'คะน้าน้อย' สวัสดีค่าาา ^O^

วั้ยตั่ยแล้ววววว!! ดีใจจังเลยยยย >///< ได้เข้าสู่บล็อคที่ห้าสักที!!

กว่าจะบรรเลงได้แต่ละบล็อค ต้องหาเวลาว่าง ที่ยากมากพอๆ กับการหาเวลานอน 5555

สำหรับทริปนี้ จริงๆ แล้ว คะน้าไม่รู้จะรีวิวยังไงดี ในเมื่อที่นี่ ใครๆ เขาก็ไปกันมาหมดแล้ว

แต่คะน้าเชื่อว่า...นอกเหนือจากภาพถ่ายนับพันที่ถูกเซฟไว้ รอเวลากลับมาเปิดดูอีกครั้ง

คงจะมี Dairy ของคะน้านี่แหละ ที่เป็นอันดับต้นๆ ที่เพื่อนในทริปนั้น...จะคิดถึง

จึงเลือกที่จะเขียนออกมาค่ะ และ...ความกดดันมันจะมาอยู่ตรงนี้แหละ...

ว่าถ้าหากเพื่อนๆ มันย้อนกลับมาอ่าน...จะอ่านรู้เรื่องมั้ยเนี่ย!? 55555555

ทริปนี้คะน้าแบคแพค ไป 'ประเทศญี่ปุ่น'

ในช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่ผ่านมา

เริ่มออกเดินทางวันที่ 12

และกลับถึงประเทศไทย วันที่ 20 เมษายนค่ะ

คะน้าแพลนเดินทางไว้ทั้งหมด 5 จังหวัด

และสำหรับบล็อคนี้ คะน้าขอเล่าเรื่องการเดินทาง การเที่ยวที่จังหวัดแรกก่อน นั่นคือ...

"โตเกียว"

[ ปล. เนื่องจากตลอดทริป เป็นการเดินเท้าเที่ยวแบคแพค

เวลาเดินไป คะน้าจะยกกล้องถ่ายภาพไปพร้อมๆ กับ

การเดินตลอดเวลาค่ะ ไม่เว้นแม้แต่ตอนนั่งรถไฟ

นั่งรถบัสก็จะถ่ายขณะที่รถวิ่งไปด้วยเสมอๆ (Snapshot นั่นเอง)

เพื่อเก็บบรรยากาศในการเดินทาง น้อยครั้งที่จะหยุดยืนถ่ายนิ่งๆ

หากภาพเอียงๆ เบลอๆ ไปบ้าง อย่าถือสาเลย 55555 ]


12 Apr'17

จุดเริ่มต้นของการเดินทางนี้...

มีสาวน้อยน่ารักคือ 'คะน้า' กับ 'แอ๋มศรี' และเจนเทิลแมน 'เฮียตั้ม'

รวมพลังขา เดินแบคแพคไปด้วยกัน 3 คนถ้วน

เราออกเดินทางในวันที่ 12 เม.ย. รอบนี้เสียเปรียบ

ตรงที่ได้ราคาค่าตั๋วค่อนข้างสูง ที่ 16,000 บาท (ไป-กลับ)

เพราะเป็นทริปปุบปับ คิดจะไปก็ไป แถมเลือกที่นั่งเองด้วย

กดจองแบบ Fly Thru ไปต่อเครื่องที่ 'กัวลาลัมเปอร์'

ถ้าบินตรง คะน้าจำได้ว่าราคาจะโดดไปสองหมื่นกว่าบาท

ซึ่งเราไม่ได้รีบขนาดนั้น เรารอ(ก็)ได้ 55555555555


และก่อนเดินทาง คะน้าได้ทำประกันอุบัติเหตุ กับ SCB ราคา 600 บาทไว้ด้วย

เพื่อคุ้มครองตลอดการเดินทาง

เป็นระยะเวลา 7 วัน พอดีกับวันที่ไปเที่ยวเลย เผื่อฉุกเฉินจะได้สบายใจ

เพราะถึงคะน้าจะสวยมาก แต่ซุ่มซ่าม!! 55555


เอาล่ะ! มาถึงแล้ว สนามบินดอนเมือง เวลา 07:00 น.

เพื่อรอบินไฟท์ 08:35 น. โดยสายการบิน Air Asia

ตอน Check-in โหลดกระเป๋า เจ้าหน้าที่จะให้ตั๋วบินมา 2 ใบ

คือใบแรกใช้บินจาก "ไทยไปมาเลเซีย"

และอีกใบหนึ่งคือบินจาก "มาเลเซียไปญี่ปุ่น (ฮาเนดะ)"

โดยที่เราบินต่อได้เลย ไม่ต้องออกจาก Gate


ฟิ้วววว!! อย่างกะวาร์ปมา...

ณ สนามบินกัวลาลัมเปอร์ ตอน 11:45 น. ลงจากเครื่อง

แล้วเดินสวยๆ ไปตามทางเดิน หน้าเชิดประดุจเดินบนแคทวอร์ค

มองหาป้ายบอกทางเดินต่อไปยัง Gate P8 ที่ระบุในตั๋วใบที่สอง เพื่อรอต่อเครื่อง

ภายในสนามบินที่นี่ บรรยากาศละม้ายที่สนามบินสุวรรณภูมิฯ ของเราค่ะ ต่างกันแค่ไม่มียักษ์ยืน

คือมี ร้านค้าแบรนด์เนม ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านของฝาก ดีต่อการนั่งรอบิน 5555

(**สำหรับกระเป๋าเดินทาง เจ้าหน้าที่จะโหลดเปลี่ยนเครื่องให้เราเองนะคะ เป็น Fly-thru ค่ะ)

ระหว่างรอต่อเครื่อง เวลาบิน 14:25 น. แล้วระหว่างรอทำอะไรดี??


เดินหาของกินค่ะ!! 55555

คะน้าลากแอ๋มศรี ไปซื้อโกโก้ร้อน เพื่อให้สารร่างมันตื่นเต็มที่

(คือตื่นจากไทยมาเช้าตรู่มาก สภาพมาด้วยชุดนอนเห็นมั้ย 5555)

คะน้าไม่มีเงินสกุลริงกิต (MYR) เพราะไปเที่ยวญี่ปุ่น แลกมาแต่เงิน JPY ทั้งสิ้น

เลยจ่ายค่าโกโก้แก้วนี้ด้วยบัตร Debit ค่ะ ตอนพนักงานส่งบิลให้เราเซ็น

จะอธิบายด้วยว่า เงินริงกิตเท่าไหร่ คิดเป็นเงินไทยเท่าไหร่ ด้วยรอยยิ้มสดใส บริการดีงาม


พอเดินกลับมาที่ Gate เฮียตั้ม พี่ชายของคะน้าได้เข้ามารอนั่งอยู่ก่อนแล้ว (มาหลับรอ)

แอ๋มศรีหาได้รอช้าไม่ คว้าอุปกรณ์อำพลางหน้า

แล้วหลับไปตามๆ กัน...ส่วนคะน้าก็นั่งเฝ้าสวยๆ รอไป (หืมมมม!)


ถึงเวลาบินอีกครั้ง...

รอบนี้เราเปลี่ยนเครื่องมาเป็น Air Asia X ลำใหญ่แล้วค่ะ

เครื่องออกตรงตามเวลามาเลย์ฯ พอดี


บินมาได้สักพัก ท้องฟ้าเริ่มมืดลง เราเลยคุยกันว่า

"กินก่อนมั้ย แล้วค่อยนอนทีเดียว"

สามคนเห็นพ้องต้องกัน เปิดเมนูสั่งโลด คะน้าสั่งสปาเก็ตตี้

แอ๋มศรีสั่งบะหมี่ ส่วนเฮียตั้มสั่งข้าว

รอบนี้เราจ่ายเป็นเงินบาทไทยค่ะ แต่จะได้ทอนเป็นเงินริงกิต ดีใจมาก

ได้แบงค์ริงกิตใหม่เอี่ยมไว้เป็นที่ระลึกด้วย

เฮียตั้มไม่ยอม อยากได้แบงค์ริงกิตบ้าง ควักแบงค์ 20 บาทไทย

ไปขอแอร์ฯ แลก ได้แบงค์ 1 ริงกิตมา 2 ใบถ้วน 55555


อิ่มแล้วนอนได้...

