some.mile x friends
21-27 Jan 15
-น้ำตกแสงจันทร์ สามพันโบก แก่งหินสี หาดหงษ์
http://pantip.com/topic/33199767/comment1
-ปากเซ
-ท่าแขก แขวงคำม่วน
http://pantip.com/topic/33199767/comment13
-ถ้ำนางแอ่น ถ้ำพระอินทร์ ถ้ำเชียงเลียบ ถ้ำพระ
http://pantip.com/topic/33199767/comment14
-หนองเฒ่า ถ้ำป่าเสือม
http://pantip.com/topic/33199767/comment16
-อุบลฯ เสาเฉลียง ผาแต้ม พัทยาน้อย
ติดตาม ต่อว่า ทักมาด่า ได้ที่เพจนี้เลย
https://www.facebook.com/some.mile
หลังจากที่ได้จองตั๋ว [กรุงเทพ - อุบล] ราคาถูกจากแอร์เอเชียกันไว้นานแสนนาน ก็แพลนกันไว้คร่าวๆ แค่ว่า
" เที่ยวในอุบลแล้วไปต่อลาวใต้กัน "
แต่ก็มีเหตุการณ์พลิกผัน บังเอิญไปเจอครูสอนดำน้ำได้ลงรูปถ้ำไว้ในเฟซบุค จึงเกิดอาการกระสับกระส่ายอยากรู้ เลยไปถามครูเขาดู
ละก็ได้คำตอบมาว่า "มันคือถ้ำในลาวกลาง เมืองท่าแขก แขวงคำม่วน และที่สำคัญมันยังไม่ค่อยมีใครเที่ยวเลย ไม่ค่อยมีคนรู้จักสักเท่าไหร่" พอได้ยินแค่นั้นแหละ ก็มองหน้ากันกับเพื่อน พยักหน้าใส่กัน ทำตาปริบๆ เป็นอันรู้กันว่าไปที่นี่ด้วยละกัน เท่ดี !
"ไม่ค่อยมีใครไปเลยนะเว้ย ลองเซิจดูแล้วหารีวิวยากดีอ่ะ ดูจากรูปแล้วมันไม่ค่อยสวยหรอก แต่อยากไปเห็นกับตาตัวเองหวะว่าจะเป็นไง"
และด้วยความเป็นปกติที่เวลาไปเที่ยวแต่ละครั้ง เพื่อนทุกคนจะมอบหน้าที่การวางแผนไว้ให้กับเรา เลยบอกกับเพื่อนไปตรงๆเลยว่า
ทริปนี้อย่าคาดหวังนะ อะไรจะเกิดก็เกิดนะเว้ยยย วางแผนไว้แค่ที่พักและจดรายชื่อสถานที่แต่ละที่มาแค่นั้นแหละ เดินทางอะไรยังไงมั้งในลาวก็ยังไม่รู้นะ ไว้ค่อยถามคนแถวนั้น ..
ก่อนจะถึงวันไปประมาณไม่ถึงสองอาทิตย์ มีเพื่อนคนนึงมาขอไปด้วย คงได้ยินเพื่อนๆพวกเราโม้กันไว้เยอะว่าจะไปเที่ยวลาว และน่าจะบวกกับความที่มันโดนปลูกฝังจากอะไรมาไม่รู้ว่าต้องไปเที่ยวลาวอยากไปเที่ยวลาว ด้วยความสงสารในความใฝ่อยากเที่ยวของมันเลยให้มันจองตั๋วมาพร้อมกันเลย
แต่ก็ลืมบอกมันไป ว่าเราบอกอะไรเพื่อนคนอื่นๆไว้ยังไงบ้าง ..
ดังนั้นแผนการเดินทางของพวกเราก็มีประมาณนี้คือ
.
นั่งเครื่องมาลงอุบล เช่ารถขับเที่ยวน้ำตกในอุบล ไปสามพันโบก นอนสามพันโบก
เช้าอีกวันคืนรถและนั่งรถรอบเช้าไปปากเซ ต่อรถจากปากเซตรงดิ่งขึ้นไปท่าแขกเลย อยู่เที่ยวท่าแขกสามวัน
กลับลงมาเที่ยวลาวใต้สองวัน ส่วนเพื่อนคนที่ขอตามมาต้องกลับก่อน ก็แยกกันที่ปากเซให้มันนั่งรถต่อไปอุบลเอง
.
โอเคตามนี้นะทุกคน เก็บกระเป๋าแล้วไปลุยด้วยกันเลย <3
......day1.
[โบกมือหยอยหยอย]
ก้าวเท้าลงมาปะทะลมหนาวที่สนามบินอุบลตั้งแต่เก้าโมงเช้า วันนี้เราจะเช่ารถขับเที่ยวกันในอุบล
ซื้อคูปองเช่าของ Budget ไว้ เดินออกมาข้างหน้าเช็ครถเก็บของขึ้นรถไปเที่ยวกันเลย
"ที่แรกไปน้ำตกกันก่อนมั้ยมรึ- ถ้าใครหิว ไว้เจอร้านไหนค่อยแวะ"
"โอเค แต่เลี้ยวออกสนามบินทางไหนวะ"
"ซ้ายเลย ซ้าย" เสียงใครสักคนพูดแทรกขึ้นมา
พอเลี้ยวซ้ายตามที่มันบอกไปถึงได้รู้ว่าทางออกมันอยู่ทางขวาเว้ยยยยย
โอยยยย ตายๆๆ หลงตั้งแต่เริ่มมมมม
รีบหยิบไอโฟนขึ้นมาเปิด google maps อย่างเร็ว
พอดีว่าก่อนมาเปิดเจอสารพัดประโยชน์จากของใกล้ตัว ถึงรู้ว่าหนังยางมันมีประโยชน์แบบนี้อีกด้วยนะ นอกจากใช้รัดผมรัดแกง ฮี่ๆ
ขับๆไปเรื่อย มองดูวิวข้างทางมาตลอดสภาพต้นไม้นี่เหลืองแห้งไปหมด จริงๆหน้าหนาวมันต้องเขียวๆไม่ใช่หรอออ ???
