ป้อมปี่ อุทยานแห่งชาติเขาแหลม จังหวัดกาญจนบุรี
กาญจนบุรี ได้รับการขนานนามว่า เป็นแดนสวรรค์ตะวันตก พอเพื่อน ๆ อยากมาเที่ยวบ้านเรา ๆ จึงต้องพาไปดูสวรรค์ตะวันตกของจริงกันสักหน่อย ซึ่งจุดหมายปลายทางของเราเป็น สถานที่ ๆ ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ชมวิวพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในภาคตะวันตก สถานที่นั้นคือ "ป้อมปี่" นั่นเอง ไปแบบชิลล์ ชิลล์ เงินไม่ต้องพกไปเยอะ แต่เก็บเอาความสุขกลับมามาก มาก ก็พอ
รู้จัก "ป้อมปี่"
จุดชมวิวป้อมปี่ ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นชื่อเรียกที่เพี้ยนมาจากคำว่า "เปอปี่" ซึ่งเป็นภาษากระเหรี่ยง แปลว่า ต้นอ้อ ด้วยความที่สถานที่แห่งนี้ตั้งริมอ่างเก็บน้ำ ในอาณาเขตพื้นที่ของเขื่อนวชิราลงกรณ ทำให้มีดงอ้อขึ้นกระจัดกระจายริมฝั่งน้ำในหลายจุด จนกลายเป็นที่มาของชื่อเรียกดังกล่าว
"จุดชมวิวป้อมปี่" พื้นที่โดยรอบถูกโอบล้อมไปด้วย สายน้ำ ขุนเขา และธรรมชาติสีเขียว ในช่วงฤดูน้ำลด จะเห็นก้านไม้โผล่พ้นผืนน้ำ เป็นความสวยงามทางธรรมชาติที่แปลกตาอีกแบบหนึ่ง ทำให้มีนักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบการพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ นิยมเดินทางมาเที่ยวพักผ่อน กางเต็นท์ค้างแรม กันอย่างคับคั่งตลอดทั้งปี
การเดินทาง
( กรุงเทพฯ - ตัวเมืองกาญจนบุรี - อำเภอไทรโยค - อำเภอทองผาภูมิ - ป้อมปี่ )
ป้อมปี่ ตั้งอยู่ตรงไหน ?? ถ้าให้เห็นภาพง่าย ๆ ก็ต้องบอกว่าเส้นทางเดียวกับทางไปอำเภอสังขละบุรี แต่ป้อมปี่จะถึงก่อนเล็กน้อย และถ้าไม่เคยไปสังขละบุรีหล่ะ ?? ก็ขอแนะนำว่าให้เริ่มต้นจากตัวเมืองกาญจนบุรี หาทางหลวงหมายเลข 323 (ไทรโยค - ทองผาภูมิ) ให้เจอ และดิ่งตรงไปตามเส้นทาง ป้อมปี่ จะตั้งอยู่ช่วงหลักกิโลเมตรที่ 40 - 41
การเดินทางจาก กรุงเทพฯ ไป ป้อมปี่ ระยะทางประมาณ 310 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 4 - 6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับประเภทพาหนะที่ใช้เดินทาง สำหรับการเดินทางของเราและผองเพื่อนตลอดทริปนี้ เราเลือกใช้รถโดยสารสาธารณะเช่นเคย โดยเริ่มต้นจาก กรุงเทพฯ มาลงตัวเมืองกาญจน์ และต่อรถไปยังป้อมปี่
ขอสรุปรายละเอียดเส้นทางเดินรถ จากกรุงเทพฯ มาตัวเมืองกาญจนบุรี เป็นข้อมูลให้เพื่อน ๆ อีกครั้ง หลังจากเคยแนะนำไปแล้วครั้งหนึ่งในรีวิวเที่ยวสังขละบุรี ปัจจุบันการเดินทางมาจังหวัดกาญจนบุรี มีบริการรถโดยสารสาธารณะหลากหลายรูปแบบ ทั้งรถบัส รถตู้ และรถไฟ โดยมีสถานที่ขึ้นรถจุดหลัก ๆ คือ
สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ (ตลิ่งชัน) มีรถบัส ปอ.1 / รถตู้ สาย 81 และแฮปปี้ จอดบริการ สิ้นสุดปลายทางที่ตัวเมืองกาญจนบุรี รถใช้เส้นทาง ถนนบรมราชชนนี - จังหวัดนครปฐม - อำเภอบ้านโป่ง - ตัวเมืองกาญจนบุรี
สถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต) มีรถบัส รถตู้ จอดบริการ สิ้นสุดปลายทางที่อำเภอสังขละบุรีและด่านเจดีย์สามองค์ รถใช้เส้นทาง ถนนสายบางบัวทอง - อำเภอกำแพงแสน - อำเภอพนมทวน - จอดพักรถที่ บขส. กาญจนบุรี - ขึ้นสังขละบุรี
รถไฟสายน้ำตก มีรถไฟออกจากสถานีบางกอกน้อยทุกวัน วันละ 2 เที่ยว ส่วนวันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย จัดให้มีการเดินรถไฟสายท่องเที่ยวฟรี สามารถสอบถามได้ที่เบอร์โทร 1690
กำหนดการเดินทาง
DAY 1
05.00 น.