การบินระยะเวลานานๆ พวกเราได้พกหมอนรองคอมาพร้อมกัน โดยมิได้นัดหมาย

ท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท ผู้โดยสารส่วนมากเข้าสู่นิทรา

คะน้า แอ๋มศรี และเฮียตั้มก็เช่นกัน...zzZZ


ขออภัยหากลายมือไม่น่าเอ็นดู 5555555555

สิ้นเสียงประกาศบนเครื่องว่าพวกเราชาวคณะได้เดินทางมาถึงเหนือน่านฟ้าญี่ปุ่นแล้ว

เครื่องกำลังจะลงจอดที่ สนามบินฮาเนดะ จังหวัดโตเกียว ในระยะเวลาอันใกล้นี้

พวกเราก็ตื่นค่ะ แล้วนำเอกสารตม.ในรูปออกมาเขียน ซึ่งใบนี้ไม่ได้เขียนอะไรยากมากมาย และไม่งง

เพียงแค่ตรงช่อง Address in Japan เราต้องมีที่อยู่ของโรงแรมที่เราจะเข้าพักที่เป็นแรก

พร้อมเบอร์โทรติดต่อ เพื่อกรอกลงในช่องด้านล่าง

ตามภาพค่ะ ลายเซ็นต้องให้เหมือนกับที่พาสปอร์ตนะคะ


ส่วนใบนี้ จะไปกี่คน ก็เขียนแค่ใบเดียวค่ะ ใครก็ได้

แล้วคะน้าก็ถูกโหวตจากแอ๋มศรีกับเฮียตั้มให้ได้ไปต่อ...

สงสัยลายมือจะสวย 555555 รายละเอียดไม่ต่างจากใบแรกมากนักค่ะ

แต่เปลี่ยนตรง Address in Japan

ให้ใส่แค่ชื่อโรงแรมที่กำลังจะเข้าพัก ไม่ต้องเขียนที่อยู่

และตรง Adult ให้ใส่จำนวนคนที่มาด้วย ไม่ต้องนับตัวเองนะคะ


จังหวะที่เครื่องบินกำลังลดระดับความสูงให้ต่ำลง หูเริ่มอื้อ T^T

คะน้าซึ่งนั่งริมหน้าต่าง ได้เห็นโตเกียวส่องแสงสว่างวาบอยู่ลิบๆ >///<


ทาดาแดมแถ่นแถ๊นนนนน!!! ถึงแล้ววววววววววว!!!!

พวกเราชาวคณะมาถึง สนามบินฮาเนดะ เวลา 22:30 น. ซึ่งมัน...มืดตึ๊ดตื๋อ...ทำไมมันมืดตึ๊ดตื๋อ!!

เราต้องนอนที่สนามบินกันด้วยประการฉะนี้ อะไรจะเที่ยวกันแบบฮาร์ดคอร์เบอร์นั้น 55555555

แต่เพื่อเป็นการออมแรงให้พร้อมเที่ยวในตอนเช้าแล้วนั้น นอนกันเถอะเรา...นั่งไปทำไม ฮิ้ว! ฮิ้ว! =_=zzZ

ประชาชนจากหลายๆ ประเทศที่เพิ่งเดินทางมาถึง

ต่างก็พากันหามุมนอนพักกันทั้งนั้น อบอุ่นเสียนี่กระไร...


ในภาพคือบริเวณชั้น 5 ของสนามบินฮาเนดะ

เป็นโซนที่มีผู้คนขึ้นมานอนพักมากที่สุด (มั้ง) คือที่นั่งเต็มหมดเลยค่ะ

จากภาพในห้องกระจกนั้นจะเห็นว่ามีคนอยู่เยอะแยะเลย

ชะตากรรมเดียวกับคะน้ากันทั้งสิ้น 5555555

ส่วนคะน้าออกมาเดินเล่น และถ่ายรูปเล่นค่ะ ตรงลานนี้เป็นจุดชมวิว

เห็นเมือง เห็นเครื่องบินจอดเต็มลานไปหมด

และที่สำคัญคือ...ลมแรงหนาวยะเยือกมากกกก!!!

กดชัตเตอร์ไปไม่กี่รูป ต้องรีบกลับเข้าข้างใน ยอมค่ะคุณขาาา!!


13 Apr'17

"เช้าแล้วยังอยู่บนที่นอน...เงียบๆ คนเดียวและไม่อยากตื่น ขึ้นพบ...ใคร"

ละเมอค่ะ...ละเมอว่านอนบนเตียงละมุน แต่จริงๆ กว่าจะเช้า หลังแทบจะหักคาเก้าอี้นั่งอยู่แล้ว 5555

นี่คือมุมที่คะน้าได้เล่าไว้เมื่อคืนว่า...ลานของชั้น 5 เป็นจุดชมวิว เป็นประมาณนี้ค่ะ

ตื่นมาเราก็ไปแปลงโฉมจากชุดนอนที่ใส่มาจากประเทศไทย เป็นคอสตูมพร้อมเที่ยววันแรกกันเลย!


มีกล้องส่องทางไกลให้หยอดเหรียญ ¥10 ดูวิวเล่นๆ ด้วยนะคะ

แต่เราไม่ได้หยอดค่ะ เราเน้นอินเนอร์ เราเล่นใหญ่กันเอาเองก็ได้! 555555555555

และเช้านี้อากาศยังหนาวมาก (แต่เบากว่าตอนกลางคืน)

ในภาพคะน้ากับแอ๋มศรี เราใส่ถุงน่องกันหนาวไว้นะคะ

พวกเราไม่ใช่ชะนีถึนทึนอย่างที่ทุกท่านกำลังเข้าใจผิดดดด 55555


ลงจากชั้น 5 มาที่ชั้น 4

เราขอเก็บภาพบรรยากาศที่ซุกหัวนอนคืนแรกในโตเกียวของเราสักหน่อยค่ะ 5555


ชั้น 4 ของสนามบิน

เป็นชั้น Food zone ค่ะ ร้านค้า ร้านอาหารเป็นล็อคๆ แบ่งโซนไว้ ตกแต่งน่าเอ็นดูมาก

บางร้านเปิด 24 ชั่วโมงนะคะ เพราะฉะนั้นมาดึกแค่ไหน

สามารถหาอาหารทานกันได้แน่นอนค่ะ มี 7-11 ด้วย


เดินลากกระเป๋าใบโตลงจากชั้น 4 มาที่ชั้น 3

มองหาป้ายในรูปค่ะ ป้ายบอกทางเชื่อมไปหาทางขึ้นรถไฟฟ้า

เพื่อเดินทางเข้าไปยังตัวเมืองโตเกียว โดยไปกับรถไฟสาย Tokyo Monorail ค่ะ


เดินผ่านทางเชื่อมมาตามป้ายบอกทางเรื่อยๆ ไม่นานนัก ก็มาถึงตู้ซื้อตั๋วรถไฟค่ะ

ไม่ต้องตื่นเต้นมาก เราซ้อมขึ้น BTS จาก BKK กันมาอย่างช่ำชอง

กดๆ จิ้มๆ แค่นี้จิ๊บๆ 5555555

เราแหงนหน้ามองแผนที่เส้นทางเดินรถไฟเหนือตู้ซื้อตั๋ว

ซึ่งแอ๋มศรีได้ทำการแพลนทริปมาอย่างดีแล้ว

ว่าเราต้องการไปเที่ยวที่ไหนบ้าง รถไฟสายไหนจะวิ่งผ่านบ้าง

ทำให้เราไม่เสียเวลาหาสถานีปลายทางนานนัก

เราอาศัยกดเปลี่ยนภาษาจากภาษาญี่ปุ่น เป็น English แล้ว

จิ้มเลือกสถานีปลายทาง Hamamatsucho ราคาตั๋วอยู่ที่ ¥490/คน

พร้อมกับจิ้มเลือกจำนวนคนที่ซื้อตั๋ว (จิ้มปุ่มรูปคน 3 คนทางซ้ายมือ ไฟส้มๆ)

แล้วหยอดเงินตามจำนวน ตั๋วก็จะออกมาพร้อมกัน 3 ใบ


จากนั้นก็เดินขึ้นมารอรถไฟบนชานชลาที่ 9 ทับเศษ 3 ส่วน 4

(มีความนอนน้อยแล้วมันก็ออกจะเพ้อหน่อยๆ)

โดยบนชานชลา จะมีป้ายบอกชื่อขบวน และเวลาที่รถไฟกำลังจะมาถึง

ซึ่งรถไฟแต่ละขบวนจะมาถึงตามเวลาที่ป้ายบอกไว้แบบเป๊ะมาก!

