.เมื่อลมหนาวจางไป และลมร้อนเริ่มย่างกรายเข้ามาจ่อหน้าประตูบ้าน ทำให้หลายคนคิดที่จะลืม"เขา"และเริ่มนอกใจหันหน้าหา ความชุ่มฉ่ำของสายน้ำอย่างน้ำตก หรือ ทะเล บ้านเราโชคดีมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายปรับเปลี่ยนไปตามฤดูกาล หน้าหนาวก็ขึ้นเหนือ หน้าร้อนก็ลงใต้ หรือตามจังหวัดในภาคต่างๆที่มีน้ำตก ผมเองก็เช่นกันที่มีโอกาสได้กลับมาสัมผัสไออุ่นความชุ่มชื้นของดินแดนแห่งป่าฝนทางภาคใต้อีกครั้ง ทริปนี้ผมเดินทางด้วยสายการบินไลอ้อนแอร์จากดอนเมืองมุ่งสู่ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานีไปยัง.. เขาสก
ถึงสนามบินสุราษฎร์ตามกำหนดเวลาเป๊ะ มีรถของที่พักที่มารอรับ จากตัวเมืองสุราษฎร์ฯ วิ่งเส้น 401(สุราษฎร์ - ตะกั่วป่า)ผ่าน อ.บ้านตาขุน ที่เป็นที่ตั้งของเขื่อนเชี่ยวหลาน หรือเขื่อนรัชชประภา ลัดเลาะไปตามแนวเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก ตลอดรายทางจะเห็นวิวทิวทัศน์ของภูเขาหินปูนรูปทรงสูงชะลูดสลับซับซ้อนกันไป นั่งมาได้ประมาณ 1 ชมจากสนามบินถึงที่พักที่ อ.พนมระยะทางประมาณ 96 กม.
Khaosok Boutique Camps
เขาสกบูติคแคมป์ คือสถานที่ที่ผมมาพักตลอด 2 วันที่เดินทางท่องเที่ยวในแถบเขาสก สัมผัสแรกที่ลงจากรถรู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่ชัดเจนแตกต่างกว่ากรุงเทพมากแสดงว่า ทางใต้เข้าสู่ฤดูร้อนอย่างเต็มตัวแล้ว เดินเข้าไป check in ยัง counter มีพนักงานต้อนรับเป็นอย่างดี ช่วงระหว่างรอห้อง สั่งอาหารกลางวันมารองท้อง แล้วเดินสำรวจพื้นที่ส่วนกลางซึ่งเป็นทั้ง จุด check in และห้องอาหารที่เห็นวิวแล้วต้องร้อง ว๊าว !! ทันที ด้วยลักษณะที่ตั้งของรีสอร์ทตั้งอยู่บนเนินย่อมๆ มองไปเบื้องหน้าจะเห็นทิวเขาที่ทอดยาวขนานไปกับที่พัก ซึ่งแน่ละว่าห้องพักทุกห้องคงต้องมองเห็นวิวแบบนี้เหมือนกัน ประกอบกับช่วงนี้เป็นช่วงผลัดใบของต้นยางที่ขึ้นเรียงรายอยู่ในสวนของชาวบ้านแถบนั้นเปลี่ยนสีไปเป็นสีส้มทำให้นึกถึงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีในต่างประเทศยังไงยังงั้น
มาดูที่ตั้งในส่วนห้องพักกันบ้าง ห้องพักภายในรีสอร์ทที่ตั้งเรียงรายอยู่บนเนิน ส่วนใหญ่ทำมุมหันหน้าใบทางทิศใต้ ด้านซ้ายมือจะเป็นทิศตะวันออก ด้านขวาจะเป็นทิศตะวันตก ยกเว้นห้องที่ตั้งอยู่ตรงบริเวณสระน้ำจะหันหน้าไปทางทิศตะวันตกโดยตรง ตัวห้องพักยื่นออกไปจากเนินที่ตั้งเพื่อให้สัมผัสกับทัศนีย์ภาพเบื้องหน้ากันอย่างเต็มที่ มีฐานรองรับเป็นเสาปูนหรือโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่มีความมั่งคงแข็งแรงมาก ทุกห้องจะต้องเดินขึ้นบันไดไปยังห้องพัก มีระเบียงหน้าห้องไว้นั่งชิลชื่นชมธรรมชาติ ลักษณะห้องพักออกแบบมาเป็นเต้นท์ผ้าใบขนาดใหญ่ ภายในห้องแบ่งเป็นส่วนห้องนอนและห้องน้ำ ส่วนห้องน้ำจะแยกเป็นห้องอาบน้ำและห้องส้วม และมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพักครบครัน ส่วนสัญญาน wifi ห้องที่อยู่ไกลจากส่วนกลางสัญญาณจะค่อนข้างอ่อนไปหน่อย รูปแบบที่พักแบบนี้เรียกกันว่า Glamping คือลักษณะก็เหมือนการนอนเต้นท์แบบ camping แต่จะเพิ่มเติมในส่วนความสะดวกสบายในเต้นท์ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนโรงแรมทุกอย่าง เอาไว้สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีจินตนาอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศสัมผัสการนอนเต้นท์ ทำนองว่าชอบความลำบากแต่ก็อยากสบายอยู่
