ทริปนี้เราไปเที่ยวประเทศรัสเซียเป็นเวลา 19 วันค่ะ โดยเริ่มจากเมือง Irkutsk ไปทะเลสาบไบคาล นั่งรถไฟทรานไซบีเรียจากเมือง Irkutsk ไปสุดสายที่เมือง Moscow เที่ยวเมืองหลวง แล้วบินไปล่าแสงเหนือที่เมือง Murmansk จากนั้นบินต่อไปยังเมือง Saint Petersburg >> อ่านได้ที่บล็อคนี้นะคะ https://th.readme.me/p/75019


นี่คือโปรแกรมของเรานั่นเอง โดยวันที่ 7-10 ของทริป นั่นคือ 10 - 13 มีนาคม 2568 เราจะอยู่บนรถไฟทรานไซบีเรีย ซึ่งเป็นรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก เชื่อมระหว่างดินแดนตะวันออกที่เวิ้งว้าง ไปยังดินแดนตะวันตกที่พลุกพล่านของประเทศรัสเซีย แต่เนื่องจากเราไปเที่ยวทะเลสาบไบคาล เราจึงขึ้นรถไฟที่เมือง Irkutsk ซึ่งเป็นเมืองประตูสู่ทะเลสาบน้ำแข็ง ไปสิ้นสุดที่เมืองหลวง กรุง Moscow ระยะทาง 5,185 กิโลเมตร ใช้เวลาบนรถไฟ 84 ชั่วโมง 38 นาที ผ่านทั้งหมด 6 time zone ด้วยกัน ซึ่งเส้นทางนี้เป็นเส้นทางรถไฟในฝันของเรามา 10 กว่าปีแล้วค่ะ ก่อนที่จะฮิตในเมืองไทยด้วยซ้ำ แต่เพิ่งมีโอกาสได้ไป ด้วยความที่ชอบเที่ยวมากๆ เลยอยากลองนั่งรถไฟข้ามเมืองในต่างประเทศดู

มารู้จักรถไฟสายทรานไซบีเรีย (สีแดง) เป็นรถไฟที่ยาวที่สุดในโลก เชื่อมต่อระหว่างกรุงมอสโคว์ (Moscow) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกของรัสเซีย กับ เมืองวาดิวอสต็อก (Vladivostok) ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของรัสเซีย ระยะทาง 9,289 กิโลเมตร คนบนรถไฟส่วนใหญ่แล้วเป็นคนรัสเซีย ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวนะ
รถไฟทรานมองโกเลีย (สีเขียว) จะเริ่มต้นจาก Beijing หรือปักกิ่ง ประเทศจีน ผ่านเมือง Ulan Bator ประเทศมองโกเลีย แล้วไปสิ้นสุดที่เมือง Ulan Ude ประเทศรัสเซีย
รถไฟทรานแมนจูเรีย (สีเหลือง) จะเริ่มต้นจากปักกิ่ง ผ่านฮาร์บิน แล้วไปสิ้นสุดที่เมือง Chita ประเทศรัสเซีย
ซึ่งต้องบอกว่า คนไทยหลายๆ คนมักเข้าใจผิดว่า ทรานไซบีเรีย เริ่มต้นจากปักกิ่ง ซึ่งจริงๆ แล้ว ไม่ใช่เลย เพียงแค่คนไทยมักจะบินไปเที่ยวปักกิ่งก่อน แล้วนั่งรถไฟทรานมองโกเลียเพื่อมาเชื่อมต่อกับรถไฟทรานไซบีเรียต่างหาก

