ทันทีที่ประตูหน้าสนามบิน KEF เปิดออก

ลมหนาวก็พัดมาต้อนรับ ปะทะเข้ากับผิวหน้า ทะลุผ่านเสื้อผ้า 4 ชั้น เย็นยะเยือกเข้าไปถึงกระดูก

ถึงเเล้วสินะ... Iceland... ดินเเดนแห่งไฟกาล ธารน้ำแข็ง และแสงออโรร่า


หลังจากต่อเครื่องกันสนุกสนานผ่านโปรบินอ้อมที่คิดเอาเองว่าถูกสุดคุ้ม

แลกมาด้วยความเหนื่อยล้าและเวลาที่เสียไปถึง 3 วัน

"ทีหลังไม่เอาเเล้ว" "เหนื่อยตั้งแต่ยังไม่เริ่มเที่ยวเลยว่ะ 555"

ผมบ่นกับเพื่อนขำๆ แต่เอาเข้าจริง ถ้ามันถูกกว่าบินตรงขนาดเป็นหลักหมื่นนี่ก็ยอมแหละครับ

ช่วงดึกเมื่อคืน พวกเราเดินทางมาถึงสนามบิน KEF กันอย่างอ่อนล้าเพลียแรง

ตามข้อมูลที่หามา ไม่เคยเห็นใครนอนค้างที่นี่กันเลย

ที่พักก็ไม่ได้จองกันไว้ รถเช่าก็ดีลไว้พรุ่งนี้เช้า

เนื่องจากทริปนี้ เรามากันแบบเขียมสุดๆ

นอนโฮสเทล และขนมาม่า โรซ่ามากันเต็มกระเป๋า เรื่องที่พักคืนแรก ถ้าเซฟได้ก็อยากเซฟครับ

ตั้งใจมาวัดดวงหน้างานกันเลย ถ้านอนไม่ได้จริงๆ ขอนั่งหลับก็ยังดี

หวังว่าพี่เจ้าหน้าที่สนามบินจะไม่ใจร้าย ไล่คนไทยตาดำๆ 5 คนออกไปหนาวตายข้างนอกนะ

ที่ไหนได้ พอเดินสำรวจดู ฝรั่งนอนกันเพียบ ทั้งๆ ที่ก็มีป้ายห้ามนอนบอกไว้ชัดเจน

ผมเดาเอาเองว่าทางสนามบินคงอนุโลมให้

เพราะช่วงที่พวกเรามานี่ ตรงกับเทศกาลอีสเตอร์ของบ้านเค้าพอดี

ทำให้มีคนเดินทางเข้าออกสนามบินกันอย่างคึกคักเลย


ตี 3 พี่เจ้าหน้าที่คนสวยเดินมาปลุกเเบบซอฟๆ "ไอนีดยูทูเวคอัพ"

โอเค เวคอัพก็เวคอัพครับ กำลังหลับอุ่นสบายกันในถุงนอนเลย

แยกย้ายกันไปล้างหน้าเปลี่ยนผ้าผ่อน เเลกตังค์ เเละติดต่อบริษัทรถเช่า Firefly

หันหน้าออกไปทางประตูหน้าสนานบิน แล้วเดินไปทางซ้ายมือประมาณ 300 เมตร

จะมีบริษัทรถเช่าอยู่หลายบริษัท เดินไปติดต่อและรับรถที่นั่นเลย

พวกเราเลือก Volkswagen Tiguan เกียร์ออโต้

นั่ง 5 คนกำลังสบาย ข้างหลังเก็บของได้เยอะดีด้วย


6D6N in Iceland

Day 1 Reykjavík - Kirkjufell

Day 2 Kirkjufell - Reykjavík

Day 3 Reykjavík - Vík

Day 4 Vík - Jökulsárlón

Day 5 Jökulsárlón - Skogar

Day 6 Skogar - Reykjavík


. Day 1 Reykjavík - Kirkjufell

โปรเเกรมวันแรก ดิ่งไปที่ Kirkjufell แลนด์มาร์คอันดับหนึ่งกัน

ถ้าได้รูปแสงเหนือคู่กับเขาหมวกพ่อมดนี่ คือรูปเดียวจบปิดจ๊อบเก็บกระเป๋ากลับไทยได้เลย