การเข้ามาพักผ่อนอย่างเดียวถ้าไม่ทำกิจกรรมอะไรเลยก็เหมือนมาไม่ถึงเขาสก เพราะ จ.สราษฎร์ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวที่หลากหลายไปด้วยกิจกรรมทางธรรมชาติหลายรูปแบบ และทางรีสอร์ทก็ตอบโจทย์เรื่องกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ รูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวในแถบเขาสกจะแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆคือ 1.กิจกรรมล่องเรือชมทิวทัศน์ในเขตของเขื่อนเชี่ยวหลาน เล่นน้ำ เข้าถ้ำ พักผ่อนบนแพที่พัก 2.กิจกรรมท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสก ล่องแพ ล่องห่วงยาง พายเรือแคนู ขี่ช้าง เดินป่า เล่นน้ำตก ซึ่งทางรีสอร์ทก็มีเป็นโปรแกรมทัวร์ราคารวมที่พักไว้ให้เลือก จะเอาแบบนอนแพ หรือนอนเขา แบบ 2 วัน 1 คืนหรือจะ 3 วัน 2 คืน ก็มีให้เลือก หรือถ้าใครมาถึงเขาสกแล้วอยากเลยไปเที่ยวตามหมู่เกาะแถบพังงาซึ่งไม่ไกลมากนัก ทางรีสอร์ทก็มีโปรแกรมทั้งเที่ยวเขื่อน เที่ยวเกาะไว้ให้เลือกอีกเช่นกัน
อุทยานแห่งชาติเขาสก
ในส่วนของการเที่ยวเขื่อนนอนแพ ผมเคยไปมาแล้ว การเดินทางของผมในครั้งนี้จึงเลือกที่จะพักผ่อนและทำกิจกรรมทางบนฝั่งเขาสก ที่แรกที่ผมตั้งใจจะไปคือในอุทยาน ซึ่งตัวอุทยานห่างจากที่พักประมาณ 10 กม.เท่านั้น ผมเคยแวะเวียนมา 2-3 ครั้งแต่ไม่เคยเข้าไปดูครั้งนี้เลยขอเดินเข้าไปสำรวจเส้นทางศึกษาธรรมชาติของที่นี่ดูสักหน่อย อ่านป้ายระยะทางสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆภายในอุทยาน ชำเลืองมองดูนาฬิกา ก็เกือบๆ 4 โมงเย็นแล้ว ไม่รู้ว่าจะเดินไปได้ถึงแค่ไหน ก็เอาเป็นว่าดูตามสถานการณ์แล้วกัน ตลอดเส้นทางน่าแปลกที่ไม่เจอคนไทยเลย เจอแต่คนต่างชาติมากกว่า ซึ่งมาทราบภายหลังว่า จุดนี้เป็นจุดที่ชาวต่างชาตินิยมมากว่าไปเขื่อนเชี่ยวหลานซะอีก
ตลอดเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติงสภาพป่าจะเป็นป่าไผ่สลับป่าดิบชื้น และเส้นทางเป็นทางราบส่วนใหญ่ เดินมาสักครึ่งชั่วโมงระทาง 1.5 กมก็มาถึงจุดแรกคือ วังไผ่งา เดินลงไปสำรวจสักหน่อย เจอสมุนพระรามเฝ้าประตูนั่งอยู่โดดเดี่ยวแถมไม่กลัวคนซะด้วย ท่าทางก็ไม่ดุเท่าไหร่ แต่เผลอไม่ได้ทำท่าจะมาขโมยของที่วางไว้ไปซะให้ได้ มองเข้าไปด้านไหนมีฝูงซุ่มอยู่ตามละเมาะไม้ในป่า ต้องคอยจับตามองกลัวว่าพวกมันจะแอบยกพวกเข้าตี
ลักษณะของวังไผ่งา เป็นลำธารที่ไหลมาจากตั้งน้ำซึ่งเป็นต้นน้ำผ่านเกาะแก่งต่างๆจนมารวมเป็นวังน้ำ ซึ่งถ้าในหน้าน้ำน้ำคงมีระดับความแรงและลึกกว่านี้ ส่วนตั้งน้ำที่เป็นต้นน้ำของคลองศกจะเป็นสถานที่ลอยอังคารของท่านพุทธทาสซึ่งในช่วง ต.คของทุกปี ทางพุทธศาสนิกชนกจะมาร่วมประกอบพิธีกรรมเพื่อรำลึกถึงท่านพุทธทาสกันอยู่เป็นประจำทุกปียังบริเวณต้นน้ำที่ต้องเดินป่าเข้าไปอีกประมาณ 6 กม.
