การเดินทางแต่ละครั้งมักมีเรื่องเล่ากลับมาเล่าที่แตกต่างกันออกไป


ไม่ว่ารูปแบบการเดินทางจะเป็นแบบไหน เดินทางแบบไหน ไปกับใคร ไปเป็นกลุ่ม หรือจะไปคนเดียว แต่สุดท้ายมันก็ต้องจบลงด้วยคำว่าการเดินทาง การเดินทางของพวกเราในครั้งนี้ก็เช่นกันครับ เป็นการเดินทางที่มีเป้าหมายที่แน่นอนแล้วว่า ในแต่ละวันเราจะที่ไหน แต่ส่วนเรื่องจะไปอย่างไรให้ถึงเป้าหมายของเราในแต่ละวันนั้นเราไม่ได้กำหนดไว้ตายตัวว่าจะไปอย่างไร จะต้องถึงกี่โมง แล้วไปถึงแล้วจะต้องทำอะไรบ้าง ทุกอย่างค่อยว่ากันเมื่อไปถึงเป้าหมายของวันนั้น มันจึงทำให้การเดินทางของเราไม่น่าเบื่อ ได้ตื่นเต้นตลอดเวลา ค่อยๆคิด ค่อยๆทำแบบไม่ต้องรีบ แล้วเราจะได้เรียนรู้ว่าการเดินทาง ที่แท้จริงแล้วมันอยู่ตรงไหน ระหว่างทาง หรือเป้าหมายที่เราตั้งไว้ ^^


รีวิวนี้ผมตั้งใจทำขึ้นมาเพื่อเป็นบันทึกความทรงจำของผมและผองเพื่อน ข้อมูลต่างๆ ที่ผมได้พบได้เจอมา ผมก็จะพยายามใส่ให้เต็มที่เลยครับ ถ้าเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่าน แล้วจะนำไปปรับใช้ เราก็ยินดีครับ ^^


ติดตามการเดินทางของพวกเราได้ที่

Traveltogether/คนเดินทาง https://www.facebook.com/traveltogether.kondentang?ref=bookmarksสมาชิก 10 คน : พี่แอ๊ด พี่ฝ้าย พี่เหมียว พี่นก ไก่ แนน น้ำ เชอร์รี่ น้องหยก น้องบอส สมาชิกทุกคนล้วนเป็นสิ่งเติมเต็มให้ทริปของเรา

สมบูรณ์แบบมากขึ้น สุข ทุกข์ ที่เราได้ร่วมประสบด้วยกันสิ่งเหล้านี้จะเป็นตัวช่วยที่สำคัญที่จะทำให้ประสบการณ์การเดิน

ทางของพวกเราน่าจดจำมากยิ่งขึ้น


งบประมาณ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด



สิ่งที่ต้องเตรียม :

1.พาสปอร์ต

2.เสื้อกันฝน/ร่ม

3.ผ้าปิดปาก จมูก ช่วงที่ฝนไม่ตก ระหว่างทางจะมีฝุ่นเยอะมากๆ

4.กางเกงใน ที่เพียงพอต่อระยะเวลา 4 วัน 3 คืน + เล่นน้ำ 4 ครั้ง

5.ถุงใส่ผ้าเปียก

6.หมวก/แว่น

7.ครีมต้านแดด เอาไปเยอะๆ เผื่อผมด้วย^^

8.เสื้อแขนยาว(สำหรับกันแดด เวลาถีบจักรยาน)

9.ของใช้ส่วนตัวอื่นๆ


การแลกเงิน

สามารถใช้เงินบาทแลกเป็นเงินกีบได้เลย ไม่ต้องเปลี่ยนเป็นดอลลาร์ครับ สามารถแลกได้ที่ ด่านตรวจคนเข้าเมือง

ประเทศลาวได้เลย โดยอัตรแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 บาท = 226.97 กีบ ณ วันที่ 1 ตุลาคม 2558 หรือสามารถเช็ค

อัตราแลกเปลี่ยนได้ที่ http://th.coinmill.com/LAK_THB.html ตามลิงค์ได้เลยครับ แล้วอย่าลืม ปริ้น หรือเซฟ

ภาพอัตรแลกเปลี่ยนมาเก็บไว้เพื่อเปรียบเทียบด้วยนะแจ๊ะ !!!!


ในความคิดผม ผมว่าควรจะแลกเงินทั้งหมดที่เราจะเอาไปใช้ในลาวเป็นเงินกีบให้หมดเลยครับ เพราะถ้าเอาไปแลก

ที่อื่น อัตราแลกเปลี่ยนมันจะไม่เท่ากัน บางที่ได้ 223 กีบ บางที่ก็ได้น้อยกว่านั้น ฉะนั้นตัดปัญหาเรื่องอัตราแลก

เปลี่ยนไม่เท่ากัน ก็แลกให้หมดไปเลย เพราะจะได้ง่ายต่อการคำนวณค่าใช้จ่าย เมื่อแปลงกับเป็นค่าไทยด้วยครับ

(อันนี่เป็นความคิดผมนะ ยังไงก็ลองเอาไปปรับใช้ดูครับ ^^)




แผนที่

แผนที่เป็นสิ่งสำคัญมากๆ ในการที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ถึงแม้ข้อมูลเราจะน้อย แต่ถ้ามีแผนที่รับรองไม่หลง

แน่นอน แต่เราต้องอ่านแผนที่ให้ออกด้วยนะ คริๆๆ สำหรับผม ผมใช้แผนที่ ออฟไลน์ (MEPS.ME) สามารถโหลด

ไว้ในมือถือได้เลย เมื่อโหลดเรียบร้อยก็เข้าไปโหลดแผนที่ในประเทศที่จะไป เท่านี้เราก็สามารถรู้ตำแหน่งของตัว

เองได้ถึงแม้จะไม่มีสัญญาณก็ตาม

อย่างถ้าเราจะไปลาว โหลดแผนที่ประเทศลาวเรียบร้อยแล้ว เราก็สามารถไปปักหมุด แล้วบันทึกสถานที่ที่เราอยาก

จะไปไว้ก่อนเลยครับ แต่จะไปหรือไม่ไปค่อยว่ากันอีกที เพราะเวลาเราอยู่ที่ลาวแล้วสัญญาณมันอาจจะช้า ซึ่งมัน

ต้องช้าแน่ๆ ห่ะๆๆๆ ต้องทำใจ มีเจ้านี้ไว้ครอบครองรับรองว่าอุ่นใจ ไม่มีหลงแน่นอน

หรือจะขอแผนที่ท่องเที่ยวของแต่ละเมืองตามที่ที่เราพักได้เลย แต่ว่าจะอ่านยากหน่อย ให้เจ้าหน้าที่โรงแรมช่วย

อธิบายแผนที่อีกทีแล้วจดเป็นภาษาไทยเอานะครับ ^^

แผนที่เมืองวังเวียง จาก MEPS.ME


แผนที่เมืองหลวงพระบาง จาก MEPS.ME

........ผมว่ามีเท่านี้ก็สามารถเก็บกระเป๋า แล้วออกเดินทางได้แล้ว ...เอ้า แล้วจะรออะไรอยู่ ออกไปเดินทางพร้อมผมได้แล้วครับ ......



ตารางการเดินทาง : (1-4 ตุลาคม 2558)

วัน พฤหัสบดี ที่ 1 ตุลาคม 2558 : กทม.(ดอนเมือง)-อุดรธานี-เวียงจันทร์-วังเวียง(นอนวังเวียง)

วัน ศุกร์ ที่ 2 ตุลาคม 2558 : วังเวียง-บลูลากูน-ล่องแม่น้ำซอง-หลวงพระบาง(นอนในรถ)

วัน เสาร์ ที่ 3 ตุลาคม 2558 : หลวงพระบาง-น้ำตกตาดกวางสี-น้ำตกตาดแส-วัดเชียงทอง-ตลาดมืด-เวียงจันทร์(นอนในรถ)

วัน อาทิตย์ ที่ 4 ตุลาคม 2558 : เวียงจันทร์-อุดรธานี-กทม.(ดอนเมือง) (นอนห้อง)


พร้อมแล้วก็ออกเดินทางกันได้เลยครับบบ


วัน พฤหัสบดี ที่ 1 ตุลาคม 2558 : กทม.(ดอนเมือง)-อุดรธานี-เวียงจันทร์-วังเวียง(นอนวังเวียง)

วันแห่งการเริ่มต้น........

เช้านี้ต้องแหกขี้ตาตื่นมาตั้งแต่ตี 3 อะไรมันจะลงทุนตื่นเช้าขนาดนี้ครับ ถ้าไม่ใช่เรื่องเที่ยวนี่ทำไม่ได้ขนาดนี้นะครับบอกเลย ยอมให้เรื่องนี้เรื่องเดียว ^^ ไม่รู้ว่าคนอื่นๆ จะเป็นเหมือนกันมั้ยนะ เรื่องเที่ยวต้องมาก่อน ส่วนเรื่องงานค่อยว่ากัน คริๆๆ พวกเรานัดเจอกันที่สนามเรือบินดอนเมืองตอนตีห้า เพราะเรือบินออกตอน 05.50 น. ของไลออนแอร์ ซึ่งออกโปรมาให้เราได้ใช้บริการ ไป-กลับ กรุงเทพฯ-อุดรฯ 700 บาท ราคาดี เที่ยวบินสวย แล้ววันนี้ก็เป็นวันแลกที่เรือบินจะแจกอาหารบนเครื่อง จัดว่าดี จะได้มีอะไรเคี้ยวเล่นระหว่างรอบนอากาศอันเคว้งคว้าง เช้านี้อากาศแจ่มใสครับมีเมฆหมอกบ้างให้ชื่นชมบนเรือบิน เวลา 06.50 น. ล้อเรือบินแตะพื้นรันเวย์ที่ สนามเรือบินอุดรเป็นว่า เราก้าวมาอีกขั้นแล้วครับ ใครจะถอนตัวตอนนี้นี่ไม่ได้แล้วนะเรา ลงเรือลำเดียวกันแล้ว มาด้วยกันต้องไปด้วยกันสิ อย่าหนีไปไหนนะ เดี๋ยวตัวหารจะน้อยลง....เอ้ยไม่ใช่ คริๆๆๆ

