สวัสดีครับ... วันนี้ผมจะมาขอใช้พื้นที่ตรงนี้ เล่าเรื่องการแบกเป้เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก

อย่างที่ทุกคนทราบ ตอนนี้ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่บูมสุดๆ มีรีวิวให้เลือกอ่านกันมากมาย

กระทู้นี้ก็ด้วย ถือว่าเป็นอีก 1 ตัวเลือกก็เเล้วกันนะครับ

เป็นอีกมุมมองนึงที่ผมอยากจะถ่ายทอดและแบ่งปันกับทุกคนที่สนใจ ไปกันเลยครับ (:



ทริปนี้เราจะเที่ยวกันทั้งหมด 3 เมือง คือ โตเกียว เกียวโต และโอซาก้า ตั้งแต่วันที่ 4-10 ธันวาคม

เริ่มต้นที่สนามบินนาริตะ เที่ยวโตเกียว นั่ง Shinkansen ไปเกียวโต จากนั้นเดินทางกลับที่สนามบินคันไซ โอซาก้า

วางโปรเเกรมในแต่ละวันกันแบบหลวมๆ ไม่ต้องแน่น ให้เวลากับการเดินเล่น กิน และถ่ายภาพ

ชื่นชมกับทิวทัศน์ ซึมซับกับวิถีชีวิตของแต่ละเมืองกันให้เต็มที่ครับ


Day 1 Tokyo

Asakusa - Ueno - Tokyo University - Akihabara

ที่พัก : Hotel Horidome Villa

บริการกาแฟ-โกโก้ฟรี / อยู่ติด Family Mart

สถานีใกล้เคียง : Kodenmacho, Ningyocho (เดิน 4 นาที)



จากสนามบินนาริตะ เราจะเข้าเมืองกันด้วย Keisei Skyliner ครับ พนักงานขายตั๋วบอกว่าตอนนี้มีโปรโมชั่น

Skyliner 1 เที่ยว + Subway 1 Day Pass ราคา 2800¥ จัดการซื้อมาแจกกันคนละใบ

เราถึงสถานี Keiseiueno กันแบบรวดเร็ว นิ่มนวล และตรงเวลา ตามแบบฉบับรถไฟญี่ปุ่น

ช่วงที่พวกเราเดินทางมานี้ ได้เลยช่วงพีคของฤดูใบไม้เปลี่ยนสีเเล้วไปครับ

อากาศค่อนข้างหนาว อุณหภูมิอยู่ราวๆ ไม่เกิน 10 องศา



ที่แรกที่เราจะไปกันคือ วัด Sensoji ครับ


จากสถานี Ningyocho (เดิน 400 เมตร จากโรงแรม)

นั่ง Subway Asakusa Line ไปลงที่ สถานี Asakusa

ถ่ายรูปเดินชมวิวกันไปอีกไม่ไกลก็จะถึงประตู Kaminarimon

ที่ๆ นักท่องเที่ยวทุกคนต่างมาถ่ายรูปกับโคมแดงยักษ์ สัญลักษณ์สำคัญของวัด

ถึงตอนนี้เริ่มมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมา ท้องฟ้าหม่นมัว

ภาพวัด Sensoji สีแดงสวย ตัดกับฟ้าใสๆ นี่เลิกคิดครับ ดีที่เช็คสภาพอากาศกันก่อนเดินทาง

เลยทำใจมาแล้วว่าจะเจอทั้งหนาวและฝน



ราเมนหยอดเหรียญ ร้าน Arashi หน้าวัด Sensoji ราคา 650 เยนใช้เวลาเดินชมเเละถ่ายภาพในวัดกันจนพอใจเเล้ว ที่ๆ จะไปกันต่อคือ Ueno ครับ


จากสถานี Asakusa นั่ง Subway Ginza Line ไปลงที่สถานี Ueno ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที

เราแวะเดินเล่นกินไอศกรีมชาเขียวที่ตลาด Ameyoko กันก่อน จากนั้นข้ามถนนไปช้อปปิ้งกันที่ตึก Takeya