อากาศที่ค้อนข้างร้อนอบอ้าว และดูท่าฝนกำลังจะมาในอีกไม่ช้าจึงตัดสินใจหยุดอยู่แค่ตรงนี้ และไม่มีอะไรทำดีไปกว่าเล่นน้ำหลังจากที่เก็บภาพบรรยากาศรอบๆโดยให้ทีมงานไปยืนมุมนู้นบ้าง มุมนี้บ้าง
ออกจาก อช.ตอน 5 โมงกว่าๆกลับมาที่พักเพราะฝนกระหน่ำ ยังคิดในใจว่าโอกาสที่จะได้เก็บภาพพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าตรงบริเวณที่พักคงจะแห้ว แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ฝนตกลงมาแป๊ปเดียวก็จริง แต่บรรยากาศหลังฝนตกนี่สิ สุดบรรยาย บริเวณระเบียงหน้าที่พักเปียกแฉะไปบ้าง แต่ความรู้สึกมันไม่ได้เฉอะแชะเหมือนกับเรานอนเต้นท์ที่ตั้งอยู่บนพื้นดิน อยากจะเดินย่ำรอยเปียกของน้ำบนระเบียงนั้นซะมากกว่า กลิ่นไอดิน ไอหญ้า ลอยฟุ้งแตะจมูก แค่นั่งนิ่งๆปล่อยใจ ปล่อยอารมณ์เพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์เบื้องหน้าก็เหมือนกับการมาเติมพลังชีวิตกลับไปยังไงยังงั้น
สายหมอกลอยเอื่อยๆอยู่เหนือยอดต้นยาง ผ่านไปตามหลืบเขา ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง ลำแสงสีทองสว่างไสวของดวงอาทิตย์ฉาบทาบทาไปทั่วท้องฟ้า สวนทางกลับความสว่างของผืนดินที่ค่อยๆลดลง แล้วพอถึงจุดหนึ่งแสงสีทองของท้องฟ้าก็เริ่มแปลเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้ม และก็เป็นความมืดของรัตติกาลข้ามาแทนที่ แสงไฟจากบริเวณที่พักช่วยขับบรรยากาศยามโพล้เพล้ให้ดูน่าชมยิ่งนัก มันคงเป็นภาพที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน..