จุดมุ่งหมายต่อไปคือ หารถจากสนามบินไป สถานีขนส่งอุดร เราจะต้องนั่งรถจากที่นั้นยิงยาวไปถึงวังเวียงเลย เดี๋ยวนี้การเดินทางสะดวกมากมาย เกิดมาในยุคนี้อะไรๆ ก็ดี แต่เคยได้ยินมาเยอะเหมือนกันว่า พวกที่มาเครื่องบินแล้วจะไปขึ้นรถไปวังเวียงส่วนใหญ่แล้วไม่ทันกัน ซึ่งผมก็กลัวเหมือนกันว่าจะไม่ทัน แต่ยังไงก็ต้องทันให้ได้นะ หวังยังดีกว่าไม่หวัง ไปครับเดินทางต่อ บริเวณหน้าสนามบินจะมีรถตู้คอยบริการครับ คิดคนละ 60 บาท ผมเหมาไป 10 คน สะดวกและน่าจะเร็วดีนะ แต่รถอื่นๆ ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีมั้ย เอาที่เร็วไว้ก่อนเดี๋ยวไม่ทันรถ แหะๆๆๆ

จากสนามบินถึงขนส่งใช้เวลาประมาณ 20 นาทีได้ เพราะต้องขับเข้าเมือง แต่เวลาก็ยังทันอยู่ภาวนาว่าให้ทัน ลงรถได้ผมนี่วิ่งไปต่อคิวทันทีเลยครับ ไปถึงคนต่อคิวก็เยอะอยู่เหมือนกัน


การซื้อตั๋วรถไปวังเวียง สิ่งสำคัญที่ต้องมีคือ หนังสือเดินทาง/พาสปอร์ต ถ้าไม่มีไม่สามารถซื้อได้นะครับ ค่ารถไปวันธรรมดา 320 บาท ไม่แน่ใจว่าวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ จะขึ้นราคามั้ย และที่สำคัญมีวันละรอบเท่านั้น คือ 08.30 น. ไม่มีบริการเสริม แต่ในอนาคต คาดว่าจะมีเพิ่มอย่างแน่นอนเพราะปริมาณนักท่องเที่ยวกำลังจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ระหว่างต่อแถวรอเราก็เก็บเงินกองกลางคนละ 3,000 บาท ซึ่งคิดว่าน่าจะเอาอยู่นะ ไปกันตั้งหลายคน คงช่วยกันหารได้แหละ รวมๆ แล้วก็ 30,000 บาท รีบเก็บใส่กระเป๋าแล้วหนีกลับ กทม. ทันที 55555 แหมตั้งสติก่อน นี่เงินเพื่อนๆ ถ้าเงินคนอื่นค่อยว่ากัน 55555

เย้ ถึงคิวเราแล้วครับ ยื่นพาสปอร์ต ทั้งหมด 10 เล่มให้ไป เจ้าหน้าที่ถามว่า ทั้งหมดกี่คน .....ตอบ 10 คนครบครับ เจ้าหน้าที่ตอบกลับมาทันที ที่นั่งมันไม่พอนะสิ สิบคน มันเหลือแค่ 4 ที่ เอง อ้าว เวรละไง หมดกันรถยิงยาวถึงวังเวียงของกู ส่ายืนต่อคิวตั้งนาน 555555 ทำหน้าจ้อยออกมา แล้วบอกเพื่อนว่า ที่นั้งไม่พอจร้า คงต้องนั่งไปลงเวียงจันทร์ก่อนแล้วค่อยหารถต่อไปวังเวียงอีกที 5555

รถอุดรฯ-เวียงจันทร์มีหลายรอบมากครับ ตามตารางด้านล่าง ค่ารถ 80 บาท แต่ถ้าวันหยุดก็จะขึ้นเป็น 105 บาท ผมเลือกรอบ 9 โมงเช้า ช่วงนี้มีเวลาเหลือ ก็ออกไปหาข้าวกินกัน ระหว่างรอรถออก ช่วงนั้นเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาพูดคุยสอบถาม และบอกกับเราว่า รถไปวังเวียงมีรอบเดียวเพราะว่า บางวันมีคนไปไม่ถึง 10 คนก็มี บางวันคนเกินก็มี ไม่สามารถกะปริมาณผู้โดยสารได้เลย ถ้ามีหลายรอบกลัวว่าจะไม่คุ้ม ช่วงนี้ก็กำลังทำการสำรวจความต้องการของนักท่องเที่ยวอยู่ ผมว่ามีเปิดเพิ่มอีกแน่นอน ^^


ตารางรถอุดรฯ-เวียงจันทร์ และ อุดรฯ-วังเวียง9 โมงตรงแล้วได้เวลารถออกแล้วครับ แหมม กว่าจะเดินทางได้โม้ไปไกลเลยน้า 55555 จากอุดรธานี ไปถึงเวียงจันทร์ ก็ราวๆ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ครับ เพราะถือว่าไม่นานเท่าไหร่ เพราะเราต้องทำเรื่องผ่านด่านขาออกจากไทย และขาเข้าของฝั่งลาว ซึ่งถ้าเรากรอกข้อมูลใบ Immigration(ใบตรวจคนเข้าเมือง) ครบถ้วนก็ผ่านได้สบายๆ ครับ ไม่มีกังวลอะไร สำหรับใบ Immigration ของลาว บนรถทัวร์จะมีบริการแจก แล้วเราก็ใช้เวลานั่งบนรถกรอกข้อมูลไปครับ ไม่ต้องรีบ กรอกเสร็จก็นอนไปยาวๆ จนถึงด่านได้เลย ส่วนของไทย เราต้องลงไปขอกรอกบริเวณหน้า ตม. ได้เลย


เหมือนพนักงานบนรถจะรู้ว่าพวกเรา 10 คนจะเดินทางต่อไป วังเวียง จึงเข้ามาสอบถาม แล้วเสนอราคา รถตู้เหมาไปในราคา 4,000 บาท สำหรับเราราคายังไม่โอเคเท่าไหร่ ก็ขอต่อลงมาเหลือ 3,500 บาท พนักงานก็โทรไปต่อรองราคากับคนขับรถตู้ให้ ซึ่งก็ตอบตกลง ในราคา 3,500 บาท นั้นแปลว่าเราได้รถไปที่วังเวียงแน่นอนแล้วโดยไม่ต้องไปเดินหาเอง แต่มันน่าเจ็บใจตรงที่ว่า พอออกจากด่าน ตม. ลาวแล้ว เจอป้าย รถตู้เหมาไปวังเวียง ราคา 3,000 บาท ผมนี่หน้าชาเลยครับ ต้องรีบเดินหนีทำเป็นว่ามองไม่เห็น 5555 เพื่อนร่วมทริปก็บ่นเสียดายๆ แต่ก็ทำไรไม่ได้เราจองไปแล้วนิ แต่ยังโชคดีที่เรามารู้ทีหลังว่า รถตู้แถวนั้นค่อนข้างจะเก่า ผมค่อยสบายใจหน่อย อย่างน้อยก็มีข้ออ้าวมาให้ตัวเองไม่ต้องเสียดาย 555

รถอุดร-เวียงจันทร์ จะมาสิ้นสุดที่ตลาดเช้า ซึ่งปรกติเราต้องต่อรถจากที่นี้ไปวังเวียง ถ้ารถที่นี้หมดเราต้องนั่งรถเมล์สายสีเขียวไปที่สถานีขนส่งสายเหนือ เพื่อต่อรถไปวังเวียงอีกที ดูยุ่งยากนะครับ แต่พวกเราจองรถตู้ไว้แล้ว รถจึงจอดให้เราลงบริเวณก่อนเข้าตลาดเช้า เพื่อขึ้นรถตู้แถวนั้น เป็นรถตู้สภาพดี 15 ที่นั่ง แต่เค้าไปรับผู้โดยสารเพิ่มมาอีก 2 คน เป็นคนเกาหลี แล้วตกลงแบบนี้มันเรียกว่าเหมายังไงวะเนี่ย 5555 ไม่เป็นไร ที่นั่งยังว่าง ใจดี ไปด้วยกันได้ครับ คิดว่าเป็นเพื่อนร่วมทางกันก็แล้วกัน


สมาชิกในรถตู้ พร้อมเพื่อนต่างชาติ ครับ ^^

จากเวียงจันทร์ ถึงวังเวียงใช้เวลาราวๆ 3 ชั่วโมง ด้วยระยะทาง 155 กิโลเมตร เรื่องเส้นทางไม่ต้องห่วง มันสวยมากๆ ขนาดช่วงบ่ายแล้ว เรายังสามารถมองเห็นสายหมอกออกมาเล่นหยอกล้อกับภูเขา ที่อยู่เบื้องหน้าพวกเรา ทุ่งนาที่เขียวชอุ่ม บ้างช่วงเหลืองทองพร้อมที่จะเก็บเกี่ยวแล้ว ได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านตลอดสองข้างทาง ดีงามมากๆ แต่ถ้าพูดถึงเรื่อง ถนน หนทางแล้วละก็ ต้องบอกว่า ยับ ยับมากๆ 5555 ไม่รู้ถนนหรือหลุมบนดวงจันทร์ที่โดนอุกาบาตรวิ่งชน พรุนซะจนไม่เหลือพื้นที่เรียบให้ได้เห็นเลย เหมือนเรากำลังนั่งอยู่บนเครื่องเล่นที่มันสุดเหวี่ยงในสวนสยาม ห่ะๆๆๆ สนุกดีครับ มันทำให้เราไม่ต้องหลับ ได้ตื่นมาดูวิวสองข้างทางตลอดเวลา คนที่หลับได้นี้ถือว่าเก่งมากๆ เลย