มองหาไม่ยากครับ ตึกสูงสีม่วงเด่นเป็นสง่าอยู่ใกล้กับสวนสาธารณะ Ueno

ในร้านมีสินค้าทุกประเภทให้ลือกช้อปกันอย่างจุใจ ทั้งขนม ของกิน ของเเบรนด์เนม เครื่องสำอางค์ ฯลฯ

ในราคาที่ถูกกว่าบ้านเราจริงๆ ขาช้อปทั้งหลายห้ามพลาดครับ



เมฆฝนยังไม่จากเราไปไหน ฝนตกปรอยๆ สลับหยุดบ้างเป็นระยะ บรรยากาศในสวนสาธารณะ Ueno เงียบสงบ

ใบไม้สีเหลืองอร่ามของต้นเเปะก๊วยที่เหลืออยู่ไม่มาก ช่วยเติมสีสันในวันฟ้าหม่นให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง




อนุสาวรีย์ ไซโกะ ทากาโมริ (The Last Samurai) กับสุนัขคู่ใจ


จบจากย่าน Ueno แพลนต่อไปคือ พวกเราอยากไปถ่ายภาพต้นแปะก๊วยกับเเสงเย็นในมหาวิทยาลัยโตเกียว


เห็นในรีวิวมา ทั้งสวยและโรแมนติกมากๆ แต่พิจารณาสภาพอากาศตั้งเเต่เช้ามาจนถึงตอนนี้

บวกกับฝนที่ตกหนาเม็ดขึ้น เเต่ละคนทั้งเปียกทั้งหนาว เเละทั้งที่เป็นเวลา 4 โมง

เเต่ฟ้ามืดซะจนเเทบจะเหมือน 1 ทุ่ม เลยสรุปว่าต้องตัดใจครับ...

คอตกผิดหวังนั่ง Subway กลับที่พักกันไป นอนเเช่น้ำอุ่นแก้เมื่อยให้สบายตัว

เเล้วก็ออกมาเดินหามื้อเย็นทานกันเเถวที่พักน่ะแหละครับ



ครอกเก้ปู รสชาติเผ็ดร้อนที่คุ้นเคย ของ CoCo ICHIBANYA ในเรทราคาแพงกว่าบ้านเราเล็กน้อย


โปรเเกรมที่สุดท้ายของวันนี้คือ ย่าน Akihabara ศูนย์รวมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทุกประเภท


เครื่องใช้ไฟฟ้า เกม ของเล่น ของสะสม ฯลฯ อยู่ห่างจากสถานี Kodenmacho ที่พักของเราเพียงสถานีเดียว

เดินเล่น ถ่ายรูป ช้อปกันจนเพลิน เหลือบดูเวลาก็ 3 ทุ่มเข้าไปเเล้ว ได้เวลากลับไปพักผ่อน เก็บแรงไว้ลุยต่อในวันพรุ่งนี้ครับ




Day 2 Tokyo

Tokyo Imperial Palace - Shinjuku - Harajuku - Roppongi - Shibuya


โปรเเกรมวันที่ 2 นี้ เราจะเดินเที่ยวตามย่านดังต่างๆ ในโตเกียวกัน

อากาศดี มีแดด ท้องฟ้าเเจ่มใสครับ เริ่มกันที่ Tokyo Imperial Palace หรือพระราชวังโตเกียว

จาก Kodenmacho นั่ง Subway Hibiya Line ไปที่สถานี Hibiya

เปลี่ยนเป็น Chiyoda Line เเล้วนั่งไปลงที่สถานี Nijubashimae ใช้ทางออก 2 เดินขึ้นมาจะเจอสวนสาธารณะ

ตรงอย่างเดียวก็จะถึงสะพานแว่นตาครับ มองไปเห็นตัวพระราชวังสีขาวชัดเจน

พวกเราสงสัยกันว่า วันนี้ทางวังต้องจัดงานอะไรแน่ๆ เพราะมีนักท่องเที่ยวทั้งญี่ปุ่น จีน เกาหลี ต่างชาติ