อาบน้ำทำธุระอะไรเสร็จก็ไปหาอะไรทานที่ห้องอาหาร ละแวกแถวนี้หาร้านอาหารยากสักหน่อย เพราะมันอยู่ไกลและเย็นๆก็ปิดแล้ว ถ้าใกล้ๆแถวนี้มีร้านแนะนำอยู่ร้านนึงชื่อ ร้านป้าณีไปทานกันได้รสชาติใต้แท้ๆ ส่วนร้านอาหารของรีสอร์ทมีชื่อว่าร้านลมสบาย เปิด 7:30 - 20:30 ครัวปิด 2 ทุ่ม ผมสั่งอาหารตามวัตถุดิบที่พอจะมีเหลืออยู่ในครัว สั่งมา 3 อย่างเป็นแกงส้มปลาทับทิม หมูคั่วเกลือ และน้ำพริกกะปิ รสชาติอาหารจะค่อนข้างกลางๆ ไม่จัดจ้านมากนัก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ ตบท้ายด้วยของหวาน เป็นกล้วยทอดจิ้มกับน้ำผึ้งรสชาติดีทีเดียว
กลับมาห้องพัก ช่วงค่ำๆเห็นมีดาวอยู่บ้างเพราะเป็นข้างแรม อาบน้ำอาบท่าว่าจะถ่ายดาวสักหน่อย แต่หมอกกลับเริ่มเคลื่อนเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าตั้งแต่เที่ยงคืน เลยคิดว่านอนดีกว่า อากาศตอนกลางคืนเย็นๆ ตื่นมาถ่ายทางช้างเผือกอีกครั้งตอนใกล้รุ่ง คิดว่าหมอกคงเบาบางลง แต่ที่ไหนได้ เปิดประตูเต้นท์ออกมาหมอกกลับเยอะกว่าเดิม เลยชงกาแฟนั่งเล่นอยู่ตรงระเบียงรอดวงอาทิตย์ขึ้น บริเวณแถบนี้อากาศมีความชุ่มชื้นสูงเช้าๆมักมีมีหมอกปกคลุมไปทั่ว มองแทบไม่เห็นอะไร เลยเดินเล่นเก็บภาพที่พักยามเช้าไปพลางๆก่อนไปทานอาหารเช้า
อาหารเช้าที่นี่จะเป็นบุฟเฟต์ จัดไลน์ได้น่ารักดีภาชนะที่ใส่แบบไทยๆรองด้วยใบตอง อาหารมีให้เลือกหลายอย่าง ทั้งไทย และ ฝรั่ง เช้าๆแบบนี้นั่งทานอาหารชมวิวหมอกจากระเบียงของร้านอาหาร เหมือนกับอยู่เมืองนอก
จุดชมวิวเขาสก
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ทางรีสอร์ทพาผมไปยังจุดชมวิวเขาสกซึ่งตั้งอยู่ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 112 อยู่ห่างจากรีสอร์ทไปประมาณ 11 กม.ซึ่งจุดนี้ถ้าอากาศเปิดจะมองเห็นวิวของภูเขานางพันธุรัตน์ ซึ่งตามตำนานของท้องถิ่นเล่าว่า นางพันธุรัตน์ตามหาพระสังข์และมาสิ้นใจลงตรงบริเวณเบื้องหน้านี้ และเบื้องหน้าที่ว่าก็คือภูเขาที่ทอดยาวลักษณะเหมือนยักษ์นอนตายก็แล้วแต่จินตนาการกัน บังเอิญว่าผมเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง ถึงแม้อากาศจะปิดก็ไม่เป็นไร (แอบสงสัยเล็กน้อยว่า นิทานพื้นบ้านเรื่องสังข์ทองนี่เป็นนิทานของทางภาคใต้หรือเปล่า นางยักษ์ถึงมาตายบริเวณนี้ )
รูปเมื่อ 3 ปีก่อน ภูเขาเบื้องหน้านี่แหละที่เขาบอกว่าเหมือนยักษ์นอนตาย
วัดศก หรือ วัดถ้ำนางพันธุรัตน์
เรานั่งรถกลับมาทางเดิม มายังภูเขาที่เราเห็นจากจุดชมวิวอันเป็นที่ตั้งของวัดศก วัดนี้อยู่ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 109 ห่างจากที่พักประมาณ 8 กม.