พักนึงเเล้ว... ที่ผมนั่งห้อยขา ตาจ้องมองภูเขาหิมะลูกโตที่อยู่ตรงหน้า
ในใจพลางคิดว่า ทำไมคนเราถึงชอบขึ้นมายืนอยู่บนที่สูง
และนั่งมองภูเขาลูกนึงอยู่ได้นานสองนาน
"โคตรสวยเลยเน๊อะพี่" เสียงน้องร่วมทริปคนนึงตะโกนตามหลังมา
"ผมเห็นพี่นั่งแช่อยู่ตั้งนานละ"
"เออ... เอ็งว่าทำไมคนเราถึงชอบเหนื่อยปีนขึ้นมาที่สูง ๆ กันจังวะ" ผมถาม
"วิวมันสวยมั้งพี่ ผมก็ไม่รู้ว่ะ..."
...
เนปาล... ประเทศที่ผมหลงรักผ่านคำบอกเล่าและภาพถ่าย
แอบรักมันตั้งแต่ยังไม่เคยได้เดินทางมาด้วยซ้ำ
ก่อนทริปนี้จะเกิดขึ้น ผมจะชอบหารีวิวและภาพสวย ๆ ดูเรื่อยมา
จนเห็นว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมจะพาเจ้าขา 2 ข้างนี้
ออกไปสัมผัสมันด้วยตัวเองซักที
ทริปนี้เกิดขึ้นได้เพราะเพื่อนผู้หญิงคนนึงที่บังเอิญรู้จักกันใน facebook
เธอประกาศหาเพื่อนร่วมทริปพิชิต "Thorong La Pass"
จุดสูงสุดบนเส้นทางเทรคกิ้ง Annapurna Circuit
(คนละเส้นกับ Annapurna Base Camp นะครับ)
เพื่อให้เห็นภาพรวมแบบชัด ๆ ไปดูแผนการเดินทางในทริปนี้กันก่อนครับ
จุดสีส้มคือที่ ๆ เราพักค้างคืนกันนะครับ
เริ่มต้นกันที่ Kathmandu นั่งรถไปจนถึง Mugji
เริ่มเทรคจาก Mugji ผ่าน Manang, Ledar, Thorong Phedi, High Camp
ข้าม Thorong La Pass เเล้วลงไปที่ Mugtinath จากนั้นนั่งรถต่อไป Jomsom
และนั่งเครื่องจาก Jomsom กลับ Kathmandu
ปกติเเล้วเส้นนี้ สามารถเดินเที่ยวได้รอบ
โดยใช้เวลาประมาณ 20 วัน เเต่ทริปนี้เรามีเวลาน้อยครับ
จึงใช้การนั่งรถเพื่อช่วยย่นระยะทางให้สั้นลงนั่นเอง
TAMEL
ท่ามกลางอากาศร้อนอบอ้าวหน้าสนามบินตรีภูวัน
คณะเอเจนซี่มารอต้อนรับพวกเราด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและมาลัยดอกไม้สีเหลือง
รถตู้ 1 คัน กับ Trekker ทั้งหมด 14 ชีวิต
วิ่งฝ่าฝุ่นควัน ความจอแจ และเสียงแตร จนเข้าไปถึงโรมเเรมในย่าน Tamel
ภาระกิจในวันนี้คือช้อป ช้อป เเละช้อป ของที่ยังขาด
ซึ่งส่วนใหญ่ของที่ทุกคนยังไม่มี คือ Gaiter, Trekking Pole และ Microspike
ถึงจะเป็นของก๊อป แต่ก็ใช้งานได้ดี คุณภาพตามราคาแหละครับ
พวกเราเดินไปเดินมาซักพักก็เจอร้านถูกใจ
