กับเรื่องบางเรื่องต้องบอกตรงๆ ว่าถ้าไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะครับ เพราะเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ที่สำคัญหากสิ่งนั้นเค้าทำแล้วสบายใจ ไม่ได้ไปรบกวนหรือสร้างความเดือดร้อนให้ใคร สิ่งนั้นก็น่าจะถือว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับชีวิตเค้าครับ



ตัวผมเองก็มีความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องการเข้าวัด ทำบุญครับ เพราะเป็นสิ่งที่ผมทำแล้วสบายใจ ทำแล้วรู้สึกดี ดังนั้นในช่วงที่ผมกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ หลังจากที่ตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ทำมา 12 ปี ผมก็เลยตั้งใจว่าจะหาโอกาสไปไหว้พระทำบุญซัก 5 วัด เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตและกระตุ้นให้เราก้าวเดินต่อไปอย่างมีกำลังใจครับ สำหรับ 5 วัดที่ผมเลือกก็ตามนี้เลยครับ



1. วัดบวรนิเวศวิหาร หรือวัดบวร เพราะเป็นวัดเก่าแก่ มีประวัติมายาวนาน และสมเด็จพระสังฆราชหลายพระองค์เคยประทับอยู่ที่วัดนี้

2. วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือวัดอรุณ หรือวัดแจ้ง เพราะการที่ผมตัดสินใจก้าวย่างออกมาจาก comfort zone ที่อยู่มา 12 ปีนั้นเป็นอะไรที่ผมตัดสินใจลำบากมาก แต่เมื่อก้าวมาแล้วผมก็หวังว่ามันจะเป็นการก้าวเดินที่สวยงามเหมือนกับแสงแรกของวัน และเหมือนกับความสวยงามของพระปรางค์วัดอรุณครับ

3. วัดชนะสงครามราชวรมหาวิหาร เพราะชีวิตหลังจากนี้ผมต้องผจญศึกอะไรอีกมากมายกว่าที่เคยเจอ ดังนั้นผมจึงหวังว่าผมจะสามารถสู้ศึกต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้และชนะในศึกสงครามเหล่านั้นเหมือนกับชื่อวัดครับ

4. วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร หลังจากที่เราผ่านศึกต่างๆ มากมาย ชื่อเสียงของเราก็คงจะโด่งดังและเป็นที่รู้จักมากขึ้น อีกทั้งผมยังศรัทธาในสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรฺหมฺรํสี) และคาถาชินบัญชรเป็นอย่างมากด้วยครับ

5. วัดกัลยาณมิตรวรมหาวิหาร เหนืออื่นใดต่อให้เราชนะศึกสงคราม มีชื่อเสียงโด่งดังมากแค่ไหน หากขาดมิตรแท้ที่จริงใจ ชีวิตก็คงปราศจากความสุขและความสมบูรณ์ ดังนั้นวัดนี้จึงเป็นอีกหนึ่งวัดสำคัญที่ขาดไม่ได้ครับ



ก็สรุปๆ แบบสั้นๆ เลยว่า การไหว้พระ 5 วัดของผมในครั้งนี้ เป็นการมุ่งหวังว่า “ชีวิตของผมหลังจากนี้จะสวยงามเหมือนช่วงเวลารุ่งอรุณ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและมีกัลยาณมิตรที่ดีคอยอยู่เคียงข้าง และที่สำคัญผมจะสามารถสู้กับทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้ครับ"



สำหรับทริปไหว้พระ 5 วัดและการตีความแบบนี้เป็นสิ่งที่ผมคิดขึ้นมาเองนะครับ หากผิดพลาดประการใดก็ต้องขออภัยด้วย และถ้าหากใครอยากจะเดินตามรอยเส้นทางนี้ของผมก็สามารถเดินตามได้เลยครับ และถ้าเจออะไรเด็ดๆ น่าสนใจก็ฝากมาบอกกันด้วยนะครับ ^^