มาทางเดียวกับจุดชมวิวเขาศก อยู่ขวามือ ตำนานบอกว่าพระสังข์ได้มาซ่อนตัวภายในถ้ำแห่งนี้และหนีออกไปได้ทำให้นางยักษ์เสียใจจนขาดใจตาย และเมื่อนางยักษ์ขาดใจตายที่นี่เลยเป็นที่มาของชื่อบ้านศพ และแผลงมาเป็นบ้านศก ในปัจจุบัน ภายในวัดกำลังก่อสร้างเสนาสนะต่างๆ และมีรูปปั้นนางพันธุรัตน์ตั้งอยู่หน้าปากถ้ำ และในถ้ำมีพระพุทธรูปประดิษฐานไว้ให้ผู้คนมาสักการะบูชา นอกจากนี้ละแวกแถวนี้ยังมีฝูงลิงป่าอาศัยอยู่ แต่ไม่ดุร้าย ลักษณะดีทีเดียวเนื้อตัวดูสะอาดไม่เหมือนลิงทางเขาสามมุก ผ่านไปผ่านมาก็อย่าลืมแวะให้อาหารลิงกันได้ ทางเข้าวัดมีการเก็บค่าผ่านประตูเล็กน้อยเพื่อเป็นค่าทำนุบำรุงวัด แต่ไม่แน่ใจว่าคนไทยเสียหรือเปล่าเพราะมารถของรีสอร์ท เขาเลยไม่เก็บ
ผมมองดูเห็นมีบันไดทางขึ้นไปยังถ้ำด้านบนไหนๆมาแล้ว อยากลองดูวิวมุมสูงสักหน่อย ลักษณะบันไดมีความมั่นคงแข็งแรงพอสมควร บางจุดก็ต้องปีนบันไดกันแบบ 90 องศากันเลยทีเดียว ขึ้นมาถึงจุดที่มองเห็นถ้ำอยู่ ลองเดินเข้าไปภายในมองเข้าไปรู้สึกเหมือนมีทางเข้าอยู่แต่ไม่มีไฟฉายติดตัว และกลัวเจอพระสังข์ยังไม่ไปไหนแอบหลบอยู่ในนั้นก็เป็นได้ อิอิ ก็เลยยืนถ่ายรูปชมวิวอยู่บริเวณปากถ้ำด้านบนอย่างเดียว วิวมุมสูงบนนี้ใช้ได้เลย
ล่องแพ คลองศก
ออกจากวัดศก นั่งรถย้อนกลับมาอีกประมาณ โล 2 โลเลี้ยวขวาเข้ามายัง ภูสกริเวอร์แคนู ซึ่งเป็นจุดที่จะทำกิจกรรมต่อไปนั่นก็คือการล่องแพไม้ไผ่ ชมทิวทัศน์ 2 ฝั่งของลำคลองศก ลักษณะคล้ายๆล่องแม่น้ำซองของวังเวียง แต่จะเป็นอีกอารมณ์นึง คืออารมณ์ชิลๆ นั่งชมนกชมไม้รอบๆตัว ทางลุงคนถ่อแพบอกว่าถ้ามาหน้าฝน น้ำจะเยอะมากบางทีท่วมไปถึงสวนยางที่อยู่รอบๆ ถึงกับบางครั้งต้องพายเรือไปกรีดยางกันทีเดียว ริมคลองศกฝั่งหนึ่งจะเป็นสวนยางของชาวบ้าน อีกฝั่งจะติดกับภูเขาหินปูนที่ลำคลองศกไหลลัดเลาะผ่าน ได้ยินเสียงชะนีร้องโหยหวนมาจากยอดไม้ที่ขึ้นปกคลุมภูเขา แต่พยายามมองขึ้นไปแต่ก็ไม่เห็นตัว
ล่องแพมาได้สักพัก ประมาณ 15 นาทีได้ลุงคนถ่อแพก็นำแพเข้าไปเทียบยังริมฝั่งที่อยู่ติดกับภูเขา ลุงบอกแวะดื่มน้ำ ชงชากาแฟกินกันก่อน เราก็นึกว่าแวะไปกินน้ำบ้านลุง ลุงบอกเดินตรงเข้าไปตามทางเลย ที่ไหนได้เป็นร้านกาแฟริมเขาฝีมือชาวบ้านแบบไม่มีอะไรมาก มีโต๊ะตัว ต้มน้ำชงกาแฟด้วยกระบอกไม้ไผ่ใส่ใบเตยปิดปากรู ตอนแรกนึกว่าจะเผาข้าวหลามแต่ดูกระบอกแล้วมันใหญ่มากคงไม่ใช่ ใช้แก้วกาแฟที่วัสดุทำจากไม้ไผ่ เทน้ำต้มมากินเปล่าๆหอมกลิ่นใบเตยมาก เรานั่งกินกาแฟสักพักก็ล่องแพกันต่อ ใช้เวลาทำกิจกรรมนี้ประมาณชั่วโมงนึง ก่อนกลับลุงยังให้แก้วกลับมาเป็นที่ระลึกอีกด้วย
Khaosok Discovery Observation Camp
ช่วงกลางวัน แวะทางอาหารระหว่างทาง ซึ่งทางรีสอร์ทเขาจะมีร้านอาหารของรีสอร์ทไว้บริการสำหรับแขกของรีสอร์ท ตัวร้านอาหารตั้งอยู่ในสวนปาล์มที่ให้ความร่มรื่น ตัวร้านตกแต่งไปด้วยวัสดุที่ดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติ อาหารรสชาติเดียวกับที่รีสอร์ทเปี๊ยบ คงเป็นแม่ครัวคนเดียวกัน ^^
อุทยานธรรมเขานาในหลวง