ทุกคนจัดเซตใหญ่กันไปคนละ 1 เซต
คนขายใจดีเเถมผ้าบัฟให้อีกคนละผืน
ROAD TO CHAME
เมื่ออุปกรณ์พร้อม ความรู้สึกอยากจะเดินก็มาทันที
เเต่เดี๋ยวก่อนครับ... วันนี้จะยังไม่มีใครได้เดินไปไหนทั้งนั้น
ที่ต้องใช้วันนี้ คือ "ก้น" ครับ ใช้ในการนั่งรถกันแบบยาว ๆ กว่า 12 ชั่วโมง
6 ชั่วโมงแรกถนนเป็นลาดยาง รถตู้วิ่งสบาย ๆ
6 ชั่วโมงหลังทางเป็นคนละเรื่องครับ เส้นนี้ต้องเปลี่ยนเป็น 4WD เท่านั้น
เราแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม แยกกันขึ้นรถ สมาชิก 14 คน ลูกหาบ 6 ทีมไกด์อีก 3
อัดกันเข้าไปใน Jeep 2 คัน วิ่งซอกแซกไปตามไหล่เขา
ลัดเลาะเลียบไปกับแม่น้ำสีเขียวอมฟ้า ผ่านหมู่บ้าน น้ำตก ยอดเขาสูง
วิวสวยบาดใจจริง ๆ ครับ อยากจะหยิบกล้องออกมาถ่าย
เเต่เเค่ขยับตัวก็ลำบากมากเเล้ว
หลาย ๆ ช่วง ทางชัน แคบ และเป็นเหวลึก
เเต่พลขับของเราก็ยังเหยียบคันเร่งต่อไปด้วยความมั่นใจ
ถนนแบบเนปาลีสไตล์ ทำเอาพวกเรากระเด้งกระดอนกันไปตลอดทาง
คนขับเเวะจอดลงไปทำ Permit ให้เป็นพัก ๆ ครั้งละประมาณ 10-15 นาที
เป็นช่วงเวลาที่จะได้ลงไปยืดเส้นยืดสายเเก้เมื่อยกัน
อากาศเย็นลงเรื่อย ๆ เนื่องจากตอนนี้เราไต่ระดับขึ้นมากว่า 2 พันเมตรแล้ว
ท้องฟ้ามืดสนิท เเถมมีฝนโปรยปรายลงมาด้วย
เรายังคงต้องไปกันต่อให้ถึงโรงเเรมที่ Chame เพื่อพักค้างคืน
MUGJI
เข้าสู่วันที่ 3 ของการเดินทาง
บอกลาตัวเมืองที่แออัด สวัสดียอดเขาหิมะกับวิวพาโนราม่างาม ๆ
เราเริ่มเทรคกันที่ Mugji หมู่บ้านเล็ก ๆ โอบล้อมด้วยขุนเขา ต้นสนสีเขียวและแม่น้ำสีสวย
หลังจากสมาชิกทุกคนเเต่งองค์ทรงเครื่องกันเสร็จเรียบร้อยเเล้ว ก็ลุยครับ!
เดินไปกดชัตเตอร์ไปรัว ๆ ปากก็พูดคำว่า "สวยว่ะ" ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น
เราแวะกินมื้อเที่ยงเเละเที่ยวชมวัดที่ Braka เเล้วเดินกันต่อ ไม่นานก็ถึง Manang ครับ
ถือซะว่าเป็นการวอร์มอัพกันเบา ๆ ก่อนสำหรับวันนี้
MANANG
Manang เป็นเมืองใหญ่ ตั้งอยู่บนความสูงกว่า 3500 เมตรจากระดับน้ำทะเล
จุดแวะพักสำคัญก่อนเดินทางขึ้นไปพิชิต Thorong La Pass
มีสถานที่ท่องเที่ยวและทิวทัศน์โดยรอบที่งดงาม