ระหว่างทางแวะไปน้ำตก Barnafoss กันก่อน แม้จะไม่ใช่น้ำตกยอดฮิต

แต่ความงามของเค้า รับรองว่าไม่แพ้ที่อื่นๆ ครับ

การจะได้ถ่ายหรือเห็นแสงเหนือนี่ มันขึ้นอยู่กับสภาพอากาศบวกกับดวงที่พกมาเป็นหลัก

เพราะต่อให้ความแรงระดับ Kp 9 แต่ถ้าอากาศปิด เมฆเต็มฟ้านี่

อย่าหวังจะได้ยลโฉมงามๆ ของน้องออโรร่าเลย นอนหลับเอาแรงไว้วันต่อๆ จะดีกว่า


พูดถึงเรื่องดวง ผมว่าต้องพกมา 80% เลยล่ะ ที่เหลือแบ่งออกเป็นฝีมือ 5% สภาพอากาศอีก 15%

เพราะในความคิดผม เจ้าแสงเหนือเนี่ย ถ่ายง่ายกว่าทางช้างเผือก หรือว่าภาพดาวหมุนซะอีกครับ

และที่สำคัญต่อให้คุณวางแผนมาดีแค่ไหน จองที่พักแบบใกล้แลนด์มาร์คทุกคืน

ก็เดาไม่ได้เลยว่าคืนนั้นฟ้าจะปิดหรือเปิด

ระหว่างทางที่เราออกจาก Reykjavík ท้องฟ้าใสแจ๋ว

แต่พอเริ่มเข้าใกล้เมือง Grundarfjörður ฟ้าแจ่มๆ ก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเมฆสีขาวปกคลุมไปทั่ว

แถมยังมีหิมะโปรยปรายลงมาด้วย

ทุกคนปลอบใจกันว่า เดี๋ยวมันคงหยุด แล้วกลางคืนฟ้าก็จะเปิดให้เราได้ล่าแสงกันมันส์ไปเลย

แต่นั่นก็เป็นแค่ความคิดในหัว...


รุ่งเช้า หิมะกลบทุกอย่างใน Grundarfjörður เป็นสีขาว

และยังกลบความหวังของพวกเราในคืนแรกนี้ไปด้วย

เหลือกันอีก 5 คืนให้ลุ้น มันช่างเป็นเวลาอันน้อยนิดเหลือเกิน

ความจริงถ้าอยากได้ภาพแสงเหนือกับเเลนด์มาร์คเด็ดๆ คุณควรมีเวลามาเฝ้าซัก 2-3 คืนในแต่ละที่

แต่เนื่องจากงบเเละจำนวนวันที่พวกเราวางกันไว้เพียงเท่านี้

จึงต้องจำใจโบกมือลา Kirkjufell ไปแบบเศร้าๆ


Day 2 Kirkjufell - Reykjavík

วันนี้ขับกลับลงมานอนกันที่ Reykjavík ระหว่างทางแวะเที่ยว อุทยานแห่งชาติ Þingvellir

ที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้วย เส้นทางระหว่างเข้าไปอุทยานก็สวยมากๆ

ต่อด้วย Bruarfoss น้ำตกที่งดงามราวกับอัญมณีสีฟ้าซ่อนตัวลึกลับอยู่กลางป่า

ทางเข้าไม่ยากไม่ง่าย ตาม Google Map เข้าไป

แล้วลงเดินไปตามทางเล็กๆ จะเห็นรอยเท้านักท่องเที่ยวฝากไว้เต็มไปหมด


บ่อน้ำพุร้อน Geysir ที่มีน้ำพุร้อนพวยพุ่งขึ้นเป็นระยะ สูงกว่า 50 เมตร

ความสนุกอยู่ที่การยืนดูและรอลุ้นว่า เค้าจะพุ่งขึ้นมาให้ถ่ายภาพเมื่อไหร่

ปิดท้ายวันด้วยความอลังการของน้ำตกยักษ์ Gullfoss

คืนนี้ พวกเราได้ภาพแสงเหนือกันเป็นครั้งแรก โดยขับหนีไฟในตัวเมือง Reykjavík ออกมาราวครึ่งชั่วโมง