ช่วงเย็น ผมออกเดินทางไปยังที่เที่ยวใหม่ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าไหร่ของ จ.สุราษฎร์ เคยเห็นผ่านตาในรายการข่าวของ อนุวัติจัดให้ พอดีว่าสถานที่นั้นอยู่แถวๆเขาสก เลยแวะไปชมสักหน่อย เดินทางจากที่พักย้อนมาประมาณหลัก กม ที่ 61 เจอสามแยกเลี้ยวขวาไปทางเคียนซาอีก 20 กม. ที่แห่งนี้เรียกสั้นๆว่า วัดเขานาใน ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักพอสมควร ประมาณ 60 กม.เมื่อมาถึงวัด จุดแรกที่เห็นเด่นชัดและถือเป็นไฮไลต์ของที่นี่เลยก็คือทางเข้าวัดที่สร้างเป็นซุ้มประตูลักษณะเหมือนหลุดเข้ามาในอาณาจักรสมัยโบราณ ซึ่งซุ้มประตูนี้มีชื่อว่า ซุ้มประตูพุทธาวดี 9 ยอด ซึ่งผมมาผิดช่วงเวลาเคยเห็นภาพจากใน internet เห็นลำแสงสีทองลอดซุ้มประตูสวยยงามมาก คิดว่าเป็นเวลาพระอาทิตย์ตก แต่ที่ไหนได้ มุมนี้ต้องถ่ายตอนพระอาทิตย์ขึ้น เลยลองแต่งภาพให้ดูเหมือนตอนพระอาทิตย์ตกสักหน่อยแก้ขัดไปพลางๆก่อน
นอกจากซุ้มประตูยังมี เจดีย์ลอยฟ้าพระธาตุพันองค์ที่ชื่อว่าพระพุทธศิลาวดีที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และตัวเจดีย์รวมถึงซุ้มประตูก่อสร้างด้วยหินศิลาแลงจากจังหวัดกำแพงเพ็ชร ทางขึ้นไปยังเจดีย์ต้องไต่บันไดที่มีความสูงชันไปยังยอดเขาหินปูน แต่เดินไปไม่ถึงกับเหนื่อย คนแก่ที่ไขข้อไม่ดีคงหมดสิทธิ์ ภายในเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ให้สักการะบูชา วิวบนนี้สวยงามมาก หากมาช่วงเช้าจะเจอทะเลหมอก
ถ่ายภาพได้ไม่เท่าไหร่ ฝนก็ตกลงอีกครั้ง นี่แหละอากาศภาคใต้ เห็นฟ้าใสๆ แดดเปรี้ยงๆ อยู่ดีๆฝนตกซะงั้น จนมีคำประพันธ์ประชดประชันเปรียบเปรยเป็นบทเพลงว่า "ลาทีแล้วสาวพังงา ลาแล้วฟ้าเมืองภูเก็ต สองสิ่งนี้ขี้เท็จ หกเจ็ดเชื่อไม่ได้แล้ว" แต่ เอ๊ะ เราอยู่สุราษฎ์นี่..เอาน่ะใกล้ๆกันคงติดเชื้อมาบ้าง
Check Out
เช้าวันถัดมา หมอกยังคงปกคลุมทั่วบริเวณอยู่เหมือนเดิม เก็บภาพบรรยากาศรอบๆเป็นครั้งสุดท้าย เพราะวันนี้เราจะ check out แล้วออกเดินทางไปกระบี่กันต่อ ลืมบอกไปเมื่อวานเราย้ายมาพักอีกหลังที่อยู่ทางฝั่งทิศตะวันตก แต่โชคร้ายที่เมื่อวานฝนตกหลังจากกลับจากวัดนาใน และกลับมาถึงรีสอร์ทมืดพอดี อดเห็นดวงอาทิตย์ลับเหลี่ยมเขา
เก็บสัมภาระเรียบร้อย กำลังจะเดินไปขึ้นรถ ฟ้าก็เริ่มเปิด หมอกจางลง ท้องฟ้าก็เริ่มแจ่มชัดขึ้น เลยขอเวลาถ่ายภาพอีกสักครู่
และถือโอกาสขึ้นไปดูห้องต่างๆที่แขก check out ไปแล้วและแม่บ้านกำลังทำห้องอยู่ ลักษณะห้องก็จะคล้ายๆกัน ต่างกันที่ ขนาดห้อง เตียงแบบเตียงคู่หรือเตียงเดี่่ยว และก็วิว
ต้นไม้พระพุทธเจ้า และ ดอกบัวผุด