ดึงดูด Trekker จากทั่วโลกให้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ที่ Manang นี้ ทีมไกด์ระบุในเเพลนว่าเป็น Acclimatization Day ครับ
โดยเราจะค้างกัน 2 คืน ช่วงเช้าเดินขึ้นไปชมทะเลสาบ Gangapurna
แล้วเดินกลับลงมาที่โรงเเรม เป็นการทำ Acclimatization
หรือการให้เวลาร่างกายได้ปรับตัวเข้ากับความสูงนั่นเองครับ
จาก Mugji เราเทรคกันถึง Manang ในช่วงบ่าย
เช็คอินเก็บของกันเรียบร้อยก็เป็น freetime ครับ
บ้างนั่งเล่นไพ่ บ้างก็ไปอาบน้ำ พักผ่อน จัดของ
ส่วนผมก็ออกไปเดินสำรวจมองหาที่สูง ๆ เพื่อขึ้นไปถ่ายภาพตามประสา
แอบเล็งเจดีย์เล็ก ๆ บนยอดเขาไว้ตั้งเเต่ตอนเดินเข้าเมืองมาเเล้ว
ลองกะด้วยสายตาดู มันน่าจะสูงพอที่จะเห็น Manang ได้เกือบทั้งหมด
ตัวเจดีย์ข้างบนไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ
แต่ที่เด็ดก็คือ มุมนี้นี่เองที่ผมเคยเห็นมา
ต่างกันก็ตรงของชาวบ้านเค้าฟ้าเปิด ภาพสวยเคลียร์
ของผมเน่าสนิทครับ... เเต่ก็อยากเอามาลงให้ดูกัน
เผื่อใครมีโอกาสได้มา ผมเเนะนำให้ขึ้นมาตรงนี้เลย
จุดนี้สามารถถ่ายภาพได้ทั้งอาทิตย์ขึ้น-ตก
จะถ่ายดาวหรือช้างเผือกพาดผ่านยอดเขาก็งามครับ
เดินเข้าหมู่บ้านมา มองหาเจดีย์สูง ๆ ทางขวามือ เจอเเน่นอนครับ
Acclimatization Day
...
"โคตรสวยเลยเน๊อะพี่" "ผมเห็นพี่นั่งแช่อยู่ตั้งนานละ"
"เอ็งว่าทำไมคนเราถึงชอบเหนื่อยปีนขึ้นมาที่สูง ๆ กันจังวะ"
ผมถามกลับไปด้วยความสงสัย
"วิวมันสวยมั้งพี่ ผมก็ไม่รู้ว่ะ..."
"อืมมม... หรือเพราะคนเรามันเสพย์ติดความรู้สึกพวกนี้"
"มันเหมือนการได้ทำอะไรบางอย่างสำเร็จ
ได้ทดสอบร่างกาย ได้พิสูจน์ใจตัวเอง"
"เราไม่ได้ชอบความเหนื่อยหรือความลำบากหรอก
เเต่เราชอบความรู้สึกที่ได้ขึ้นมายืนอยู่บนนี้ต่างหาก"
จากจุดชมวิว Gangapurna Lake เดินต่อขึ้นไปอีกนิดก็จะเจอพื้นที่โล่ง
ข้างบนนี้สามารถเดินเที่ยวได้ด้วย ด้านนึงเป็นจุดชมวิวฝั่งตัวเมือง Manang
อีกด้านสามารถมองเห็นยอด Gangapurna ได้อย่างชัดเจน
พวกเราใช้เวลาเดินเล่นถ่ายภาพกันอยู่ข้างบนนี้พักใหญ่
ส่วนผม... ที่นั่งเปื่อยชมวิวอยู่นานสองนาน ไม่ใช่อะไรหรอกครับ
เดินไปไหนไม่ไหวเเล้วครับ ปวดหัว...