ผมยังจำอารณ์ตอนนั้นได้ดี มันทั้งฟิน ทั้งตื่นเต้น หนาวก็หนาว ง่วงก็ง่วง แต่ก็ทนรอกันถึงตี 3

แสงเหนือออกมาให้พวกเรายลโฉมได้ไม่นาน เมฆเจ้ากรรมก็ลอยมาบังอีกตามเคย


Day 3 Reykjavík - Vík

Vík นั้นเป็นเมืองที่ผมอยากมาที่สุดในบรรดาทุกเมืองในไอซ์แลนด์

ผมชอบบรรยากาศของมันตั้งแต่เห็นในภาพถ่ายแล้ว

Reynisfjara Black Sand Beach ฟ้าเน่าๆ กับทะเลที่ไร้ผู้คน คลื่นลูกใหญ่ถาโถมซัดเข้าหาหาดทรายสีดำ

มันดราม่ามากๆ ถ่ายออกมายังไงก็ดราม่า จะเอามาทำขาว-ดำ ก็สวย

แนะนำว่าควรมี ND Filter ลากชัตเตอร์ให้คลื่นมันนุ่มๆ หน่อยจะยิ่งได้ฟิลครับ

ก่อนมาถึง Vík เราแวะกัน 3 ที่คือ Seljalandsfoss, Skogafoss และ Dyrhólaey


Day 4 Vík - Jökulsárlón

จาก Vík ขับไปถึง Jökulsárlón ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมง ระหว่างทางลงไปถ่าย Mossy Lava Field

ซึ่งถูกหิมะกลบไปหมด เห็นแต่สีขาวโพลนไปทั้งทุ่ง

อีกที่คือ น้ำตก Svartifoss อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Vatnajökull เดินขึ้นเขาชิลๆ ไป-กลับ 3.2 กม.

ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวของอุทยานห้องน้ำฟรีและดีงามมากครับ

Jökulsárlón ทะเลสาบน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในไอซ์แลนด์ คือไฮไลท์ของวันนี้

ด้านนึงจะเป็นทะเลสาบเรียกกว่า Jökulsárlón Glacier Lagoon

อีกด้านเป็นทะเลเรียกว่า Diamond Beach

ก้อนน้ำแข็งที่แตกและหลุดลอยออกมาจากทะเลสาบ

จะถูกคลื่นซัดกลับขึ้นมาเกยเกลื่อนกลาดบนหาดให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพกันอย่างเพลิดเพลิน

ไม่แปลกใจเลยครับว่าทำไมเค้าถึงเรียกว่า Diamond Beach เพราะน้ำแข็งบางก้อนจะมีลักษณะใส

เป็นเหลี่ยมมุมระยิบระยับเมื่อถูกแสงแดด ราวกับอัญมณีที่ยังไม่ได้รับการเจียระไน

วางตัดอยู่บนหาดทรายสีดำ งดงามด้วยตัวของมันเอง


วันที่ 4 นี้... คือวันที่ผมคาดหวังเอาไว้อีกวัน หลังจากผิดหวังมาจาก Kirkjufell

พวกเราตัดสินใจพักกันที่ Gerdi Guesthouse

ซึ่งอยู่ห่างจาก Jökulsárlón ไปเพียง 10 นาที เพื่อความสะดวกในการขับออกมาล่าแสงในตอนกลางคืน

เพราะโฮสเทล หรือที่พักถูกๆ จะไปรวมกันอยู่ที่เมือง Höfn กันหมด

ซึ่งต้องขับไป-กลับร่วม 160 กม. นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เรายอมเสียแพงขึ้นเพื่อนอนกันที่นี่

แต่ก็นั่นแหละครับ โชคชะตาก็ยังไม่เข้าข้างพวกเราอยู่ดี

หิมะ… มาอีกแล้ว คราวนี้ตกหนักทั้งคืน เล่นเอารถของพวกเราจดมิดไปเลย

เช้ามามองหน้ากัน เอาไงดี... เพราะตรงที่พักของเรา มันต้องขับปีนขึ้นเนินถึงจะออกไปได้