แต่รถไฟฟ้าที่นี่ไม่เหมือน BTS บ้านเรานะคะ ที่จะมีแค่สองฝั่งไป-กลับ สลับแค่หัว-ท้ายขบวน

รถไฟฟ้าญี่ปุ่น ต้องอาศัยดูประเภทขบวน แบ่งเป็น

Express ด่วนพิเศษ, Rapid ด่วน และ Local แวะทุกสถานีค่ะ

(แอบจัดอันดับตามความเข้าใจส่วนตัวล้วนๆ 5555)

และเวลาที่มาถึงของขบวนที่เราต้องการขึ้นทุกครั้งค่ะ

เพราะรางรถไฟที่นี่ มาทุกสาย เมดเล่ย์กันมารัวๆ

ขึ้นผิดจะเสียเวลามาก เพราะบางขบวนไม่ได้จอดทุกสถานี

สมมุติว่าขึ้นผิด ไปขบวน Rapid เป็นขบวนด่วนจากสถานีที่ 1 ตรงไปสถานีที่ 18

แล้วหวังจะลงสถานีที่ 2 เป็นไปไม่ได้นะคะ ต้องไปลงสถานีที่ 18 ปลายทาง

แล้วหาขบวนอื่นนั่งย้อนกลับมาสถานีที่ 2 เอาเอง เป็นต้นค่ะ

คะน้าแนะนำให้ขึ้นขบวนที่เขียนว่า Local เอาไว้นะคะ

หรือหาก Rapid มีตรงตามสถานีที่เราจะไป ก็ขึ้นได้ค่ะ

โดยเราจะรู้ได้จากป้ายแผนที่การเดินรถที่มีแสดงอยู่ตามจุดต่างๆ ของแต่ละสถานี

ว่าขบวน "สี" ไหนจอดที่ไหนบ้าง


เมื่อรถไฟฟ้าเริ่มออกเดินทางพาเราเข้าเมือง...

ภาพถ่ายจากบนรถไฟฟ้า คะน้าเปิดกล้องถ่ายรัวๆ เลยค่ะ

พยายามเก็บภาพบรรกาศที่รถไฟจะวิ่งผ่าน...และนี่ก็เป็นบรรยากาศคลองที่น้ำใสสะอาดมากๆ เลย


บ้านเมืองสวยงามสมคำร่ำลือ

ถนนสะอาดราวกับภาพในการ์ตูนที่เราเคยดูตอนเด็กๆ ไม่มีผิด


ต้นไม้สวยมาก ถนนสะอาดมาก และรถไม่ติด

ทั้งๆ ที่ตอนนี้เป็นเวลาที่ปกติควรจะเริ่มออกเดินทางไปทำงานกันได้แล้ว


เมษายน ฤดูซากุระ บรรดานางๆ ต่างออกมายิ้มหน้าบานแฉ่งให้ได้ชมกันสะพรั่งไปทั้งเมือง

คะน้ามองตาปริบๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็นของจริงกับเค้า 55555


แถ่นทาดาแด่นแถ่นแทน...แถ่นแทนแท๊นนนน!!!

ขอเปิดตัว 'เฮียตั้ม' แบบอลังการสักนิด

หลังจากเอ่ยถึงมาประมาณ 30% ของรีวิวแล้ว เพิ่งจะมีรูปแรก! 55555


เมื่อเรานั่งรถไฟฟ้ามาจนถึง Hamamatsucho เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เราก็...ยังไม่ได้เที่ยว!! เราต้องซื้อตั๋วใหม่ เพื่อเปลี่ยนเส้นทางรถไฟฟ้า

ไปสาย "สีเขียว JR Yamanote Line" กันต่อค่ะ



เราเลือกซื้อตั๋วแบบ Tokunai Pass (โตคุนาอิพาส) ราคา ¥750/คน

เพื่อใช้นั่งรถไฟสาย Yamanote ได้ทั้งวัน!

Yamanote Line คือทางรถไฟฟ้าเส้นสีเขียววงกลมในภาพ

เป็นเส้นทางแบบวน Loop

เราสามารถนั่งรถไฟสายนี้ไปลงที่สถานีใดก็ได้ใน Loop นี้ตลอดทั้งวันค่ะ

(ขอบคุณภาพจาก Google ค่ะ)


และ 1 Day Trip Lost in Tokyo ก็เริ่มต้นขึ้น...

ปลายทางของเรารอบนี้ จะลงที่ "สถานีอูเอโนะ Ueno" กันก่อนค่ะ

เพื่อไปฝากกระเป๋าเดินทางทุกใบที่ "Coin Locker"

จากภาพ ในป้ายไฟด้ายซ้ายมือ จะมีชื่อสถานี Ueno ปรากฏอยู่ใช่มั้ยคะ

Yamanote Line เป็นรถไฟสายสีเขียว

จะมีรถไฟมาถึง 2 เวลา คือ 06:19 น. และ 06:24 น.

คือถ้ามาไม่ทันรอบแรก จะรอแค่ 5 นาทีสำหรับขบวนต่อไปค่ะ

และใช่ค่ะ! นี่เพิ่งจะหกโมงเช้า แต่สว่างอย่างกับสิบโมง

บางทีอาทิตย์ก็อุทัยมากไปเนอะ 555555


มาถึงแล้ว "สถานีอูเอโนะ Ueno" ค่ะ

เราออกจากรถไฟเดินมาตามทางบนชานชลา

จะเห็นมีทางเลี้ยวเข้ามาที่ห้อง Coin Locker แบบนี้ค่ะ

ตู้ Locker จะมีหลายขนาด ตั้งแต่ขนาดเล็กสุด

ไปจนถึงขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บกระเป๋าลาก 29" ได้สบายๆ

คะน้าชอบมากเลย คือแบคแพคมาสัมภาระเยอะแยะ

มีที่ฝากกระเป๋าไว้บริการแบบนี้ นักท่องเที่ยวยิ้มแฉ่งเลยค่ะ

สำหรับราคาของ Coin Locker แปรผันตาม Size ของตู้

เล็กสุดอยู่ที่ ¥400, ¥500 ไปจนถึง ¥800 ค่ะ

ซึ่งหากไปกันหลายคน สัมภาระคาดว่าใส่รวมกันที่ตู้ ¥800 แล้วไหว

ให้เก็บรวมกันเลยค่ะ หารเท่าประหยัดดี

วิธีการใช้ตู้ Locker ก็คือ เปิดตู้ ใส่สัมภาระเข้าไป

และยัดทุกสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องพกไปเดินเที่ยวด้วย

เข้าไปให้มากที่สุด เพื่อที่จะได้เดินเที่ยวกันแบบเบาสบายตัวนั่นเองค่ะ

อย่างคะน้าเองพกแค่ กล้องถ่ายรูปกระเป๋าตังค์ มือถือ และพาสปอร์ต

นอกนั้นไปนอนเบียดในตู้ Locker หมดแล้ว 55555

หลังจากใส่ทุกอย่างเข้าไปหมดแล้ว ปิดประตูตู้ให้แน่นเรียบร้อย

แล้วทำการหยอดด้วยเหรียญ ¥100 เท่านั้น!!