แห่กันมาต่อเเถวเข้าชมพระราชวังกันยาวเหยียด เมื่อเห็นจำนวนคนเเล้ว

พวกเราจึงขอบายไปเดินเล่นที่ Shinjuku และ Harajuku เลยดีกว่า



สะพานแว่นตา เเบบไม่ครบวง เเนะนำว่าให้มาถึงเช้าๆ ครับ น้ำจะยังนิ่ง เเสงไม่เเรง ส่วนตะไคร่น้ำจะเยอะหรือน้อย คงต้องเเล้วเเต่ดวงครับ


เดินกลับมาที่สถานี Nijubashimae นั่ง Subway Marunouchi Line ไปลงสถานี Shinjuku เดินออกนอกสถานีกันไปแบบ random เลย

เพราะไม่มีเป้าหมาย หรือร้านที่อยากไปกัน สำหรับคนที่ไม่ได้โปรดปรานการช้อปปิ้งอย่างผม สิ่งที่ประทับใจในย่านดังของโตเกียวแห่งนี้

กลับกลายเป็นร้านอาหารหยอดเหรียญข้างทาง ที่บังเอิญเจอด้วยความฟลุ๊ค เเต่ทั้งอิ่มอร่อย ราคาก็ไม่แพงครับ


ร้านเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางตึกสูงย่าน Shinjuku

คัทสึด้ง ราคา 490 เยน


จาก Shinjuku เราเปลี่ยนบรรยากาศไปนั่ง JR กันบ้าง โดยนั่งไปลงสถานี Harajuku ที่อยู่ห่างออกไปเเค่สถานีเดียว


ศาลเจ้าเมจิ คือเป้าหมายหลักในวันนี้ของผม เราเเวะเดินเล่นกันที่ ถนน Takeshita ถนนสายช้อปปิ้งของวัยรุ่นกันก่อน

ร้านรวง ข้าวของ ขนม เสื้อผ้า ทุกอย่างดูมีสีสันสดใสน่ารักไปหมด และถึงเเม้จะไม่ใช่วันอาทิตย์

เเต่สาวน้อยหน้าตาบ๊องแบ๊วแต่ง cosplay ก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง

อ้อ...เวลาจะถ่ายภาพพวกเธอ แนะนำว่าให้ขออนุญาตก่อนก็ดีครับ

ถ่ายเสร็จ ผมจะพูดขอบคุณเป็นภาษาบ้านเค้า เป็นสิ่งหนึ่งที่ผมชอบทำเวลาไปเที่ยวต่างประเทศครับ

สำเนียงจะผิดจะถูก ก็ไม่เป็นไร มันเหมือนกับเวลาเราเห็นฝรั่งพนมมือไหว้เเล้วพูดว่า

"ซาหวัดดีกรั่บ" "ขอบคุณกรั่บ" เวลาที่ได้เห็นแบบนั้น เราเองยังรู้สึกดีเลยครับ



ข้ามฝั่งกลับมาที่สถานี JR เดินไปทางซ้ายมือไม่ไกล ก็จะเจอศาลเจ้าเมจิ มีเสาโทริอิขนาดยักษ์ตั้งอยู่ด้านหน้า


บรรยากาศระหว่างทางเดินเข้าศาลเจ้าเมจิ สงบร่มรื่น เขียวครึ้มไปด้วยต้นไม้ใหญ่

ช่วยแก้อาการ "เลี่ยน" ตึกสูงเเละเมืองใหญ่ของผมได้เป็นอย่างดี

ความจริงเเล้ว ศาลเจ้าเเละวัดต่างๆ คงเหมาะกับผมมากกว่าย่านช้อปปิ้งที่มีผู้คนพลุกพล่าน เเต่ก็นั่นแหละครับ...