ขับๆไปเรื่อย ท้องเริ่มร้องจะแวะหาข้าวกินนี่แทบไม่มีความเป็นไปได้เลย เพราะข้างทางมีแต่ป่าแต่ต้นไม้และบ้านคน
ขับๆไปเรื่อย เจอป้ายตลาดสด ทุกคนส่งเสียงกรีดร้องดีใจโหยหวนน
หลังจากอิ่มท้องเรียบร้อย ก็ไปต่อที่จุดหมายแรก "น้ำตกแสงจันทร์"
แอบเปิดดูรูปก่อนมา อ่อมันเป็นน้ำตกที่มีรูป แล้วน้ำก็ไหลลงมา เออๆสวยดีๆ
มาถึงน้ำตกแล้วว ดีใจไม่มีคนเลยย หันไปโม้กับเพื่อนคนอื่นๆว่า "เนี่ยกรูชอบมาเที่ยววันธรรมดาไม่ใช่ช่วงเทศกาลก็เพราะแบบเนี่ย
ไม่ต้องแย่งใครเที่ยวใครกิน ถ่ายรูปก็ไม่ติดหัวใครในเฟรมด้วย"
ทุกคนเปลี่ยนจากรองเท้าผ้าใบเป็นรองเท้าแตะเรียบร้อย เดินเรียงแถวกันลงไปทางไปน้ำตก ได้ยินเสียงน้ำแว่วๆแล้วว
"เสียงน้ำตกจริงปะวะ ยังกะเสียงคนล้างจาน" เพื่อนปากดีทักขึ้นมา พูดไปก็เดินลงตามเสียงน้ำไป
"นี่ไงมรึ - น้ำตกก นี่ไงง นี่หรอวะ .. "
ทุกคนเลยรีบเดินมาดู โอโห้วว ไม่รู้จะหัวเราะหรือจะทำหน้ายังไงดี #ดิฉันนี่ร้องไห้หนักมาก (นึกถึงแฮชแทกนี้ขึ้นมาเลย)
สภาพคือน้ำตกหยอยมาก เปราะแปะๆ ล่วงเหมือนน้ำตาตอนนี้เลย หรือถ้าร้องไห้ตอนนี้น้ำตาอาจจะมากกว่าน้ำจากน้ำตกก็เป็นได้
โถ่วววว มาเที่ยวไม่ยอมดูฤดูเล้ยยย ก็เห็นว่ามันหนาวๆ ก็นึกว่ามันจะมีน้ำ ใครจะคิดว่ามันจะแล้งวะ (จริงๆก็น่าจะเอะใจตั้งแต่เห็นข้างทางสภาพแห้งแล้งแล้วนะ)
พยายามถ่ายให้มันดูน้ำเยอะๆ
เดินเลาะมาหลังน้ำตกได้เลยนะ น้ำแห้งไม่กระเซ็นใส่แน่นอนไม่ต้องกลัว
ขึ้นมาข้างบนก็จะเป็นลานหิน ที่มีพลังความร้อนสูงมากกก ด้วยแดดตอนเที่ยงพระอาทิตย์อยู่กลางหัว
อร๋อยยยยย หัวล้านร้อนหมดแล้วเนี่ยยยยยยย
ถัดๆจากน้ำตกแสงจันทร์จะเป็นน้ำตกสร้อยสวรรค์
หนะๆ ยัง ยัง ยังไม่เข็ด ยังมีหน้าจะไปดูน้ำแห้งๆอีกเนาะ พอกันทีกับน้ำตกหน้าแล้ง
ขับรถตรงไปเข้าที่พักเลยละกัน ที่พักที่เราเลือกคือ บ้านสวนณัฐชนา แถวๆหาดสลึง
เพราะว่าเดี๋ยวเย็นนี้เราจะไปเที่ยวสามพันโบกกันต่อ (ไม่มีรูปที่พักใดใดทั้งสิ้น ขออภัยมิได้ถ่ายมาเลย)
เข้าที่พักเก็บของเรียบร้อย สอบถามจากพี่ที่ดูแลที่พักเรื่องนั่งเรือไปสามพันโบก
ได้ความมาว่าค่าเรือเหมา 1,000 บาท เริ่มต้นที่หาดสลึง จะพาไปเที่ยวแก่งน้อย แก่งคอนใหญ่ (เป็นจุดนั่งเรือชมเฉยๆ) และจะวนเรือไปยังสามพันโบก หาดหินสี ศิลาแลง และหาดหงษ์ ใช้เวลาประมาณสามชั่วโมง
โอเค ตกลงตามนี้ เวลาที่ดีของการนั่งเรือเที่ยวน่าจะเป็นช่วงเช้าไปเลย ไม่ก็สักบ่ายสามโมงแบบพวกเรา
เพราะว่าบวกเวลาเข้าไปกับการแวะเที่ยวแต่ละจุดๆก็จะประมาณหกโมงเย็นพอดี แวะกินข้าวกันที่หาดสลึงได้พอดี
บ่ายสามโมง ก็ขับรถออกจากที่พักไปยังบริเวณที่เรียกว่าหาดสลึงประมาณสามนาทีก็ถึงแล้ว
จอดรถซื้อตั๋วเรือเรียบร้อย
ก็นั่งเรือดูวิวไปแก่งน้อยแก่งใหญ่อะไรนั้น แต่ก็ไม่ได้น่าตื้นเต้นสักเท่าไหร่
สักยี่สิบนาทีก็มาถึงตรงบริเวณที่เรียกว่าสามพันโบกแล้ว
น้องแต ไกด์ตัวจิ๋วที่ชอบแอบหัวเราะคิกคักๆเวลาโดนพวกเราแซว
สระมรกต สวยงามอะ สงบดี
และก็อันนี้อาจจะเป็นจุดไฮไลท์ของใครหลายๆคน โบกมิกกี้เม้าท์
น้องแตก็ชี้ชวนให้ดูอยู่นั้นแหละ โบกมิกกี้ โบกหัวใจ ฮ่วยย ข่อยจะถ่ายวิวอื่นนนนน
รูปเยอะ ต้องกราบขอโทษด้วย นี่ลบทิ้งไปเยอะแล้ววว
พอพอพอ ออกจากสามพันโบก ลงเรือล่องไปต่อที่หาดหินสี แก่งหินสี อะไรสักอย่างนี้แหละ
ตอนแรกก็งงว่าเออมันหินสียังไงว่ะ ถ้าใครมาดูใกล้ๆจะเห็นว่ามันเป็นเหมือนหินเคลือบช็อคโกแลตยังงั้นเลย
น้องแตรีบเรียกพวกเราออกจากที่นี้เพราะแต่ละคนกำลังแข่งเขวี้ยงหินกันอยู่ ใครเขวี้ยงไกลที่สุดก็จะเยาะเย้ยคนอื่นได้
ซึ่งคนที่โยนได้ไกลก็คือน้องแต ไกด์ของเรานั้นเองงงง
มาถึงจุดสุดท้ายแล้ว จุดที่เราถือว่าเป็นไฮไลท์ของวันนี้เลยแหละ คือชอบมากโดยส่วนตัว
หาดหงษ์ หรือว่าทะเลทรายน้อยๆในเมืองไทย ด้วยเวลาเย็นๆอากาศดีดี พระอาทิตย์กำลังจะลับฟ้าไปแล้ว
โอ๊ยย ชิลลมากก เดินถ่ายรูปไปร้องเพลงไป อยากจะมีเบียรส์สักกระป๋องติดมาด้วยจริงๆ
น้องแตแนะวิธีการเดินบนทะเลทรายว่าให้ถอดรองเท้าเดิน จะทำให้เดินง่ายกว่าใส่รองเท้าอีกกก
เชื่อน้องแล้วหมาไม่กัดเว้ยย
ก็ยืนเท่ๆให้เพื่อนถ่ายรูปไปดิ๊
เดินเล่นไปเรื่อยๆก็ได้ยินเสียงเพื่อนส่งเสียงเรียก ว่ามาโดดนี่กันๆๆ น้องเขาจะพาโดด
ถ้าจากระดับสายตาเราตอนนั้นที่กำลังเดินไป ก็ได้แต่คิดในใจว่าโดดอะไรวะะะ โดดลงไปเดี๋ยวก็หล่นลงน้ำกันพอดี
จนกระทั่งอยู่ๆน้องแตก็กระ โดด ลง ไป ให้ ดู .. ฟร่วววบ!!