ตามจำนวนของราคาที่ป้ายบอกไว้ พอครบจำนวน

ก็บิดกุญแจออกมา เก็บไว้ให้ดี ระวังจะหายนะคะ ^O^

แต่หากนำกุญแจออกมาแล้ว ลืมเก็บของ จะเปิดตู้อีกไม่ได้แล้ว

ถ้าเปิดแล้วต้องหยอดเหรียญใหม่ ถึงจะล็อคตู้ได้อีกครั้ง

เพราะฉะนั้นก่อนจะถอดกุญแจ ต้องมั่นใจว่าไม่ลืมเก็บ หรือไม่ลืมพกอะไรออกมาแล้วนะคะ


ตัวเบาหวิวกันแล้ว เราก็ออกจากสถานีอูเอโนะ Ueno โดยใช้บัตรรถไฟใบเดิม Tokunai Pass

นั่งต่อมาที่ "สถานี่ฮาราจูกุ Harajuku" ค่ะ แล้วเดินตรงไปยังทางออก Omote-sando Exit

เดินออกมาจนเจอถนนใหญ่ในภาพค่ะ ตอนนี้เราจะมาเที่ยวที่แรกกันก่อน นั่นคือ...

"ศาลเจ้าเมจิ [Check-In 1/30]"


มาถึงทางเข้าแล้วค่ะ เป็นซุ้มประตูโทริอิใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มและสูงมาก

แค่ทางเข้าพาให้เก็บไปหลายรูปเลยค่ะ

ซุ้มเสาโทริอิยิ่งใหญ่อลังการ ต้นไม้ร่มรื่นสุด คลอโรฟิลด์เขียวแบบ HD กันเลยทีเดียว

อากาศเย็นนะคะ เห็นแดดแบบนี้ ในกระเป๋าเสื้อเราใส่ถุงหิน Heater ไว้ด้วยค่ะ

เวลาเอามือล้วงกระเป๋าจะได้อุ่นๆ

เพราะตอนนั้นจำได้ว่า มือแข็งจนซีดไปแล้ว 5555

ลมหนาวค่อนข้างแรงมาปะทะตัวเราจนสั่นไปหมด โอ้ยยยย!


นี่คือหน้าตาของถุง Heater ค่ะ ถุงจะร้อนเมื่อโดนอากาศ

ใส่กระเป๋าเสื้อ หรือถือไว้ในมือให้อุ่น พอช่วยให้หายหนาวได้บ้าง


พอเดินผ่านซุ้มโทริอิเข้ามา จะพบกับทางเดินทอดยาว...ยาวจนดูไกลไป๊ แต่สะอาดตา น่าวิ่งจ๊อกกิ้ง

ห้อมล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่สุขภาพดีปกคลุมให้ร่มรื่นตลอดทาง

และเพราะไม้ใหญ้ได้ล้อมเราไว้หมดแล้ว ทางเดินทอดยาวนี้ ก็กลายเป็นช่องลมดีๆ นี่เอง

แง้! หนูหนาวววว >O<


พอเดินมาสักพัก ยังอีก...ยังไม่ถึงศาลเจ้าอีก!! 55555 เจอ "ถังสาเก" ก่อน อ่ะ! ถ่ายรูปปปปปป

จากที่อ่านมาคร่าวๆ จำได้ว่า ตรงจุดนี้เป็นที่รวมถังสาเกจากหลายแบรนด์ นำมาถวายให้กับทางศาลเจ้าเมจิ

เพื่อสักการะเทพพระเจ้า ตามความเชื่อของศาสนาชินโตค่ะ


เดินต่อมาเรื่อยๆ และเรื่อยๆ สู้ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นนนน...

เจออีกแล้ว ซุ้มโทริอิ คะน้าสูง 170 ซม. ดูสิคะ เหลือตัวจิ๊ดเดียว! ใสๆ อ่ะ 55555


วะ...วะ...ว้าววววว!! ถึงแล้วววว เดินไกลเหลือเกิน

แต่ทำไมเฮียดูหน้าตาไม่ค่อยจะดีใจ ช่วยมีอินเนอร์ร่วมกับหนูนิดนึงงง!! 55555


ก่อนเข้าไปกราบไหว้สักการะศาลเจ้าทุกที่ จะมีพิธีปฏิบัติอย่างหนึ่ง...

คือ การทำความสะอาดร่างกายก่อนเข้าไปสักการะเทพเจ้าด้านใน

แอ๋มศรี ผู้ที่เคยมาญี่ปุ่นครั้งแล้วครั้งเล่า ได้พาคะน้าเดินมายังศาลาที่มีบ่อน้ำตรงนี้

แล้วทำการสอนคะน้ากับเฮียตั้มว่า...


ก่อนเข้าศาลเจ้า เราจะต้องมาล้างมือก่อน โดยเริ่มจาก...

"ล้างมือซ้าย ล้างมือขวา บ้วนปาก ล้างมือซ้ายอีกครั้ง และล้างกระบวย"

โดยทั้งหมดนี้ ทำแค่พอเป็นพิธีนะคะ ล้างมือ แค่เทน้ำใส่มือนิดหน่อย

บ้วนปาก เพียงแค่เทน้ำใส่มือแตะเช็ดปากพอสมควร

และสุดท้ายล้างกระบวย ตักน้ำมาถูๆ นิดเดียวก็พอค่ะ


พร้อมกันแล้ว!! เราก็พากันเดินเขามาด้านใน เพื่อเตรียมขอพรศาลเจ้าเมจิ

แอ๋มศรี ชะนีผู้มีองค์ความรู้ ได้สอนวิธีการไหว้ขอพรเทพเจ้าให้กับคะน้าและเฮียตั้มว่า...

ให้โยนเหรียญ ¥5 เคร้งงง!! (ใส่ลงในช่องโยนเหรียญ ด้านหน้าศาลเจ้า)

โค้งคำนับสองครั้ง พรึ่บ! พรึ่บ! ปรบมือเสียงดังหนักแน่นสองครั้ง ป้าบ! ป้าบ!

อธิษฐานขอพรด้วยศรัทธาแรงกล้า >O< และโค้งคำนับอีกครั้ง...เป็นอันจบพิธี


หลังจากอธิฐานขอพรอันเลอค่าเรียบร้อยแล้ว...

เดินเล่นต่อมาทางขวามือ (เป็นทางเดินวนออกอยู่แล้ว) เราจะผ่านต้นไม้ใหญ่มากต้นหนึ่ง

ซึ่งโคนต้นได้ถูกห้อมล้อมไว้อย่างอบอุ่นด้วยรั้วป้ายเอมะ (Ema) ป้ายไม้ที่ไว้ใช้เขียนคำอธิษฐานขอพรค่ะ

คะน้าไม่ได้เขียน แต่เดินๆ ดูแล้ว มีป้ายที่เขียนด้วยภาษาไทยเยอะมากพอสมควรเลยค่ะ ^O^

และที่ 'ศาลเจ้าเมจิ' นี้

เพื่อนๆ คะน้าได้ Comment ส่งสัญญาณมาจากประเทศไทย ผ่านทาง Facebook ว่า

"ขอพรเรื่องความรักสิ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องขอความรักมากนะ"

แม่คุณเอ้ย!! คะน้านี่แทบจะกด Unfriend และ Block มันซะให้รู้แล้วรู้รอด!!!!!

นังเพื่อนตัวดี มาบอกตอนที่คะน้าเดินออกมาจากศาลเจ้าแล้ว...คืออะไร๊!? TOT


หอบความเจ็บช้ำใจหนักหนาสาหัสที่อดขอพรหาผู้ เอ้ย! หาคู่ แบบคนอื่นเขา

เราก็พาใจช้ำๆ มาเดินเล่นต่อกันที่...

'ย่านฮาราจูกุ [Check-In 2/30]'


ฮาราจูกุ เป็นย่านร้านค้า แหล่ง Shopping ที่คะน้าเดาว่า...