เจอกัน ณ จุดนัดพบ สถานีขนส่งสายใต้ใหม่ (ตลิ่งชัน) เราเลือกใช้บริการรถตู้สาธารณะ วินแฮปปี้ เริ่มต้นการเดินทางด้วยความสุขกันเลยทีเดียว เที่ยวเวลา 05.30 น. ออกเดินทางจาก กรุงเทพฯ - บขส. ตัวเมืองกาญจนบุรี ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า ๆ เราก็เดินทางถึง บขส. กาญจนบุรี
08.00 น.
หลังจากเดินทางถึง บขส. กาญจนบุรี เราก็เดินหาจุดซื้อตั๋วต่อไปป้อมปี่ โดยเลือกใช้บริการรถบัส ไม่ปรับอากาศ สาย กาญจนบุรี - สังขละบุรี เลือกช่วงเวลารถออกเที่ยวประมาณ 10.20 น. เพราะมาถึงตัวเมืองกาญจน์แล้วอยากมีเวลาเดินชมเมืองสักหน่อย จึงพากันเดินไปที่บริเวณ "ถนนปากแพรก" ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก บขส. ใช้เวลาเดินประมาณ 10 นาที ถนนสายนี้ทำให้เราได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ และตึกรามบ้านช่องสไตล์เมืองเก่า ของกาญจนบุรีได้เป็นอย่างดี เราได้เห็น ศาลหลักเมือง ประตูเมือง ร้านกาแฟคลาสสิค ตึกรามบ้านช่องที่สวยงาม และยังได้อิ่มท้องจากของกินแสนอร่อยอีกด้วย
10.00 น.
เดินกลับมาขึ้นรถ เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางสู่ ป้อมปี่ ก็นั่งโต้ลมเย็นไปเรื่อย ๆ หลับไปหลายตะหลบเลยทีเดียว แต่เส้นทางที่รถวิ่งผ่านวิวข้างทางสวยมากเลยทีเดียว ก็ถ่ายรูปบ้าง นอนบ้าง เม้าส์มอยบ้าง
15.30 น.
เราเดินทางมาถึงปากทางเข้า "จุดชมวิวป้อมปี่" ต้องเดินเท้าเข้าไปด้านในอีกประมาณ 700 เมตร ถ้ามีรถส่วนตัวสามารถขับเข้าไปได้เลย เมื่อเดินเข้าไปเรื่อย ๆ จะเจอจุดตรวจและจำหน่ายบัตรเข้าอุทยานฯ สรุปรายละเอียดค่าเข้าคือค่าเข้าอุทยานฯ ดังนี้ :
คนไทย ผู้ใหญ่ 40 บาท เด็ก 20 บาท / ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท
ค่านำพาหนะเข้า : รถจักรยาน ฟรี / รถจักรยานยนต์ 20 บาท / รถ 4 ล้อ 30 บาท / รถ 6 ล้อ 100 บาท
ค่าบริการพื้นที่กางเต็นท์ : กรณีนำเต็นท์มาเอง ค่าพื้นที่กางเต็นท์หลังละ 30 บาท
บริเวณทางเข้าจุดชมวิว ต้องนำของ สัมภาระลงตรงนี้ แล้วเดินเข้าไป โดยมีรถเข็นสาลี่ ให้บริการฟรี เราพากันเข้าไปเดินหาทำเลสวย ๆ สำหรับตั้งเต็นท์พักแรมของเราคืนนี้ สำหรับใครที่ไม่สะดวกกลางเต็นท์ ในพื้นที่อุทยานฯ มีบ้านพัก เป็นหลังไว้บริการด้วย ส่วนคนที่จะกางเต็นท์ ก็มีเต็นท์ พร้อมเจ้าหน้าที่ช่วยกาง และอุปกรณ์การนอนต่าง ๆ ให้เช่า มีห้องน้ำรวมที่สะอาดสะอ้านไว้บริการ ส่วนไฟฟ้าสามารถใช้ได้ที่ศูนย์อำนวยการ มีบริการที่ชาร์ตไฟให้
เราเดินหาทำเลเหมาะ ๆ สำหรับกลางเต็นท์ เพื่อจะได้เห็นวิวพระอาทิตย์ตกดินสวย ๆ มองไปรอบ ๆ พื้นที่มีคนกางเต็นท์กันเรียงราย ในรูปแรกนั้น เต็นท์พี่เค้าเจ๋งมากจริง แบบเฮ้ย !! มันได้ฟีลลิ่งมาก ๆ อ่ะ และก็เริ่มกิจกรรมกางเต็นท์ของเรา โดยใช้เต็นท์ของตัวเองส่วนหนึ่ง อีกส่วนเลือกเช่าเต็นท์ของอุทยาน ฯ
รายละเอียดค่าบริการต่าง ๆ ภายในอุทยาน :
ค่าเช่าเต็นท์ (นอนได้หลังละ 2-3 คน) หลังละ 225 บาท