รถตู้พาเรามาถึงวังเวียงตอน บ่าย 3 โมง ก้าวต่อไปที่เราต้องทำคือ บอกรถตู้ว่าให้ไปส่งที่ จำปาลาว หน่อยได้มั้ย 5555 เพราะเราไปไม่ถูก ทำไปทำมา รถตู้ก็ไปไม่ถูกเหมือนกัน 555 หนักกว่าเราอีก ลุงเค้าก็ยังจะไปส่งเรา จอดถามทางตลอดเลย สุดท้าย ผมก็เลยเปิดแผนที่ ออฟไลน์ จนเจอ จำปาลาวเก็ตเฮาส์ เลยได้บอกทางคนขับรถตู้แทน 555 สุดท้ายพอลงหน้า จำปาลาว ลุงคนขับบอกว่า มันเรียกว่า จำโปลาว 5555 จำไว้นะครับ คนลาวเรียกว่า จำโปลาว

ทำการ Walkin เพราะพวกเราไม่ได้จองที่พักมาเลย รู้จักแค่ที่นี่ที่เดียวจากคำแนะนำของเพื่อนๆ ที่เคยมาก่อน ที่นี่วิวดีมากครับ มีที่พักอยู่ 2 ฝั่งแม่น้ำเลย แต่ว่าเราไม่สามารถนอนที่ได้ เพราะว่าต้องนอนแยกกัน คนละฝั่งเลย ห้องพักมีหลายราคาครับ เริ่มต้นที่ 300 บาท จนไปถึง 800 บาท เจ้าของน่ารัก ใจดีครับ เหมือนจะเป็นคนไทยด้วยมั้ง เพราะพูดไทยได้ชัดมากๆ แนะนำที่พักให้เรามากมาย ต้องขอบคุณมากๆ ครับภารกิจของเราต่อไปคือ เดินหา ที่พักที่ราคาถูก และวิวดีที่สุด ห่ะๆๆๆ งานหนักเลยครับ เพราะว่าข้อมูลที่พักเราไม่มีในมือเลย กะจะมาเดินหาเอาดาบหน้าอ่างเดียวเลย เดินลัดเลาะตามแม่น้ำมาได้สักพักใหญ่ๆ เลย พวกเราก็มาเจอที่นี้ ครับ Saykham Guesthouse อยู่ติดริมถนน ตรงข้ามกับโรงเรียน ห้องพักสะอาด ห้องน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่น มีไวไฟเล่น มีบริการน้ำดื่ม แต่ไม่มีอาหารเช้า ห้องพักมีหลายขนาดครับ ตั้งแต่นอน 2 คน จนถึง 4 คน และเลือกได้ด้วยว่า จะเอาแอร์หรือไม่เอาแอร์ ถ้าเอาแอร์ก็จะอีกราคา แต่พวกเราไม่เอาแอร์ครับ เพราะคิดว่าที่นั้นอากาศเย็นแน่นอน พวกเราจึงได้ราคา รวมทั้งหมด 10 คน 280,000 กีบ หารออกมาเป็นเงินไทย ก็ คนละ 123 บาท เห้ย มันถูกมากๆๆๆๆ เสียดายครับไม่ได้ถ่ายภาพห้องพักมาให้ แต่รับประกันว่า สะอาดจริงๆ เจ้าของน่ารัก เป็นกันเองมากๆ แนะนำที่นี้เลยครับ แต่ว่าห้องจะมีไม่มาก เห็นว่ามีแค่ 6 ห้องเองครับ

วิวจากด้านหลังห้องพัก

เบอร์ติดต่อ...



วันนี้เหลือเวลาไม่มาก รีบเก็บของแล้วออกไปสำรวจเมืองวังเวียงคร่าวๆ ยามเย็นกันครับ ก่อนอื่นต้องหาอะไรรองท้องก่อนครับ นั่งรถมานานเริ่มหิวแล้ว

นี่ครับ หน้าตาอาหารว่างของพวกเรา โรตีและขนมปังบั๊กเก็ต ไม่รู้เค้าเรียกแบบนี้หรือเปล่า แต่ทั้งเมืองมีขายแบบนี้เยอะมากๆ ป้ายเมนูก็เหมือนกันเด๊ะ แต่ราคาไม่ค่อยเท่ากันเท่าไหร่นะ 555 เลือกร้านดีๆ หน่อย ส่วนร้านที่พวกเรากินก็อยู่ไม่ไกลจากโรงแรมครับ อยู่ตรงแยกโรงเรียนพอดีเลย รสชาดอร่อยดี ขนมปังนุ่มไม่เหมือนที่เมืองไทย(แถวบ้าน)จะแข็งๆ กรอบๆ มีให้เลือกหลายไส้ ตามใจชอบเลย ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 10,000 กีบ

ดูหน้าคนกินสิครับ มันฟินขนาดไหน หรือเพราะหิวก็ไม่รู้ ^^

ได้อาหารรองท้องแล้วก็เดินสำรวจกันเลยครับ เป้าหมายตอนนี้คือ เดินมั่วๆ (โดยใช้แผนที่ออฟไลน์) เพื่อไปหาทุ่งนาที่เค้าฮิตๆ ถ่ายกันที่วังเวียง จากโรงแรมเดินไปทางขวามือไปสัก 300 เมตร จะเจอแยะขวามืออีกที ให้เลี้ยวขวาลงไปเลยครับ จะเจอสะพานทางสะพานข้ามแม่น้ำซอง ตรงนี้ต้องจ่ายค่าข้ามสะพานด้วยนะ คนละ 4,000 กีบ(ไปกลับ) แต่ถ้ามีจักรยานด้วยคนละ 6,000 กีบ(ไปกลับ) เป็นสะพานแขวนครับ บรรยากาศตอนเดินข้ามโรแมนติกดีมาก คริๆๆ (เห้ย เดินข้ามสะพานมันโรแมนติกตรงไหนวะเนี่ยยยย)

สะพานแขวนกับวิวแม่น้ำซองยามเย็น ^^

ข้ามสะพานแขวนเสร็จแล้วก็จะเจอสะพานไม้เล็กๆ เราก็เดินข้ามต่อครับ จากนั้นก็เดินเลี้ยวขวา เดินไปเรื่อยๆ น่าจะร้อยเมตรได้ ก็จะเจอรีสอร์ท ที่อยู่กลางทุ่งนาที่เราตามหาแล้วครับ แต่เราไม่ได้เข้าไปในรีสอร์ทนะ ขืนเข้าไปโดนด่ายับเลย จากที่ศึกษาข้อมูลมาคร่าวๆ เค้าบอกว่าตรงซุ้มประตูทางเข้าจะมีทางแยกซ้าย แล้วเดินลงไปคันนา เราก็เลยเลี้ยวซ้ายไปทางนั้นทันที เดินตามคันนาไปเรื่อยๆ ก็เจอแล้วครับ ทุ่งนาในตำนานที่เราตามหา เตรียมกล้องกดชัตเตอร์ได้เลย 5555

เดี๋ยวมาต่อนะครับ ไปทานข้าวแปป ^^พวกผมไปถึงแสงอาทิตย์ก็เริ่มหมดแล้วครับ เลยได้ภาพแสง twilight มาให้เพื่อนๆ ได้ชมกัน


ว้าวววว ฟินมากๆๆ ถ้ามาเร็วกว่านี้คงได้ภาพที่สวยกว่านี้แน่นอน

รีสอร์ทที่นี้จากที่สอบถามคนที่พักเค้าบอกว่าราคาหลักพัน ซึ่งราคานี้เงินในกระเป๋าผมตอนนี้คงสู้ไม่ไหวแน่นอน 555 ไว้รอเป็นเศรษฐีก่อนนะ จะมานอนสัก 10 คืน


พอแสงหมดพวกเราก็ต้องขอตัวกลับเข้าเมืองก่อนแล้วครับ ไปหาข้าวกิน หาร้าน ชิวๆ นั่งจิบเบียร์เย็นๆ แล้วฟังเพลงลาว ซึมซับบรรยากาศเมืองวังเวียงไปเรื่อย “"""หรา..............เด่วเล่าให้ฟังเพราะมันจะข้ามตอน


เดินถามชาวบ้านบ้าง เจ้าของที่พักบ้าง ว่า ที่ที่คนนิยมไปนั่งชิวๆ ยามค่ำคืนนั้นมันคือที่ไหนกันน้า ทุกคนตอบเสียงเดียวกันว่า Sakura ซึ่งไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ครับ ไปทางซ้าย ทัดไปสองซอย เลี้ยวขวาเดินไปเรื่อยๆ ก็เจอครับ แต่ระหว่างรอเวลาดึกๆ หน่อย เราก็หาข้าวกินก่อน มาที่นี้ต้องมากิน เฝ๋อ อร่อยมากๆๆๆๆๆ ผมไปกินร้านนี้ครับ.ร้านอานี... ชามเท่ากาละมัง คือกินคนเดียวก็กินไม่หมด เยอะจริงๆ พร้อมกับเครื่องเคียงที่มีให้เลือกใส่เยอะแยะมากมาย ชามละ 10,000 กีบ อ่อมีอีกอย่าง ที่ต้องมากินให้ได้คือ ส้มตำลาว ที่นี้อร่อยมากกกกกก ทุกร้านอร่อยหมด มีสูตรเด็ดที่ใส่น้ำปู๋ ลงไปมันนัวมากๆ พูดแล้วน้ำลายไหล ป้าๆๆๆ ตำลาวจาน อินมากๆ ห่ะๆๆๆ อิ่มอร่อยจน มื้อนี้


งานนี้ก็เลยต้องขอถ่ายคู่กับเจ้าของร้านหน่อย เพราะใจดีมากๆ สั่งส้มตำมา 2 จาน แถมรีฟิว เส้นมะละกอ 5555 จ๊าบจริง