บรรยากาศน่าจะคล้ายๆ ที่ย่านชิบุยะ (ไม่เคยไปหรอก เคยเห็นผ่านๆ ในทีวี แต่เดาไว้ก่อน 5555555)


เดินกันมาตั้งแต่เช้า พอช่วงสายๆ มันก็จะหิวๆ หน่อย เวลา ณ ตอนนั้น ประมาณแปดโมงเศษๆ ได้ค่ะ

ร้านค้าทั้งหลายในย่านนี้ยังไม่เปิดเลย น้อยร้านมากๆ ที่จะเปิดเวลานี้ค่ะ เราเลยเลือกที่จะรองท้องกันที่ร้านสะดวกซื้อ


ได้กาแฟสักแก้ว เฮียของหนูคะน้าก็เดินต่อไหวแบบถึงไหนถึงกันแล้ว 5555

แต่คะน้าอยากให้โฟกัสที่ภาพเมืองของเขาค่ะ ถนนอย่างที่คะน้าชมบ่อยๆ แล้วว่าสะอาดมากๆ

สังเกตที่รถยนต์บนถนนด้วยค่ะ เงาวับอย่างกับเพิ่งออกมาจาก

Car Wash กันทุกคัน และเป็นแบบนี้ทั้งเมือง

ทุกเมืองด้วยนะคะ รถยนต์สะอาดมาก รวมไปถึงเวลาที่คะน้าขึ้นรถไฟฟ้า

คะน้าจะสังเกตรอบๆ ตัวตลอด

จะเห็นว่า การแต่งกายของผู้ชายญี่ปุ่นส่วนมากจะใส่สูทสีดำ

แทบจะ 90% ผู้หญิงแต่งกายคละกันไป

แต่ส่วนมากจะเป็นสี Earth Tone เช่น ขาว ดำ ครีม จะมีสีสันอื่นบ้าง

แต่น้อยมากๆ ค่ะ และค่อนข้างจะเรียบร้อย

รองเท้า (มีการดูยันรองเท้า) ถ้าเป็นรองเท้าหนังจะขัดขึ้นเงาวับ

จนเห็นหนังหน้าตัวเองตอนมองลงไป หากเป็นรองเท้าผ้าใบก็จะสะอาด ไม่มีเปื้อนค่ะ

รองเท้าแตะ เอาตรงๆ ไม่เคยเห็นเลย T^T ขอเล่าเป็นความประทับใจส่วนตัวนะคะ

ที่นี่นอกจากวินัยกล้าแกร่ง ยังสะอาดไปทุกอณู น่าชื่นชมมากๆ เลยค่ะ


หลังจากที่เราเดินเล่นชมบ้านเมืองกันมาสักพักนึงแล้ว ร้านค้าต่างๆ ไม่มีวี่แววจะเปิดสักที

เราเลยตัดสินใจนั่งพักเหนื่อย และทานอาหารมื้อ Brunch

กันที่ร้านนี้ก่อนค่ะ (เดินผ่านก็เข้าเลย ไม่ได้คิดไรเยอะ)


ภายในร้านตกแต่งปกติทั่วไปค่ะ ไม่ได้ฟินอะไรมาก เป็นร้านอาหารเมนูราเมง และข้าวหน้าต่างๆ ค่ะ


คะน้าผู้ไม่เสี่ยงดวงกับอะไรทั้งสิ้น ขอสั่งเมนูที่ปลอดภัยต่อชีวิตด้วย

"ข้าวหน้าหมูผัดซีอิ๋ว กับซุปมิโสะมีหอย"

(จำชื่อเมนูเขาไม่ได้ จะมาตั้งเองแบบนี้ก็ได้ เก๋ๆ เนอะ) 555555


เมนูของแอ๋มศรียังไม่มาเสิร์ฟ นางเปิดถุงร้านสะดวกซื้อที่ไปแวะมาก่อนหน้านี้

คว้าขนมปังใส้ครีมเมลอนมาบรรเทาหิวก่อน ด้วยสีหน้าเริงร่า Make it happen สุดชีวิต!


หลังจากอิ่มหนำสบายพุงกันแล้ว ออกมาจากร้าน เดินเล่นไปตามทางแบบตามใจฉัน

ก็ได้มาเจอกับทางเข้าสวนอะไรสักอย่าง คะน้าเห็นซากุระเท่านั้นแหละ วิ่งเข้าไปโลดดดด!!


พอเข้ามาแล้ว เดินไม่ลึกมาก จะเห็นบรรยากาศคลาสสิค มีระเบียงน้ำ ต้นไม้ มีปลา มีเต่าด้วยนะ

ต้นไม้สวย ซากุระบาน กลีบปลิวว่อน Romance มากๆ เป็นมุมเล็กๆ ของย่านนี้ที่น่าเก็บภาพเล่นค่ะ


คะน้าคาดว่าที่นี่จะเป็นทางจากมุมใดมุมหนึ่งของย่านนี้ เดินลัดเข้ามาในซอย

เพื่อมาโผล่ฝั่งที่คะน้าอยู่ เพราะมีคนเดินผ่านเราไปเป็นพักๆ ค่ะ

และคะน้าได้ลองเดินสวนทางเข้าไปเรื่อยๆ ดูว่าจะเป็นแบบที่คิดจริงมั้ย


ตลอดทางเดิน จะมีต้นซากุระโปรยปรายให้ได้ชมเล่นๆ ด้วยค่ะ

อากาศเย็นสบาย ไม่หนาวเท่าเมื่อเช้าแล้ว


จนกระทั่งเดินจนผ่านสวนเมื่อครู่ออกมา...

จะมาเจอศาลเจ้าที่ใดสักที่ค่ะ ที่ทราบเพราะมีซุ้มให้ล้างมือนี่เอง ^O^


พอเดินผ่านเขตศาลเจ้าเมื่อครู่ ออกมาตามทางเรื่อยๆ จะเริ่มเห็นผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาเยอะขึ้นค่ะ

จนมารู้ตัวอีกที เราก็หลุดมาอยู่ในย่าน Shopping ซะแล้ว ร้านค้าเริ่มทยอยเปิดร้านบ้างแล้วค่ะ

เจอกลุ่มนักเรียนญี่ปุ่นด้วย คาร์แรกเตอร์น่ารักเหมือนในการ์ตูนที่เราเคยๆ ดูกันเลย 55555


จบจากการเดินเล่น ดูร้านค้าที่ยังไม่เปิด (?) ในย่านฮาราจูกุเรียบร้อยแล้ว...

เรากลับมาที่สถานีรถไฟฟ้าอีกครั้ง

นั่ง JR Yamanote Line ด้วยบัตรใบเดิม

(วันนี้อย่างที่บอกค่ะ ใช้บัตร Tokunai Pass เดินทางทั้งวัน)

เราจะขึ้นรถไฟขบวนที่จะมาลง "สถานี Shibuya"

จากนั้นเดินหาทางออก Hachiko Exit ค่ะ เมื่อเดินออกมาแล้ว เราจะเจอกับ...

"ย่านชิบุยะ [Check-In 3/30]" ^O^


เดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอถนนใหญ่ มีทางม้าลายให้ข้ามถนนยิ่งใหญ่อลังการ

ยืนงงๆ อยู่ไม่นานนัก คะน้าก็นึกออก "อ้าว! ถึงแล้วเหรอ" 555555

'5 แยกชิบุยะ' หรือที่มักได้ยินเรียกกันว่า '5 แยกวุ่นวาย' นั่นเองค่ะ

มาถึงตรงนี้ ท่าถ่ายรูปในตำนานก็มา 55555

คือการรอสัญญาณไฟเขียวให้เดินข้ามถนน พร้อมเสียงสัญญาณ ปิ๊ว! ปิ๊ว! ดังขึ้น!!

เราก็ต้องรีบวิ่งไปยืนขวางทางให้เกะกะชาวบ้านให้มากที่สุด!! เพื่อเก็บภาพความวุ่นวายของ 5 แยกนี้ค่ะ


เฮียตั้ม กับแอ๋มศรี วิ่งไปถ่ายรูปกัน ได้รูปสวยกันภายในไฟเขียวแรก...