ถุงนอน ชุดละ 30 บาท
แผ่นรองนอน ชุดละ 20 บาท
หมอน ชุดละ 10 บาท
ชุดเตาปิ้งย่าง ชุดละ 100 บาท
18.00
เราเตรียมมานั่งรอชมวิวพระอาทิตย์ตกดิน ท่ามกลางบรรยากาศสุดแสนโรแมนติค และวิวสวย ๆ ของท้องน้ำ เป็นความเงียบสงบที่หาไม่ได้จากชีวิตในเมือง
ฝ่ายเสบียง ก็กำลังง่วนกับการจัดเตรียมอาหาร สำหรับรอบกองไฟคืนนี้ จริง ๆ แล้ว ที่ศูนย์อำนวยการ มีอาหารตามสั่งจัดจำหน่าย สำหรับใครที่ไม่อยากยุ่งยากเตรียมของมา สามารถทานที่นี่ได้เลย ส่วนใครต้องการบรรยากาศการ Camping จริง ๆ ก็สามารถหิ้ววัตถุดิบจากในตัวเมืองมาได้เลย
เราก็นั่งพูดคุยเสวนาพาเพลินกันไป ท่ามกลางหมู่ดาวนับล้านดวงที่รายล้อม อากาศช่วงกลางคืนกำลังดี ไม่หนาว ไม่ร้อน เกินไป ที่นี่มีข้อห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้ามาด้วย
DAY 2
06.00 น.
เราตื่นขึ้นมาแต่เช้า เพื่อรับโอโซนสดชื่นและออกไปเดินบริหารร่างกายกันรอบ ๆ พื้นที่ บริเวณจุดชมวิวป้อมปี่ เราจะไม่เห็นวิวพระอาทิตย์ขึ้นสักเท่าไหร่ เพราะมีภูเขาบังด้านพระอาทิตย์ขึ้น แต่ก็มีวิวคุ้งน้ำยามเช้าที่สวยงามเหลือเกิน
มีสะพานแขวนเก่า สำหรับเชื่อมไปอีกโซนของจุดชมวิว ซึ่งก็มีเด็ก ๆ มาวิ่งเล่น มีคู่รักมานั่งกระหนุงกระหนิงคุยกันยามเช้าด้วย ดูทุกคนมีความสุขกันท่ามกลางธรรมชาติ
อีกด้านหนึ่งมีพื้นที่สำหรับเล่นน้ำที่อุทยานฯ กั้นเขตไว้ให้ เล่นน้ำท่ามกลางวิวภูเขาโอบล้อม ฟินยิ่งกว่าไหน ๆ
สายปั่นก็มา เห็นหลายคนนำจักรยานเข้ามาปั่นเล่นยามเช้า รวมถึงนักปั่นจากข้างนอก ก็เข้ามาปั่นชมวิวบรรยากาศยามเช้าของที่นี่ด้วยเช่นกัน ครึกครื้นกันเลยทีเดียว
11.00 น.
เราส่งท้ายความสุขกันด้วยการเก็บภาพความประทับใจของ "ป้อมปี่" และเดินทางกลับเข้าตัวเมืองกาญจนบุรี โดยไปรอรถโดยสารสาย สังขละบุรี - กาญจนบุรี บริเวณปากทางเข้าที่ลงรถก่อนหน้านี้
17.30 น.
เราเดินทางถึง บขส. กาญจนบุรี และซื้อตั๋ว รถตู้ เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ กันด้วยรอยยิ้มและความสุข ซึ่งจะไม่ลืมว่าครั้งหนึ่ง "เราได้มา ป้อมปี่"
ค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทริป :
( ผู้ร่วมเดินทาง 7 คน เฉลี่ยคนละ 925 บาท )
ค่ารถตู้ ไป / กลับ กรุงเทพฯ - กาญจนบุรี เที่ยวละ 100 บาท เป็นเงินคนละ 200 บาท
ค่ารถบัส ไม่ปรับอากาศ ไป / กลับ กาญจนบุรี - ป้อมปี่ เที่ยวละ 145 บาท เป็นเงินคนละ 290 บาท
ค่าเช่าเต็นท์ (นอนได้หลังละ 3 คน) หลังละ 225 บาท เฉลี่ยคนละ 75 บาท
ค่าถุงนอน เบาะรองนอน ผ้าห่ม คนละ 60 บาท
เงินกองกลางคนละ 300 บาท
ท้ายที่สุดนี้ ถ้าชอบท่องเที่ยวสไตล์เรา ติดตามได้ที่เพจ "บ้านฉัน กาญจนบุรี"
เราทำขึ้น เพื่อนำเสนอสถานที่สวย ๆ เรื่องราวทุกแง่มุม ของบ้านเรา กาญจนบุรี
สามารถติดตามได้ที่ : www.facebook.com/baanchan.kanchanaburi/
ความสุขของกะทิ
วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 เวลา 12.34 น.