ออกจากร้านมา เจอฝรั่งสาว หน้าตาน่ารัก อัธยาศัยดี นั่งอยู่ข้างทางหน้าร้าน ด้วยความเป็นคนดี กลัวเค้าเหงา ก็เลยลองเค้าไปทักดู จำไม่ได้แล้วว่าอายุเท่าไหร่มาจากไหน 5555 รู้แต่ว่า เค้าแนะนำให้ไปร้าน Sakura ตอนช่วง 2 – 3 ทุ่ม จะมีโปรแจกเหล้าฟรี เหยดดด งานนี้ก็เข้าทางพวกเราสิ มีของฟรีที่ไหนเราต้องไปที่นั้น ยิ่งเป็นเหล้าฟรีด้วยแล้ว มีรึจะพลาดได้ไง 555 แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา ก็ขอแวะซื้อเบียร์ลาวจิบเดินเล่นชมเมืองวังเวียงสักหน่อย ก่อนจะไปกินของฟรีวังเวียงเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มากครับ เดินแปปเดียวก็เดินทั่วแล้ว ไม่ต้องกลัวหลงด้วย เดินไปเรื่อยๆ เดี่ยวก็เจอที่เดิม 555 เพราะผมกะเดินชมเมือง เดินไปเดินมาอ้าวมาโผล่ที่ร้าน Sakura เฉยเลย รออะไรละครับ จะรอให้ท่านประธานตัดริบปิ้นเหรอครับ เดินเข้าไปด้านในร้านทันที จองโต๊ะมุมด้านใน นี่แหละทำเลดีที่สุดแล้ว (555 ป่าว เหลือว่างแค่โต๊ะเดียว) ได้โต๊ะแล้ว ก็ต้องรีบปรี่เข้าไปหยิบเหล้าฟรีโดยเร็ว เหล้าฟรีจะเป็นเหล้าผสม โค้ก น้ำส้ม สไปรท์ แล้วแต่เราจะเลือกดื่มเลย ผมนี้รีบยกไปหลายแก้วเลยครับ กลัวว่าจะไม่คุ้ม



ที่นี่คนเยอะมากๆ ส่วนใหญ่เป็นชาวฝรั่งกับเกาหลี คนไทยหัวดำๆ อย่างเรามีให้เห็นน้อยมาก ไม่ถึง 20 คน ในร้านก็จะมีพื้นไม่ยกระดับขึ้นสูงดุคล้ายๆ เวทีขนาดย่อม เอาไว้ให้ขาแดนซ์ ออกมาโชว์เสต็ปลีลาเท้าไฟกันบนนั้น ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเกาหลี ฝรั่งมาก ส่วนคนไทยอย่างเราๆ ก็โยกอยู่ที่โต๊ะ อย่างเดียว คริๆๆๆ หรา(เรื่องนี้เราไม่พูดกันดีกว่า 5555) หลังจากยกไปหลายแก้ว บวกกับเบียร์ที่สั่งเพิ่มไป ก็เริ่มรู้สึกว่า เอ่ ทำไมเราไม่เหมือนเดิมแล้วนะ แต่ไม่ได้เมานะ แค่รู้สึกว่าไม่เหมือนเดิมเฉยๆ 55555 ค่ำคืนนั้นสนุกมากๆ ครับ ได้เรียนรู้วิถีชีวิตยามค่ำคืนที่นั้นเยอะเลย 555 กว่าจะพาตัวเองกลับที่พักได้ก็นานอยู่เหมือนกัน ล่นเอาหลับสนิทกันแบบไม่รู้เรื่องเลยครับ



พักผ่อนให้เต็มที่ พุ่งนี้จะได้ ปั่นจักรยานชิวๆ ไปเล่นน้ำเย็นๆ สบายๆ ที่บลูลากูนกัน ครับ หลับฝันดีราตรีสวัสดิ์


วัน ศุกร์ ที่ 2 ตุลาคม 2558 : วังเวียง-บลูลากูน-ล่องแม่น้ำซอง-หลวงพระบาง(นอนในรถ)

เช้านี้ตื่นมาพร้อมกับวิวตระการตา ด้านหลังห้องพัก ว้าวววว มันสดชื่นมากๆ วิวแม่น้ำซอง กับยอดเขาหินปูน ที่กำลังเล่นกับหมอกยามเช้า สวยงามประทับใจมากๆ ครับ กิจกรรมยอดฮิตอีกอย่างของที่นี่คือ บอลลูน เห็นว่า ค่าขึ้นคนละ 80 USD ถ้าเด็กเล็กก็จะลดครึ่งนึง สามารถเลือกเวลาขึ้นได้เลยครับ



โอ้ววววววว ตื่นมาแล้วเจอแบบนี้ ขอตื่นวันละ 10 รอบได้มั้ย


ภารกิจวันนี้ คือ : ปั่นจักรยานไปเล่นน้ำที่บลูลากูน ซึ่งเราต้องออกแต่เช้าเลยครับ เพราะปั่นจักรยานต้องใช้เวลาหน่อย แล้วต้องเช็คเอ้าท์ออกจากที่พักตั้งแต่ตอนเช้าเลยครับ แต่สามารถฝากกระเป๋าสัมภาระทุกอย่างไว้ที่ที่พักได้ ป้าเค้าใจดีมากๆ ร้านที่เราเช่าจักรยาน ก็เป็นร้านที่อยู่หน้าโรงเรียน เป็นจักรยานแม่บ้านปั่นไปจ่ายตลาด คันละ 15,000 กีบต่อวัน เหมาเลยครับ 10 คัน 5555 นี่จะเอาจักรยานแม่บ้านปั่นไปบลูลากูน ????


แต่ก่อนออกไป ผมขอจองตั๋วไปหลวงพระบางก่อนครับ เพราะเราต้องไปหลวงพระบางคืนนี้ จองได้ที่ที่พักเลย รอบ 3 ทุ่ม เป็นรถนอน คนละ 110,000 กีบ 10 ที่ นัดรถมารับ ตอน 2 ทุ่ม ครับ


ทุกคนได้จักรยานคู่กายเป็นของตัวเองแล้ว อุปกรณ์พร้อม จักรยานพร้อม ก็ออกไปลุยกันเล๊ยยยยยย ออกไปปั่นทั้งๆ ที่ข้าวเช้าก็ยังไม่ได้กิน เป็นไร ไปหากินเอาข้างหน้าครับ



บรรยากาศยามเช้าที่สะพานข้ามแม่น้ำซอง เป็นสะพานหลักที่ใช้สัญจร

เส้นทางที่เราจะปั่นในวันนี้ ก็เป็นเส้นทางที่เราเดินไปเมื่อวานเย็นนั้นแหละครับ เสียค่าข้ามสะพาน 6,000 ต่อคน เพราะมีจักรยานด้วย พอถึงแยกเราก็เลี้ยวขวาตามป้ายไปบลูลากูน อีก 7 กิโลทันทีเลย โชคดีที่เช้านี้ฝนไม่ตก เพราะตกไปเมื่อคืนแล้ว ทำให้อากาศเช้านี้สดชื่นมากๆ แต่เส้นทางที่เราปั่นไปนั้น แฉะนิดหน่อย ทำให้ค่อนข้างปั่นจักรยานลำบากมาก เพราะเส้นทางเต็มไปด้วยกรวดหิน เต็มไปหมด ที่คิดว่าจะปั่นชิวๆ นั้นต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว เป็นปั่นจักรยานแม่บ้านสู่เส้นทางวิบาก จะดีกว่า 55555

นี่แหละทางที่เราปั่นกัน มันเละหนักมากกกก ถึงกับต้องตีนเปล่ากันเลยทีเดียว 555 ใครจะไปรู้ว่าทางมันจะขนาดนี้

แต่ผมว่า คุ้มนะครับ การปั่นจักรยานทำให้เราค่อยๆ เห็น ค่อยๆ สัมผัส บรรยากาศที่อยู่รอบๆ ตัวเราได้มากขึ้น แบบไม่ต้องเร่งรีบ แต่ที่ทำให้เราแปลกใจคือ ชาวบ้าน คนที่นั้นมองพวกเรา เหมือนเป็นคนแปลก เพราะไม่มีใครเค้าปั่นจักรยานแม่บ้านลุยทางโคลนแบบนี้หรอก ถึงขนาดถามว่าจะไปไหนกัน จ้างรถไปไม่ดีกว่าเหรอ ทางมันลำบากนะ 555 ผมก็คิดในใจแล้วจักรยานที่เพิ่งเช่ามาละ จะเอาไปไว้ไหนลุง : ในเมื่อเราตัดสินใจทำอะไรแล้วต้องทำให้สุดครับ ^^



เอ้าปั่นต่อไป อย่าหยุดดดด

นี่แหละครับ บรรยากาศที่ผมกำลังพูดถึง โหหหหห มันสวยมากๆๆๆ น่าอิจฉาคนที่นี่นะครับ ได้มาอยู่ในที่ที่มีอากาศดีแบบนี้ วิวแบบนี้ ตื่นมาได้เห็นแบบนี้ทุกวัน สายตาได้มองออกไปกว้าง กว่าพวกเรามาก ที่ตื่นมาได้เจอแต่กรอบ 4 เหลี่ยม เงยหน้าก็เจอเพดาน ชีวิตมองได้แค่นี้ 555 อิจฉามากๆๆ




ห่ะๆๆ อย่างที่บอก รีวิวนี้เป็นการบันทึกการเดินทางของพวกผม ก็ขอถ่ายภาพเดี่ยวกันหน่อย มาทั้งทีจะถ่ายแต่วิวได้ไง ไม่งั้นภาพมันคงจะขาดองค์ประกอบไปแน่ๆๆ

พี่แอ๊ด ห... พาไป

ผมเองเจ้าของกระทะ เอ้ย กระทู้ ^^


แนนนี่ผู้โดดเดี่ยว


เชอรี่ พี่ชอบคำผวน


หยก สกปรกตั้งแต่หัวยัน ห...