เออโดดลงไปแล้วมันก็หยุดแค่ตรงนั้นหวะ
คือทรายมันละเอียดมากก สะท้อนกับแสงอาทิตย์ยามเย็นวิบวับๆ แล้วดูเป็นเครื่องเล่นภูมิปัญญาธรรมชาติที่มีค่าชิ้นนึงเลยนะ
จากนั้นทุกคนก็สละทุกอย่างในตัวแล้ว ตู้มมมมม
ตอนโดดลงไปอะสนุกโคตรรร แต่ตอนปีนขึ้นนี่สิ ทั้งขำท่าตัวเองท่าเพื่อนตอนกระโดดลงไป ทั้งเหนื่อย ทรายเข้าปากเข้าหน้า
แต่อย่าคิดว่าพวกเราจะหยุดกันแค่รอบเดียวนะ โดดกันอีกหลายรอบอยู่แหละ
โดดจนน้องแตได้แต่ยิ้มแผ่วๆใส่ คงคิดในใจว่าไม่น่าชวนพวกมรึ-โดดเลย
ถือว่าคุ้มแล้วสำหรับวันแรกของพวกเรา การได้มาเจออะไรด้วยตาตัวเองมันสวยและบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้หรอก
ขอบใจน้องแตหลายๆเด้อออ ที่พาพวกเรามาเล่นอะไรที่สนุกแบบนี้
หลังจากนั้นเราก็กลับที่พักไปหาข้าวหาปลากินกัน จริงๆหลังจากขึ้นเรือมาที่ฝั่งแล้วก็มีร้านอาหารริมน้ำโขงหลายร้านเลยนะ
แต่ก็ไม่รู้อะไรดลใจให้พวกเราไม่กินกัน และพอหลังจากขับรถออกไปจะหาข้าว หาอะไรง่ายๆกินกัน ก็ถึงได้รู้ว่ามันไม่ง่ายเลย
เอาเป็นว่าจบความสุขและความสนุกไว้แค่นี้แล้วกัน
วันพรุ่งนี้จะไปฝั่งลาวกันแล้วเด้ออ้ายยยยย...มามา มาต่อกัน
day2.
[หนึ่งวันที่ยาวนาน]
หลังจากที่เราเก็บข้าวของเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักแต่เช้าตรู่ เพื่อที่ว่าต้องขับรถไปคืนให้ทันเก้าโมงเช้า และต้องขึ้นรถจาก บขส.ตอนเก้าโมงครึ่ง
ก็มาแวะตลาดชื่ออะไรสักอย่างเนี่ยแหละในตัวเมืองอุบล เติมพลังกันให้เรียบร้อยเพราะว่าต่อจากนี้ไป เราจะนั่งรถกันทั้งวันนนนน!!
ซื้อตั๋วรถทัวร์เรียบร้อย รถออกตรงเวลามาก
บนรถก็มีทั้งนักท่องเที่ยวและคนในพื้นที่ลาวปะปนกันไป บางทีเลขที่นั่งก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรนัก
เพราะเราเจอคุณลุงอุ้มหลานวัยขวบกว่าๆมานั่งจองที่ของเรา เลยเดินไปถามพนักงาน ก็ได้คำตอบมาว่า "ว่างตรงไหนก็นั่งได้เลย"
โอเค .. ก็ได้ ทนๆเอา รถออกได้สักพัก หยิบหูฟังเปิดเพลงฟังแบบเพลินๆ ดนตรีอินโทรเพลงแรกยังไม่ทันจบ เสียงเด็กที่นั่งอยู่ด้านหลังก็ร้องเจี๊ยวจ๊าวววว เปิดเพลงดังขึ้นอีกหน่อยละกัน ..
ยุกยิกๆ ยุกยิกๆ
ก็อุส่าต์นั่งนิ่งๆทำเป็นไม่สนใจอะไร แต่แล้วก็มีมือน้อยๆของน้องคนเดิมมาดึงผ้าม่านที่ทำหน้าที่บังแดดพลังทำร้ายล้างแรงสูงมาก
โอยยยย นี่ชั้นต้องทนอีกนานแค่ไหนนนน อีกไกลแค่ไหนนนกว่าจะใกล้ปากเซช่วยยยบอกชั้นที .......
หันไปมองเพื่อนคนอื่นๆ มันหลับอย่างมีความสุขกันหมดเลยอะ ทำไมต้องเป็นเราอะทำไม
ก็ต่อสู้ดื้อดึงผ้านม่านกับน้องเขาไประยะเวลาร่วมกว่าสองชั่วโมง จนมาถึงด่านช่องเม็ก
มาถึงด่านนี้เราต้องรีบลงไปปั๊มพาสปอร์ต จ่ายค่าผ่านด่านข้ามไป ซึ่งไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันเป็นนโยบายของทางรัฐหรือตามความสมัครใจของคนเรียกเก็บ ซึ่งเราไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่าเขาจะเก็บเราเท่าไหร่ บางคนโดนไป100 บางคน 50 บางคน 500
เออๆๆ เอากับเขาดิ ใครที่ต้องข้ามแดนไปประเทศลาวได้โปรดเตรียมแบงค์ย่อยไว้เลยนะ จะบอกให้
หลังจากปั๊มพาสปอร์ตเรียบร้อย ก็นั่งรถต่อสักประมาณครึ่งชั่วโมงน่าจะได้ก็มาถึงปากเซแล้ววว
รถจอดที่ท่ารถ บรรดาพี่บ่าวคนขับสามล้อสี่ล้อก็ต่างมารุมล้อมถามไถ่กันดีจริงๆ เป็นห่วงกว่าที่บ้านตรูอีกนะ
" จะไปไหนๆ ? " เดินหนีก็แล้วก็ยังจะเดินตาม
คือจริงๆแล้วจากที่พอดูๆมา จากปากเซ จะต่อรถไปท่าแขก หรือขึ้นไปทางเหนือก็ต้องไปขึ้นรถอีกท่าหนึ่ง
เหมือนกับบ้านเรา ที่แบบว่า ถ้าจะลงใต้ต้องไปขนส่งสายใต้ จะขึ้นเหนือต้องไปหมดชิต อะไรแบบนี้
แต่ทำไงได้ แสงแดดมันแผนเผาเอามากๆ หิวก็หิว เลยตัดสินใจถามพี่สามล้อพร้อมต่อราคากันไปเลย ตกลงกันเรียบร้อยกระโดดขึ้นรถโลดด
ระว่างทางไปได้แค่ห้านาที พี่สามล้อแกก็โบกมือตะโกนเรียกรถบัสที่ขับสวนเราไปให้จอด ๆๆๆๆ พอเขาไม่จอดก็ด่าๆๆ ประมาณว่า ไม่เอาหรอเงิน ไม่รับผู้โดยสารหรอ ฮ่วยยยย
ตอนนั้นทุกคนเริ่มมองหน้ากันละ แบบ หื้มมม ให้ไปคันนั้นหรออ โบกยังงี้เลยหรออ ทำไมพี่ไม่ส่งหนูที่ขนส่งละค้าาาาาาาาาาาา
ความมึนงงยังมีอยู่ในหัว พี่แกก็ขับไปต่อ จู่ๆก็จอดกลางทางให้พวกเราลง ..
