"The world is a book and those
who do not travel read only one page."
โลกใบนี้เปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง และคนที่ไม่เคยเดินทางเลย
ก็เปรียบเหมือนคนที่อ่านหนังสือเพียงหน้าเดียว
"ภูบักได" ตั้งอยู่ในอำเภอภูเรือ อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง มีอาณาเขต ติดต่อกันทั้งหมดสามตำบลของอำเภอภูเรือ คือ ตำบลสานตม ตำบลท่าศาลา และตำบลปลาบ่า เส้นทางที่จะแนะนำวันนี้คือ คือเส้นทาง บ้านน้ำทบ ตำบลปลาบ่า เดินทางจากภูเรือไปทางเกษตรที่สูง ผ่านน้ำตกปลาบ่า น้ำตกสองคอน ระยะทางประมาณ 20ก.ม. จากตัวอำเภอภูเรือจุดบริการนักท่องเที่ยวสามารถขึ้นได้สองทาง นั่นคือทางบ้านกลาง และบ้านน้ำทบ
ความซวยมาเยือนทุกครั้งที่ออกเที่ยว ครั้งนี้ก็เช่นกันฮ่าๆ ทีแรกก็กะจะขึ้นทางบ้านกลางนั่นแหละครับ โทรจองไว้อย่างดี ก่อนเข้ามาก็มีการโทรยืนยัน แต่ๆๆๆๆๆๆๆพอมาถึงดันโดนเทจากศูนย์บริการของกำนันที่บ้านกลาง จ้าๆๆยืนหน่าเส่เหว่กันเลยทีเดียว เอาไงละทุกอย่างเตรียมไว้หมดละ
ณ จุดๆนั้นเริ่มคิดละ ว่าจะเอาไงดีแต่ที่แน่ๆต้องขึ้นไปให้ได้ เพราะได้มาแล้ว ทุกความโชคร้ายยังมีความโชคดีเสมอ เพราะก่อนเราจะเดินไปที่บ้านกำนัน อยู่ดีๆมีชาวบ้านเดินมาถามว่ามีคนนำขึ้นยัง ถ้ายัง กลับมาติดต่อได้นะ ผมนี่รีบเลย และนาทีนั้นจึงทำให้เรารู้ว่า มันสามารถขึ้นได้สองทาง และรู้จักบ้านน้ำทบ ต้องขอขขอบคุณพี่ตุ้มกับพี่หล้าอีกครั้งที่พี่เดินเข้ามาถามพวกผม ถ้าไม่ได้พี่ตุ้มทั้งสองพวกผมคงไปเสียเที่ยวแน่ๆ
บ้านน้ำทบไปทางเดียวกันกับบ้านกลางนะครับ แต่จะถึงบ้านน้ำทบก่อน เมื่อถึงบ้านน้ำทบ ให้โทรหาพี่ตุ้มเลยครับ 0955018786 บ้านแกติดกับถนนเลย หากใครสนใจขึ้นทางนี้ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจนะครับ ขอการันตีความสะดวกสบายในการบริการของพี่แกว่าระดับพรีเมี่ยมมาก บริการยันอาหารหลังจากลงมาจากภู พอตกลงทุกอย่างกันเสร็จ เวลาก็เดินไปเรื่อยๆรีบสิครับรีบ ทริปนี้ไม่ค่ำไม่ได้เดินทางจริงๆ ขึ้นรถเลยครับ ลุยๆ
รถอิแต๊กจะขับผ่านหมู่บ้านมุ่งหน้าสู่ยอดเขาผ่านภูเล็กภูน้อยเยอะแยะไปหมด
เเละนี่คือถนนที่เราใช้เดินทาง มีง่ายบ้าง ยากมาก สนุกไปอีกแบบ
อยากบอกว่า วิวสวยมากกก นี่ขนาดแค่ข้างล่างนะยังสวยขนาดนี้ สวยแค่ใหนไปดูรัวๆกันเลยครับ
แสงดวงอาทิตย์ยามบ่ายสาดแสงลงมา ผมอยากบอกว่ามันสวยมากครับ หรือด้วยส่วนตัวผมชอบมองแสงดวงอาทิตย์ก็ไม่รู้
วิวระหว่างทางสวยตลอดทางเลยครับ จึงทำให้การนั่งรถอีแต๊กเราไม่เบื่อเลย