น้ำ ...หนูเสร็จแล้วนะ ^^


พี่เหมียว...เคี้ยวเด็ก ...

พี่ฝ้าย แม่ม้ายพกกลีบ


เก็บความฟินเอาไว้เท่านี้ก่อน เพราะเริ่มจะหิวข้าวแล้วครับ เดี๋ยวค่อยกลับมาฟินกันต่อตอนขากลับ ทางมาบลูลากูน มีป้ายบอกตลอดทางเลยครับ ไม่ต้องกลัวหลง ประมาณ 9 โมงเราก็มาถึงบลูลากูนแล้ว ตรงนี้ต้องเสียค่าเข้าคนละ 10,000 กีบ แล้วก็สามารถโดดน้ำได้เลยยยย



ไปปั่นไปเล่นน้ำกัน ระหว่างทางจะเจอแยก ก็เลี้ยวไปตามป้ายได้เลยจร้าาา


บลูลากูน

น้ำใสสีฟ้าอมเขียว สมชื่อบลูลากูน จริงๆ ครับ โชคดีมากๆ ที่เรามาถึงแต่เช้า เพราะว่าคนน้อยไม่ต้องแย้งกับใคร และที่สำคัญ ผมมาถึงก่อนที่ฝนจะตกนิดเดียว ทำให้เราได้เห็นน้ำสีฟ้าใส เพราะเวลาฝนตก บลูลากูน จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทันที 5555



เราเล่นน้ำ กินข้าวกันที่นี่จนถึง 11.30 น. ก็ได้เวลาเดินทางกลับไปหาเป้าหมายต่อไปแล้วครับ ซึ่งขากลับฝนก็ยังไม่หยุดตก เราก็ต้องปั่นจักรยานท่ามกลางสายฝน แบบชุ่มฉ่ำกันเลยทีเดียว 5555



เสียดายช่วงเล่นน้ำ น้ำเปลี่ยนสีพอดีเลย



มันคือความสนุกอย่างนึงของการเดินทางนะครับ ที่เราได้มาเจอกับสถานการณ์ต่างที่เราไม่ได้คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ทำให้เราสามารถเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันได้ คนทั่วไปฝนตกก็กางร่ม ใส่เสื้อกันฝน เพราะกลัวเปียก แต่พวกผมไม่ เพื่อรสชาดของชีวิตแล้ว ก็ต้องลองทำอะไรแปลกๆ ให้มันสุดๆ หน่อย เก็บร่ม เสื้อกันฝน แล้วเรามาปั่นจักรยานท่ามกลางสายฝน ในประเทศลาวกัน เห็นภาพแล้วนึกถึงหนังเรื่อง แฟนฉัน กับแก๊งส์จักรยาน มันคลาสสิก มากๆๆ 5555



นี่แหละครับ เหล่าเด๊อะแก๊งส์ของผม ปั่นกันไปเป็นขบวน น่ารักดี 555

ระหว่างทางกลับ ผมบอกเพื่อนๆ ว่า จะพาไปชมจุดชมวิว ที่สวยมากๆ มาวังเวียงต้องมาที่นี้นะ เพราเราจะได้เห็นวิววังเวียงในมุมสูง กลุ่มเพื่อนก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับผม หรอกครับ ผมพาไปไหนก็ไป 5555 พวกนี้หรอกง่าย ก่อนจะเข้าหมู่บ้าน มีทางแยกทางขวามือ เขียนว่า ถ้ำผาอะไรสักอย่าง แต่ผมอ่านเป็นถ้ำผาเงิน ซึ่งอ่านรีวิวมาเค้าบอกว่าสวยมากๆ ไปๆ ดูกัน ระยะทางจากปากทางไปยังถ้ำราว 1 กิโลเมตร เป็นทางขึ้นเนินลงเนินเรื่อยๆ ลำบากกว่าทางไปบลูลากูนอีก 555 ไอ้เราเดินหน้าแล้วจะถอยหลังไม่ได้ ไหนๆ ก็มาครึ่งทางแล้ว ก็ไปต่อให้สุด ไม่ต้องกลัวหลง มีป้ายบอกตลอดทาง ว่าทางไปถ้ำผาคำ ...... แล้วไหนถ้ำผาเงินกูละ ครับ ห่ะๆๆๆ สรุปคือ มาผิดจุดประสงค์สินะ 555555 ดีงามพระรามแปดมากๆ ให้ตายเถอะครับ



มาถึงจุดขายตั๋ว คิดดูมาอยู่ในซอกหลืบป่าขนาดนี้ยังมีจุดขายตั๋ว คนละ 10,000 กีบ แล้วผมถามว่าถ้ำผาเงินไปทางไหน แม่นางก็บอกไม่รู้จัก ไม่เคยได้ยิน ถามไปถามเค้าบอกว่า อ่อมันเปลี่ยนชื่อเป็นถ้ำผาคำแล้ว อ้าวยังไงกันแน่วะเนี่ย 555 ช่างมัน ถือเป็นการสำรวจเส้นทางก็แล้วกัน จะได้มาเล่าต่อได้ เค้าบอกว่า เดินแค่ 5 นาทีก็ถึงแล้ว เอ้าๆๆ ไปดูกัน



โห สวยมากกกก ทางเดินเข้าถ้ำ คิดดูแค่ทางเดินก็สวยขนาดนี้แล้ว แล้วข้างบนมันต้องสวยแน่ๆ ผมเชื่อย่างนั้น



สวยดีนะเส้นทางนี้ เดินลัดทุ่งนาไปเรื่อยๆ แล้วข้ามสะพานไม้ที่ต้องเดินไปทีละคน พอลงมาก็จะเจอแยกครับ เลือกเอาว่าจะซ้ายหรือขวา ซ้ายขึ้นถ้ำ ขวาไปสระน้ำ


แน่นอนครับ พวกผมต้องขึ้นถ้ำอยู่แล้ว มาทั้งทีจะไปสระน้ำสบายๆ ทำไมกัน ขอแบบ Adventure มันส์ๆ หน่อย แต่บอกก่อน อุปกรณ์ที่เราให้เดินขึ้นถ้ำ ไม่ได้มีความพร้อมเล๊ยยยย ขาสั้นรองเท้าเตะ หูหนีบ เดินขึ้นถ้ำ 55555 มันส์ละงานนี้



ทางเดินเป็นทางไต่ขึ้นเขาอย่างเดียวครับ ไม่มีทางราบแน่นอนไม่ต้องห่วงเลย ขึ้น ขึ้น ขึ้น แล้วก็ขึ้น โหดอยู่เหมือนกัน ซึ่งก็ผ่านเวลามาหลายนาทีแล้ว แต่คนขายบอกว่า แค่ 5 นาที ไหนวะ 5 นาทีนี่เดินมาจะครึ่งชั่วโมงแล้วววว 5555 ผมขึ้นมาถึงก่อนก็ให้กำลังใจคนที่กำลังคลานตามมา บอกว่า ถึงแล้วครับ ข้างบนนี้สวยมาก เลย รีบๆ ขึ้นมาถ่ายรูปรวมกันเร็วๆๆ



ถามว่าเรื่องจริงมั้ย ตอบ..... ผมจะร้องไห้ครับ กูขึ้นมาทำอะไรบนนี้ ไหนวะ วิวทุ่งนาที่กูอยากเห็นไหนๆ มันอยู่ตรงหนายยยยยย ภาพที่ได้ก็เป็นแบบนี้ คิดซะว่ามันทดแทนกันได้แล้วกัน 5555 ได้วิวที่แปลกตาไปอีกแบบ (ปลอบใจตัวเอง)


ไปๆๆ สำรวจถ้ำกัน ไฟฉายที่เค้าให้มา 3 อัน กับคน 10 คน บวกความมืดในถ้ำ มันจะพอมั้ย ห่ะๆๆๆ ทุกคนที่เข้ามาในถ้ำ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า โอ้ววว มืดมากกก มองไม่เห็นอะไรเลย 555 แล้วก็ยืนรอที่ปากถ้ำ ส่วนผมกับน้องก็ขอเดินสำรวจในถ้ำหน่อย ไหนๆ ก็มาแล้ว น้องถือไฟฉาย 1 อัน ส่วนผม ไฟฉายไอโฟน คืออุปกรณ์พร้อมไปมั้ย เดินไปเรื่อยๆ ตามทางที่ลูกศรบอก ปีนเข้าไปเรื่อยๆ ก็เจอแต่ความมืดครับ มองไม่ค่อยเห็นอะไรเลย

นี่ครับ บรรยากาศภายในถ้ำ ผมว่าถ้ามีการจัดการที่ดี ติดไฟให้ถ้ำมันสว่างกว่านี้ ได้เห็นเสาหินชัดเจนกว่านี้ มันคงจะสวยเหมือนกัน ได้แต่ภาวนาแล้วเดินลงจากถ้ำไป

มันจะมืดและน่ากลัวไปไหน แต่ก็ยังเดินไปสำรวจ เอากับพวกมันสิ 555

ขาลงนี้ทุลักทุเลมากครับ บางคนถึงกับต้องค่อยๆ นั่งเอาตูดเดินไปเรื่อยๆ เพราะขาสั่น และอีกอยากทางที่เราเดินนั้นเป็นหินที่ค่อนข้างขรุขระ แหลม ต้องใช้ความระมัดระวังมากๆ ซึ่งอุปกรณ์ในการเดินก็พร้อมด้วยสิ หูหนีบ 5555 นึกแล้วตลกมากๆๆ กว่าจะลงมาถึงพื้นราบข้างล่าง เล่นขำหนักมากกกก