เอ้อออ หนูทำอะไรผิดคะ พี่ได้ยินความคิดพวกหนูหรออ
พี่แกเดินลงมาบอกว่า ให้แวะกินข้าวร้านนี้ก่อน เดี๋ยวขับรถไปตามรถบัสให้ กินเสร็จแล้วรอที่นี้แหละ
ตอนแรกก็กลัวจะโดนหลอกนะ มาทิ้งไว้กลางทางได้ไง แต่ก็มัดจำไว้โดยการยังไม่ต้องจ่ายค่ารถ โอเฟรร เดินหาข้าวกินคลุกฝุ่นนี่แหละสนุกดี(หรอ)
ระหว่างกินข้าวก็ยังงงไม่หายกับการไปเรียกรถบัสมารับของพี่คนขับสามล้อ ทำไมพวกเรามีอภิสิทธิ์ขนาดนั้นเลยหรอออ จริงๆนี่อยากจะไปขึ้นรถเองที่ท่ารถนะ แต่พอบวกลบคูณหารค่ารถดู ก็เออๆยอมๆไป มันไม่ต่างกันเท่าไหร่เลย
สักพักก็มีรถบัสแอร์คันใหญ่ สภาพรถก็ไม่แย่ ขึ้นรถไปก็เลือกหาที่พักได้ตามใจชอบ
ที่บอกไว้แต่แรกว่าวันนี้จะต้องนั่งรถกันยาวนาน เพราะว่า
คำนวนเส้นทางไว้ว่า จากอุบลมาปากเซก็ประมาณ3ชั่วโมง จากปากเซไปท่าแขก เปิดกูเกิ้ลดูมันประมาน 3-400 กิโล เออก็น่าจะสักสี่ชั่วโมงกว่าๆแหละ ถึงท่าแขกก็น่าจะเย็นๆ เข้าที่พักหาข้าวกินนอนเอาแรงแล้วพร้อมลุยอีกวันนึง
แต่นั้นมันเป็นแค่จินตนาการ .. ฮือออออ
ความจริงคือ หลังจากขึ้นรถบัส รถจอดตลอดทาง รถจอดถี่มาก จอดสี่ห้าป้ายแรกก็คิดว่าเออรับคนในเขตเมืองปากเซ เดี๋ยวหลุดจากเมืองไปก็คงวิ่งชิ่ว แต่ไม่เลยค่ะไม่เลย มันก็ยังคงจอดถี่ๆๆๆๆอยู่เรื่อยๆ ไม่ได้จอดรับคนด้วยนะบางป้าย จอดแช่เลยจร้ะ แช่จนผ้าเปื่อยหมดแล้ว โอยยยยยย
นั่งไปสักพักพยายามจะหลับก็ไม่หลับ หยิบหูฟังมาฟังเพลงผ่อนคลายอารมณ์อีกครั้ง
เปิด Vacation time บิ๊วตัวเองสุดๆๆ
It's time to slow down your life
Time to take a rest and relax
Time to run away from painful fact
This is the vacation time
หื้มมม มันตรงข้ามกับเพลงหมดเลยหวะแกรรรร
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เปิดฟังตอนอ่านไปด้วยก็เพลินดีนะ
นอกจากรถจะวิ่งเร็วไม่ได้ เนื่องด้วยลาวเป็นถนนสองเลน ก็ยังมีแม่ค้าพ่อค้าขึ้นมาขายอาหารบนรถบัสแอร์อีกต่างหาก ลองนึกถ้าเป็นอยู่บนรถไฟมันก็คงชิลๆไง อันนี้ปีกไก้ฟาดเบาะไปมา พันกับผมคนที่นั่งหลับไม่รู้อีโหน่อีเหน่ คือถ้าไม่เห็นภาพนั้นก็อาจจะซื้อกินอยู่แหละ
นั่งๆไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูแผนที่ นี่ผ่านมาสามชั่วโมงแล้วเรายังมาไม่ถึงครึ่งทางเลยแกรรร
ในใจตอนนั้นก็ฉุกคิดขึ้นมา ว่า ทำ ไม เรา ไม่ นั่ง รถ จาก อุบล มา นครพนม แล้ว ข้าม เรือ ไป ท่า แขก วะะะะะะะะะะะะะ!!!!!!!
โว้ววววว เพิ่งมาคิดได้ จะอ้อมเข้าลาวมาก่อนทำม๊ายยยยยยยยยยยยย
นี่ไม่กล้าสู้หน้าเพื่อนเลยนะ หันไปมองหน้าแต่ละคน เหมือนคนหลุดลอยจิตหลุดพูดคุยกับเบาะรถเล่นๆ
เน็ตก็ไม่มี แบตโทรศัพท์ก็จะหมดดดดด WTF!!
นั่งตูดบานมาจนถึงสุวรรณเขต รถก็ใจดีจอดให้เราไปเข้าห้องน้ำอีกต่างหากละ
จึงมีโอกาสได้สำรวจรอบรถ ถึงรู้ว่ารถคันนี้มันเป็นรถไปหลวงพระบางนู้นนเลยยย นี้ไม่อยากจะคิดแทนคนที่ต้องนั่งไปถึงหลวงพระบางด้วยรถคันนี้
จะถึงวันไหนก็ยังไม่น่ามีใครรู้
จริงๆถ้าเรารู้ว่ามันจะนานแต่แรกก็คงยอมรับทำใจได้ แต่นี้มันเกิดการคาดการณ์ที่ผิดไปนิดหน่อย 5555555
นั่งทนๆจำใจหลับมาไม่นานนนนนนนน แค่แปดเก้าชั่วโมงเอง เราก็มาถึงท่าแขกตอนห้าทุ่ม !!
ติดต่อหาสกายแล็บเข้าที่พักด่วนๆ นอนเอาแรงกันก่อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่
คืนนี้พักที่ Villa Thakhek ที่พักดีงามนะ มีแต่ฝรั่งมาพัก และไม่มีภาพประกอบอีกตามเคยday3.
[ถ้ำอ๋ะไหร๊กั๋นหยู๋ว]
ตื่นเช้ามาฉดใฉ หลังจากที่เมื่อคืนฝ่าฟันการนั่งรถทรหดมาได้ หลังจากนี้ก็ไม่น่ามีอะไรมาทำร้ายเราได้อีกแล้วแน่ๆ เลเวลอัพไปอีก +10
เมื่อวานตอนเช็คอินได้สอบถามพนักงานของที่พักไว้เรื่องเหมารถไปเที่ยว เราเลยจัดการนัดเหมารถสกายแล็บสำหรับเที่ยวแบบเบาๆ
ก้คือไปตะเวนเที่ยวถ้ำรอบๆเมืองท่าแขก ประมาณ 4-5 ถ้ำ คือจากที่เคยเห็นรีวิวลาวใต้ก็จะมีแต่เที่ยวน้ำตกๆๆ ลาวกลางนี้ก็จะมีแต่เที่ยวถ้ำๆๆๆ
เตรียมพร้อม แต่ท้องยังไม่พร้อม เลยให้ลุงพร(ถ้าไม่มั่ว ลุงน่าจะชื่อนี้)พาไปหาข้าวกิน และมื้อแรกของพวกเราก็คือก๋วยเตี๋ยวนี่แหละจ้าาา
แล้วเราก็ออกเดินทางกันได้เลยยยยย ลุยยยยย!!