รถไฟจากเมือง Irkutsk ไป Moscow มีหลายขบวนด้วยกัน ซึ่งแต่ละขบวนจะใช้เวลาไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจอดสถานีไหนบ้าง จอดนานแค่ไหน
เราเลือกขบวน 001 Rossiya ซึ่งเป็นขบวนรถไฟทรานไซบีเรียที่แท้จริง วิ่งสุดสายจาก Vladivostok ไป Moscow (ซึ่งบางขบวนจะไม่ได้เริ่มจาก Vladivostok นะ เริ่มจาก Ulan Ude บ้าง เริ่มจาก Chiba บ้าง แต่ก็ไปสุดสายที่ Moscow เช่นกัน) ออกเดินทางจากสถานี Irkutsk Passazhirsky เมือง Irkutsk เวลา 3.32 ถึงสถานี Moskva Yaroslavskaya เมืองมอสโคว์ เวลา 11.10 ในอีก 3 วัน
สำคัญมากๆ ด้วยความที่รัสเซียเป็นประเทศที่ใหญ่ ประกอบไปด้วย 11 time zone เวลาที่แสดง คือ เวลาท้องถิ่นของเมืองนั้นๆ ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วรถไฟ ตั๋วเครื่องบินใดๆ ก็ตาม ดังนั้น เราอยู่เมืองไหน ก็ดูเวลาตามเวลาท้องถิ่นเมืองนั้นได้เลย
การจองตั๋วรถไฟ
สามารถเข้าไปเช็ครอบรถไฟ และที่นั่งได้ที่เว็บนี้ค่ะ >> https://www.russiantrain.com/
แต่ตอนเราซื้อตั๋วจริงๆ ฝากนักเรียนคนไทยที่รัสเซียซื้อให้ ซึ่งเป็นการซื้อตรงกับการรถไฟรัสเซีย จะได้ราคาถูกกว่าในเว็บนี้เกือบเท่าตัว ซึ่งก็แจ้งข้อมูลว่าต้องการวัน เวลา และที่นั่งไหนให้น้องนักเรียนจัดการให้ และโอนเงินไทยให้ค่ะ หรือ จะฝากแอดมินเพจเที่ยวรัสเซียก็ได้เช่นกัน
- ติดต่อน้องแมงปอ นักเรียนไทยที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก Whatsapp : +79669246395
- ติดต่อแอดมินเพจเที่ยวรัสเซีย Whatsapp : +66967403766
เราเดินทางกลับมาจาก Olkhon Island (ทะเลสาบไบคาล) ถึงเมือง Irkutsk ตอนทุ่มครึ่ง ก็เลยทานมื้อเย็นเสร็จ แล้วนั่งรถ Tram ไปสถานีรถไฟเลย มาถึงตั้งแต่ 20.26 น. ไวมาก ซึ่งด้านในสถานี มีที่นั่งรอเพียบ มีที่ชาร์จแบต มีห้องน้ำให้เข้า มี wifi ให้ใช้ด้วย สบายๆ ปลอดภัยมากค่ะ


จะมีบอร์ดแจ้งขบวนรถไฟ เวลาที่รถไฟมาถึง เวลารถไฟออกจากสถานี และชานชาลา

ตามตาราง รถไฟเราจะมาถึงเวลา 2.52 ดังนั้นพอใกล้ๆ เวลา จะปรากฎเลขชานชาลาค่ะ เราก็ไปชานชาลากดลิฟท์ไปชั้น -1 เพื่อขึ้นรถไฟได้เลย โดยการตรวจตั๋ว จะมีเจ้าหน้าที่ประจำโบกี้ตรวจตรงชานชาลาก่อนขึ้นรถ บางสถานีก็ไปตรวจบนรถไฟ ซึ่งเค้าจะเช็ค passport กับข้อมูลการจองในระบบของเค้า เราไม่จำเป็นต้องปรินท์ตั๋วไปก็ได้นะ แต่เราก็ปรินท์ไปเผื่อเพื่อความอุ่นใจ



ขบวนนี้ เราไม่เห็นรถไฟชั้น 1 นะคะ เลยจะเล่าแค่ รถไฟชั้น 2 และชั้น 3 เท่านั้น
รถไฟชั้น 2
แต่ละโบกี้ของรถไฟชั้น 2 จะแบ่งเป็นห้องย่อยๆ มีประตูปิดเป็นสัดส่วน ห้องนึงนอนได้ 4 คน เตียงชั้นบน และชั้นล่างค่ะ


ซึ่งเราเดินทางกันแค่ 2 คน เลยตัดสินใจว่าเลือกชั้น 3 ดีกว่า เพราะยังไง เราก็ต้องนั่งรวมกับคนอื่นอยู่ดี และเราคิดว่าการนั่งอยู่ในห้องแคบๆ ตลอด 84 ชั่วโมง อาจจะอึดอัด ไม่น่าเวิร์ค และเราก็คิดถูกค่ะ ซึ่งถ้าตอนนี้เราเดินทาง 4 คน ก็จะเลือกรถไฟชั้น 3 อยู่ดี ไปดูรถไฟชั้น 3 กัน
รถไฟชั้น 3
รถไฟชั้น 3 จะต่างกับชั้น 2 ตรงที่ในแต่ละโบกี้ ไม่มีประตูกั้นเป็นห้องๆ แค่นั้นเอง จะเปิดโล่งเลย ทั้งหมด 54 เตียง จะเห็นกันได้หมด (ซึ่งระหว่างแต่ละโบกี้ จะมีประตูกระจกกั้นนะ) ซึ่งเราชอบตรงที่มันไม่อึดอัด และได้ทำความรู้จักเพื่อนใหม่ด้วย