ปวดมาตั้งแต่เมื่อคืน ลากยาวมายันตอนนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น
สงสัยว่าเจ้าโรค AMS มันกำลังมาเยี่ยมเยียนผมเเล้ว
ครั้งนึงผมเคยเป็นโรคนี้ตอนไปเที่ยว Leh ตอนนั้นเเค่งีบพักไป ตื่นมาก็หาย
มาครั้งนี้รู้สึกเลยว่าเป็นหนักกว่า และถ้ายังไม่ดีขึ้น ทริปนี้หมดสนุกเเน่นอน
หรืออย่างแย่ที่สุด ผมอาจไปไม่ถึง Thorong La
พอคิดอย่างนี้เเล้ว ใจเสียไปเลยครับ
พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า เดี๋ยวกลับลงไปจะนอนพักที่โรงแรม
พอตื่นมา ร่างกายมันจะปรับตัวและดีขึ้น
ระหว่างที่กำลังเดินลงจาก Gangapurna Lake
AMS เล่นงานผมหนักขึ้นเรื่อย ๆ ตอนนี้ไม่ใช่เเค่ปวดหัวอย่างเดียวเเล้ว
เเต่รู้สึกว่าร่างกายมันไม่ฟังคำสั่งเลย แขนขาหนักไปหมด
เหนื่อยง่ายกว่าปกติ และต้องหยุดพักถี่ขึ้น
ลองนึกภาพคนแก่ที่กำลังเมาเหล้า เดินโงนเงน มือถือไม้เท้า
นั่นแหละครับ... สภาพผมในตอนนี้เลย
แต่ในที่สุด ผมก็กัดฟันพาตัวเองมาถึงโรงเเรมจนได้
คลานขึ้นห้องไปนอนที่เตียง กว่าจะหลับได้
ใจสั่น เต้นรัว ๆ เพดานห้องนอนนี่หมุนติ้ว ๆ เลยครับ
รู้สึกตัวอีกทีก็เกือบเย็นเเล้ว ผมค่อย ๆ ลุก ๆ นั่ง ๆ
ลองเดินไปเดินมาให้ห้องดู... เยสสสสส!
อาการแย่ ๆ พวกนั้นมันหายไปเเล้ววว
ตอนนี้ผมรู้สึกดีขึ้นมากกก รีบคว้ากล้องออกไปเดินเที่ยวชดเชย
จากที่เมื่อเช้าเรี่ยวเเรงจะกดชัตเตอร์แทบไม่มี
สนามฟุตบอลความสูงระดับ 3500 m.
เด็ก ๆ กลับวิ่งกันฉิว ใจผมอยากจะลงไปขอเล่นด้วย
แต่คิดไปคิดมา อย่าเพิ่งเปรี้ยวเลยจะดีกว่า...
LEDAR
หลังจากที่ได้วอร์มอัพและปรับร่างกายกันมา โปรเเกรมวันนี้คือของจริงเเล้วครับ
จาก Manang เราจะเดินไต่ระดับกันไปถึง Ledar ที่ความสูง 4200 เมตร
แรก ๆ ก็ยังเกาะกลุ่มกันดีอยู่หรอกครับ เซลฟี่กันสนุกสนาน
ซักพักก็จะเริ่มแตกกลุ่มกัน ขึ้นอยู่กับสปีดการเดินของเเต่ละคน
พวกเรานัดพบกันที่ Yak Kharka แวะพักและกินมื้อเที่ยงเติมพลัง
ระหว่างนั้นเมฆเริ่มก่อตัว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทา ทีมไกด์บอกว่าหิมะกำลังจะตก
คณะเราต้องเร่งฝีเท้ากันเเล้ว (ทั้งที่ปกติก็เร่งกันไม่ค่อยจะขึ้นอยู่เเล้ว)
สุดท้ายไม่รอดครับ... เทรคท่ามกลางหิมะโปรยปรายกันไป
กลับมาเล่าให้ใครฟัง ก็พูดกันเป็นเสียงเดียวว่า "ท่าทางน่าสนุก"
แต่เชื่อเถอะครับ มันไม่สนุกอย่างที่คิดเลย
มองไปข้างหน้าเห็นอยู่ไม่กี่เมตร หนาวก็หนาว รูปก็ถ่ายไม่ได้