หลุดออกจากตัวเมืองมา ก็เป็นภูเขารายล้อมเต็มไปหมดเลย อากาศก็ดีถึงแม้ว่าฝุ่นจะเยอะไปหน่อยก็ตาม
และถ้ำแรกที่เราจะไปกันก็คือ ถ้ำนางแอ่น ถ้ำนี้ดูเป็นสถานที่เที่ยวสุดแล้ว จริงๆแล้วใครจะมาเที่ยวจะเช่ามอไซต์ขับมากันก็ได้นะ
แต่น่าจะหาป้ายทางเข้ายากสักหน่อย เนื่องด้วยเมืองนี้น่าจะยังไม่เป็นที่นิยมสำหรับการมาท่องเที่ยวมากนัก
ถ้ำนี้มีประวัติคร่าวๆว่า เป็นที่ประทับของนางแอ่นกับท้าวเชียงเลียบ ก็จะมีไกด์เด็กแถวๆนั้นพาเดินชี้ดูนู้นนี้ ว่าตรงนี้คืออะไรๆๆ
ลืมบอกไปว่าถ้ำนี้เก็บค่าเข้าด้วยนะ คนละตั้ง 80 บาทแหนะ
แต่พอเข้ามาแล้วก็ถึงรู้ว่าเขาคงเอาเงินเหล่านั้นมาติดตั้งไฟ ทำทางเดินแหละเนอะ คือเป็นถ้ำที่มีทางเดินสะดวกสบายมาก
แถมตกแต่งไฟหลากสีเหมือนอยู่งานวัดยังไงยั้งงั้นเลยแหละ เอ้อออออออ
ออกจากถ้ำนางแอ่นก็ไปถ้ำพระอินทร์ ซึ่งเป็นถ้ำเล็กๆ เดินเข้าไปไม่ได้ ภายในมีรูปปั้นพระอินทร์อยู่ ไว้ให้แค่เรากราบไหว้กันแค่นั้นเอง
อยู่ถ้ำนี้กันแค่แปปเดียวเอง ก็บอกลุงพรไปที่อื่นต่อโลดดด
ที่ต่อไปก็คือ ถ้ำเชียงเลียบ
จอดรถด้านหน้า สักพักลุงพรก็เดินไปติดต่อไกด์ชาวบ้านแถวนั้นให้พาเราไป
ไกด์เป็นคุณลุงและพ่วงด้วยหลานๆอีกสองคน
หลังจากตรงนี้เราต้องเดินเข้าไปเพื่อไปยังปากถ้ำ
เอาหล่ะๆ เริ่มจะแอดเวนเจอร์แล้วหล่ะๆ
เดินเลาะป่าไม้ขนาดย่อมๆมาเรื่อยๆก็มาถึงปากถ้ำ ยิ่งใหญ่อลังการมากแต่ว่าเราต้องเดินลัดเลาะปีนป่ายเข้าไปข้างในยังโถงถ้ำ
เอาหล่ะ เริ่มตื้นเต้นละ ว่าจะสะดุดลื่นหกขะเมนตีลังกาตรงไหนบ้างง
ลุงไกด์บอกว่าไปทางนี้แนร้ๆ
หลังจากเดินข้ามมายังอีกฝั่งของถ้ำแล้ว ก็เจอกับโถงใหญ่ๆ เป็นปากถ้ำอีกฝั่งนึง
ซึ่งทางด้านหลังนี้ลุงไกด์บอกว่าฝรั่งเขาจะชอบมาปีเขากันแหละ
มันสวยงามอลังการมากเลยนะ แต่ถ่ายมาได้เท่านี้จริงๆ ฮรือออออ
ยืนถ่ายรูปกันอยู่สักพัก คุณลุงไกด์ก็มีทางเลือกมาให้สองทางสำหรับการเดินกลับ คือกลับทางเดิน หรือ เดินลุยน้ำกลับ
ซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว กลับทางเดิมก็ไม่เท่อ่ะดิ แต่ว่าไอ้ทางที่เราเลือกนั้นมันเป็นทางลุยน้ำมืดๆ ที่พวกเรามีแค่ไฟฉายเล็กๆอันเดียวที่พกติดมา
กะ กะ กลัวที่ไหนนน ลุงบอกว่าเดินใกล้ๆ เอาก็เอาหวะะะะะะ นาทีที่ขาจุ่มน้ำไปนี้แบบ แอร๊ยยยย เย็นเจี๊ยบบบบบบบ
แล้วเราก็ปีนป่ายลุยน้ำมาได้สำเร็จมาจนถึงแสงสว่างแล้ววว เยสสสสสสส
ขอบคุณคุณลุงและเด็กน้อยทั้งสองที่พาเราลุยถ้ำ ตื้นเต้นเบาๆเพราะไม่เคยทำอะไรแบบนี้มาก่อน 55555
ก็เลยให้ทริปคุณลุงและเด็กน้อยไปแถมไฟฉายจิ๋มของเราให้ไปด้วย ทุกคนดูสนุกกับสิ่งของที่ได้ ลุงดูดีใจยกมือไหว้อวยพรเราใหญ่เลยยยย
ออกจากที่นี้ก็ยังไม่ต่อกันอีกถ้ำ จริงๆต้องเหลืออีกสองถ้ำนะแต่ดูลุงพรจะขี้เกียจขับไปเพราะว่ามันไกล
อืมมม ไม่เป็นไร ได้เดินถ้ำเมื่อกี้ก็สนุกพอหล่ะะะะ
ต่อไปก็ไปยังถ้ำพระ เป็นถ้ำที่เหมือนมีวัดอยู่ข้างใน ก่อนเข้าผู้หญิงต้องนุ่งผ้าซิ่นด้วยนะ แล้วข้างในเขาห้ามถ่ายรูปเลย
ก็เลยอดเอาภาพมาอวดกันน แต่ส่วนใหญ่จากที่มองๆดูจะมีแต่คนในท้องที่มากราบไหว้ ถือพานดอกไม้มาขอพรมาแก้บนกัน แสดงว่าน่าจะศักดิ์สิทธิ์จริงๆ
ตอนแรกเห็นเจ้าหน้าที่ทางด้านหน้าบอกมีพายเรือเที่ยวถ้ำด้วยยย แต่ก็ไม่เห็นมีเลยย มีแต่เรือเก่าๆลอยทิ้งอยู่กลางน้ำ
ปิดทริปวันนี้ด้วยส้มตำประทังชีวิต พร้อมวิวแพะเดินเตร็ดเตร่ให้เห็นอยู่ทั่วไปตามริมถนนหลังจากเมื่อวานพวกเราตระเวนเที่ยวถ้ำกันไปแล้ว แต่มันก็เหลือวันว่างอีกหนึ่งวันในท่าแขกตามที่แพลนเอาไว้อย่างเบาบาง
เลยต้องใช้ไม้เดิม คือถามพนักงานที่พักว่ามีที่ไหนเที่ยวอีก ใจจริงๆเลยเนี่ย อยากไป "ถ้ำเซบั้งไฟ" เพราะเคยเห็นรูปจากในเน็ตแล้วมันสวยเวอร์วังดีเหลือเกิน อีกอย่างมันเป็นถ้ำที่ทางทีม national geographic เขามาสำรวจกันเลยนะเฟ้ยยย ใจนึงก็อยากไปใจนึงก็เลยรู้ทั้งรู้ว่ามันลำบากไม่พร้อมไปไม่ได้หรอก นั้นแหละะะ พูดพร่ำมาตั้งนานสรุปก็คือไปไม่ได้ 5555 เพราะว่าถนนมันลำบากและไม่มีใครจะขับรถไปให้เลย
เหลืออีกถ้ำคือ ถ้ำกองลอ (ที่ชอบเรียกผิดประจำว่าถ้ำลองกองๆ) ถ้ำนี้สามารถไปกลับได้ แต่ว่าต้องเหมารถตู้ไป สวยเหมือนกันแหละ
คำนวณไปหารไปหารมาตกคนละเกือบพัน รวมค่าอาหารกลางวันค่ารถค่าไกด์แล้ว แต่!! พวกเรางบ เพราะยังต้องไปเที่ยวต่อกันอีกหลายวัน
เลยไม่ไปจร้าาาา นั่งครุ่นคิดกินมาม่าจิบเบียร์ท่ามกลางอากาศหนาวๆกันไป จะตัดสินใจเที่ยวในท่าแขกตระเวนเลาะไปเลยว่ามันมีอะไรเที่ยวมันมีอะไรกินมั้งงง เอออเปิดท่าแขกทำรีวิวเอาซะเลย
แต่ เอ๊ะ.. บังเอิญนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานที่เราไปถ้ำพระเรายืนอ่านรายละเอียดพายเรือท่องเรือถ้ำๆนึงอยู่ ว่าแต่... มันชื่อว่าถ้ำอะไรวะะะ???? โอ๊ยยย ไม่วางแผนแล้วอุปสรรคยังงี้นี้เองงง คิดสิคิดๆๆๆๆ ชื่อมันไม่ติดปากเลยยยย
"เห้ยๆๆ มรึ- ถ่ายรูปแกล้งกรูตอนกรูยืนข้างหน้าป้ายปะวะ"
"เอออๆๆๆ เปิดรูปดิ๊ๆๆๆ เผื่อมีๆๆ"
"ซูมเลยๆๆๆ ชื่อไรวะๆๆๆ ...."