แต่พวกเราก็ยังยิ้มได้นะ 5555 เพราะทุกอย่างคือประสบการณ์

กว่าจะออกจากถ้ำผาคำ เข้าเมืองวังเวียงก็ปาไปบ่าย 2 กว่า ๆ แล้ว ก็ต้องรีบติดต่อทัวร์ทันที เพื่อไปล่องห่วงยางที่แม่น้ำซองกัน ตกลงราคาได้คนละ 400 บาทเวลาในการล่อง 3 ชั่วโมง ตกลงราคาได้แล้ว แพ๊คของใส่ถุงกันน้ำ ฝากจักรยานไว้หน้าร้านก่อน ค่อยมาคืนขากลับ แล้วออกเดินทางกันเลยครับ

รถคันนี้จะพาเราไปปล่อยที่จุดลงน้ำ แล้วก็กลับ เพราะเราต้องไปขึ้นอีกที่นึงใกล้ๆ กับที่พักเราเลย ข้าวก็หิว เพราะลุยมาหนัก ใช้พลังงานเยอะ ก็ว่าจะมาหาอะไรกินแถวๆ บาร์ริมน้ำนั้นแหละครับ

พร้อมแล้ว ลงน้ำกันเลย ฟ้าสวยน้ำในแบบนี้ ขอเล่นน้ำให้ซะใจหน่อยเถอะครับ


แผนในการล่องห่วงยางของเรา คือ จะเกาะกันไปเป็นแถว ล่องไปเรื่อยๆ เพื่ออะไร เพื่อจะได้ถ่ายรูปได้ครบทุกคน 5555 ไม่มีเหตุผลอื่น แต่สุดท้ายก็ไปด้วยกันไม่ลอด ต้องแยกทางกันไป เพราะมันยากต่อการควบคุม

ล่องมาได้ไม่ถึง 5 นาที ก็ถึงบาร์แรกที่เราผ่านแล้ว โหหหหห มีแต่ฝรั่งตาน้ำขาวหัวทองเต็มไปหมด ยืนเล่นน้ำกันบนบาร์ ไอ้เราก็นึกว่า เค้าเล่นน้ำสงกรานต์กัน อะไรมันจะสนุกขนาดนี้ 5555 มีพวกเรา 10 คน ที่เป็นคนไทย ด้วยหวังว่าจะมาหาข้าวกินที่บาร์นี้ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว คงไม่ได้กินข้าวแน่ๆ ก็เลยสั่งเบียร์ เครื่องดื่ม มากินคนละกระป๋อง แล้วไปกินข้าวที่บาร์อื่นแทน เพราะอยากกินส้มตำ 5555


ยืนกินไปได้สักพัก ลูกเจ้าของบาร์ก็เอาเบียร์มาเลี้ยงพวกเราครับ เพราะอะไรนะเหรอ เพราะว่าคนที่เป็นไกด์พาเรามาล่องห่วงยางเป็นเพื่อนกับเค้า 555 เค้าบอกว่าช่วยกันกินก่อน แล้วค่อยไปล่องต่อ พี่แกเล่นยกมาเพิ่มเรื่อยๆ เลย แล้วเมื่อไหร่จะหมดครับ 555 สาวก็บ่นหิวข้าวกัน ลงไปรอที่ห่วงยางแล้ว ส่วนพวกอยากก็คงต้องดื่มต่อไป 555 กว่าจะขอตัวออกมาได้เล่นเอามึนเลย 555 ต้องขอบคุณ มากๆ ครับ อ่อ ลูกเจ้าของบาร์ ชื่อน้อย แล้วไกด์ที่พาเรามาชื่อ อู๋ ต้องขอบคุณ 2 คนนี้มากๆ ครับ เพราะนอกจากเบียร์ แล้ว ยังมีกับแกล้มอีก เกรงใจมากๆๆ



นี่แหละครับ หน้าตาลูกเจ้าของบาร์ ^^


อ่อ บาร์ทุกที่ที่นี่มีกฎอยู่ว่า จะเปิดไม่เกินเวลาที่กำหนด คือจะเปิดเป็นช่วงเวลาไป จะได้เป็นการกระจายรายได้ไปบาร์อื่นๆ ที่อยู่ด้านล่างด้วย พอบาร์ที่เราดื่มอยู่ปิด นักท่องเที่ยวก็จะพากันไปต่อที่บาร์ทัดไป มันเป็นการจัดการที่ดีมากๆ ครับ ช่วยเหลือกัน แบ่งปันกัน คนลาวน่ารักมากๆ

แต่พวกเราไม่ได้แวะบาร์อื่นแล้ว เพราะมุ่งจะไปกินส้มตำอย่างเดียว คือ หิวมากกกกกกก แล้วพี่อู๋ก็พาเรามาร้านนี้ครับ อาหารอร่อยมากๆๆๆๆๆ ส้มตำนี้จัดว่าเด็ด น้ำลายไหลอีกแล้ววว อาหารอร่อย ราคาไม่แพงด้วย ให้ปริมาณที่เยอะมากๆ กับข้าวนี้มาเป็นโถใส่ข้าวเลย ใหญ่อลังการมากๆๆ แม่ค้าใจดี และมาร้านนี้ต้องมาถ่ายภาพมุมนี้ครับ เป็นจุดแนะนำของร้านเค้าเลย ที่ร้านมีบริการสำหรับลูกค้าที่จะข้ามมากินด้วยครับ คือ มีกระเช้าให้ได้นั่งข้ามแม่น้ำซอง มันเจ๋งดีนะ 555 ลองไปนั่งกันดู ได้มุมมองที่ไม่เหมือนใครเลย



กลุ่มเราถือว่าเป็นกลุ่มพิเศษมาก เพราะอะไร เพราะเป็นกลุ่มแรกเท่าที่เคยมี ที่ล่องแม่น้ำซองแล้วถึงฝั่งมืดที่สุดแล้ว 555 คือมันจะดีมั้ย ล่องมืดๆ มันมองเห็นอะไร 55555 แต่มันได้บรรยากาศที่แปลกไม่เหมือนใคร ได้นอนดูดาว กลางแม่น้ำซอง ได้เห็นแสงสีริมฝั่งน้ำ ที่น้อยคนจะได้เห็น (นี่เข้าข้างตัวเองอีกแล้ว 5555 )



เป็นการจบทริป Adventure ของวันที่ประทับใจมากๆ ครับ ได้มิตรภาพมากมาย ระหว่างทาง ได้ทำอะไรแปลกๆ เรียนรู้วิถีชีวิตของคนวังเวียง คุ้มและสนุกมากๆ ครับ ขอบคุณพี่ อู๋ ไกด์นำทาง และเจ้าของบริษัทที่เราซื้อทัวร์มา คุณ น้อย ลูกเจ้าของบาร์ และเป็นเจ้าของบาร์ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ^^ โอกาสหน้าเอาไว้เจอกันใหม่ครับ



เสร็จสิ้นภารกิจ ก็ต้องเอาจักรยานไปคืน แล้วขออาบน้ำแต่งตัวที่เราพักเมื่อคืน (จ่ายค่าอาบน้ำไปทั้งหมด 30,000 กีบ เพราะที่นี้ทุกอย่างเป็นเงินเป็นทองหมด) เพื่อเดินทางต่อไปหลวงพระบางในคืนนี้ครับ รถมารับเราตอน 2 ทุ่ม(ฟรี) เพื่อไปรอรถนอนที่ป้ายรถ


รถมารับเรา 3 ทุ่มตามเวลา เป็นรถนอน ที่ตอนขึ้นรถต้องถอดรองเท้าใส่ถุงก่อนจะขึ้นครับ รถคันนี้เป็นเตียงแบบนอนคู่ ค่อนข้างจะแคบหน่อย แต่ไม่รู้แล้ว ผมหลับก่อน เพาะวันนี้ผจญภัยมาเหนื่อยมากๆ เก็บแรงไว้ลุยต่อวันพรุ่งนี้ครับ หลับฝันดีราตรีสวัสดิ์บนรถนอน วังเวียง-หลวงพระบาง




***มีอีกอย่างที่อยากจะบอกคือ ระหว่างทางที่นั่งไปหลวงพระบาง จะเป็นทางที่ขึ้นเข้าบ่อยมาก ปัญหาที่ตามมาคือ หูจะอื้อมาก ไม่รู้จะแก้ยังไงดี ทางเดียวคือ ต้องหลับให้ได้เราจะได้ไม่รู้สึกอะไร ^^***

วัน เสาร์ ที่ 3 ตุลาคม 2558 : หลวงพระบาง-น้ำตกตาดกวางสี-น้ำตกตาดแส-วัดเชียงทอง-ตลาดมืด-เวียงจันทร์(นอนในรถ)


หลวงพระบาง หลวงพระบาง ได้ยินเสียงแว่วๆ เข้ามาในหู ตาสะลึมสะลือ งั่วเงียตื่นขึ้นมาดูนาฬิกา นี่มันเพิ่งจะตี 3 เอง ยังไม่ถึงหรอกมั้ง เค้าคงเรียกคนขึ้นรถแหละ แต่ก็ไม่เห็นมีใครขึ้นมาสักคน สมาชิกบางคนก็ยังหลับอยู่ ไม่รู้ทำไงดีก็เลยถามคนลาวที่นอนข้างหน้าว่า ที่นี่ใช่หลวงพระบางมั้ย พอได้ยินคำตอบว่าใช่เท่านั้น แหละ ยยย ตีสาม ถึงหลวงพระบางแล้ว อะไรมันจะเร็วขนาดนี้ รออะไรอยู่ครับ ปลุกสมาชิกแล้วรีบลงรถทันที ไอ้เราก็เพิ่มมารู้ทีหลังว่า วังเวียงหลวงพระบางใช้เวลาแค่ 6 ชม. 5555


เอาไงละ ถึงซะเช้ามืดเลย ไม่มีที่ไป ก็นอนมันที่ขนส่งนั้นแหละครับ 555 นอนรอจนกว่าจะเช้าแล้วค่อยหาทางไปต่อ จองเก้าอี้คนละ แถว วางเป้เป็นพนักพิง ได้ที่แล้วก็นอนต่อสิครับ 5555 ครั้งแรกในชีวิตที่ได้นอนที่สถานีขนส่ง แล้วเป็นต่างประเทศด้วย ชีวิตดี๊ดี !!!!