ระหว่างทางกูลงเดินถ่ายรูปเล่นบ้าง วิ่งบ้าง ฮ่าๆทำตัวชิลเหมือนกับว่าหลังแปอยู่ใกล้ๆ เเต่เพื่อรูปที่สวยงาม เราทำครับ
ระยะทางราวๆ 5 กิโลเมตแต่ความรู้สึกเหมือน50 กิโล ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
นั่งรถจนตูดระบมก็ยังไม่ถึง
เเต่พอมาถึงจุดจอดรถเท่านั้นแหละ ก็ไม่รอช้า เตรียมสำภาระของใครของมันแล้วก็เดินเลยครับ
ทางนี้จะเดินทางชันไกลกว่าทางบ้านกลาง เขาลูกนี้ทางเดินเอียงขึ้นไปข้างหน้าประมาน 60 องศา ทางไม่กว้างเดินได้ทีละคน ตลอดทางไม่มีร้านค้าเหมือนภูกระดึง เพราะฉะนั้นทุกคนต้องพกน้ำติดตัวไปเอง ส่วนตัวผมหรอ พกเบียร์ครับ หนักแค่ใหนก็ยอมมมมมมมม
ทางเดินก็จะประมาณนี้ครับ แหวกหญ้าบ้างแหวกป่าบ้าง
เวลาเดินหนึ่งสิ่งที่ควรระวังนอกจากการกลัวตกหน้าผานั่นก็คือ นี่ครับหนามช้างร้อง เวลาโดนคันและเเสบมาก เพราะผมเองก็โดนฮ่าๆ
ระหว่างทางมีวิวให้ชมตลอด
เดินไปพักไป ในความตั้งใจแรกคือจะขึ้นไปชมพระอาทิตย์ตกข้างบน แต่ดูจากเวลาแล้ว 5 โมงเย็นเรายังอยู่ตีนเขาอยู่เลย ฮ่าๆ เดี๋ยวไปดูดาวแทนก็ได้วะ
เดินไปสักพักก็ถึงจุดพักเหนื่อย ติดหน้าผาสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ได้อย่างชัดเจน เอาวะไม่ทันข้างบน มองระหว่างทางก็ได้วะ แต่ขอบอกเลยว่า สวยมากครับ
แสงเริ่มหมด ทางเดินเริ่มมืด พี่ตุ้มแจกไฟมาสามอันไว้ส่องทาง แหม๋ได้บรรยากาศอีกแบบ แต่ๆๆๆๆ ทุกคนต้องเดินอย่างระมัดระวังกันมากกว่าเดิมอีกสองเท่า เพราะทางเดินมืดและบางช่วงเดินริมผาด้วย ค่อยๆเดินครับค่อยๆเดิน เดินไปเปิดเพลงไป เหมือนเป็นการปลอบใจตัวเองทางอ้อมว่าไม่เหนื่อยเลย เดินไปฟังเพลงไป แต่ก็แทบปิดเสียงเพลงไม่ทัน โอ้โห ขี้ช้างครับ ณ ตอนนั้นปิดลำโพงแทบไม่ทันเลยจริงๆ ถึงแม้พี่ตุ้มจะพยายามปลอบพวกเราว่าไม่ใช่ขี้ช้างแต่เท่าที่ผมรู้มา นี่มันขี้ช้างชัดๆฮ่าๆ แกเลยทิ้งห่างพวกเราไปเพื่อดูทางให้ นั่นละครับความซวยมาเยือนทุกครั้ง เพราะฉะนั้นถ้าไม่จำเป็นอย่าขึ้นไปค่ำเลยครับ ผมว่ามันอันตรายอยู่นะ
พอถึงทางราบแล้วเดินไปสักพักก็ถึงจุดกางเต้น ฮ่าๆขนแขนผมนี่ลุกสู้เลยไม่ใช่ปวดขี้นะครับ แต่มันหนาวมากกกกกกกกกกก เอ้ารีบครับรีบๆ กางตงกางเต้น แยกย้ายกันจัดเก็บของ ส่วนพี่ตุ้มก็ไปหาฟืนมา มาจัดแจงสถานที่กินข้าว ผมก็จัดแจงเหมือนกัน จัดแจงเบียร์ในกระเป๋าออกมาเรียงให้สวยงามน่ารับประทาน ฮ่าๆ บนนั้นเบียร์จะเย็นเองโดยอัตโนมัติ หายห่วงครับ
นี่คือน่าตาอาหารเย็นของเรา
ไก่ย่างอันแสนอร่อย พร้อมคนย่างมืออาชีพ