ทริปของผมเริ่มจากการนั่งรถเมล์มาลงตรงบริเวณสี่แยกคอกวัว ซึ่งตอนนี้จุดสังเกตชัดๆ ของบริเวณนี้ก็คือหอสมุดเมืองกรุงเทพมหานครที่ผมได้เขียนรีวิวไปในลิงก์นี้นั่นเอง https://th.readme.me/p/9127



หลังจากลงรถเมล์ที่สี่แยกคอกวัวแล้ว ผมก็เดินเท้าต่อไปยังวัดบวร ซึ่งระหว่างทางนั้นมันต้องผ่านร้านขนมปังบางลำภูชื่อดัง หรือที่หลายๆ คนเรียกมันว่าขนมปังไส้ทะลัก แน่นอนว่าผมก็อุดหนุนมาหนึ่งก้อน เพราะรู้ว่าวันนี้ต้องใช้พลังงานเยอะ การมีเสบียงอยู่ข้างๆ ตลอดเวลามันช่วยให้อุ่นใจดี



ขนมปังวันนี้ที่ผมซื้อคือไส้แฮม ไส้ทะลักตามมาตรฐานร้าน แต่เรื่องรสชาติผมว่าไส้นี้ไม่ค่อยโดนเท่าไหร่ สู้พวกไส้กรอก, เบคอนชีส, แฮมชีส, หมูหยองน้ำพริกเผา หรือแฮม+หมูหยองไม่ได้ครับ สำหรับราคาขนมปังตอนนี้อยู่ที่ 45 บาทต่อก้อน แล้วก็ผมได้ข่าวแว่วๆ มาว่าอีกไม่กี่ปีทางร้านจะเลิกขายแล้ว ดังนั้นใครที่ยังไม่ได้มาให้รีบมาชิมเลยครับ



ซื้อขนมปังเสร็จผมก็เดินต่อไปเรื่อยๆ แต่ก่อนที่ผมจะเดินเข้าวัดบวร ผมก็ได้เดินเลี้ยวเข้าไปที่ร้านนึงก่อน ร้านนี้มีชื่อว่า “ปาท่องโก๋" เป็นร้านที่อยู่หัวมุมถนนสิบสามห้างตรงข้ามกับวัดบวรเลยครับ



อย่างที่โบราณท่านว่าไว้ว่ากองทัพต้องเดินด้วยท้อง วันนี้ผมจะต้องเดินฝ่าแดดร้อนๆ เป็นระยะเวลานาน ดังนั้นการเลือกกินของอร่อยๆ ก่อนน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ที่สำคัญหากท้องไปร้องตอนที่กำลังก้มกราบพระ มันก็คงจะไม่งามซักเท่าไหร่ครับ



ร้านปาท่องโก๋นี้เป็นหนึ่งในร้านเก่าแก่ย่านบางลำภูเหมือนกัน โดยเมนูเด็ดของร้านก็คือ ปาท่องโก๋ย่าง สำหรับวันนี้ผมก็จัดไปตามนี้ครับ

• ข้าวไก่อบโบราณ 60 บาท

• ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าทะเล 60 บาท

• ปาท่องโก๋ย่างราดสังขยา 40 บาท

• น้ำเต้าหู้เย็น 20 บาท

• น้ำบ๊วย 20 บาท

• ขนมปลากริมไข่เต่า 30 บาท



นั่งรอไม่นาน อาหารก็ทยอยมาเสิร์ฟ ถือว่าเป็นร้านที่ได้อาหารเร็วมากเพราะแต่ละอย่างเหมือนเค้าเตรียมไว้อยู่แล้ว ที่จะช้าสุดก็คงเป็นปาท่องโก๋ย่างที่ต้องใช้เวลาทำนานหน่อยครับ



โดยรวมๆ หน้าตาอาหารไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ คงเพราะมาแบบรีบๆ ส่วนรสชาติก็ตามนี้เลยครับ

• ข้าวไก่อบโบราณ : ปริมาณไก่น้อยไปนิดเมื่อเทียบกับราคา รสชาติแปลกบอกไม่ถูก แต่ก็ถือว่าอร่อยครับ ที่แปลกก็คงเพราะไม่ค่อยมีร้านไหนทำรสชาติออกมาแบบนี้มากกว่า

• ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าทะเล : ได้เนื้อมาพอประมาณ ส่วนน้ำที่ราดมาไม่เหมือนน้ำราดหน้าปกติ ออกจะคล้ายกับน้ำราดข้าวหน้าไก่ รสชาติเค็มๆ หน่อย กินกับน้ำจิ้มน้ำส้มที่เค้าให้มาเข้ากันดีครับ ถือว่าเป็นอีกเมนูนึงที่ผสมผสานมาได้แปลกแต่ลงตัว

• ปาท่องโก๋ย่างราดสังขยา : อร่อย โดนใจ สมกับเป็นเมนูเด่นของร้าน

• น้ำเต้าหู้เย็น : อร่อย เข้มข้น ไม่หวานมาก

• น้ำบ๊วย : ธรรมดาและรู้สึกแพงเมื่อเทียบกับขนาดแก้วที่ได้

• ขนมปลากริมไข่เต่า : รสชาติธรรมดา มีอีกหลายร้านที่ทำได้ดีกว่านี้เยอะครับ



บทสรุปสั้นๆ ของร้านนี้ก็คือ หน้าตาอาหารไม่ค่อยสวย แต่อร่อย ส่วนราคานั้นบางรายการก็โอเค บางรายการผมก็ว่าแพงไปหน่อย โดยเฉพาะพวกน้ำต่างๆ แก้วมันเล็กมาก T___T แต่เอาเป็นว่าใครได้มาแถวนี้อยากให้แวะมาลองทานซักครั้งโดยเฉพาะเมนูเด็ดอย่างปาท่องโก๋ย่างครับ



กินอิ่มเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาเข้าวัดบวรกันซักทีครับ ที่วัดบวรนี้จะมีหลายจุดที่เราควรกราบไหว้เลย ตั้งแต่รอยพระพุทธบาท, โบสถ์, เจดีย์ แล้วก็วิหารครับ



เริ่มจากรอยพระพุทธบาทที่มีหลายๆ คนพยายามตั้งใจทำสมาธิวางเหรียญให้ตั้งได้แบบในภาพกันก่อนเลยครับ



บริเวณใกล้ๆ รอยพระพุทธบาทจะมีอาคารหลังเล็กๆ ที่มีพระอุปคตให้เรากราบไหว้ครับ สำหรับเรื่องราวของพระอุปคตนั้นมีมากมายเลย แต่ที่ผมว่าน่าสนใจก็ตามประโยคนี้เลยครับ



พระอุปคตคือพระอรหันต์หลังพุทธกาล ที่ครูบาอาจารย์หลายท่านและชาวพุทธเชื่อว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ใต้ท้องสะดือทะเล เพื่อคอยอยู่ปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุธเจ้าสมณโคดมให้ครบ 5,000 ปี โดยพระอุปคุต หรือพระบัวเข็ม เป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่งในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ท่านบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นพระอรหันตขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหารเป็นที่เล่าลือจนทุกวันนี้ โดยเรื่องที่สำคัญก็คือท่านเนรมิตเรือนแก้วขึ้นในสะดือทะเลแล้วไปอยู่เป็นประจำ แต่หากมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระพุทธศาสนาหรือมีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือด้วยความเต็มใจเสมอ



สำหรับพระอุปคุตปางจกบาตร เป็นปางที่พระอุปคุตแหงนหน้าหยุดพระอาทิตย์เพื่อฉันข้าว แสดงออกถึงความอุดมสมบูรณ์มีกินมีกินมีใช้และความยิ่งใหญ่ของท่าน เพราะแม้แต่พระอาทิตย์ไม่ว่าใหญ่แค่ไหนก็ต้องหยุดด้วยอานุภาพของท่าน ชาวพุทธจึงนิยมสร้างพระอุปคุตปางนี้ไว้บูชา เพื่อความเป็นสิริมงคลครับ



หมายเหตุ : ถ้าข้อมูลผมผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยนะครับ



ถัดมาจะเป็นโบสถ์ของวัดบวรที่มีพระพุทธรูปที่สวยงามมากครับ โดยองค์ด้านหน้าคือพระพุทธชินสีห์ พระพุทธรูปสำริดปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัย หน้าตักกว้าง ๕ ศอก ๔ นิ้ว ส่วนด้านหลังของพระพุทธชินสีห์ จะเป็นพระสุวรรณเขต หรือ “หลวงพ่อโต" หรือ “หลวงพ่อเพชร" ซึ่งเป็นพระประธานองค์แรกของโบสถ์นี้ครับ



ภายในโบสถ์แห่งนี้ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังซึ่งว่ากันว่าเป็นฝีมือของสกุลช่างขรัวอินโข่งพระภิกษุวัดราชบูรณะอยู่ด้วย ซึ่งจะเขียนในแนวตะวันตก เช่น ภาพฉฬาภิชาติ ภาพปริศนาที่เสา เป็นต้น



เลยจากโบสถ์ไปจะเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งมีพระไพรีนินาศอยู่ที่นี่ด้วยครับ ต้องบอกว่าเจดีย์นี้สวยงามมากๆ โดยเฉพาะในวันที่ท้องฟ้าเปิดแบบวันที่ผมไป แต่ว่าการจะเดินขึ้นเจดีย์นั้นเราต้องถอดรองเท้า ดังนั้นเตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมเท้าไปให้ดีๆ นะครับ เพราะว่าพื้นมันร้อนมากๆ โดยเฉพาะช่วงกลางวัน



สำหรับบริเวณชั้นที่ 1 ของเจดีย์นั้น จะมีรูปปั้นของพระพรหม, พระวิสสุกรรม, พระนารายณ์, พระศิวะ, พระปัญจสิขะ และพระประคนธรรพที่สวยมากๆ อยู่ด้วย ใครที่ไม่ร้อนผมแนะนำให้เดินดูรอบๆ ครับ บอกเลยว่าคุ้มค่ามาก



เมื่อลงจากเจดีย์แล้วก็จะเห็นวิหารหลวงพ่อดำอยู่ข้างๆ กัน ข้างในวิหารมีภาพเขียนที่สวยงามมาก และตรงหน้าวิหารมีต้นจันที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงปลูกไว้ด้วยครับ



สำหรับ “หลวงพ่อดำ" นี้ มีชื่อเต็มๆ ว่าพระพุทธปฏิมาทีฆายุมหมงคล เป็นพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นในวโรกาสที่สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ทรงเจริญพระชนมายุ ๘๐ พรรษา และเป็นที่บรรจุพระอังคารสมเด็จพระสังฆราชเจ้า ซึ่งนับเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์อดีตเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารเป็นองค์ที่ ๔ ครับ



หลังจากออกจากวิหารหลวงพ่อดำแล้ว สำหรับใครที่รีบทำเวลาก็สามารถที่จะไปวัดต่อไปได้เลยนะครับ แต่ถ้าใครไม่รีบก็ลองเดินชมตึกสวยๆ ที่สร้างในสมัยอดีตก่อนก็ได้ นอกจากนี้ภายในวัดบวรยังอีกอีกหลายจุดที่น่าสนใจ และหากใครอยากรู้รายละเอียดแบบลึกๆ ก็ลองค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้เลยครับ บอกเลยว่ายิ่งอ่านยิ่งสนุก



ปล. ห้องน้ำที่วัดบวรสะอาดแล้วก็มีหลายห้องดีนะครับ ใครที่ได้ไปใช้บริการก็ฝากดูแลรักษาความสะอาดกันด้วยนะครับ



พอออกจากวัดบวรผมก็เดินต่อไปยังวัดชนะสงคราม เส้นทางเดินตรงนี้ไม่ไกลมาก เดินแป้บๆ ไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้ว ที่สำคัญตลอดทางเดินมีของน่ากินเยอะมากด้วยครับ