ซึ่งจะมีเตียง 2 ฝั่ง ฝั่งซ้ายเป็น 4 เตียงบนล่าง


ส่วนฝั่งขวาเป็น 2 เตียงบนล่าง ซึ่งเตียงล่างสามารถปรับเป็นโต๊ะหันหน้าเข้าหากันได้


แน่นอนค่ะ เราไป 2 คนเลยเลือกแบบด้านขวา เวลากลางวัน เราก็ปรับเตียงล่างเป็นโต๊ะ นั่งหันหน้าเข้าหากัน พอกลางคืนจะนอน ก็ปรับเป็นเตียงได้


รถไฟสะอาดมากนะ แม่บ้านมาทำความสะอาดอยู่ตลอด เดี๋ยวก็มาเช็ดๆ ถูๆ ตลอดเวลาจริงๆ บริการดีสุดๆ อุณหภูมิบนรถไฟ ประมาณ 26 องศาเซลเซียส ใส่เสื้อผ้าสบายๆ ได้เลย
ทุกเตียงก็จะมีฟูกวางไว้ให้นะคะ พอขึ้นรถไฟเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็จะแจกผ้าปูเตียง และผ้าห่มให้ ซึ่งแพ็คมาใหม่ๆ สะอาด และเราต้องเก็บทั้งหมดไปคืนก่อนจะลงจากรถไฟในวันสุดท้ายด้วยนะ ซึ่งผ้าปูเตียง ผ้าห่ม หลายๆ คนก็เอามากั้นเป็นม่าน เพื่อความเป็นส่วนตัวเวลานอนได้ค่ะ

ทุกเตียงจะมีที่ชาร์จไฟได้นะ ไม่ต้องกังวลเลย หัวปลั๊กที่รัสเซียจะเป็นขากลม 2 ขา อย่าลืมเอา universal adaptor มากันนะ

มาดูสิ่งอำนวยความสะดวกในรถไฟกัน แต่ละโบกี้ จะมีตู้ขายของให้ซื้อ พวกบะหมี่สำเร็จรูป น้ำอัดลม ชา กาแฟ ไอติมก็มีขายค่ะ และมีที่กดน้ำร้อน น้ำเย็นฟรีด้วย ดังนั้นไม่จำเป็นต้องแบกน้ำดื่มขึ้นไปเลย เราซื้อน้ำ 1.5 ลิตร ขึ้นไป 2 ขวด แบกขึ้นไปยังไง ก็แบกลงมาแบบนั้น ไม่ได้ใช้เลย เพราะกดน้ำเย็นบนรถไฟตลอด อิอิ อ้อ แต่ต้องเตรียมขวดน้ำ หรือแก้วน้ำไปกดนะ


แต่ละโบกี้ จะมีห้องน้ำ 2 ห้อง เป็นห้องน้ำ 1 ห้อง และ ห้องน้ำ+ห้องอาบน้ำอีก 1 ห้อง ซึ่งการจะเดินไปห้องน้ำเนี่ย ก็ต้องผ่านประตูกระจกก่อน ไม่ต้องกังวลเรื่องกลิ่น แต่ถ้านอนต้นโบกี้ จะใกล้กับตู้ขายของ หรือท้ายโบกี้ จะใกล้กับห้องน้ำ ซึ่งอาจจะเสียงดังได้ เพราะคนเดินเข้าเดินออก แนะนำให้นอนกลางๆ ค่ะ
และถ้าใครจะอาบน้ำ ต้องแจ้งเจ้าหน้าที่ เค้าจะมาเปิดน้ำให้ ครั้งละ 150 รูเบิลต่อคน บอกเลยว่าห้องน้ำสะอาดมากนะ แม่บ้านทำความสะอาดทุกชั่วโมง ส่วนชักโครกเป็นแบบดูดสุญญากาศเหมือนบนเครื่องบินค่ะ


เราเตรียมพร้อมมากกับของกิน ขนเสบียงมาเยอะมากๆ อิ่มเอมทุกมื้อเลย มีทั้งขนมาจากเมืองไทย ส่วนขนมปัง ปลากระป๋องซื้อจาก Supermarket ก่อนขึ้นรถไฟค่ะ