ถ้ารถเกิดเป็นอะไรขึ้นมา งานงอกยาวเลยล่ะครับทีนี้

จนสุดท้าย มีฝรั่งกลุ่มนึงขึ้นไปเปิดซิงเป็นคันแรก

ปั่นขึ้นปั่นลงกันอยู่ 4-5 รอบ ถึงหลุดเนินขึ้นไปได้

ขอบคุณฝรั่งกลุ่มนั้นด้วยครับ ที่เบิกทางให้พวกเราได้ไปกันต่อ


Day 5 Jökulsárlón - Skogar

วันนี้จะเป็นการขับย้อนกลับไปนอนกันแถวน้ำตก Skogarfoss ครับ

ระหว่างทางแวะเที่ยวกันที่ ธารน้ำแข็ง Svínafellsjökull

ซึ่งเป็นที่ๆ ใช้ถ่ายทำภาพยนตร์ดังๆ อย่าง Interstellar, Batman Begins

รวมถึงซีรี่ย์ดัง Game of Thrones ด้วย

ทางเข้าไปธารน้ำแข็งเป็นถนนกรวด ประมาณ 10 กม.

มีหลุมบ่อเยอะ สำหรับรถคันเล็กคงต้องค่อยๆ ขับไปครับ

ไปจนสุดถนนจะเจอลานจอดรถ ลงเดินลัดเลาะต่อเข้าไปตามแนวสันเขา

ก็จะสามารถถ่ายภาพธารน้ำแข็งยักษ์นี้ได้ แต่แบบไกลๆ หน่อยนะครับ

ถ้าอยากจะลงไปเดิน ต้องจองทัวร์ให้ไกด์นำ อุปกรณ์ก็ต้องพร้อม

ห้ามลงไปเองครับ เพราะอันตรายมากๆ

เคยมีนักท่องเที่ยวเยอรมัน 2 คนสูญหายไป จากการลงไปเดินบนธารน้ำแข็งนี้

มีป้ายไว้อาลัยจากเพื่อนและครอบครัวอยู่ตรงปากทางเข้าด้วย

แวะเที่ยวอีกที่ก่อนถึงที่พักคือ Fjaðrárgljúfur Canyon

ลองเปิด MV เพลง I'll Show You ของ Justin Bieber ดูครับ เเล้วจะรู้ว่ามันงามขนาดไหนครับ


เราเดินทางกันมาถึงน้ำตก Skogarfoss กันในช่วงเย็น มุ่งตรงเข้าไป Check-in ที่ Hotel Skogarfoss

แต่แล้วก็มีเซอร์ไพรส์จาก Booking ครับ อยู่ๆ ทางเวบก็ยกเลิกการจองของพวกเราเฉยเลย

พอไปถามที่ Reception เค้าก็ขีดชื่อพวกเราทิ้งและปล่อยห้องไปเรียบร้อยแล้ว

ทางเราก็ไม่ได้โวยวายอะไรมาก เพราะมันก็ไม่ใช่ความผิดของที่พักหรอกครับ

เมื่อมีเมล Cancel ส่งมา ทางเค้าก็ต้องดำเนินการตาม Booking อีกที

เคว้งสิครับทีนี้... อุตส่าห์เล็งถ่ายแสงเหนือกับน้ำตกคืนนี้ไว้แล้ว

ฟ้าก็เปิดและเป็นใจมาก ไม่อยากขับย้อนไปนอนที่ Vík หรือในเมืองเลย

เพราะที่ Vík ฟ้าก็คงเน่าอีกตามเคย และในเมืองก็คงไม่มีฉากหน้าสวยๆ ให้ถ่าย

เลยเปิด Booking เช็คดูเดี๋ยวนั้นว่าที่ไหนยังว่างอยู่บ้าง สรุปเหลือแค่ 2 ที่ นอกนั้นเต็มหมด