เมื่อมาถึงวัดชนะสงครามผมก็ทำบุญและก็ทำการไหว้พระประธานรวมทั้งรูปหล่อของสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ซึ่งเป็นวังหน้าในสมัยรัชกาลที่ ๑ โดยพระประธานของวัดนี้ชื่อพระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์มเหทธิศักดิ์ปูชนียะชยันตะโคดมบรมศาสดาอนาวรญาณ เป็นพระพุทธรูปสมัยรัตนโกสินทร์ ปางมารวิชัย วัสดุปูนปั้นบุด้วยดีบุกจากนั้นก็ลงรักปิดทอง ขนาดหน้าตัก 2.5 เมตร สูง 3.5 เมตร โดยพระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์ฯ มีลักษณะพิเศษ คือ ภายในองค์พระมีฉลองพระองค์ลายยันต์ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท และเสื้อยันต์ของเหล่าแม่ทัพนายกองของพระองค์เมื่อคราวมีชัยในสงคราม ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาททรงโปรดให้ช่างปั้นพระเอาปูนพอกเข้าไว้ด้วยก่อนทำการบุดีบุก ทั้งนี้วันที่ผมไปนั้นในโบสถ์กำลังมีการบวชพระอยู่ก็เลยถ่ายรูปไม่ค่อยได้ครับ



หลังจากที่ไหว้พระเสร็จ ผมเหลือบมองนาฬิกาและเห็นว่าเป็นช่วงเที่ยงๆ และแดดก็กำลังร้อนแรงมาก ผมก็เลยตัดสินใจเดินย้อนกลับไปยังหอสมุด กทม. ที่วันนั้นเปิดให้เข้าไปทดลองใช้พอดี เรียกว่าเป็นที่พักพิงที่ดีมากครับ แอร์เย็น ที่นั่งสบาย หนังสือใหม่และดีๆ เต็มไปหมด ที่สำคัญห้องน้ำห้องท่าพร้อมด้วย ผมก็เลยไปซ่อนตัวอยู่ในนั้นราวๆ 2 ชั่วโมงครับ



ใครที่อยากอ่านรีวิวเต็มๆ ของที่นี่ก็สามารถตามไปอ่านได้ที่ลิงก์ด้านบนที่ผมแปะไว้ได้เลยนะครับ



พอออกจากหอสมุดมา แดดก็เริ่มคลายความร้อนแรงลง ผมกับภรรยาก็เลยเดินจากหอสมุด กทม. ไปยังท่าช้าง เพื่อที่จะนั่งเรือข้ามฟากไปยังวัดระฆัง ซึ่งเส้นทางเดินตรงนี้จะถือว่าไกลสุดสำหรับวันนี้แล้ว ระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตรได้ หากใครคิดว่าเดินไม่ไหวก็นั่งรถเมล์หรือ Taxi ไปยังจุดที่ใกล้ๆ ท่าช้างก็ได้ครับ



พอถึงท่าช้างผมก็จ่ายค่าเรือข้ามฟากคนละ 3.50 บาท เพื่อไปยังวัดระฆัง



เมื่อถึงวัดระฆัง ผมก็ทำบุญตามจุดต่างๆ ที่ผมพอจะมีกำลังทรัพย์จากนั้นก็ไหว้พระแล้วก็สวดคาถาชินบัญชร 1 จบครับ และวันที่ผมไปนั้นที่โบสถ์ของวัดระฆังก็กำลังมีการบวชพระอยู่เช่นกันผมก็เลยไม่ได้เข้าไปข้างในโบสถ์เลยครับ



หลังจากที่ผมไหว้พระเสร็จ ผมก็เดินกลับไปที่ท่าเรือหน้าวัดระฆัง และทำการซื้อตั๋วโดยสารเรือที่บริการรับส่งไหว้พระ 3 วัด (วัดระฆัง - วัดอรุณ – วัดกัลยาณมิตร) โดยราคาตั๋วจะอยู่ที่ 30 บาทต่อคน เรือจะวนมารับทุก 15 นาทีโดยประมาณ และเรือเที่ยวสุดท้ายจะออกตอน 17.20 น. ดังนั้นใครที่ไปช่วงเย็นๆ แล้วจะต้องดูนาฬิกาให้ดีนะครับ เพราะถ้าตกเรือแล้วเดี๋ยวจะกลับลำบาก