ทว่า...คะน้าก็คือคะน้าค่ะ วิ่งอยู่ 3 ไฟเขียว เพิ่งจะได้รูปแรกที่ดู 'วุ่นวาย' จนถูกใจ 555555555


วิ่งข้ามถนนหลอกๆ เพื่อถ่ายรูปจนหนำใจแล้ว เราก็ข้ามถนนกันจริงๆ บ้าง

เดินข้ามมาแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไม่รู้ว่าจะเจออะไร ไม่รู้ว่ากำลังไปไหน หรืออยู่ตรงไหนของชิบุยะด้วยซ้ำค่ะ

ทริปนี้เราชิล ไม่มีแพลน ไม่ fix เวลา อยากไปไหนก็ไปแบบนี้ตลอดทริปเลยค่ะ

งงๆ หลงๆ บ้าง เพลินดี 55555


เดินเที่ยวเข้ามาในแหล่ง Shopping เฮียตั้มขอมาดูเสื้อยืดวงดนตรีญี่ปุ่นอะไรก็ไม่รู้

สองศรีชะนีบ้ากล้องเลยแว้บๆ มาเก็บภาพกันเล่นระหว่างรอไปค่ะ


ภาพรวมๆ ของย่าน Shopping แถวๆ นี้ค่ะ ผู้คนต่างยืนรอสัญญาณไฟเขียว สำหรับคนเดินข้ามถนน

ซึ่งไม่เพียงแต่มีสัญญาณไฟแสดงเท่านั้น ยังมีเสียงด้วยค่ะ บางทีจะดัง ปิ๊ว! ปิ๊ว! เหมือนเสียงนกร้อง

บางที่ดังเป็นเสียงเพลงเมโลดี้โน๊ตสั้นๆ ฟังน่ารักดีค่ะ เป็นประโยชน์กับผู้พิการทางสายตาที่มองไม่เห็น

สัญญาณไฟค่ะ พวกเขาจะฟังเสียง เมื่อได้ยินเสียงแล้ว ถึงจะเดินข้ามถนนเช่นคนปกติทั่วไป...


ข้ามถนน ณ 5 แยกวุ่นวาย แล้วเดินกลับมาขึ้นรถไฟ เพื่อเดินทางกันต่อค่ะ

คราวนี้เรานั่งรถไฟสายเดิม วน Loop ไปลงที่ "สถานี Shinjuku"

มาถึงแล้วภายในสถานีค่อนข้างยิ่งใหญ่กว้างขวางจนเดินงง 555555

เจอร้านดอกไม้ที่ตกแต่งสวยน่ารักดี

เลยแอบเก็บภาพมาด้วยค่ะ บ้านเมืองนี้เขาถอดภาพมาจากในการ์ตูนเลยจริงๆ นะ

อินมาก นึกว่าตัวเองเป็นเซเลอร์มูน!

เมื่อเราลงที่ "สถานี Shinjuku" แล้ว มองหาทางออก เพื่อเดินเท้าไปเที่ยวที่...

"สวนชินจูกุเงียวเอน Shinjuku Gyoen [Check-In 4/30]"


ตรงนี้คะน้าใช้เปิด Google Map นำทางพาเดินเอานะคะ

เพราะไม่ทราบจริงๆ ว่าจะต้องเดินไปทางไหน

รู้แค่คร่าวๆ ว่าต้องเดินไปทาง "South Exit"

ขอแนะนำให้เดินออกจากสถานี มายืนริมถนนใหญ่ก่อน

จากนั้นเดินต่อมาทางด้านซ้าย ฝั่งเดียวกับสถานีค่ะ

เดินมาเรื่อยๆ เราจะเริ่มเห็นป้ายบอกทางเช่นในรูปค่ะ

ซึ่งไกลพอสมควร ประมาณ 10-15 นาที (นับจากสถานี)


เดินตาม Map มาจนลิ้นห้อย ก็พาร่างสวยๆ มาถึงจนได้

คนเยอะพอสมควรเลย รุ่นๆ เพื่อนแม่ทั้งนั้น 55555555

ที่นี่เราต้องเสียค่าเข้าชม ราคาค่าเข้าอยู่ที่ ¥200 / คน

หลังจากได้ตั๋วเข้าแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่ขอตรวจกระเป๋าด้วยค่ะ


พอเข้ามาแล้วก็สตั๊นท์กันไปกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า

พื้นที่กว้างขวางมีต้นซากุระบานสะพรั่งตลอดแนว

ผู้คนที่มาต่างพากันหามุมสวยๆ เพื่อนั่งเล่น บ้างก็นั่งคุยกัน

บ้างก็นั่งวาดรูป บ้างก็มาถ่ายรูปเก็บภาพซากุระ

หรือจะมานั่งปิกนิกก็มี เป็นสวนสาธารณะที่สาธารณะสมชื่อ

และงดงามมากๆ เลยค่ะ ชอบต้นไม้มากกก


ซากุระมีทั้งสีชมพู และสีขาวค่ะ เพิ่งเคยเห็นใกล้มากๆ ก็คราวนี้

สวยแบบน่าทะนุถนอม ลมพัดทีกลีบหลุดปลิวว่อน

เป็นซีนที่ค่อนข้าง Romantic นึกว่าอยู่เกาหลีค่ะ

แต่พอดีมาโสดๆ เลยไม่ค่อยอินมาก 55555555


ซากุระดอกสีขาวราวกับหิมะ บานสะพรั่งสวยไปทั้งต้น

จะว่าไม่อินก็ไม่จริงแล้ว อินมากกกกกกกกกก!!!


โอ้ยยยยย!! คะน้าน้อยอดใจไม่ไหวแล้วจ้าาาา

ขอจับหน่อยน้า งื้อออออ >////< สวยจังเลยยยย


กลีบซากุระฟรุ้งฟริ้งเต็มพื้นจนดูพื้นดินกลายชมพูไปทั่วเลยค่ะ


เดินต่อเข้ามาเรื่อยๆ จะพบร้านค้าที่ตั้งอยู่ภายในค่ะ

มีร้านไอศกรีม ร้านขายอาหารทานเล่นหลายอย่าง

หากเดินเหนื่อยๆ หิวน้ำ หรืออยากทานอะไรเล่นรองท้อง

ซื้อแล้วมีที่นั่งทานให้เรียบร้อยค่ะ ห้องน้ำก็อยู่ทางนี้ด้วย

พูดถึงห้องน้ำ คะน้าเป็นคนที่ค่อนข้างจริงจังเรื่องห้องน้ำมากๆ

หากไปไหนแล้วเจอห้องน้ำไม่สะอาด ก็เลือกที่จะไม่เข้าค่ะ

ยอมอั้นตลอดเลย! แต่ประเทศญี่ปุ่นคะน้าไม่ห่วงเลย

เข้าที่ไหนสะอาดทุกที่ การใช้งานอุปกรณ์ในห้องน้ำ

มักจะเป็น Automatic และระบบ Censer (แทบทุกที่)

แถมมีน้ำยาฆ่าเชื้อโรคฝาที่นั่งให้ตลอดด้วยค่ะ

คะน้าประทับใจเรื่องห้องน้ำมากเหมือนกัน เพราะเวลาไปเที่ยว

ถ้าไม่มีความสุขกับห้องน้ำนี่ทรมานนะคะ


มาญี่ปุ่นทั้งที...ไม่ถ่ายรูป Soft-cream (¥350) ได้อย่างไร 555555


แอร๊ยยยย! มุมนี้มีคุณป้าๆ มานั่งชิคๆ วาดรูปกันด้วยค่ะ น่าเอ็นดู >///<


เดินเล่นต่อไปอีกเรื่อยๆ ค่อนข้างลึกและไกลพอสมควรค่ะ ตลอดทางก็ประมาณนี้...

ไม่ใช่วิวค่ะ หมายถึง ตลอดทางเราจะเดินถ่ายรูปเล่นกัน บ้าๆ บอๆ ประมาณนี้!! 55555555555


ยิ่งลึก ยิ่งสวย โอ้ยยยยยย! คะน้าชอบต้นไม้ทุกต้นเลย อยากได้ไปปลูกที่บ้าน สวยมากกกกกกก!! TOT


งื้ออออ >3< งดงามราวกับภาพวาด นี่มันของจริงช่ายม้ายยยย!!