มาญี่ปุ่นทั้งที ถ้าไม่มาเดินเที่ยวย่านเจริญต่างๆ อย่าง Shinjuku Shibuya เดี๋ยวจะหาว่ามาไม่ถึง




ระหว่างที่ผมกำลังถ่ายภาพอยู่เพลินๆ ก็มีเจ้าหน้าที่คนนึงเดินมาพูดกับผมเป็นภาษาญี่ปุ่น พร้อมทั้งให้สัญญาณมือ

ซึ่งพอจะเดาได้ว่า ให้ผมออกไปจากพื้นที่ตรงนี้ ผมเดินถอยออกมาด้วยความงุนงงสงสัยว่าตัวเองทำอะไรผิด

ไม่นานก็ถึงบางอ้อครับ วันนี้มีพิธีแต่งงานดั้งเดิมแบบญี่ปุ่นที่ศาลเจ้านี่เอง



ขบวนพิธีนำมาด้วยชายที่แต่งกายคล้ายโชกุน เจ้าบ่าวอยู่ขวา เจ้าสาวอยู่ซ้าย ตามด้วยพ่อแม่และญาติสนิทของเเต่ละฝ่าย

ทุกคนค่อยๆ ก้าวเดินอย่างช้าๆ สงบเสงี่ยมและเป็นระเบียบ นับตั้งแต่ขบวนพิธีเดินออกมาที่ลาน

บรรยากาศในศาลเจ้าก็เปลี่ยนไปทันที ทั้งมีสเน่ห์และเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลัง



พวกเราออกจากศาลเจ้ากันประมาณบ่ายแก่ๆ เพื่อจะไปชมทิวทัศน์มุมสูงของเมืองที่ Mori Tower


ส่วนตัวผมตั้งใจเอาไว้ว่าจะมาเก็บภาพหอคอยโตเกียวกับแสงส้มๆ

เหมือนในหนังเรื่องโปรด Always: Sunset on Third Street ครับ



Mori Tower ตั้งอยู่บริเวณ Roppongi Hill ใกล้กับสถานี Roppongi


ตั๋วสำหรับขึ้นไปชม Tokyo City View ราคา 1500 เยน ต่อคน ในราคานี้รวมค่าเช้าชม Mori Museum Art ด้วยครับ

สภาพอากาศวันนี้ถือว่าโอเคมากๆ หลังจากที่วันแรกเจอฝนกันไปเต็มๆ




Mori Museum Art

โปรเเกรมวันนี้จะไม่สมบูรณ์ ถ้าพวกเราไม่ได้เดินข้ามทางม้าลายที่ 5 แยกดังระดับโลก


จากสถานี Roppongi ให้นั่ง Subway Oedo Line ไปที่สถานี Aoyama Itchome

จากนั้นเปลี่ยนเป็น Ginza Line หรือ Hanzomon Line ก็ได้ เเล้วไปลงที่สถานี Shibuya ครับ

พวกเราจบวันที่ 2 ด้วยมื้อหนัก เป็นบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง ร้าน Yakiniku Shuka Gyukaku ราคาหัวละ 3628 เยน

สามารถเซิสหาตำแหน่งร้านจากใน google map ได้เลย ทางเข้าร้านเป็นทางลงเล็กๆ ไปชั้นใต้ดิน อยู่ตรงข้ามกับ H&M ครับ




Day 3 Tokyo > Kyoto

Tsukiji Fish Market - Kyoto - Gion

ที่พัก : Backpackers Hostel K's House Kyoto

ห้องน้ำรวม / ห้องครัว / ห้องนั่งเล่น / มุมพักผ่อน-อ่านหนังสือ

สถานีใกล้เคียง : Kyoto (เดิน 10 นาที)



โปรเเกรมครึ่งเช้าวันนี้เราจะไปเดินตลาดปลาที่ใหญ่ที่สุดในโตเกียว Tsukiji Fish Market นั่นเองครับ

นั่ง Subway Hibiya Line จาก Kodenmacho ไปเพียง 4 สถานี ลงสถานี Tsukiji

เดินไปอีกไม่ไกลก็จะเข้าเขตตลาด สังเกตง่ายๆ คือจะมีพ่อค้าขับรถขนปลาวิ่งสวนกันขวักไขว่