ผมนั่งรอซักพักเรือก็วนมารับที่ท่า โดยจุดหมายแรกที่เรือจะจอดก็คือวัดอรุณ ระหว่างทางที่นั่งเรือไปก็เรียกว่าวิวสวยงาม ลมเย็นสดชื่น และมีน้ำกระเซ็นมาโดนตามตัวนิดหน่อยครับ



สำหรับวัดอรุณช่วงนี้กำลังอยู่ระหว่างการบูรณะพระปรางค์นะครับ ดูท่าทางแล้วน่าจะบูรณะกันอีกยาว ดังนั้นช่วงนี้ถ้าเราไปก็จะไม่สามารถเดินขึ้นพระปรางค์ได้



ผมเดินไหว้พระตามจุดต่างๆ รวมทั้งหลวงพ่อรุ่งมงคลและรูปหล่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จากนั้นก็เดินกลับไปที่ท่าเรือเพื่อเตรียมตัวไปวัดกัลยาณมิตรต่อครับ



ผมใช้เวลานั่งเรือจากวัดอรุณไม่นานก็มาถึงวัดกัลยาณมิตรซึ่งวัดที่มีสถาปัตยกรรมและความเป็นจีนผสมอยู่สูงมาก โดยพระประธานที่วัดนี้มีชื่อว่าหลวงพ่อซำปอกง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่โตมากครับ



การไหว้พระที่นี่ทางวัดเค้าจะมีการจัดชุดธูปเทียนไว้ให้เรียบร้อยแล้ว โดยจะมี 2 ชุด คือชุดเล็กและชุดใหญ่ ใครอยากไหว้ด้วยชุดไหนก็ตามแต่ศรัทธาและกำลังทรัพย์เลยครับ



สำหรับหลวงพ่อซำปอกง วัดกัลยาณมิตรนั้นสร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.2380 โดยรัชกาลที่ ๓ โปรดฯ ให้จำลองจากวัดพนัญเชิง อยุธยามา โดยอายุการสร้างห่างจากองค์แรก 513 ปี ขนาดหน้าตักกว้าง 11.75 เมตร สูง 15.44 เมตร ซึ่งขนาดหน้าตักดังกล่าวนั้นเล็กกว่าเกือบครึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับองค์แรกที่วัดพนัญเชิง ทั้งนี้ภายในวัดด้านหน้าพระวิหารหลวงยังมี “หอระฆัง" ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นระฆังใบที่ใหญ่สุดในประเทศไทยอีกด้วย มีการก่อสร้างถึง 4 ครั้งกว่าจะสำเร็จ มีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 192 เซนติเมตร น้ำหนักถึง 13 ตันด้วยกันครับ



หลังจากที่ผมไหว้พระ และถ่ายรูปต่างๆ เรียบร้อย ผมก็เหลือบดูนาฬิกาแล้วก็พบว่าขณะนั้นเป็นเวลาเกือบจะ 17.20 น. ซึ่งเป็นเวลาเรือเที่ยวสุดท้ายแล้ว ผมก็เลยรีบมารอเรือที่ท่าน้ำเพื่อกลับมายังวัดระฆัง และจากนั้นก็นั่งเรือข้ามฟากกลับไปยังท่าช้างอีกทีครับ



พอมาถึงที่ท่าช้าง ผมก็คิดว่าวันนี้เป็นวันที่ผมใช้พลังงานเดินตากแดดเยอะมาก ดังนั้นน่าจะเติมพลังด้วยของอร่อยๆ ซักหน่อย และเป้าหมายในการเติมพลังของผมก็คือร้านพิซซ่าเกาะลันตา สาขาใหม่ที่อยู่ตรงเชิงสะพานปิ่นเกล้านั่นเอง เพราะอยู่ไม่ไกลจากท่าช้างมากนัก สามารถเดินไปได้ โดยระหว่างการเดินผมก็ได้แวะซื้อขนมปังกรอบสุดอร่อยของร้านอร่อยตรงท่าพระจันทร์ด้วยครับ ><