หากมาเขาสกแล้วไม่มาเห็นดอกบัวผุดก็เหมือนมาไม่ถึงเขาสก แถมเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดด้วย ช่วงนี้เป็นช่วงที่กำลังบานพอดี ผมรู้สึกค้างคาใจมาตลอด ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าการเข้าไปชมดอกบัวผุดต้องใช้เวลาเดินทางค่อนข้างนาน ซึ่งวันแรกเวลาไม่พอ วันที่สองก็ทำกิจกรรมเต็มที่ทั้งวัน วันที่ 3 ไหนๆก็ก่อนจะไปกระบี่ ขอแวะสักหน่อยให้หายข้องใจ แต่ก่อนจะไปชมดอกบัวผุด ยังมีจุด unseen อีกที่ในเขตอุทยานนั้นก็คือ เมื่อเดินเข้าไปในอุทยาน เลยป้ายอุทยานไปหน่อย เดินไปริมๆลำธารแล้วก็ เงยหน้ามองบน แอ่น แอ๊นน คำเตือน : เด็กและผู้ใหญ่โปรดใช้จินตนาการในการมองภาพ เป็นไงครับ มองออกไหม ? งั้นซูมเข้าไปหน่อย ต้นไม้ 2 ต้นขึ้นซ้อนกันอยู่ กิ่ง ก้าน และใบ ของทั้งสองต้น ก่อให้เกิดเป็นรูปเหมือนพระพุทธรูปนั่งสมาธิพนมมือ
จบจากต้นไม้พระพุทธเจ้า ก็อย่างที่บอกว่าเรากำลังตัดสินใจจะไปชมดอกบัวผุดแต่ไม่รู้จะไปทางไหนต้องทำอย่างไรบ้าง ขณะนั้นทางนายอำเภอพนมได้ติดต่อขออนุญาติกับทางเจ้าหน้าที่อุทยานไว้ให้เจ้าหน้าที่นำทางนักข่าว NBT ของท้องถิ่นขึ้นไปเก็บภาพดอกบัวผุด และบังเอิญคุณพัด ผู้จัดการรีสอร์ทเขาสกบูติคแคมป์ รู้จักกับทางเจ้าหน้าที่เลยฝากฝังผมขึ้นไปกับทีมงานด้วย ดอกบัวผุดถ้าขึ้นทางฝั่งอุทยานจะเดินไกลมาก เรานั่งรถออกไปขึ้นกันทางใกล้ๆจุดชมวิวเขาสก จะมีป้ายแนวเขต และทางขึ้นบันไดไม้อยู่ริมถนน ใครจะขึ้นไปชมขอบอกไว้ก่อนเลยครับต้องติดต่อเจ้าหน้าที่อุทยานก่อน จะขึ้นไปโดยพลการไม่ได้ โดนจับได้เสียค่าปรับ 500 น่ะครับ เส้นทางนี้ใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 3-4 ชม.เส้นทางก็เดินไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ไม่ถึงกับชัน
ในบรรดาพืชพรรณทั้งหมดที่มีอยู่ในโลก บัวผุดหรือ Rafflesia ถือว่าเป็นดอกไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด เพราะบัวผุดชนิด Rafflesia arnoldii ที่สำรวจพบในอินโดนีเซียนั้น มีเส้นผ่าศูนย์กลางกว่า 100 เซนติเมตร ส่วนบัวผุดพันธุ์ไทย หรือ Fafflesia kerrii มีดอกขนาดเล็กกว่า แต่ก็ยังคงมโหฬารไม่ใช่เล่น คือ 50-90 เซนติเมตร ยามที่มันออกดอกสีปูนแดงสดใสอย่กลางป่าดิบเขียวชอุ่มนั้น ถือเป็นภาพที่น่าตื่นตามาก บัวผุดหรือที่ชาวบ้านทางภาคใต้ของไทยเรียกว่า "บัวตูม" จริง ๆแล้วเป็นพืชกาฝากซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นใยอาศัยอยู่ในรากและลำต้นของเถาไม้เลื้อยวงศ์อง่นป่า ชื่อ "ย่านไก่ต้ม" โดยบัวผุดจะอาศัยดูดกินแร่ธาตุและน้ำจากย่านไก่ต้ม โดยต้นแม่ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเราจะเห็นบัวผุดได้ก็เฉพาะยามเมื่อมันต้องการผสมพันธุ์กัน คือ จะเริ่มมีตาดอกเป็นปุ่มกลมเล็กๆ โตขึ้นที่ผิวของย่านไก่ต้ม แล้วใช้เวลา 9 เดือน ขยายขนาดจนเท่ากับหัวกะหล่ำยักษ์ จากนั้นก็ใช้เวลาไม่เกิน 7 วัน ในรอบปีให้ดอกบาน ทว่าดอกตัวผู้และดอกตัวเมียแยกกันอยู่ จึงต้องเหมาะเหม็งมากในช่วงเวลาบานแมลงวันจึงจะช่วยผสมเกสรให้ได้ จึงถือว่ามีความเสี่ยงสูงในการสูญพันธุ์
ที่มา :