ลุ้นกันมากๆ สุดท้ายไปได้ที่ Skogar Guesthouse ซึ่งราคาสูงที่สุดในบรรดาที่พักทั้งหมดในทริปนี้เลยครับ

แต่ก็ต้องจำใจนอน เพราะตอนนี้ก็ใกล้ค่ำเข้าไปทุกทีแล้ว


พอไปถึง เฮ้ย... บ้านสวยมาก สะอาด ตกแต่งอย่างดี

ราคาที่ว่าแรงๆ พอได้เจอห้องดีๆ เจ้าของน่ารัก

ให้การตอนรับพวกเราอย่างดี มันก็พอหักล้างกันไปได้

ยังไงซะมันก็ดีกว่าการต้องขับหาที่พักเอาดาบหน้าตอนกลางคืนแหละครับ

เดินสำรวจและถ่ายภาพบ้านกันยกใหญ่ ห้องครัวคือห้องที่ผมชอบที่สุด

บนชั้นมีใบประกาศว่าได้รางวัลคะแนนรีวิวยอดเยี่ยมจาก Booking ของปีที่แล้วซะด้วย

พอฟ้ามืดสนิท พวกเราก็ขับรถออกไปจอดหน้าน้ำตก

วันนี้น้องออโรร่าไม่เบี้ยวแล้วแถมมาตามนัดเป๊ะเลย

โชว์ความงดงาม เคลื่อนไหวพริ้วไปมาอยู่หลังน้ำตกพอดิบพอดี

คืนนี้พวกเรานอนหลับฝันดีใบหน้าเปื้อนยิ้มกันทุกคน


Day 6 Skogar - Reykjavík

เช้ามาพวกเราอำลาสาวเจ้าของ Guesthouse ที่น่ารัก

โดยการอุดหนุนหมวกไหมพรมแฮนด์เมดของเธอไป 2 ใบ

วันนี้ในเวบพยากรณ์แสงเหนือบอกไว้ว่า Kp 4 แล้วฟ้าก็โปร่งมากซะด้วย

พวกเราจึงวางแผนเหมือนเดิมคือจะขับออกมานอกเมืองเพื่อรอแสง

ไปๆ มาๆ ช่วงหัวค่ำค่า Kp ในเวบกลับกลายเป็น 0 แบบนี้มันเรียกว่าหลอกให้อยากเเล้วจากไปชัดๆ

ถ้าเป็น Kp 1-2 มันยังพอมีกำลังใจให้ออกไปโต้ลมหนาวรอ

สรุปว่าผิดหวังปิดท้ายทริปกันไปอีกหนึ่งคืน...


เช้ามืด... ผมเดินเล่นถ่ายภาพใน Reykjavík แถวๆ โบสถ์ Hallgrímskirkja กับ The Sun Voyager

เพราะเมื่อวานช่วงเย็นนักท่องเที่ยวเยอะมาก ผมอยากได้ภาพโบสถ์เช้าๆ แบบไม่มีคนมากกว่า

ระหว่างถ่ายอยู่ก็เจอลุงชาวสวีเดนคนนึง แกขอให้ผมช่วยถ่ายภาพแกคู่กับรูปปั้นหน่อย

แล้วลุงก็เล่าให้ฟังว่า แกมาเที่ยวกับลูกสาวที่เรียนต่ออยู่ที่ USA

โดยนัดเจอกับลูกสาวที่นี่ เพื่อมาเที่ยวช่วงเทศกาลอีสเตอร์ที่ไอซ์แลนด์ด้วยกัน น่ารักดีนะครับ...

แล้วแกก็ชวนคุยต่อ โดยพูดถึงรูปปั้นของ Leif Erikson ชาวไวกิ้ง ให้ผมฟัง

แกยกย่องว่าไวกิ้งคนนี้ คือนัมเบอร์วันอันดับ 1 ของโลกเลยล่ะ

เค้ายอดเยี่ยมซะยิ่งกว่า Christopher Columbus อีกนะ

ลุงเล่าต่อด้วยความภาคภูมิใจว่า ทุกคนเข้าใจว่า Columbus เป็นคนค้นพบอเมริกาคนแรก

แต่ความจริงแล้ว Leif Erikson เนี่ย เค้าเดินเรือไปค้นพบทวีปอเมริกาก่อนหน้า Columbus ตั้ง 500 ปีเชียวนะ!