นอนอยู่สักพัก ยังไม่หลับดีเท่าไหร่ ก็มีลุงเดินเข้ามาถามว่า จะไปไหนกัน สนใจเหมารถมั้ย ผมก็เสนอสถานที่ไปว่า ไปหลัก 2 ที่ คือ น้ำตกตากกวางสี น้ำตกตากแส แล้วก็ไปส่งพวกเราเที่ยวในเมือง แล้วค่อยรับกลับมาที่สถานีขนส่ง ได้ราคาอยู่ที่ 500,000 กีบ พวกเราตกลงกัน (จริงๆ ผมต่อราคาอยู่นานมาก ทั้งเสนอโน้นนี้ ต่อรองนั้น จนสรุปได้ราคานี้ แต่ขอไม่พูดถึงแล้วกันครับ ^^) นัดเวลากันว่า จะออกจากที่ นี้ ราว ตี 5 เพื่อไปหาอะไรรองเท้าก่อนไปเที่ยวน้ำตก เดินเล่นตลาดเช้าก่อน



บรรยากาศตลาดเช้าบ้านเค้าก็คล้ายๆ บ้านเราครับ ขายกับข้าว อาหารสำเร็จรูป ขนมจีน ผลไม้ขนมหวาน เดินเล่นเรื่อยๆ ก็ได้ผัดเส้นมา ห่อละ 5,000 กีบ (ไม่รู้ว่าเรียกอะไร คล้ายๆ ผัดไทย) เป็นอาหารเช้าของวันนี้ ครับ แต่จะเอาไปกินที่น้ำตกตาดกว่างสีระหว่างทางไปน้ำตก ลุงคนขับขอแวะปั๊มเติมน้ำมัน ถือเป็นความโชคดีของพวกเราด้วยครับ ที่ได้หันไปเห็นแม่ๆ กำลังนั่งรอตักบาตรข้าวเหนี่ยวกัน ก็ถือโอกาสเข้าไปขอร่วมตักด้วย แม่ๆ น่ารักมาก ยินดีให้เราเข้าไปตักด้วยอย่างเต็มใจ แบ่งข้าวเหนี่ยวให้ น่ารักดีครับ คนที่นั้น พอตักเสร็จก็บอกว่า ต้องแบ่งข้าวเหนียวที่เหลือ ออกเป็น 3 กอง เท่าๆ กันแล้ววางบนพื้น เป็นสักการะพื้นดิน แล้วก็เทน้ำลงพื้นดินเพื่อเป็นการสักการะพื้นดินเช่นเดียวกัน (ผมเข้าใจอย่างนั้นเพราว่าฟังแม่ๆ พูดไม่ค่อยได้ยิน ^^) ถือเป็นเช้าที่ดีมากๆ ของการเที่ยวหลวงพระบางครับ



ระยะทางจากหลวงพระบางไปถึงน้ำตกตาดสี ราว 35 กิโลได้ ใช้เวลาวิ่งไม่นานเท่าไหร่ครับ เส้นทางจะลัดเลาะไปตามลำน้ำโขง และมีป้ายบอกตลอดทางเช่นกัน



พวกผมมาถึงนี้ตกเป็นกลุ่มแรก แต่เช้าตรู่เลยครับ ด่านเก็บเงินก็เพิ่งจะตั้งตอนพวกเรากำลังเดินเข้าไป ค่าเข้าคนละ 20,000 กีบ มีทางเดินไปชมน้ำตกที่สะดวกสบายครับ เดินง่ายไม่เหนื่อยเลย และที่นี้มีศูนย์อนุรักษ์หมีด้วย น่ารักดีครับ อยู่ให้เราเห็นระหว่างทางเดินไปน้ำตก (เห็นว่าค่าเข้าส่วนหนึ่งจะแบ่งไปให้น้องหมีด้วย)



นี่แหละครับ น้ำตกตาดกวางสี สวยงามมาก ครับ ถึงน้ำเยอะน้ำก็ยังใส เขียวอยู่เหมือนเดิม ยิ่งถ่ายคู่กับสะพานไม้แล้วมันดูมีอะไรมากๆ สวยครับ โชคดีที่ผมไปช่วงเช้าไม่มีคนเลย ถ่ายมุมไหนก็สวย แต่ถ้ามาสายๆ คนจะเยอะมากๆ รถไม่มีที่จอด คนต่างแย่งกันเพื่อที่จะได้มุมที่ตัวเองต้องการ ภาพที่ได้มาคงจะเต็มไปด้วยผู้คน



มาทั้งทีก็ต้องเก็บภาพประทับใจไปเยอะๆๆ ครับ จะถ่ายเดี่ยวถ่ายหมู่ ก็เอาให้เต็มที่ เพราะตอนนี้น้ำตกเป็นของพวกเรา เย้........



ภาพเดี่ยวมาแล้ว ถาพหมูก็ต้องมาสิครับบบบ



ที่นี้ประกอบด้วยน้ำตก 4 ชั้น แต่สามารถชมได้อย่างใกล้ชิดแต่ชั้นนี้ชั้นเดียว แล้วก็ไม่สามารถเข้าไปใกล้น้ำตกได้แล้ว แต่เราสามารถเดินขึ้นไปยังชั้นบนสุดที่เห็นลำธารบนตัวน้ำตกได้ครับ ไปดูวิวมุมสูงของน้ำตกได้เช่นกัน แต่ทางเดินค่อนข้างชัน เหนื่อยเลย ครับ

มาดูวิวข้างบนกัน



ชั้นบนสุดของน้ำตก



เราใช้เวลาอยู่ที่น้ำตกนี้ถึง 9 โมงเช้า แล้วก็เดินทางต่อไปยังน้ำตกตาดแส ครับ ที่นั้นเราจะไปอาบน้ำ แล้วกินข้าวเที่ยงกัน จากหลวงพระบางไปตากแส ระยะทางราว 9 กิโลเมตร ระหว่างทางไปลุงคนขับแวะให้เราได้ดูร้านผ้าทอ ของพื้นบ้านที่นี้ครับ เพื่อเป็นของฝาก ก็จับจ่ายกันตามใจชอบเลย



บรรยากาศหน้าทางเข้าน้ำตก ถ้าเป็นช่วงบ่ายๆ จะไม่มีที่จอดรถเลยครับ จะแน่นมากๆ



การไปน้ำตกตาดแส เราต้องเอารถไปจอดไว้ที่ท่าเรือ แล้วนั่งเรือเพื่อที่จะไปน้ำตกครับ ค่านั่งเรือคนละ 10,000 กีบ ไปกลับ ใช้เวลาราว 5 นาที ก็ถึงน้ำตกแล้ว


ตรงนี้ต้องเสียค่าข้าน้ำตกอีกคนละ 15,000 กีบ นอกจากเล่นน้ำแล้วที่นี่ก็มีกิจกรรม นั่งช้างเดินป่า เล่นซิปไลน์ แต่ต้องจ่ายเพิ่มครับ อันนี้แล้วแต่ความชอบเลย คริๆๆๆ



นี่แหละครับ น้ำตกตากแส ที่พวกเราจะมานอนแช่อ่างน้ำธรรมชาติกัน เป็นไง ฟินมั้ยยยย มันฟินมาก ที่นี้จะมีอ่างแบบนี้ให้เราได้แช่เยอะมากๆ เลือกได้เลยว่าจะลงอ่างไหน555 แต่ละอ่างไม่ลึกครับ แช่ได้สบาย นอนรับความฟินของธรรมชาติไปเต็มๆ



อาหารที่นี้ก็เหมือนเดิม อร่อยมากกกก โดยเฉพาะส้มตำ สั่งแล้วสั่งอีก 5555 มาเที่ยวครั้งนี้หมดกับค่ากินมากที่สุดแล้ว 5555


เสร็จจากน้ำตกนี้ ก็เหลือโปรแกรมสุดท้ายของทริปหลวงพระบางแล้วครับ นั้นคือ เดินเล่นชมเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมหลวงพระบาง



เราให้ลุงมาส่งเราที่ตีนวัดภู(จุดชมวิวเมืองหลวงพระบาง) แล้วนัดเจอกันที่ ไปรษณีย์ ตอน 1 ทุ่มตรง จากตรงนี้เราต้องเดินแล้วครับ เพราะลุงบอกว่า ถ้าให้ลุงไปส่งทุกที่ต้องเพิ่มอีก 100,000 กีบ อุ๊... ไม่หวายม้างงงง 555 ขอเดินเถอะ ไปครับไปเดินชมเมืองกัน


นี้ครับบรรยากาศเมืองหลวงพระบาง เค้าว่ากันว่า มันคือ เมืองเชียงใหม่ เมื่อ 60 ปีที่แล้ว น่านอนพักที่นี่สัก คืน สองคืน จะได้อะไรมากกว่านี้อีก เราเดินเล่นไปเรื่อยๆ ครับ ก็ไปเจอวัด เชียงทอง



เดินเล่นไปเรื่อยๆ ครับ มันชิวดี ระหว่างทางมีรีสอร์ทสไตล์ล้านนา เยอะมาก ๆ กลมกลืนกับ บรรยากาศมากๆ สวยจริงๆ บ้านเมืองที่นี้ คุ้มมากครับที่ได้พาตัวเองและเพื่อนๆ มาเยือนสถานที่แห่งนี้ แม้ว่าจะมีเวลา แค่พระอาทิตย์ขึ้นจนถึงพระอาทิตย์ตก มันก็สุดจะคุ้มแล้วครับ ^^



ในที่สุดเราก็ได้มาเจอเป้าหมายของการมาเดินเล่นที่เมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่นี่แล้วครับ กราบบบบบงามๆ