แก้วนี้ สามารถยืมเจ้าหน้าที่ได้นะคะ เผื่อกดน้ำร้อนกินชา กาแฟอะไรได้
และกิจกรรมที่เราทำบนรถไฟ เพียบ ทั้งโหลดซีรีย์ไปดู ทั้งมาสค์หน้า เล่นหมากรุก อ่านหนังสือ กลัวว่าจะเหงา กลัวว่าจะเบื่อ เลยเตรียมมาเยอะทั้งของกิน ทั้งกิจกรรม เลยไม่มีตรงไหนให้เบื่อเลย สนุกมากๆ กับการใช้ชีวิตบนรถไฟ และนอนเต็มอิ่มมากๆ เช่นกัน คืนละ 12 ชั่วโมงเลยทีเดียว




มาเรื่องกระเป๋าเดินทางบ้าง เรามีกระเป๋าเดินทางล้อลากใบใหญ่ 30 นิ้ว จำนวน 2 ใบ ซึ่งกระเป๋าใหญ่นี้ แนะนำว่าแพ็คแบบไม่ต้องแกะเลยนะคะ มันไม่สะดวกที่เราจะเปิดๆ ปิดๆ บนรถไฟ เราใส่ถุงคลุมกระเป๋าปิดตายไปเลย
ที่ใช้จริงบนรถไฟ คือ เป้ Backpack 1 ใบ และกระเป๋าหิ้วแบบพับเก็บได้อีก 2 ใบไว้ใส่เสื้อผ้าที่ใช้บนรถไฟ และเสบียงขนมต่างๆ อ้อ อย่าลืมรองเท้าแตะเพื่อใส่บนรถไฟด้วยนะ
ก่อนเดินทาง เรากังวลเรื่องกระเป๋ามากอ่ะ กลัววางไม่ได้ และวางไม่พอ เพราะที่วางจะมีใต้เตียงล่าง และบนเตียงบน ซึ่งกระเป๋าเราใหญ่มาก ไม่น่าจะยกขึ้นไปด้านบนได้ ด้านล่างก้อวาง 2 ใบไม่พอแน่ๆ
แต่เอาจริงๆ เราไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เราสามารถไปฝากวางไว้เตียงอื่นได้เลย เพราะคนบนรถไฟส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซียเดินทางข้ามเมือง เค้าไม่ได้แบกอะไรเยอะแยะ เป้คนละใบเองด้วยซ้ำ เหมือนเวลาเราเดินทางไปต่างจังหวัด ดังนั้น ที่วางเหลือเพียบจ้า เราเลยเอากระเป๋าใหญ่ 2 ใบของเรา ไปวางไว้ใต้เตียงฝั่งตรงข้ามเลย แบบใกล้หูใกล้ตานิดนึง แต่ในนั้นไม่มีของมีค่าอะไรนะคะ แถมใส่ถุงคลุมกระเป๋าไว้อีก ไม่มีใครกล้าแกะแน่นอน
ซึ่งตอนแรก เราก็ไม่กล้าฝากนะ เกรงใจ แต่เพื่อนใหม่บนรถไฟช่วยเต็มที่ เราก็มองหน้ากันแบบได้เหรอ เค้าไม่ว่าเหรอ ^^ ซึ่งตลอดทาง เราก็สังเกตุว่า คนใหม่ที่ขึ้นมาจากสถานีอื่น และมีกระเป๋าเราวางไว้อยู่ใต้เตียงเค้า เค้าก็ไม่ตกใจอะไรนะ ว่ากระเป๋าใคร ใครลืมกระเป๋าหรือเปล่า แสดงว่าเป็นเรื่องปกติค่ะ
อีกสิ่งที่สำคัญเมื่อขึ้นไปบนรถไฟ อย่าลืมหาป้ายนี้นะคะ จะอยู่ตรงจุดที่กดน้ำร้อน น้ำเย็น ซึ่งถ้าโบกี้เราไม่มี ก็เดินไปหาที่โบกี้อื่นค่ะ สำคัญมากๆ เพราะเป็นป้ายบอกตารางเวลารถไฟที่จะจอดแต่ละสถานี พร้อม time zone เราก็จะรู้ว่า รถไฟกำลังจะถึงสถานีไหน จอดกี่นาที มีเวลาลงไปเดินเล่นมั้ย บางสถานีจอดแค่ 1-2 นาทีเองนะ แต่บางสถานีจอดเป็นชั่วโมง ป้ายนี้สำคัญมากค่ะ