ภายในตัวตลาดจัดแบ่งโซนไว้สำหรับให้นักท่องเที่ยวเดินชมได้

ระหว่างการเดินชมตลาด เเนะนำให้ทำตัวให้ลีบเล็กที่สุด และถ่ายภาพอย่างมีมารยาท

พยายามไม่เกะกะขวางทางเหล่าพ่อค้า เพราะความสดของปลาคือสิ่งสำคัญ เวลาทุกนาทีจึงมีค่าสำหรับพวกเค้าครับ



จุดหมายต่อไปของพวกเรา คือเมืองเกียวโต เดินทางด้วยรถไฟหัวกระสุน Shinkansen ครับ


ตื่นเต้นครับ... ตื่นเต้นตั้งแต่ตอนซื้อตั๋วเลย ไม่ใช่อะไรครับ พนักงานขายตั๋วพูดอังกฤษแทบไม่ได้ คือฟังยากมากๆ

สุดท้ายใช้ภาษามือบวกกับดำน้ำกันไปเรื่อยๆ ก็ได้มา ตั๋ว Shinkansen มุ่งสู่เกียวโต



ใช้เวลาเดินทาง 2 ชั่วโมงครึ่ง พวกเราก็ถึงที่หมาย โดยเราจะพักกันที่ Backpackers Hostel K's House


เดินจากสถานีเกียวโต เพียง 10 นาที ที่นี่ถูกใจพวกเราทั้งเรื่องบรรยากาศและบริการครับ

ที่ถูกใจบริการนี่ก็เพราะเรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนผมคนนึง มันดันลืมโมเดลกันดั้มตัวเบ้อเร่อทิ้งไว้บน Shinkansen

ทำไงล่ะครับที่นี้ จะกลับไปแจ้งเรื่องที่สถานี ก็กลัวการสื่อสารจะล้มเหลว

ไหนจะต้องเดินตามหาแผนกที่รับเรื่องนี้ สถานีเกียวโต ก็ใหญ่โตสมชื่อเหลือเกิน เเค่คิดก็เหนื่อยเเล้วครับ

แต่เเล้วพวกเราก็นึกขึ้นมาได้ว่า ในเมื่อพนักงานต้อนรับที่ K's House ทุกคนพูดอังกฤษได้ดีขนาดนี้

ก็ลองขอให้เค้าช่วยประสานกับทางสถานีดูมั้ย อย่างน้อยก็คงสื่อสารได้ดีและรวดเร็วกว่าพวกเราเป็นแน่



พี่พนักงานที่รับเรื่องจากพวกเรา ยกหูโทรศัพท์โทรไปที่สถานีทันที คุยกับปลายสายเป็นภาษาญี่ปุ่น


สลับกับการถามข้อมูลกับพวกเราเป็นภาษาอังกฤษ ถามค่อนข้างละเอียดครับ กล่องสีอะไร มีถุงมั้ย เเล้วถุงสีอะไร

ถามเลยเถิดไปถึงรุ่นของกันดั้ม... วางหูไปก็ได้เรื่องมาว่า ค่ำๆ ทางนู้นจะแจ้งกลับมาว่าเจอของรึเปล่า

ถึงตรงนี้มีหวังขึ้นมาเเล้วครับเพื่อนผม ระหว่างรอผลจากทางนู้น

พวกเราก็เดินตามโปรเเกรมเดิมที่วางไว้คือ ไปเดินเล่นย่าน Gion กันครับ




พวกเราเลือกไปทาง Subway เนื่องจากที่พักอยู่ใกล้กับสถานี Shichijo นั่งไปเเค่ 2 สถานี ลงที่ Gion Shijo

เดินเที่ยวชมร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ และบรรยากาศของย่าน Gion ไปเรื่อยๆ จนสุดถนน Shijo ก็จะเจอศาลเจ้า Yasaka ครับ



กลับมาถึงที่พัก พี่พนักงานก็ทักเพื่อนผมทันที "โอ้...มาเเล้วหรอกันดั้มบอย"