ผมกับภรรยาใช้เวลาเดินจากท่าช้างมาประมาณ 10-15 นาทีก็ถึงหน้าร้านพิซซ่าเกาะลันตา โดยนี่เป็นครั้งแรกที่เรามาสาขานี้ หน้าตาของร้านดูดี โปร่งโล่งสบายตากว่าสาขาที่อยู่ในซอยตรงข้ามวัดชนะสงครามพอควร ที่สำคัญยังสามารถนั่งได้ทั้งชั้น 1 และ 2 ด้วย สำหรับเมนูมื้อนี้ผมสั่งมาตามนี้ครับ

• พิซซ่า หน้า Capricciosa ถาดกลาง ที่มีส่วนผสมของเห็ด, แฮม, เบคอน, หอมหัวใหญ่, มะเขือเทศ แล้วก็ชีส (ราคา 250 บาท)

• ขนมปังหน้าหมูอบชีส สูตรลันตา (ราคา 80 บาท)

• สปาเกตตี้ขี้เมาซีฟู้ด (ราคา 150 บาท)



โดยรวมๆ อาหารมื้อนี้สำหรับผมถือว่าอร่อยและประทับใจมาก โดยเฉพาะพิซซ่าที่มากินกี่ครั้งก็ยังประทับใจเหมือนเดิม เป็นพิซซ่าที่ผมยกให้ติดอันดับ 1 ใน 3 ร้านอร่อยของ กทม. เลยครับ พิซซ่าที่ออกจากเตาถ่านมาร้อนๆ และมีความหนาของแป้งที่กำลังดีไม่หนาเกินไปแล้วก็ไม่บางเฉียบ เมื่อมารวมกับหน้าท็อปปิ้งที่มีแฮม เบคอนแล้วก็ชีสเยิ้มๆ มันเป็นอะไรที่ลงตัวและประทับใจมากครับ ^^



ส่วนสปาเกตตี้ขี้เมาซีฟู้ด นี่ก็อร่อยถูกปากเลย ปริมาณเยอะ เนื้อเยอะ รสชาติจัดจ้านกำลังดี ยริงๆ แล้วผมว่าเราสามารถกินจานนี้จานเดียวแล้วอิ่มท้องได้เลยนะครับ สำหรับรายการที่ผมไม่ประทับใจสุดก็คงเป็นขนมปังหน้าหมูอบชีส สูตรลันตา คือไม่เชิงว่ามันไม่อร่อย ไม่ถูกปากนะครับ เพียงแต่ผมว่ามื้อนั้นของผมมันมีชีสและแป้งเยอะไปแล้วมันก็เลยตีๆ กันและทำให้มันเลี่ยนเกินไปหน่อย ซึ่งจริงๆ แล้วถ้าผมสั่งเป็นพวกหอมทอดหรือปีกไก่ทอดมากินน่าจะดีกว่า



สรุปสำหรับร้านนี้ก็คือ ใครที่ชอบกินพิซซ่าไม่ควรพลาดที่จะหาโอกาสไปลองซักครั้ง ร้านใหม่นั่งสบายกว่าเดิมเยอะ แต่ปัญหาเรื่องที่จอดรถก็ยังคงลำบากต่อไปตามเดิม แนะนำว่าให้ไปรถเมล์ หรือรถสาธารณะอื่นๆ จะสะดวกกว่า



ก็จบลงแล้วสำหรับเรื่องราวการเดินทางกิน เพลิน เดินไหว้พระ 5 วัด เสริมดวงชะตาชีวิตของผมในครั้งนี้ หากขาดตกบกพร่องประการใดผมก็ต้องขออภัยด้วยนะครับ และบทความนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการที่แตกต่างจากนี้ออกไป และหากใครชอบบทความของผม สามารถไปติดตามหรือแนะนำเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ แล้วพบกันใหม่ สวัสดีครับ



ความคิดเห็น