที่สร้างความระทึกให้กับผู้ชม

นั่นคือ การแสดงของซีซาร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัตว์ตามความเชื่อของชาวโอกินาวาครับ จะสังเกตว่าตามบ้านเรือนผู้คน โรงแรม สถานที่ต่าง ๆ จะประดับไปด้วยซีซาร์ การแสดงนี้จะคล้ายประเทศไทยก็เหมือนเชิดสิงโต เชิดมังกรประมาณนั้นเห็นไหมว่าโอกินาวาก็คล้ายไทยอยู่นะ การแสดงนี้ซีซาร์จะไม่ได้อยู่ตรงเวทีอย่างเดียว เธอลงมาเล่นกับผู้ชมด้วยแอบหวาดเสียว 5555


หลังจากการแสดงของซีซาร์เสร็จแล้วก็มีการแสดงอีก 2 ชุดครับต่อไม่รู้เรียกว่าอะไร แต่ก็สนุกไปอีกแบบที่ได้สัมผัสวัฒนธรรมริวกิว (โอกินาวา) ที่มีศิลปะผสานระหว่างจีน ญี่ปุ่น พอการแสดงเสร็จลง นักแสดงบนเวทีก็จะเรียกผู้ชมให้ไปร่วมสนุกโดยให้ขึ้นไปเต้นระบำ และตีกลองแบบชาวโอกินาวา

นักแสดงก็เรียกให้ผู้ชมขึ้นบนเวที ซึ่งผมก็ถูกเรียกให้ขึ้นไปแสดงเหมือนกันแต่นักแสดงพูดภาษาญี่ปุ่น ผมฟังไม่ออกเลยบอกนักแสดงผู้หญิงที่ใส่เสื้อแดงว่า ผมไม่เข้าใจ นักแสดงหญิงคนนั้นก็บอกว่า ให้ดูตามฉันนะแล้วทำตาม 555 หลังจากนั้นก็เต้นตามนักแสดงประมาณ 4-5 รอบก็สนุกดีครับ แต่เสียดายผมไปคนเดียวเลยไม่มีคนถ่ายคลิป ที่ไปคนเดียวเพราะทุกคนปฏิเสธที่จะไปโอกินาวากับผมหมดเลย เสียใจ แต่ถามว่าง้อไหม ก็อย่าได้แคร์ เดินหน้า


พอพวกผมได้ละเล่นตามแบบฉบับโอกินาวาเสร็จแล้ว ก็ถ่ายรูปรวมเป็นที่ระทึก เอ้ย ระลึกว่าครั้งหนึ่งได้มาสัมผัสวัฒนธรรมแบบโอกินาวาแล้วนะ หลังจากนั้นก็ขึ้นไปพักผ่อนหลังจากเหนื่อยจากการเดินทาง


ส่งท้ายคืนวันที่สองด้วยภาพโบสถ์ของโรงแรมในยามกลางคืนครับ แต่รีวิวยังไม่จบนะครับรอติดตามตอนต่อไปได้เลย ผมจะพาไปดูสถานที่เดิม ๆ แต่คนละเวลาว่าบรรยากาศจะเป็นอย่างไรบ้าง


DAY 3 : 15 DECEMBER 2016

ANA INTERCONTINENTAL MANZA BEACH

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอเมื่อยามมีความสุข เผลอแพรบเดียวก็มาสู่วันที่ 3 ของการเดินทางในโอกินาวา ในตอนเช้าผมก็ลงไปกินอาหารในโรงแรมที่ห้องอาหาร AQUA BELLE ซึ่งอาหารก็มีทั้งอาหารคาว หวานตามปกติ


อันนี้แซลมอนย่าง กับมะระดองหรือเปล่าไม่แน่ใจ


ขนมปังของทางโรงแรมดูน่ากินมากกกกกก (ก ล้านตัว)


บรรยากาศห้องอาหาร AQUA BELLE บรรยากาศตอนเช้าวันที่สามนั้นฟ้าก็ออกครึ้มครับ แต่ก็ยังสดใสกว่าเมื่อวาน หลังกินอาหารเช้าเสร็จก็ได้เวลาเดินย่อยอาหารที่บริเวณด้านนอก มาดูบรรยากาศยามเช้าของอีกวันดีกว่า


คลื่นแรงมากจะเห็นว่าตรงระเบียงเต็มไปด้วยน้ำทะเล


มองไกล ๆ จะเห็นหินคู่กันอยู่แต่ไม่รู้เรียกว่าอะไร


หลังจากชมวิวท่ามกลางท้องฟ้าที่อึมครึมยามเช้าเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาขึ้นไปเก็บข้าวของเตรียมเชคเอาท์เพื่อเดินทางกลับนาฮา แต่ระหว่างที่จัดกระเป๋า อยู่ ๆ พระเจ้าก็ได้ให้แสงแดดส่องมายังท้องทะเลแห่งโอกินาวา จนตกตะลึงในความงาม


ด้านทะเลที่อยู่ฝั่งโบสถ์จะเห็นเป็นสีน้ำเงินคราม ตัดกับแสงแดดยังไม่สวยเท่าไหร่แต่อีกด้านที่เป็นน้ำทะเลสีเขียวมรกตตัดกับแสงแดดยามเช้า ฟ้าครึ้ม ๆ ก็สวยไปอีกแบบนะครับทุกคน หลังจากเห็นความงามเสร็จเรียบร้อยแล้วปรากฏแดดมาแค่ 15 นาทีหลังจากนั้นสภาพอากาศกลับสู่ภาวะปกติคือ อึมครึมต่อ


เก็บข้าวของเสร็จก็ทำการเชคเอาท์ และติดต่อซื้อตั๋วลีมูซีนบัสกลับไปนาฮาซึ่งรถเที่ยวแรกคือเวลา 9.00 น.ไปถึงท่ารถนาฮาประมาณ 10.38 น.ครับ หลังจากชมบรรยากาศระหว่างทางดีกว่า


รถแล่นผ่านได้สักพักทะเลเริ่มหายไปกลายสภาพเป็นบ้านเรือน ภูเขาและต้นหญ้า


หลังจากนั้นผมก็นั่งรถลีมูซีนบัสมาลงที่ป้ายท่ารถนาฮา (Naha terminal Bus) ครับเพื่อเดินทางไปฝากกระเป๋าที่เกสท์เฮาส์ที่อยู่ใกล้ถนนโคคุไซ โดริ

สรุปการเดินทางเยี่ยมเยือนโอกินาวาตอนที่ 1


การเดินทางไปโอกินาวา : 13 - 17 ธันวาคม 2559

สายการบิน : ฮ๋องกงแอร์ไลน์ (Hong Kong Airlines)

ที่พักในโอกินาวา : นาฮา (วันที่ 1) โรงแรม สตอร์ก สถานี Omoromachi 997 บาท/คืน

มันซะบีท ออนนะ (วันที่ 2) เอเอ็นเอ อินเตอร์คอนทิเนนทัล มันซะบีช รีสอร์ท 5796.80 บาท/คืน รวมอาหารเช้า

นาฮา (วันที่ 3-5) Minshuku Getto สถานี Kenchomae 6000 เยน/2คืน (คืนละ 3000 เยน)


*ที่พักสไตล์ผมจะเป็นโฮสเทล หรือเกสท์เฮาส์ราคาไม่แพงเกินไปครับ ส่วนที่มันซะแพงหน่อยเพราะผมถือว่าขอไปพักร้อนสักคืน 555 ส่วนแผนการเดินทางผมจะมาบอกอีกทีครับ ในรีวิวตอนหน้าครับ

ความคิดเห็น