ดีที่มันลงมาเเค่เบาะ ๆ เพราะถ้าลงมาหนักล่ะก็ ลำบากแน่ครับ
เดินออกจาก Manang ปั๊บ ก็เจอมุมนี้เลย
ในบรรดาที่พักในทริปนี้ Ledar คือที่ๆ ผมชอบที่สุดเเล้ว
โรงแรมเล็ก ๆ มีภูเขารายล้อมรอบด้าน มีห้องพักอยู่ 7 ห้อง
ซึ่งพอดีกับคณะของเราเป๊ะ เจ้าของเป็นพี่สาวเนปาลีหน้าตาใจดี
ทำเองทุกอย่างเอง เป็นทั้งพนักงานต้อนรับ แม่บ้าน ยันแม่ครัว
ส่วนอากาศบนนี้นี่ไม่ต้องสืบครับ หนาวสุด ๆ ไปเลย
เข้าห้องได้ก็ขดตัวเป็นดักเเด้ แทบไม่อยากจะขยับตัวออกไปไหนเลย
ตกดึก... ผมกลั้นใจลุกขึ้นมาถ่ายดาว
ยืนน้ำมูกยืดถ่ายได้อยู่ราว 2 ชั่วโมง ก็ตัดใจครับ
เซฟร่างกายไว้ลุยต่อพรุ่งนี้ดีกว่า
ดีบี หัวหน้าทีมไกด์(ขวา) กับหนุ่ม ๆ แก๊งค์ลูกหาบ
เห็นตัวเล็ก ๆ กันแบบนี้ เเต่ละคนพลังเหลือล้นครับ
THORONG PHEDI
หรือเรียกว่า Thorong Base Camp ก็ได้ครับ
ที่นี่เป็นจุดแวะพักสุดท้ายก่อนที่เราจะเดินข้าม Pass กัน
เราออกจาก Ledar กันราว 8 โมง วิวสองข้างทางสวยเหมือนทุกวัน
ความยิ่งใหญ่อลังการของขุนเขา ยังคงสร้างความประทับใจให้พวกเราได้ตลอดทาง
มีช่วงนึงเราเดินตัดผ่านฝูง Yak ทุกคนใช้เวลาถ่ายภาพกับเจ้าวัวขนฟูอยู่พักใหญ่
เป็นบรรยากาศที่น่ารักดีครับ
สำหรับวันนี้ก็นับว่ายังไม่หนักมาก เดินเรื่อย ๆ เหนื่อยก็พัก
ไม่ต้องแข่งกับเวลาและสภาพอากาศที่แปรปรวน
วันที่จะหนักที่สุดก็คือวันข้าม Thorong La Pass นั่นแหละครับ
ซึ่งก็คือพรุ่งนี้เเล้ว...
อินดรา ผู้ช่วยไกด์ เดินปิดท้ายให้คณะเรา ยิ้มเก่งและเทคแคร์ดีมาก ๆ
BIG DAY
และเเล้ว... ก็มาถึงวันสำคัญ Thorong La Pass ความสูง 5416 เมตร
ทุกอย่างที่พวกเราผ่านมันมา ทั้งการเตรียมตัว ฟิตร่างกาย
ค่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ต้องนั่งเครื่อง ต่อรถ เดินเท้า
รวมถึงการกล้ำกลืนฝืนกินซุปกระเทียมที่ผมโคตรจะเกลียด
(กระเทียมช่วยเรื่องความดันเลือดครับ
มันดีกับร่างกายเราเวลาเทรคกิ้งบนที่สูง ๆ)
ทั้งหมดก็เพื่อที่จะพิชิตช่องเขานี้ให้ได้
เราเริ่มเทรคกันตั้งแต่ท้องฟ้ายังมืดสนิท
แสงจากไฟฉายคาดหัว เรียงตัวกันเป็นแถวขึ้นไปตามทางเดินที่สุดแสนจะชัน
แน่นอนว่ามันเหนื่อยกว่าทุกวันครับ เพราะเราอยู่สูงกว่าทุกเส้นที่ผ่านมา
High Camp เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่อยากย่นระยะทางในวันข้าม Pass
แต่ทางทีมไกด์แนะนำให้นอนที่ Base Camp จะดีกว่า
เนื่องจากความสูงระดับนี้จะทำให้นอนหลับได้ยากมากครับ
เส้นทางในวันข้าม Pass นี่ "สวยขาดใจ" จริง ๆ ครับ