นี่คือภาพที่ถ่ายได้ และต้องซูมกันเข้าไป
ซูมมาเป็นภาษาลาววว อ่านว่าไงวะเนี่ยย เลยวิ่งไปที่พี่พนักงานคนเดิม เลยได้คำตอบมาได้ดังเช่นฉะนี้ ...
ความว่า
มันชื่อถ้ำป่าเสือม
จะไปถ้ำนี้ได้เนี่ยย มันค่อนข้างจะวุ่นวานนิดนึง เพราะขั้นแรกเลย
1. เราต้องหารถสามล้อจ้างเพื่อพาไปที่หมู่บ้าน เพื่อขออนุญาตหัวหน้าหมู่บ้านว่าเราจะไปเที่ยวกันที่ถ้ำนี้นะ
2. ถ้าเราได้รับอนุญาตแล้ว เราก็ต้องไปหาคนเรือ เพื่อที่เขาจะเป็นไกด์พาเราไปเที่ยวเนี่ยแหละ ถ้าหัวหน้าหมู่บ้านอนุญาตแต่ไม่มีคนเรือพาไป ก็เท่ากับจบ
คือไม่มีอะไรมารับประกันว่าเราจะได้เข้าถ้ำมั้ย อาจจะได้เที่ยว หรืออาจจะเสียเวลาไปทั้งวันฟรีๆไปเลยก็ได้ เพราะพี่เขาเคยพานักท่องเที่ยวฝรั่งไปสุดท้ายก็ไม่ได้เข้าถ้ำ
หันกลับมาปรึกษาเพื่อน เอาไงกันดีวะ? แต่ทุกคนก็เซย์เยสกันหมด เพราะรู้ว่ามันเสี่ยงเนี่ยแหละ ทุกคนเลยไปกัน โอเชตามนั้น
พี่พนักงานที่พักโทรติดต่อคนขับรถให้ คนขับคนนี้เคยพานักท่องเที่ยวไปแล้วได้เข้าถ้ำด้วย จ่ายเงินค่ารถไปเรียบร้อย 1,000 บาท
พรุ่งนี้เรามาลุ้นกันดีกว่าว่าจะได้พายเรือเข้าถ้ำกันมั้ยยยย !!
day4.
[อยู่ดีไม่ว่าดี]
เช้าไม่ตรู่ เก้าโมงเช้า เรารีบไปตามนัดกับพี่สามล้อสกายแลป
ก่อนเริ่มปฏิบัติการก็ให้พี่สามล้อพาไปกินข้าวเช้ากันก่อน ขับรถออกไปเจอร้านขายแตงโมร้านผลไม้ก็แวะซื้อเสบียงกันไว้ตุน
เพื่อนๆมันคิดกันไว้ว่าเอาไว้กินตอนนั่งเรือเพลินๆ พายเรือเข้าถ้ำชมวิวไปกินกล้วยไปสวยๆ
อยู่ที่นี่ ไม่ดิ ตั้งแต่อยู่ที่อุบล กล้วยนี่เป็นของคู่กายเลยนะ นั่งรถนานๆไม่มีอะไรทำก็หยิบกล้วยขึ้นมากิน
และในที่สุด ซึ่งไม่ไกลมากนักจากที่พักก็มาถึงหมู่บ้านที่เราต้องไปขออนุญาต
ลุงคนขับก็ดุ่มเดินเข้าไปคนเดียว ทิ้งให้พวกเราลุ้นระทึกกันอยู่ข้างนอก
และสุดท้ายยยยย
ลุงก็เดินออกมาาาาาา
แล้วพูดว่า ป่ะะะะะ ขึ้นรถถถถถถถ !!
เยร้ๆๆๆ ยังงี้แสดงว่าเขาอนุญาตแล้วใช่บ่ลุงงงงงงงงงง ไปๆๆๆ หาคนพายเรือๆๆๆๆ
เหมือนจะไม่ค่อยมีใครอยากพาไปสักเท่าไหร่นะไอ่ถ้ำนี้ ลุงก็พูดชวนคนเรืออยู่สักพักจนเขาพยักหน้าตอบรับประมาณว่า
"เออ ไปก็ไป"
ขอบคุณทุกคนมากค่าาาา ที่ทำให้ความหวังของพวกเราไม่พังทลายไปต่อหน้าาาา เย้ววๆๆๆ
ถ้ำป่าเสือมที่เราจะไปอยู่แถวบริเวณถ้ำพระเลย ต้องจอดรถเอาไว้แล้วเดินกันเข้าไปต่อ
คุณลุงคนเรือเดินแบกไฟแบกชูชีพนำทางพวกเราไปเรื่อยๆๆ
จากลานจอดรถ เป็นป่าขนาดย่อมๆ จากป่าขนาดย่อมกลายเป็นทุ่งหญ้าแห้งแล้ง จากทุ่งหญ้าก็กลายเป็นป่าแถมหนองน้ำขนาดใหญ่อีก
ระหว่างเดินได้ยินเสียงเพื่อนที่เดินตามหลัง รำพึงเบาๆว่า "เย้-แม่" คือไม่ได้จะด่าว่าใครแต่ฟังดูก็รู้ว่ามันคืออาการตื้นนเต้นและดีใจสุดๆ
ก็ใครจะไปคิดดว่าชีวิตจะได้มาเดินป่าทำอะไรแบบนี้
จากทุ่งหญ้ากว้างๆ ลุงคนเรือก็พาเรามาแวะที่ "หนองเฒ่า" เป็นจุดพักเหนื่อยที่สวยสงบมากๆๆ เห็นน้ำแล้วอยากจะกระโดดลงไปจริงๆ
จากหนองเฒ่าเดินมาอีกนิดก็ถึงแล้ว ถ้ำป่าเสือม ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ เดินมาก็เป็นปากถ้ำเล็กๆ
ทุกคนเห็นสภาพถ้ำและเรือแล้ว ก็ปลดระวางของทุกสิ่งอย่างวางเอาไว้ กล้วยเอยแตงโมเอยยย แบกมากันทำม๊ายยยยย
เห็นเรือคายัคนอนจมอยู่ในน้ำสามลำ ได้แต่คิดในใจว่าเราต้องใช้เรือนี้พายไปในถ้ำมืดๆจริงๆใช่มั้ยย
และสรุปคือ จริงๆจร้าาา ลุงวางเสื้อชูชีพร้อมลงไปยกเรือขึ้นมา ซึ่งมันหนักมากก เพราะในเรือมีน้ำอยู่ ก็ต้องช่วยกันเทน้ำออกมาจากเรือก่อน
เพื่อนแต่ละคนสลับกันไปเปลี่ยนชุดที่พร้อมเปียก เปลี่ยนกันลืบๆถ้ำนั้นแหละ
ลำแรกผ่านไปสำเร็จ ลำที่สองหนักและยกขึ้นยากกว่าลำเดิมอีก และที่สำคัญ อ้าวว เรือแตก !!!!