ซากุระต้นใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย คะน้าดูตัวเล็กไปเลย

ขอแอ็บเป็นผู้หญิงตัวเล็ก ตะมุตะมิแป็บนึง 555555


เดินกันจนสุดทาง ได้เวลาเดินกลับแล้วล่ะคะ ^O^

อ้าว! บอกให้เดิน ก็เดินสิ จะนั่งทำไม!?


ก่อนกลับ คะน้าบอกเฮียว่า "เฮีย มาๆ หนูถ่ายรูปให้เฮียบ้าง"

แล้วเฮียก็ยืนห่างจากดอกซากุระมาก เลยบอกว่า...

"เฮียมายืนใกล้ๆ สิจะได้รู้ไงว่าเรามาเที่ยวฤดูซากุระนะ"

เฮียก็ทำท่าแบบในรูป แล้วเอ่ยว่า "อ่ะ! ฤดูซากุระพอยัง" 5555555555 โอ้ย!! อิเฮี๊ยยยย!!!!!


ใครไม่เกี่ยวหลบไป! ขาใหญ่จะเดิน!! ...ใหญ่จริงว่ะ 55555555

เอาล่ะ! กลับออกมาจากสวนเงียวเอน เราก็เริ่มหิวกันอีกแล้วค่ะ (ช่วงบ่ายกว่าๆ แล้ว)

เลยเลือกเดินเข้าห้างลูมิเนะ (Lumine) เพื่อหาอาหารอร่อยๆ ทานกันค่ะ โดยห้างนี้ตั้งอยู่ที่...

"ย่านชินจูกุ [Check-In 5/30]"


ห้างลูมิเนะ อยู่ไม่ไกลจากสถานีชินจูกุค่ะ ต้องเดินผ่านทั้งขาไป-ขากลับอยู่แล้ว

เดินเข้ามาภายในห้างเราก็เดินเลือกร้านอาหารที่อยากจะทานกันอยู่สักพัก...


แล้วเราก็เลือกร้านอาหารไทย (ที่จำชื่อไม่ได้) กันค่ะ ส้มตำ-ไก่ย่างก็มา แกงเขียวหวานก็มี

ข้าวเหนียวนี่มาทั้งกระติ๊บ! ธรรมดาที่ไหนกัน 555555

(อร่อยค่ะ อร่อยแบบพอหายคิดถึงบ้านไปได้หน่อยนึง)


เมื่อท้องอิ่ม...เฮียตั้มก็เกิดอาการงอแง อยากได้รองเท้าใหม่!

เราเลยถือโอกาสเดินทัวร์ทุกซอกซอย

ในย่านชินจูกุ เพื่อปฏิบัติการหารองเท้าคู่ใหม่ให้อาเฮีย ^O^v


หลังจากเดินจนทั่วไปทั้งย่านจนเท้าและหัวเข่าเริ่มร้องหาเคาน์เตอร์เพน (เมื่อยมากกกกกกก)

ในที่สุดเฮียตั้มก็ได้รองเท้าใหม่มาใส่เดินเที่ยวกันต่อแล้วค่ะ

ภารกิจสำเร็จจจจจ!!!!

เราเดินกลับมายังสถานีชินจูกุ เพื่อนั่งกลับไปลงที่สถานี Ueno

(สถานีที่ฝากกระเป๋าไว้เมื่อเช้า จำได้มั้ยคะ)

แต่ยังไม่ได้กลับไปเพื่อเอากระเป๋าคืนนะ

เราจะเดินทางต่อด้วยการสลับสายรถไฟ (ซื้อตั๋วเพิ่ม)

เพื่อไปเส้นทาง 'สาย Ginza Line' ค่ะ เราจะไปลงที่

"สถานี Asakusa" (Tobu subway) กันในราคา ¥170/คน

"วัดอาซากุสะ Asakusa [Check-In 6/30]"


ย่านอาซากุสะ เป็นที่ตั้งของ 'วัดอาซากุสะ' หรือที่เราเรียกกันง่ายๆ ว่า 'วัดโคมแดง'

วัดนี้พอเราเดินขึ้นจากทาง Subway มาแล้วเลี้ยวขวา เดินตรงมาตามฟุตบาธ

เราก็จะเห็นหน้าวัดแบบนี้ค่ะ เดินไม่ไกลเลย แค่ 5 นาทีก็ถึงแล้วค่ะ ที่นี่คนเยอะมากกกกกก


ขึ้นชื่อว่า วัดโคมแดง...เราต้องถ่ายรูปกับโคมแดงอันเป็นเอกลักษณ์ เพื่อเป็นที่ระลึกกันค่ะ


ว้าวววว! ด้านใต้ของโคมแดง มีรูปสลักมังกรด้วย อ๊ากกกก! สวยยยย >O<


เมื่อเดินผ่านซุ้มประตูโคมแดงเข้ามาแล้ว เราก็พบตลอดนัดเล็กๆ แบบนี้ค่ะ

ผู้คนเยอะแยะมาก มีกลุ่มคนใส่ชุดกิโมโนด้วย ตื่นเต้น! คะน้าเพิ่งเคยเห็นนี่นาาา >////<


เราเดินกันเพลินๆ มากค่ะ มองหาซื้อของที่ระลึกกันด้วย

เข้าเกือบทุกร้านเลย ของฝากคุณแม่คะน้า ก็ได้จากที่นี่แหละ 555555


อ๊ะ! มองไปทางด้านขวามือ มองเห็น 'โตเกียวทาวเวอร์' ด้วย

แอร๊ยยยย! เคยเห็นแต่ในหนังสือ ขอยืนจ้องแป็บนึงนะ T^T



ผ่านพ้นโซนตลาดที่ขายของที่ระลึกเข้ามาถึงด้านในวัดแล้วค่ะ โคมไฟใหญ่ๆ เต็มไปหมดเลย!


เราไม่ได้เข้าไปไหว้หน้าวิหารอย่างจริงจังค่ะ เพียงแค่ยกมือไหว้

ขอพรกันเบาๆ ตามประสาผู้มาเยือน

เก็บภาพกันเยอะพอสมควร จากนั้นพากันเดินกลับสถานีรถไฟ

เพื่อนั่งกลับไปที่ สถานี Ueno อีกครั้งนึง


หลังจากนั่ง Ginza Line ขากลับ ราคาเท่าเดิมคือ ¥170/คน

เพื่อมาลงที่ สถานี Ueno อีกครั้ง

เรายังไม่กลับไปเอากระเป๋านะคะ เพราะต้องเดินหาร้านทานมือค่ำกันก่อน

หากรีบไปเอากระเป๋ามา จะเดินลำบากค่ะ


เดินออกจากสถานี Ueno ออกมาตามถนน สังเกตป้ายบอกทาง...

"Ueno Ameyoko [Check-In 7/30]

ที่นั่นเป็นย่านร้านค้า ร้านอาหารที่เราจะไปหาร้านนั่งทานมื้อค่ำกันนั่นเอง


ถึงแล้วค่าาาา นี่คือตลาด Ameyoko ในย่าน Ueno ตอนกลางคืนค่ะ คนไม่ค่อยเยอะ

แต่ร้านค้าเยอะมากกกกก! จนไม่รู้ว่าจะทานอะไรกันดี


หน้าตา และบรรยากาศร้านค้าบริเวณย่านนี้ค่ะ เหมือนในหนังเลยเนอะ ^O^/



มื้อนี้เราตามใจแอ๋มศรีค่ะ แอ๋มศรีชอบทานซูชิและวาซาบิแบบเข้มข้น

เราเลยเลือกทานซูชิ ของย่านอูเอโนะ เป็นมื้อก่อนนอนของเราในค่ำคืนนี้...


อิ่มแล้วค่ะ สำหรับมื้อสุดท้ายของวัน เราก็เดินกลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ใน Coin Locker คืนมา

มาถึงตรงนี้...หากเพื่อนๆ ที่ได้ไปเที่ยว เลือกที่พักเป็นโรงแรมที่ไหนสักแห่งไว้แล้ว

สามารถนั่งรถไฟฟ้าไปตามทางของโรงแรมนั้นๆ ได้เลยค่ะ

คะน้าพาเพื่อนๆ เที่ยวจนหมดวันแล้ว แยกย้ายได้!! 55555555

แต่ทว่า...