จุดที่ Erikson ค้นพบเค้าเรียกมันว่า "Vinland" ซึ่งก็คือรัฐ Newfoundland ของแคนาดาในปัจจุบันนั่นเอง

Now you know the truth… เป็นไงล่ะไอ้หนุ่ม ตอนนี้เธอก็รู้ความจริงแล้วนะ


ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งกลับโฮสเทลแบบตัวสั่นแหง่กๆ เจ็บนิ้วมือนิ้วเท้าไปหมด

คงเพราะออกมารอแสงที่โบสถ์นานไปหน่อย พอกลับไปถึงห้อง เพื่อนๆ ก็เริ่มตื่นกันบ้างแล้ว

เช้านี้แต่ละคนดูไม่คึกคักเหมือนทุกวันเลย คงเป็นเพราะวันนี้ต้องเตรียมตัวกลับบ้านกันแล้วมั้ง...

สำหรับไอซ์แลนด์ ประเทศที่ผมใฝ่ฝันอยากจะไปมานาน

ณ ตอนนี้ผมได้สานฝันของตัวเองสำเร็จแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ภาพแสงเหนือสวยๆ ระเบิดที่ Kirkjufell

หรือพริ้วไปมาสะท้อนลงทะเลสาบ Jökulsárlón ตามที่หวังไว้

แต่สิ่งที่ผมได้รับมาเต็มๆ คือความทรงจำดีๆ ประสบการณ์ และข้อมูลมากมายที่มีประโยชน์

ครั้งต่อไปถ้ามีโอกาสได้มาแก้มืออีก ผมก็พร้อมจะมาในแบบที่มันประหยัดขึ้น อยู่ได้นานมากขึ้น

บางทีการท่องเที่ยวแค่ในเวบบอร์ด หรือหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มันยังไม่เพียงพอ

ประสบการณ์ที่แท้จริง รออยู่ข้างนอกให้เราออกไปเก็บเกี่ยวมันครับ


คนเรานั้นมีฝัน... และฝันนั้นต่างกัน...

ลองถามตัวเองดูว่าฝันของคุณและของเพื่อนนั้น คือฝันแบบเดียวกันมั้ย

ถ้าใช่... จะรอช้าอยู่ทำไม

มองหาเพื่อนที่รู้ใจ ออกลุยไปร่วมแชร์ความฝันที่เป็นจริงด้วยกันครับ


Svartifoss


Skogarfoss


US Navy DC-3 Wreckage เดินจากถนน Ring Road ไป-กลับ 8 กม.



Diamond Beach


Jökulsárlón Glacier Lagoon



Gerdi Guesthouse



ธารน้ำแข็ง Svínafellsjökull



Fjaðrárgljúfur Canyon



Mossy Lava Field


Vík


แสงเหนือระดับ Kp 3 เหนือน้ำตก Skogarfoss



Skogar Guesthouse รางวัลคะแนนรีวิวยอดเยี่ยมปี 2016 จากเวบไซต์ Booking.com

"Be like home"


โบสถ์ Hallgrímskirkja และ Leif Erikson ยอดชาวไวกิ้ง



Reykjavík ยามเช้า


ประติมากรรม "The Sun Voyager" หรือ "เรือแห่งความฝัน " สร้างโดย Jon Gunnar Arnason สื่อถึงความหวังและอิสรภาพ


สรุปค่าเสียหาย แถมทริคอีกเล็กๆ น้อยๆ

เดินทางวันที่ 7-17 เม.ย.