สถานีไหนที่รถไฟจอดนาน เราก็ลงไปเดินเล่นตรงชานชาลา ถ่ายรูปอยู่ หิมะตกลงมาพอดี ทริปนี้เจอหิมะฉ่ำมาก




ส่วนอีกสถานี มีร้านค้าที่ชานชาลาด้วย ไปสืบราคามาให้แล้ว ราคาสูงกว่าใน Supermarket 2-4 เท่า แนะนำให้ซื้อเตรียมขึ้นไปเลย แต่ถ้าใครของกินไม่พอ ก็ลงมาซื้อได้






และบางสถานี ก็มีแม่ค้ามาขายปลาตากแห้งด้วยค่ะ เลยลองซื้อมาสักหน่อย ตัวนี้ 300 รูเบิล แกะกินสดๆ ได้เลย และเราก็แกะลงในบะหมี่สำเร็จรูปด้วย ^^



อีกเรื่องที่สำคัญ นั่นคือ อินเตอร์เน็ต บนรถไฟมี wifi นะ ให้กรอกเลขที่นั่ง เลข passport อะไรเนี่ยแหละ จำไม่ได้แล้ว แต่ๆๆๆ มันไม่มีสัญญาณค่ะ สรุปเราก็ใช้เน็ตมือถือ ที่ซื้อซิมรัสเซียไว้ แต่สัญญาณจะมาเป็นช่วงๆ นะ พอเข้าใกล้เมืองปุ๊บ สัญญาณจะมา ถ้าสถานีไหน เราไม่ลงไปเดินเล่น ไม่ลงไปถ่ายรูป ก็จะเป็นเวลาทองของการเล่นเน็ต โพสต์โซเชียลรัวๆ นั่นเอง
และข้อดีของการนั่งรถไฟชั้น 3 คือ เราจะเจอคนมากหน้าหลายตา ซึ่งทั้งตู้มีแค่เรา 2 คนที่พูดรัสเซียไม่ได้ ก็มีคนพร้อมที่จะมาคุยด้วย ทั้งกลุ่มเด็กมัธยมปลายที่ไปแข่งเต้น และเด็กประถมที่ไปแข่งเทควอนโดที่เดินทางขึ้นรถไฟพร้อมเราจากเมือง Irkutsk ซึ่งน้องๆ ก็พูดอังกฤษไม่ค่อยได้นะ เหมือนได้ฝึกภาษากันไป ^^

และคนนี้จะไม่พูดถึงไม่ได้ ทหารชาวทาจิกิสถาน ที่ช่วยเราตั้งแต่เรื่องเก็บกระเป๋าในคืนแรก สนิทกันที่สุดบนรถไฟ เพราะอยู่ด้วยกันไป 3 คืน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้สักคำ แต่เราก็คุยกันรู้เรื่อง ซึ่งเรื่องเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเรานอนรถไฟชั้น 2


ประมาณ 24 ชั่วโมงก่อนจะถึงปลายทาง คนก็เริ่มน้อยลงๆ ทุกที ทั้งโบกี้เริ่มโหลงเหลง เพราะมีแต่คนลง แต่คนขึ้นไม่กี่คน เราก็ย้ายที่ไปนั่งเตียงที่ไม่มีคน นั่งยืดขายาวๆ ดูซีรีย์ และนำผ้าห่มมากั้นเป็นห้องส่วนตัวเลยจ้า

นอกจากกิน นอน และกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวันแล้ว เราก็จะได้เห็นวิวทิวทัศน์ข้างทางที่สวยงาม และเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เดี๋ยวแดดออก เดี่ยวหิมะตก ซึ่งเรามาฤดูหนาว สวยงามมากจริงๆ




84 ชั่วโมง 38 นาทีผ่านไป แล้วในที่สุดเราก็ถึงเมือง Moscow ในเวลา 11.10 น.


ตลอด 84 ชั่วโมง 38 นาทีบนรถไฟทรานไซบีเรีย รถไฟที่ยาวที่สุดในโลก ซึ่งมีคนมากหน้าหลายตาขึ้นมา และลงไป พร้อมกับวิว และบรรยากาศต่างๆ ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ สำหรับเรา มันคือ การสัมผัสชีวิตจริงๆ ได้เรียนรู้ผู้คนต่างบ้านต่างเมือง แม้จะเป็นระยะเวลาสั้นๆ แต่คุ้มค่ามากๆ ที่ครั้งหนึ่งเราเคยได้นั่งรถไฟทรานไซบีเรียแล้วนะ
Travelholic
วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2568 เวลา 10.55 น.