หน้าเริ่มเปลี่ยนสีกันไปนิดหน่อย แต่มากันถึงขนาดนี้ละ ยังมีเรืออีกลำ เอ้าาา ช่วยกันดิเอ๋ !!
ฮุ่ย เล่ ฮุ่ยยยยยยยยยยยยยยยยย ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่เรือนี่แหละจร้ะ ฮุฮิ
[จริงๆระหว่างที่ช่วยกันยกเรืออยู่ ก็ได้ยินลุงคนขับรถและลุงคนเรือคุยกันประมาณว่า ลุงเรือเนี่ยไม่ค่อยอยากพามาหรอก น่าจะด้วยเพราะอุปกรณ์เขาไม่พร้อม ไฟเอย เรือเอย ชูชีพเอย ตรงนี้มันยังไม่ค่อยเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีคนรู้จัก พาคนเข้าไปเขาก็ได้เงินน้อย บลาๆ]
ลุงเริ่มแจกไฟให้ ซึ่งไฟมีแค่สามอัน พังไปหนึ่งอัน เหลือแค่สองก็ต้องแบ่งกันไปลำละอัน
เข้าไปได้ประมาณสิบเมตรก็ต้องลงน้ำและยกเรือขึ้นข้ามโขดหิน คือตอนนั้นภาพที่เห็นในถ้ำมันสวยมากเลยนะ
ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ เป็นโถงๆกว้างๆมีหินย้อยที่ยังมีชีวิตอยู่ แสงอาทิตย์ยังคงส่องเข้ามาในถ้ำให้เราเห็นรายละเอียดเล็กๆน้อย
ผ่านไปสักพักลุงก็ลงน้ำลากเรือเข้าไป ตอนแรกก็สงสัยว่าไม่มีไม้พายแล้วเราจะไปกันยังไง ที่แท้ลุงก็ต้องมาจูงให้นี่เอง
แสงพระอาทิตย์เริ่มหมดแล้ว เหลือแต่ไฟบนหัวแค่สองดวงที่คอยส่องให้เห็นอยู่แบบแผล่วเบา
แล้วคือมันต้องลงเรือยกเรืออยู่หลายรอบมาก จนรอบสุดท้ายลุงบอกว่าเอาเรือไปลำเดียวพอเนาะ นั้นก็หมายความว่า คนบนเรืออีกหนึ่งลำต้องว่ายน้ำตามไป เยร้..... เสียสละให้เพื่อน เราลงไปว่ายน้ำเย็นๆก็ด๊ายยยยยยยยยยยยยยยยย ....
ตอนนั้นถึงแม้มันจะมืด แต่สายตาเราก็เริ่มจะปรับสภาพให้มองเห็นในที่มืดได้แล้ว น้ำก็เย็น ถึงแม้จะเป็นน้ำไม่ลึกแต่มันเดินยากมาก
ต้องว่ายไปหรือไม่ก็เอามือไถ่ๆเดินๆไป ลุงคนเรือก็ลากจูงปเร็วเหลือเกิ๊นนน ไม่รอหนูเลยลุงงงง ไฟก็มีแค่ดวงเดียว มันเหมือนว่ายน้ำอยู่ในอุโมงค์ใหญ่ๆที่มันสวยมากกก เหมือนอยู่ในหนัง Sanctrum อะไรยังงั้นเลยแหละ ละแบบโอ๊ยยย มันสะใจอะตอนนั้นนนน เกิดมาได้ทำอะไรแบบนี้สักครั้งงง ถึงตอนนั้นสภาพหน้าจะเจื่อนๆไม่เป็นเหมือนที่ใจคิดก็เหอะ
สิ้นสุดทางน้ำที่เรือจะไปได้ เราก็ปีนป่ายกันขึ้นไป ซึ่งพื้นบางที่ก็ลื่นมาก เป็นหินเจ็บเท้ามากก ซึ่งไม่มีใครใส่รองเท้ากันเข้ามาเลยยยย
ลุงก็พาเดินดูหินย้อยยไปเรื่อยๆ ปีนป่ายเลาะไปเรื่อยๆ เป็นโถงโล่งๆ มีหินที่ย้อยจากด้านบนมาบรรจบกับด้านล่าง เดินไปจนสุดก็จะเป็นพื้นที่เกิดจากอะไรสักอย่างเลยทำให้พื้นและหินบริเวณนั้นเป็นประกายเพชรแบบวิบวับๆๆๆๆ เออมันสวยนะะ
คือตั้งแต่เข้าถ้ำก็คิดมาตลอดว่ากล้องไม่มีความหมายอะไรเลย จะถ่ายยังไงให้มันสวยเหมือนที่ตาเห็นวะ
นั่งเล่ามาก็ไม่รู้จะเล่ายังไงดีให้รู้ว่ามันสวยมาก และมันลำบากมันยากมากกกก เพราะเราไม่เคยเจออะไรแบบนี้มากก่อน แต่มันคุ้มมาก!
กำลังเดินกลับมาที่เรือเพื่อจะกลับไปยังปากถ้ำ ลุงคนเรือก็เดินนำวนอยู่หลายรอบ แล้วหันมาพูดว่า "หลง"
เห้ยลุง ไม่นะะะะ อย่าอำกันเล่นสิ ทุกคนหน้าเริ่มถอดสีกันอีกแล้ววว 55555 แต่สุดท้ายลุงก็พาเรามาที่เรือได้สำเร็จจจ
ได้เวลาว่ายน้ำกลับปากถ้ำแล้วววววว ขากลับดูเหมือนจะใช้เวลาเร็วกว่าตอนขาเข้า
พอเริ่มเห็นแสงสว่างก็เหมือนเห็นสวรรค์ อร๊าาาาาส์ รอดตายแล้วเว้ยยยยย แสงอาทิตย์จ๋าาาเธอช่างมีค่าเหลือเกินนนนนนนน
[ภาพจาก Go-Pro ที่ถ่ายมา แทบไม่มีภาพอะไรให้เห็นเลยนอกจากสีดำ และวงไฟสีส้ม ตอนเข้าและออกจากถ้ำตอนพอมีแสงสว่าง กดถ่ายผิดภาพเบลอมั่วไปหมดด เลยได้ภาพมาเท่านี้แหละเอย]
เราเสียค่าเรือไปแค่ลำละ 300 บาท ลำนึงได้สามคน !!! เทียบกับประสบการณ์ที่ได้รับ โหวว มันสุดยอดและคุ้มมากๆ
ขอบคุณลุงมากที่อุสาห์พาพวกเราเข้าไป เราเลยให้ทริปลุงเล็กๆน้อยที่มากกว่าค่าเรือที่จ่ายไป ลุงจะได้มีกำลังใจพาคนอื่นๆที่อยากเที่ยวเข้าไปผจญภัยดูอะไรสวยๆในถ้ำอีก ขอบคุณลุงขับรถด้วย ที่ติดต่อหัวหน้าหมูบ้านและติดต่อคุณลุงเรือได้สำเร็จ
เอ้า หนึ่ง สอง สาม ขอบคุณพร้อมกัน
"ขอบ คุณ ค่ะ "
ขากลับออกจากถ้ำยังไม่หายตื้นเต้น ต้องมาตื้นเต้นเจอพายุฝุ่นอีก กรี๊ดกร๊าดวี๊ดว๊ายกันใหญ่ แต่ไม่ใช่เสียงเพื่อนผู้หญิงนะ เสียงเพื่อนผู้ชายทั้งนั้นเลยแหละคุณเอ้ยยยยย แมนกันมว๊ากกกกกกก