ตั๋วโปรของการบินไทย (ต้องนั่งเครื่องไปขึ้นที่กัวลาลัมเปอร์)

Thaiairway KL-BKK-OSLO 15562

Icelandair OSLO-KEF 17340

Malindo Air BKK-KL 1524

Visa 3170

ที่พัก

Metro Hotel (KL) 386

Grundarfjordur HI Hostel (Kirkjufell) 1280

Capital Inn (Rekjavik) 682

Puffin Hostel (Vik) 1867

Gerdi Guesthouse (Jökulsárlón) 2466

Skogar Guesthouse (Skogarfoss) 2600

Rekjavik Hostel Village 882

ค่าเช่ารถ แบบ SUV 5 ที่นั่ง คนละ 3835

*ค่าน้ำมัน ขอติดไว้ก่อนแล้วจะมาอัพเดทให้ครับ

เสบียงขนไปจากไทย 1000

ใช้เงินไทย 12000 แลกเป็นยูโรและโครน่าไอซ์แลนด์ติดตัวไป

มีกลับมาเหลือๆ ครับ

รวมค่าเสียหายทั้งหมดราว 65000+


สามารถเที่ยวไอซ์แลนด์ได้ประหยัดกว่านี้ สรุปเป็นข้อๆ อีกทีให้ครับ

1. มองหาตั๋วโปรดีๆ ก่อนเป็นอันดับแรก

2. จองที่พักให้ไว เลือกนอนแต่โฮสเทล

3. ขนเสบียงไป ไม่ก็ทำอาหารกินเอง

4. ขับรถบ้านเที่ยว กระทู้ในพันทิปมีรีวิวไว้เยอะเลยครับ

5. เตรียมตัวให้พร้อม ศึกษาเส้นทาง และข้อมูลอื่นๆ ทุกอย่างให้ละเอียด

6. แนะนำสุดยอดคัมภีร์ เซิส "หมอๆ ตะลุยโลก ไอซ์แลนด์"


ว่าด้วยเรื่องเสบียง

ผมแบ่งมื้อเป็นเซทเดิมๆ กินซ้ำทุกวันคือ

เช้า โจ๊กคนอร์ และอุ่นข้าว+กับโรซ่า ไปใส่กล่องกินกลางวันระหว่างเที่ยว

มื้อเย็นมาม่าบิ๊กแพค เผื่อไว้ว่าถ้าในเคสที่แย่จริงๆ ที่พักไม่มีครัวหรือไมโครเวฟ

กับข้าวทุกอย่างที่เตรียมไปก็สามารถสุกได้ด้วยน้ำร้อนครับ

ใครไม่อยากประหยัดขนาดนี้ก็อย่าทำตามอย่างเลยครับ

ขอบอกว่าชาปากมากๆ ฮ่าๆ

พกสนีกเกอร์อีกซักประมาณ 5-6 แท่งไว้กินเวลาหิว เฉลี่ยวันละแท่ง

น้ำเปล่าต้มเอาใส่กระติกไปกิน ไม่ก็กรอกเอาจากก๊อกในห้องน้ำ

ขนมปังแถวพกจากไทยไปกินที่ออสโลตอนรอต่อเครื่อง

และขากลับซื้อที่ซุปเปอร์ในไอซ์แลนด์แถวละ 50 บาท

มี 2 เจ้าถูกที่สุดคือ Kronan กับ Bonus ตามที่หมอๆ ตะลุยโลกแนะนำมา


ที่หลับที่นอน

ความจริงทริปนี้ตั้งใจจะนอนโฮสเทลกันทุกคืนไปเลย

โฮสเทลบ้านเค้าสะอาดครับ นอนได้สบาย มีครัว ไมโครเวฟ เตา น้ำร้อนพร้อมครับ

ควรวางแผนจองให้ไว จะได้ที่ถูกๆ เราจองกันช้าไปหน่อย เลยเต็มซะก่อน บางที่เลยเกินงบที่วางไว้

เปิด Google Map หรือเวบเอเจนซี่พวก Agoda, Booking

เลือกเอาที่ใกล้แลนด์มาร์คต่างๆ เพื่อความสะดวกในการออกไปถ่ายแสงเหนือตอนกลางคืน


ขอบคุณที่ติดตามครับ

ใครสงสัยอะไรเพิ่มเติมหลัง inbox ในเพจมาได้เลย ถ้าผมตอบได้ยินดีช่วยเต็มที่ครับ

https://www.facebook.com/blue.eyes.photo.graphic/


Blue.Eyes.Photo

 วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 10.22 น.

ความคิดเห็น