เรานั่งกินข้าวกันไปเรื่อยๆเปิดเพลงสนทนา ฝอยเม้ามอยจนของกินหมด ผู้หญิงแยกเข้านอน ส่วนผู้ชาย ต่อครับต่อ เบียร์ไม่หมดจะขนลงไม่ได้เพราะมันหนักมาก ลำพังผมขนมาก็ 12 กิโลละจะขนลงนี่ไม่ใช่แล้ววววววว -ครับ-เอ้ยดื่มครับดื่ม
กินไปสักพักเข็มนาฬิกาหมุนมาเลข 12 โอ้โห เวลาผ่านไปเร็วมาก กะว่าจะถ่ายทางช้างเผือกตอนดึกๆ แต่ดูจากสภาพแล้ว ฮ่าๆ เอาแค่ดาวก็พอมั้ง ไปๆใหนๆก็มาแล้ว สักภาพสองภาพสามภาพสี่ภาพ พอเป็นที่ระทึก
ส่วนรูปนี้ แสงดวงจันทร์แย่งซีน
ถ่ายเสร็จก็เข้านอน หัวถึงพื้นตาหลับโดยอัตโนมัติ จากนั้นก้ได้ยินเสียงคนเจี้ยวจ้าว เลยจับนาฬิกามาดู อะไรวะเช้าเร็วจัง เลยรู้ว่าเต้นอื่นเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นกันฮ่าๆ พี่ตุ้มพี่หล่าก็ปลุกเรานะ ทีแรกว่าจะไม่ตื่นละ เอ้าตื่นก็ตื่นวะ เปิดเต้นพร้อมกับตาที่งัวเงีย เเล้วเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อย
ทีแรกคิดว่าออกมาคนเดียวละ แต่หันไปเห็นพี่ผมอีกคนก็ออกมาฮ่าๆ แสดงว่าร่างกายยังไหว เราไปหกคนแต่ตื่นได้สองคน สงสัยส่งตัวแทนมาดูแอบถ่ายเอาซ๊หน่อย
ป่าค่อนข้างเยอะ ถ้าจะดูวิวสวยๆผมว่าน่าจะเดินไปอีกไกล แต่ผมเสียสละละกัน ไม่ไปดีกว่า ดูใกล้ๆก็ได้วะฮ่าๆ ห่างเต้นประมาน 20 เมตร แต่ก็สวยไปอีกแบบ
จากนั้นผมกับพี่เลยพากันไป แลนด์มาร์คของภู นั่นคือ หินที่ยื่นออกมาหรือเราเรียกกันว่าผาหลอกลวง ฮ่าๆ
ถ่ายไปถ่ายมาเจอกลุ่มพี่ๆ เพจเที่ยวสิวะ อยู่ทำห่าอะไร เลยยืมธงพี่แกมาถ่ายสักหน่อย เห็นถือเเล้วเท่ห์ดี
ถ่ายมุมนี้เสร็จ ย้ายมุมครับ หันไปเจอพี่แอดมินเพจ เที่ยวสิวะรอห่าอะไรพอดี โคดเท่ห์
ผมนี่ตามไปยืนเลยครับ เสียวเหมือนกันนะ ขาสั่นเลยทีเดียว
เห็นควันนั่นมั้ยครับ นั่นแหละครับ คือสองหมู่บ้านทางขึ้นของเรา ฝั่งซ้ายคือบ้านกลาง ฝั่งขวาคือบ้านน้ำทบ พอมองลงไปเเล้วผมนี่ไม่อยากลงเลย
ถ่ายรูปเสร็จเริ่มหิว กลับเต้นสิครับทีนี้ ลุยๆครับลุยหิวมาก
นี่คือกาน้ำร้อนของเรา
กินข้าวเสร็จ ก็ต้องกลับไปที่ผานั้นอีกรอบ เพราะพี่ที่เหลือยังไม่ได้ถ่าย เอ้าไปก็ไป ไปถึงก็ไม่รอช้า ลุยๆ ถ่ายเดี่ยวบ้าง คู่บ้าง
ส่วนรูปนี้ ผมขอยกเป็นรูปที่พีคสุดเลยครับ หมดเลยครับ มาดของพ่อบ้านใจกล้าฮ่าๆ
ส่วนผมหรอ น่ามึนแบบผมจะถ่ายธรรมดา คงจะไม่ได้ โหนครับโหน โหนจนหมดเเรง
รูปเดี่ยวว่าโหนหลายครั้งเเล้ว รูปกลุ่มครับ ตั้งกล้องเเล้ววิ่งไปโหน
จากรูปนี้ อีกนิดเดียวนี่ถีบหน้าผมเลยนะ
ถ่ายรูปจนพอใจ ก็กลับไปเก็บของแล้วเตรียมเดินทางกลับ ระหว่างทางกลับ วิวสวยมากครับ ค่อนข้างตื่นเต้น เพราะตอนมา เราไม่เห็นวิวตรงนี้ มันมืดไปหมดฮ่าๆ
เดินครับเดิน เดินแล้วก็เดิน