หากเพื่อนๆ คนไหนสนใจนอนพักที่เดียวกับคะน้า หลังจากเอากระเป๋าสัมภาระคืนมาแล้วนั้น

เราก็นั่งรถไฟฟ้า เพื่อกลับที่พักกันเลย คราวนี้คะน้าออกจากสถานี Ueno ด้วยรถไฟฟ้าสาย

Tokyo Metro Hibiya Line ค่ะ เพื่อไปลงที่ สถานี Minowa ราคาตั๋วอยู่ที่ ¥170 / คนค่ะ


(ขอบคุณภาพจาก Booking.com นะคะ)

ที่นี่คือ โรงแรมเล็กๆ ที่คะน้าจองไว้เข้าพัก สำหรับคืนที่ 2 ในโตเกียวค่ะ

"โรงแรม Sato-San's Rest"

เนื่องจากวันนั้นพวกเราเดินเท้าเที่ยวกันตลอดทั้งวัน

ตื่นตั้งแต่ตีห้า และกลับถึงโรงแรมประมาณสี่ทุ่มเศษๆ

ทำให้คะน้าเหนื่อยมากกกกก จนร่างแทบพัง ไม่มีเวลาถ่ายรูปเพื่อรีวิวโรงแรมนี้มาฝากเลยค่ะ

เพื่อนๆ สามารถเข้าไปดูใน Google นะคะ หากชอบและมีโอกาสได้ไปโตเกียว คะน้าแนะนำที่นี่ค่ะ

เป็นโรงแรมเล็กๆ ที่ไม่ไกลจากสถานีมิโนวะมากนัก

อยู่ในโซนตลาด บรรยากาศน่ารัก สะอาดมากด้วยค่ะ

และที่สำคัญเจ้าของโรงแรมเล็กๆ น่ารักๆ แห่งนี้ อัธยาศัยดี

เป็นกันเอง ใจดี พูดเพราะ น่ารักสุดๆ ค่ะ

แอ๋มศรีไปขอความช่วยเหลือ เรื่องการเดินทางไปเที่ยวภูเขาไฟฟูจิ

พี่เจ้าของโรงแรมมีน้ำใจมากกกก

นั่งอธิบายให้เราอย่างใจเย็น แถมเขียนภาษาญี่ปุ่นลงในกระดาษโน๊ตเล็กๆ ให้เราพกไว้ด้วยค่ะ

ก่อนจะบอกว่า...ให้เราเอาไว้ยื่นถามทางคนแถวนั้น เพื่อบอกทางให้เราเดินไปยังสถานีรถบัสได้ถูกต้อง!

จะน่ารักอะไรเบอร์นี้คะ >O< เอาใจคะน้าไป 10 10 10 เลยค่าาาาาา!!!


เช้าวันต่อมา...

14 Apr'17

ภาพรางรถไฟเส้นนี้ เฮียตั้มไปเดินเล่นในตอนเช้า บริเวณใกล้ๆ โรงแรม Sato-san ค่ะ

บรรยากาศตอนเช้าดีต่อใจมากกกก อากาศยังคงหนาวเย็น

แต่ไม่หนาวมากค่ะ ไม่ต้องใส่เสื้อโค๊ทแล้ว

และช่วงเช้านี้ คะน้าจะพาเดินเล่นที่นี่ค่ะ...

[ย่านมิโนวะ Check-In 8/30]

บรรยากาศในตอนเช้าของย่านนี้ไม่ต่างจากมุมอื่นๆ ในโตเกียวค่ะ เงียบ สงบ สะอาด


ชุมชนเล็กๆ ในย่านนี้ค่ะ คลาสสิคดี คะน้าว่าคนเล่นกล้องน่าจะสนุกกับย่านนี้มากทีเดียว!


เดินกลับจากฝั่งซ้าย (หันจากทางหน้าโรงแรมซาโต้ซัง) มาทางขวากันบ้างค่ะ...

จะเป็นตลาดสดเล็กๆ ที่เปิดให้บริการในตอนเช้า

มีผู้คนเริ่มออกมาเดินหาซื้อของ และดำเนินชีวิตประจำวันกันแล้วค่ะ


ร้านผลไม้ มีการห่อแพ็คอย่างดี ป้ายราคาชัดเจน สวยดูแพง

แต่ก็ไม่แพงนะคะ ลูกใหญ่ สีสวย สดใหม่ น่าท๊านน่าทาน >////<


ร้านซักอบรีด Marketing ดีงาม มี Promotion เพียบ!


ตอนแรกคะน้าไม่ได้ถ่ายร้านเช่าจักรยานร้านนี้นะคะ เดินผ่านเฉยๆ แต่เฮียบอกว่า "ถ่ายไว้สิ เท่ดีออก"


อ๊ะ!! เดินเล่นในย่านนี้ ก็มองเห็น "Tokyo Tower" ด้วย

ถึงจะไกลกว่าตอนที่อยู่วัดอาซากุสะ แต่ก็เด่นอยู่ดี


พอเดินมาถึงถนนใหญ่ ความพลุกพล่านเริ่มมีให้เห็น ทั้งเดิน ทั้งรถ ทั้งจักรยาน

จากในภาพถึงจะดูยุ่งๆ แต่ความจริงเป็นระเบียบมากนะคะ รถไม่จอดทับเส้นทางม้าลาย

จักรยานไม่ปั่นขวางทางเดิน และทุกคนรอสัญญาณไฟอย่างเป็นระเบียบด้วยค่ะ ^O^

-------------------------------------------------------------

เอาล่ะค่ะ มาถึงตรงนี้ คะน้าได้พามา Check-In

ไปถึง 8 สถานที่ใน "Tokyo" แล้วนะคะ

คะน้านี่เดินจนปวดขาไปหมดแล้ว จบ Blog Tokyo นี้ คะน้าต้องขอตัวไปนอนพักสักเดี๋ยว 5555

สำหรับ Blog หน้า มีแพลนเดินทางต่อไปที่ "ภูเขาไฟฟูจิ" ค่ะ

มีสถานที่ให้ Check-In เพียบเลย

แต่คะน้าไปแค่ 6 ที่ ซึ่งก็ฟินให้เพ้อถึงทุกวันนี้


การเดินทางจากโตเกียว ไปหาฟูจิซัง ค่อนข้างสนุกและมึนงง

แถมมี 'ตกรถ' อีกต่างหาก!!

คะน้าขอฝากให้ติดตามกันต่อใน Blog หน้านะคะ

เพราะ Blog นี้ยาวเหลือเกินแล้ว 5555555555555

ถึงตรงนี้...คะน้าขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนเลยที่ติดตาม Blog คะน้าค่ะ

มีการถามหาและมีทวงด้วย! ไม่ทวงธรรมดา ทวงแบบกดดันเลยว่าเมื่อไหร่จะเขียนเสร็จสักที TOT

สาบานตรงนี้ว่า...คะน้างานยุ่งมากจริงๆ ค่ะ ตั้งแต่กลับมาถึงไทยก็ทำงานไม่ได้หยุดเลย แงงงง้!!!

และใครที่อยากไปเดินเล่น ชิลๆ หลงๆ งงๆ แบบคะน้าบ้าง

สามารถสอบถามกันมาได้ที่ Comment Box ด้านล่างนะคะ

รวมถึงใครอยากจะชื่นชม ติชม อวยชมๆ

จะชมอะไรก็เขียนฝากถึงคะน้ากันได้เช่นกันค่ะ 5555555 ขอบคุณมากๆ นะคะ

เพจ >> https://web.facebook.com/TheLocationKana จิ้มๆ เลย >///<

>>> พร้อมไปนอนฟินดูภูเขาไฟในตำนาน Fuji กับคะน้ารึยังคะ

พร้อมแล้ว กดเลย https://th.readme.me/p/9391 <<<


Patty Pakana

คะน้าน้อย

 วันเสาร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 00.21 น.

ความคิดเห็น