วันนี้เป็นวันสุดท้ายในท่าแขก เรานัดหมายกันไว้ว่าจะต้องไปเที่ยว "ผับลาว" กันให้ได้ เลยแยกย้ายเข้าห้องพักอาบน้ำแต่งตัว
เดินไปหาข้าวกินกันก่อนจะไปลุยหาผับ
ก่อนจะเจอร้านข้าวก็ผ่านด้านของกินไปหลายร้านมาก ทั้งข้าวจี่ทาด้วยน้ำจิ้มแจ่วปลาร้างี้ ทั้งปาเต๊ะงี้ หูยยยย อร่อยยยยยเหาะะ
เดินลัดเลาะกันมาตามถนนหลัก น่าจะร่วม 3 กิโลได้ก็มาถึงฝั่งโขงงงง
โถ่วๆๆๆ นั้นมันนครพนมบ้านเราสินะะะะะะ คิดถึงเธอจริงๆๆๆ
จริงๆแถวนี้มีร้านอาหารริมโขงหลายร้านเลย แต่ก็เป็นอารมณ์ร้านอาหารริมโขงสไตล์ตามฝั่งไทย พวกเราเลยไม่นั่ง สุดท้ายก็ต้องมากินร้านส้มตำไก่ย่างตามเดิม คือเกือบทุกมื้อจะวันอยู่แค่ มาม่า ก๊วยเตี๋ยวข้าวเปียก ส้มตำไก่ย่าง ร้านจะเป็นแบบนี้เกือบทุกร้านเลย และราคาอาหารก็เท่าๆกับที่ไทยนั้นแหละ
กินข้าวเติมพลังกันเต็มที่ จิบเบยลาวกันไปเบาๆแล้ว ก็ไปสอบถามพี่ร้านขายน้ำว่าแถวนี้มี ผับลาวบ่ เธคอะเธค เอาแบบที่ฮิตที่สุดเลย
พี่แกรีบตอบเสมือนว่าไปมาบ่อย ดูท่าแล้วน่าจะเปิดเมมเบอร์ไว้ที่นั้นแล้ว 55555 เธอมีชื่อว่า "ต้นตาล"
เดินตรงไปเจอแยกเลี้ยวขวาเลยร้านอยู่ขวามือ แต่ๆๆ ระหว่างที่พี่บอกให้เลี้ยวขวา มือพี่แกชี้ไปทางซ้ายยยย
เอาวะ เดินๆดูก่อน ก่อนถึงแยกก็เจอเลย อ้าวนี้ไง ต้นตาลผับ ชื่อเดียวกับที่พี่แกบอกเลย ด้วยความที่ไม่มีใครเคยเห็นผับลาวมาก่อน
เลยตัดสินใจไปดู คือหน้าผับเป็นร้านอาหารตามสั่ง ที่พอเราเดินเข้าไปทุกคนก็หันมามองกันใหญ่
เปิดประตูผับเข้าไป มีนักร้องนักดีดกีต้าร์ร้องเพลงด้วยอารมณ์ความมันส์เต็มสิบ แต่... ในร้านไม่มีลูกค้าเลยสักคน
เอาไงดีวะ ลองเดินไปก่อนมั้ยอะ ร้านมันโล่งมากเลยมรึ-
และหลังจากเดินมาได้สักพัก พี่เขาบอกอยู่ขวา แต่เราลองเลี้ยวซ้ายดูเพราะเห็นไฟวิบวับๆ ดูท่าน่าจะเป็นผับนะเว้ยยยยย
ละล ละ ล ะ ล้าววว เราถึงกันล้าวววววว ว วว เว้ยยยยย หน้าร้านมีมอไซต์จอดอยู่สามสี่คัน มีพนักงานตรวจบัตรตามไสตล์นั่งเล่นทองหล่อบ้านเรา
แต่เขาก็ไม่ตรวจวะ เดินเข้าไป อ้าววว ไม่มีลูกค้านั่งเลยสักโต๊ะะะ แต่ก็เอาวะ นี่เพิ่งสองทุ่มเองงง
การมาเที่ยวเธคลาวทำให้รู้ว่า ในเธคเขาต้องร้องคาราโอเกะกันนะเออ เหมือนทุกโต๊ะมีสิทธิ์ขอเพลงและต้องร้องกันโต๊ะละเพลง
พอร้องจบเพลงนึงก็จะเปิดสลับกับเพลงที่ตื๊ดดดมากๆๆ ถึงแม้ว่าคนลาวจะชอบร้องเพลงเศร้าแค่ไหนก็ตาม
อ้ายเอ้ยยยยยยย ข่อยปรับอารมณ์ไม่ท๊านนนนนน
พอสักสามทุ่มปุ๊บ เหล่าหนุ่มหล่อสาวสวยไทยลาวก็มาประชุมกันโดยนัดหมายกันไว้แล้ว
แต่ละคนแต่งตัวมากันจ๊าบสุดๆ เสื้อแดงกางเกงเขียวรองเท้าเหลืองเซตผมให้ตั้งที่สุด ใครไม่ใส่แว่นกันแดดมานี่ถือว่าเชยมาเลยเหอะ และที่เท่ที่สุดน่าจะเป็นเสต็ปการแด๊นซ์ของแต่ละคน คืออยู่ที่นี้จะเต้นกันได้อย่างเมามันส์ โชว์ลีลาได้เต็มที่
แขนขาจะแกว่งจะเหวี่ยงแค่ไหนก็เอาเล้ยยย ตามสบ๊ายยยยยยย
เต้นไปมองโต๊ะอื่นไป นั่งกันเกือบสิบคนกินเบียร์สามสี่ขวด กินผสมอิชิตันด้วยนะ แล้วพอหันกลับมาดูโต๊ะเรา
โอ้วโหววว ล่อไปเป็นลังงงงงงงง นั่งกินกันอยู่ห้าคนนนนนน แต่ก็เนาะ .. เบียร์ขวดละสามสิบบาทเองอะ
และหลังจากนั้นภาพความจำก็เลือนลาง แต่ก็กลับที่พักกันได้อย่างปลอดภัยแถมได้เพื่อนคนลาวเพิ่มมาด้วยแหละday5.
[วันนี้แล้วสินะ ที่พวกเราต้องโยกย้าย]
เตรียมตัวเช็คเอ้าท์กันแต่เช้า จากแผนเดิมคือจะนั่งรถจากท่าแขกกลับไปปากเซไปเที่ยวกันต่อ
แต่ทุกคนเข็ดจากการนั่งรถขามาที่ยาวนาว ก็เลยเปลี่ยนเป็นกลับทางนครพนม นั่งเรือข้ามฝั่งไปและต่อรถไปอุบลอีกทีแล้วค่อยย้อนกลับปากเซ
คิดไปคิดมา ทุกคนก็พร้อมใจกันทิ้งที่พักที่จองไว้ที่ปากเซอย่างไม่มีเยื่อใย ตัดสินใจไม่เที่ยวลาวใต้ต่อ โถ่ววว ปากเซผู้น่าสงสารรรรร
แล้วจะเอายังไงต่อไปละ ????
" มี แ ต่ ค ว า ม ว่ า ง เ ป ล่ า "
ไม่มีแพลนใดใดต่อไป แต่เหลือเวลาอีกตั้งสามวันเลยนะกว่าจะกลับได้
เอาเป็นว่า ขึ้นรถกลับไปอุบลก่อนละกันเนาะ ค่อยคิดแผนต่อไป
ถ้าอย่างนั้นก็เอาเป็นว่า บ๊ายบายท่าแขก สบายดี แล้วเจอกันใหม่ ..
..................................................
อีกสามวันที่เหลือจะรีวิวต่อให้นะ
some.mile
วันพุธที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 12.41 น.