รูปนี้ผมว่าพี่ผมไม่ได้เก๊กนะ น่าจะมองระยะทางมากกว่า ฮ่าๆ เห็นแกบอกว่า ดีต่อใจต่อขา
เดินไปถ่ายรูปไป ทำตัวชิลไปครับ เพราะยังไม่ถึงทางลงเขา ทำอะไรก็ได้ฮ่าๆ
วิวสวยจนอยากห่อกลับ้าน
เห็นเนินตรงนั้นมั้ยครับ นั่นแหละคือที่ที่เรามา
เดินครับเดิน เดินอย่างระมัดระวังเพราะขวามือนั้น หน้าผาดีๆนี่เอง
พอดึงทางลงเขา เราก็ลงอย่างรัวๆเลยครับ ทางลงจะเป็นประมาณนี้ใช้เบรกตีนให้ดี เพราะพร้อมไหลตลอดเวลา ใช้เวลาในการลงน้อยกว่าตอนขึ้นเยอะมาก เเละที่สำคัญ ไม่ร้อนลมเย็นสบาย ว่าเเล้วก็รีบๆเลยครับ
ตอนเดินลงจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีการพัก
ไม่นานเราก็ถึงบริเวณจอดรถอีเต๊ก นะตอนนั้น ไม่มีต้นไม้บังแดด ร้อนมากกกกกกกกกก พกร่มมาก็ดีนะครับ เพราะแดดขากลับร้อนจนแสบ
จากนั้นก็ขึ้นรถอีแต๊กกลับ ขากลับนี่รูปแทบไม่มีครับ หน้าแต่ละคนนึกว่าไปออกรบมาฮ่าๆ เเต่ก่อนจะถึงถนนใหญ่ เจอสวนยางที่ไร้ใบ มองไปไม่รอช้าครับ กดชัตเตอร์รัวๆ
จากนั้นก็กลับมาบ้านพี่ตุ้ม อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เเต่ที่น่าประทับใจมาก นั่นคือแม่พี่ตุ้มทำกับข้าวไว้รอ โอ้โหครับ ดูแลดีมาก ดูแลยันตอนลง กับข้าวจัดเต็มเลยครับ พวกผมก็ต้องขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ ขอบคุณทุกการดูแล ถ้าไม่ได้พี่ตุ้มกับพี่หล้าพวกผมคงไม่ได้ขึ้นไปแน่นอน หลังจากกินเสร็จ
งานเลี้ยงต้องมีวันเลิกลา พวกเราก็ต้องกลับที่ทำงานกัน สิ้นสุดการเดินทางครับ ทุกคนในทริปกลับสู่โลกความจริง ไปทำหน้าที่ของตัวเอง ไปเรียน ไปทำงาน ไปใช้วิถีชีวิตตามปกติครับ แน่นอนครับกลับไปก็สภาพแวดล้อมเดิมๆ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือแปลกตาไปกว่าเดิม
แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือความคิดของผมครับ ผมรู้สึกโลกของผมกว้างขึ้น ทุกครั้งที่เดินทางผมเหมือนได้รับพลังบางอย่าง
เหมือนกลับมาแล้วมุมมอง ทัศนคติเราเปลี่ยนไปจากเดิม สำหรับผมแล้วการได้ก้าวขาออกไปยังสถานที่ใหม่ๆเป็นการให้ของขวัญกับตัวเองครับ บางคนอาจคิดว่ามันไร้สาระ สิ้นเปลือง แต่ผมมองว่าเกิดมาครั้งนึงควรใช้ชีวิต20,000วันบนโลกให้คุ้มค่าครับ ทำไปเถอะครับอะไรที่เราสบายใจ และคนอื่นไม่เดือดร้อน
สำหรับทริปนี้ก็ขอจบการรีวิวเพียงเท่านี้ครับ
ขอบคุณมากๆถ้าคุณอ่านทุกบรรทัดของผม
ขอบคุณพี่ร่วมทริปของผมทั่งห้าคนคน
ขอบคุณคำติชม
ขอบคุณที่ดูรูปพวกผมทุกรุป
.......
เจอกันใหม่ทริปหน้า ขอบคุณครับ
เที่ยวจนวันลาหมด
วันพฤหัสที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 16.32 น.