วัดเชียงทอง ค่าเข้า 20,000 กีบเป็นวัดที่เก่าแก่ของที่นี้ ครับ สวยมาก ประวัติเป็นไงผมก็ไม่ได้ศึกษามา 555 รู้แค่ว่า ชอบวัดนี้มานานมากกว่า 10 ปีแล้ว รู้จักหลวงพระบางก็เพราะว่าวัดนี้แหละครับ ไปชมความงามของวัดกัน



วัดเชียงทอง คือสิ่งที่ผมตามหา มาร่วม 10 ปี ^^ ผมได้มาเจอแล้ววว



พระที่เเกะสลักจากไม้ ตั้งแต่สมัยอดีต อยู่มาให้เห็นจนถึงปัจจุบัน โดยไม่ถูกทำลายจาก มอด ปลวกเลย มหัศจรรย์มากๆ



อิ่มเอมกับสิ่งที่อยากเจอมานานพอสมควรแล้วครับ ก็ได้เวลาเดินไปหาข้าวเย็นกินที่ตลาดมืดแล้วครับ เดินจากวัดตรงไปก็เจอแล้วครับ ที่นี่ของขาย ของที่ระลึก จะเหมือนกันแทบทุกร้านเลยครับ ไม่รู้ว่าขายได้กันมั้ย พวกผมก็ได้แต่เดินดูครับ แล้วก็ไปหาข้าวกิน



บรรยากาศยามเย็น ของเมืองหลวงพระบาง ต้องมนต์จริงๆ



ตลาดมืด ถ่ายจากทางขึ้นวัดภูสี



เดินมาเรื่อยๆ ก่อนจะถึง 4 แยกตรงทางออกจะมีซอยทางขวามือ เป็นทางเข้าเล็กๆ ข้างทางจะขายอาหารเยอะมาก เลี้ยวเข้าไปทางนั้นเลยครับ ตรงนั้นจะเป็นแหล่งรวมของกิน โดยเฉพาะที่ขึ้นชื่อคือ ร้านบุฟเฟ่ คนเยอะดีครับ มีหลายร้านให้เราเลือก แต่ละร้านราคาก็ไม่เท่ากันอีก แต่อย่าลืมดูนะครับว่า ผักกับเนื้อราคาจะต่างกัน



นี่ครับ เข้าทางนี้ได้เลย



แต่พวกเราไม่ได้กินหรอกครับ เพราะมีแต่ผักกับเส้นกลัวไม่อิ่ม เดินเลยมาจนสุดซอย จะเจอกับร้านข้าวแกง มีกับข้าวให้เลือกเยอะมาก อาหารพื้นเมืองก็มี อาหารเหมือนบ้านเราก็มี อร่อยด้วยครับ พวกเราเลยจัดที่ร้านนี้กันจนอิ่ม ราคาไม่แพงเลย เท่าที่กินมาร้านนี้ถูกที่สุดแล้ว 555 แนะนำเลยครับ



บรรยากาศเหมือนร้านข้าวแกงที่ บ้านเราเลยครับ อาหารอร่อยมากกก ถูกด้วย ผมว่า คนไทยเหมาะกับร้านนี้



ส่วนร้านชาที่เค้าแนะนำว่าต้องไปๆ ผมไม่ได้ไปครับ แต่มันอยู่ แถวๆ ตลาดมืดนี่แหละ อยู่ริมแม่น้ำโขง ลองไปดูก็ได้ครับ ^^



และแล้วก็ได้เวลาอำลาเมืองหลวงพระบางแล้วครับ รถพาเรามาส่งที่ขนส่งเพื่อรอรถกลับเวียงจันทร์ รอบสามทุ่ม ถึงขนส่งแล้วเราต้องเอาตั๋วไปเปลี่ยนเป็นตั๋วจริง เพราะตั๋วที่เราซื้อไว้เมื่อตอนบ่ายก่อนเข้าเมืองเป็นแค่ใบแทน ราคาอยู่ที่ คนละ 150,000 กีบ เป็นรถนอนเตียงเดี่ยวครับ สบายกว่าขามา มีข้าวกล่องน้ำดื่ม ขนมว่างรอเราเลย



เราสามารถอาบน้ำที่นี้ได้นะครับ แต่ว่ามี แค่ 1 ห้องเท่านั้น ค่าอาบ 5,000 กีบ จ่ายแยกกับค่าเข้าห้องน้ำนะ

เหมือนเดิมครับ ก่อนขึ้นรถ ต้องถอดรองเท้าใส่ถุงแล้วเดินไปประจำที่ได้เลย รถคันนี้มีห้องน้ำในตัว ดีครับ เป็นเตียงแยกด้วย นอนคนเดียวไม่ต้องเบียดใคร แต่พวกผมต้องมาเบียดกันเอง สามเตียงสุดท้าย 5555 สนุกละงานนี้



วัน อาทิตย์ ที่ 4 ตุลาคม 2558 : เวียงจันทร์-อุดรธานี-กทม.(ดอนเมือง) (นอนห้อง)



จากหลวงพระบางไปเวียงจันทร์ ใช้เวลา ราวๆ 11 ชั่วโมงครับ งานนี้หลับยาวๆ เลยตื่นอีกที่ก็เวียงจันทร์กันเลยครับ แต่เดี๋ยวๆๆ มันไม่ใช่อย่างที่เราคิดสิครับ จำได้ว่าตื่นขึ้นมาตอน เที่ยงคืนครึ่ง เพราะเสียงดังโวยวาย ปรากฏว่า ข้างทางมีรถติดหล่ม ไม่สามารถไปต่อได้ ต้องให้ทุกคนลงจากรถ แล้วเดินลงไปรอข้างหน้า รถจะได้เบาๆ ยืนรอท่ามกลางความมืด พร้อมหมู่ดาวบนฟ้า เป็นล้านดวง กับไฟฉายจากมือถือ ทางก็เละ ยืนเกือบชั่วโมงได้ รถที่เราก็ถอยหลังขึ้นไปตั้งลำด้านบน เพื่อให้รถด้านล่างขึ้นไปได้ก่อน เรียบร้อยแล้วก็มาเรียกพวกเราให้กลับขึ้นไปบนรถ ไอ้เราก็ดีใจนึกว่ารถจะออกเลย แต่เปล่า คนขับจอดนอนตรงนั้นเลย 555 กว่าจะออกรถได้ ก็เกือบ ๆ สองชั่วโมงแล้ว



มาถึงเวียงจันทร์ ก็ 9.30 น.แล้ว รถพาเรามาส่งที่สถานีขนส่งสายเหนือ แล้วเราต้องต่อรถเข้าไปที่ตลาดเช้าอีก ที่ โดยรถที่จะเข้าตลาดเช้ามี 2 แบบคือ รถเหมา และรถเมล์ รถเหมาคิดคนละ 10,000 กีบ รถเมย์ คิดคนละ 5,000 กีบ ไม่ต้องคิดมากเดินขึ้นรถเมล์ทันที 555


เพราะเรามาถึงเวียงจันทร์ช้าทำให้แผนที่เราวางไว้ว่าจะเที่ยวเวียงจันทร์ช่วงเช้าต้องยกเลิกไป ครับ น่าเสียดายๆ

เมื่อเรามาถึงตลาดเช้าแล้ว ก็มาซื้อตั๋วรถกลับไทยครับ ตู้ขายตั๋วจะอยู่ตรง 4 แยกไฟแดง อาคารสีขาว เดินย้อนออกมาจากจุดที่เราลงรถไม่นานครับ ค่ารถขากลับในวันหยุดอยู่ที่ 105 บาท ต่อคน ได้รอบ 11.30 น.มีเวลาเหลือ อีก ครึ่งชั่วโมงก็เดินเล่นตลาดเช้ามอลล์ได้ครับ เดินไปเดินมาผมเดินเลยไปถึงประตูชัยเลยครับ แต่ต้องรีบเดินมากๆ ห่ะๆๆ เพราะมันอยู่ไม่ไกลกัน แต่ด้วยเวลาที่บีบคั้น ทำให้เราทำได้แค่ยืนถ่ายรูปบริเวณด้านหน้า แล้วก็รีบเดินกลับเพื่อมาขึ้นรถให้ทัน 5555 ถือว่าสำเร็จแล้วครับ ได้เที่ยวเวียงจันทร์แล้ว ครบ 3 เมืองอย่างที่ตั้งใจไว้เลย 555555



บรรยากาศที่ตลาดเช้า ที่ นครหลวงเวียงจันทร์

ประตูชัย


ขั้นตอนผ่านแดนขากลับก็เหมือนเดิมครับ ต่างแค่ตรงที่ค่าบัตรผ่านแดนออกจากลาว 45 บาท เพราะขามาแค่ 5 บาท เอง ก็งง นิดหน่อย 5555


รามาถึง บขส.อุดร ราวๆ บ่าย 2 โมงได้ ก็หาอะไรกินแถวนั้น แล้วก็เหมารถ 3 ล้อ 2 คัน 400 บาท ไปสนามบิน เพื่อรอกลับดอนเมือง ตอน 5 โมงเย็นโดยสวัสดิภาพครับ

จบแล้วครับ กับทริป วังเวียง หลวงพระบาง เวียงจันทร์ 4วัน 3 คืน ของพวกเรา ทั้งสุข สนุก ฮา ชิว ฟิน ได้ชิมกันทุกรสชาดจริงๆ ครับ เป็นทริปที่น่าจดจำอีกทริปหนึ่งในปีนี้ แล้วจะกลับไปใหม่ครับ



ขอบคถณเพื่อนร่วมทริปทุกๆคน ครับ เอาไว้เจอกันใหม่ทริปต่อไป หลังจากผมออกมาจากนับราชการทหารนะครับ ^^



ขอลาไปด้วยถาพนี้ครับ เดินหลงในเซนทรัลอุดรฯ 55555



ขอให้ทุกคนมีความสุขในการอ่านนะครับ ขอบคุณครับ ^^

ความคิดเห็น