http://khaosok.holidaythai.com/
เมื่อเดินถึงบริเวณของดงดอกบัวผุด ต้องพยายามเดินตามแนวที่เจ้าหน้าที่ขึงเชือกไว้ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าที่เราเดินเหยียบย่ำเข้าไปในป่าเราได้ไปทำลายอะไรไปบ้าง มีผลเสียกับระบบนิเวศน์หรือไม่ เมื่อพ้นเขตเชือกออกไปจะเป็นพื้นที่ที่ดอกบัวผุดกำลังแตกหน่อ ซึ่งบางครั้งแค่หน่อเล็กๆ เราเดินไม่ทันเห็นไปเหยียบ ไปเตะมันก็ไม่มีโอกาสได้ผลิดอกออกมาแล้ว คิดดูว่ามันใช้เวลาตั้ง 9 เดือนกว่าจะโตเป็นดอกและบานแค่ 7 วัน น่าเสียดายหากใครไปเหยียบเข้า เจ้าหน้าที่จึงต้องสำรวจและทำแนวเส้นทางไว้ให้ เราโชคดีที่ได้เห็นตั้งแต่เป็นตา เป็นหน่ออ่อน เป็นหัว และผลิบานเป็นดอก และครั้งนี้ทางหัวหน้าอุทยานได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่นำไม้ไผ่ขึ้นมาปักล้อมไว้เลย เพราะว่ามีภาพนักท่องเที่ยวเผยแพร่ออกมาในเฟซบุ๊คที่กำลังทำท่ากราบดอกบัวผุด ซึ่งจุดที่เขานั่งทำท่ากราบเขาเผลอเหยียบหน่ออ่อนๆไปโดยไม่รู้ตัว (เปรียบเทียบขนาดให้ดูดอกบัวผุดกับเหรียญสิบบาท)
สะพานแขวนเขาเทพพิทักษ์
สถานที่ต่อไปที่จะแวะเป็นที่สุดท้ายก็คือ สะพานแขวนวัดเขาพัง หรือ เขาเทพพิทักษ์ หรือสะพานแขวนคลองแสง แล้วแต่ใครจะเรียก แต่มันคือสถานที่เดียวกัน สถานที่นี้เป็นที่ท่องเที่ยวใหม่อีกที่หนึ่งที่ทาง อบต.เขาพังพยายามพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ตั้งอยู่ในบริเวณวัดเขาพังปากทางเข้าเขื่อนเชียวหลาน เป็นสะพานขึงด้วยลวดสลิง ยึดกับเสาคอนกรีต พื้นสะพานปูด้วยไม้กระดานบนโครงสร้างที่เป็นเหล็ก เมื่อขึ้นไปยืนบนสะพานจะเห็นสองฝั่งคลองพะแสงที่ยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่มาก และที่เป็นไฮไลต์คู่กับสะพานก็คือภูเขารูปหัวใจที่เป็นฉากหลัง ซึ่งจริงแล้วก็เป็นภูเขาเล็กๆธรรมดาลูกหนึ่ง แต่ถูกธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาจนมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ
คงต้องขอจบทริป 3 วัน 2 คืนของจังหวัดสุราษฏร์ไว้เพียงเท่านี้ก่อน แต่ทริปเดินทางของผมยังไม่จบ ออกจากสุราษฎร์ก็มุ่งสู่จังหวัดกระบี่ต่อไป รอชมรีวิว "เที่ยวกระบี่มีสไตล์"กันต่อได้ในครั้งหน้าน่ะครับ ทริปนี้ต้องขอขอบคุณพี่ป้อมแห่ง Khaosok Discovery พี่พัท และทีมงาน Khaosok Boutique Camps ที่ให้ความอนุเคราะห์ทำให้เกิดรีวิวนี้ขึ้นมา
เข้าไปเยี่ยมชมและสอบถามราคาที่พักกันได้ใน link นี้ click
แผนที่การเดินทางท่องเที่ยวเขาสก click
-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ
-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว
-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด
สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว
วันอาทิตย์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.07 น.