คือสวยมาก แต่ก็เหนื่อยเหมือนใจจะขาดด้วย
วิวสองข้างทางระหว่างลงไป Muktinath นี่ ผมแทบไม่ได้ถ่ายเลย
เพราะมีหมอกลงหนาเต็มไปหมด
ใจก็อยากจะถึงที่พักไว ๆ และยิ่งเดินลงเร็วแค่ไหน ก็ยิ่งหายใจได้เต็มปอดมากขึ้น
ผมเร่งฝีเท้าเดินผ่านป้าย "Welcome to Muktinath" ที่อยู่ตรงหน้า
มือ 2 ข้างชูขึ้นสุดแขน คิดดัง ๆ ในใจอีกครั้งว่า "สำเร็จแล้ว"
เมือง Muktinath อยู่แค่ตรงหน้า เหลือแค่เดินลงไปให้ถึงโรงแรม
ก็จะได้จิบชา นั่งพัก และอาบน้ำสมใจเสียที
รวมแล้วเป็นเวลากว่า 10 ชั่วโมง นับตั้งแต่เริ่มออกเดินจาก Base Camp
เหนื่อยและหนักที่สุดในทริป ก็คือวันนี้แหละครับ
หลังจากนี้ไปก็จะเป็นการนั่งรถ ถ่ายรูปกันสบาย ๆ
พักร่างกายในหายเหนื่อยจากที่ลุยกันมา
แสงแรกของวันที่ Muktinath
ม้ารับจ้าง สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินข้าม Pass ไม่ไหว
หรือจะจ่ายเงินเเลกกับการขี่เที่ยวตามเส้นเทรคต่าง ๆ ก็ได้
...
ค่ำคืนนี้บรรยากาศในห้องอาหารเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
พวกเราผลัดกันแชร์เรื่องราวการข้าม Pass ของแต่ละคน
ผมเพิ่งมารู้ว่าน้อง ๆ ที่เดินรั้งท้าย เจอทั้งหิมะ ทั้งฝนครบ
แต่แม้จะฮากันเเค่ไหน ความอ่อนเพลียก็ทำให้พวกเราทุกคน
แยกย้ายกันไปนอนตั้งแต่หัวค่ำ
น่าแปลกที่ตัวผมเองกลับนอนไม่ค่อยหลับ ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยมากขนาดนี้
ตั้งนาฬิกาปลุกตื่นขึ้นมาถ่ายดาวบนดาดฟ้าโรงแรม (แต่ฟ้าก็เน่าตามคาด)
ผมยืนรอให้ฟ้าเปิดอยู่ กะว่าถ้าซักพักนึงยังไม่เปิดอีก
ก็จะกลับเข้าไปนอนเเล้ว
....
ไม่ว่าเส้นทางไหน ๆ จะในหรือนอกประเทศ จะยากหรือง่ายเพียงใด
ในทุก ๆ เส้นทาง มักจะให้อะไรตอบแทนกลับมาเสมอ
เมื่อเราก้าวผ่านมันมาได้สำเร็จ จงใช้ "ความรู้สึก" นี้
เป็นตัวขับเคลื่อน สร้างแรงผลักดันให้ชีวิตของเราต่อไป
ใช้มันเป็นเชื้อไฟ คอยเติมฟืนแห่งความฝันให้ลุกโชนไม่ดับมอดไป
ทำชีวิตให้มีสีสัน หมั่นเเต่งเเต้มเรื่องราวใหม่ ๆ ลงไปอย่าได้หยุดนิ่ง
ขอบคุณเพื่อนร่วมทางทุกคน ทีมไกด์ และลูกหาบทุกคน
ที่ช่วยกันมาเรียงร้อยเรื่องราวและร่วมบันทึกประสบการณ์ที่น่าจดจำในครั้งนี้
แล้วพบกันใหม่...
อาจจะเป็นยอดเขาสูงที่ไหนซักยอด...
แด่เหล่าคนที่มีใจรักในการเดินทางทุกคนครับ...
www.facebook.com/blue.eyes.photo.graphic
Blue.Eyes.Photo
วันจันทร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 10.45 น.