พี่แกเขียนรหัสตัวเลขใส่โน้ตยื่นมาให้แผ่นนึง เเล้วบอกให้พวกเราไปรับเจ้ากันดั้มตัวนี้ได้ที่แผนก Lost & Found ของสถานี Shinosaka

ซึ่งเป็นเมืองสุดท้ายของทริปนี้ที่เราจะเดินทางไปอยู่เเล้ว ไปถึงก็เเค่บอกรหัสนี้กับเจ้าหน้าที่เป็นการระบุตัวตนของเรา

เท่านี้ก็เรียบร้อย... ของหายเเล้วได้คืน เป็นเรื่องน่ายินดีครับ service mind ของพี่ๆ ที่ K's House นี่น่าชื่นชมจริงๆ

สุดท้ายเพื่อนผมมันก็ได้กันดั้มกลับมานอนกอด พร้อมความประทับใจมิรู้ลืม


Day 4 Kyoto

Fushimi Inari Shrine - Tokukuji Temple - Ginkakuji Temple (วัดเงิน) - Kiyomizu Dera Temple (วัดน้ำใส)



อากาศที่เกียวโตตอนนี้ หนาวกว่าที่โตเกียวหลายเท่าครับ อุณหภูมิอยู่ที่ราวๆ 5-7 องศาเท่านั้น

ที่แรกที่พวกเราไปกันก็คือ ศาลเจ้า Fushimi Inari เดินไปขึ้น Subway Keihan Line ที่สถานี Shichijo นั่งไปลง สถานี Fushimi-inari

เดินต่อนิดหน่อยก็ถึงตัวศาลเจ้าครับ ใครอยากได้ภาพถ่ายกับเสาโทริอิสีแดงเรียงรายกันเป็น background

เเนะนำให้มาเเต่เช้า เพราะนักท่องเที่ยวยังน้อย ถ่ายภาพสบายครับผม

ค่าเข้าชม : ฟรี



จากศาลเจ้าสุนัขจิ้งจอก นั่งรถไฟกลับไปสถานีเดียวก็จะถึงวัด Tofukuji วัดนี้ขึ้นชื่อเรื่องภูมิทัศน์ที่สวยงาม


ถ้ามาช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ที่นี่จะเต็มไปด้วยทะเลใบไม้แดง สวยงามเป็นที่น่าตื่นตาอย่างยิ่ง

เเต่ ณ ตอนนี้ เหลือเเต่เพียงกิ่งไม้แห้งๆ กับเศษใบไม้ที่ร่วงหล่นกองอยู่เต็มพื้น

บนต้นยังเหลืออยู่บ้าง ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพกันเป็นพิธี

ค่าเข้าชม : 400 เยน



เรานั่งรถไฟกลับมาตั้งต้นกันที่สถานีเกียวโต ซื้อ City Bus 1 Day Pass ราคา 500 เยน ได้ที่สำนักงานหน้าสถานี


ราคารถบัสต่อเที่ยว 220 เยน ใช้บัตรนี้ขึ้นเกิน 2 รอบก็คุ้มแล้ว อย่าลืมขอแผนที่เส้นทางรถบัสมาดูด้วยนะครับ มีประโยชน์มากๆ

มองเเว่บแรกอาจจะดูยุบยับไปหน่อย เเต่ถ้าลองตั้งใจดู ก็ไม่ยากเลยครับ เส้นทาง สถานที่สำคัญต่างๆ ป้ายลง บอกไว้หมดชัดเจน



ข้าวหน้าไข่ ราดซอสเดมิกลาส ร้าน Kineya ที่ restaurant cafe ใน สถานีเกียวโต



วัด Ginkakuji หรือ วัดเงิน ขึ้นรถบัสสาย 100 ลงที่ป้าย Ginkakuji-michi เดิน 5 นาที

ค่าเช้าชม : 500 เยน

และเเล้วก็มาถึงไฮไลท์ วัด Kiyomizu Dera ครับ เป็นที่สุดท้ายที่พวกเราจะไปกันในวันนี้


นั่งรถบัสสาย 100 ย้อนกลับมาลงที่ป้าย Kiyomizu-michi

วัดน้ำใสนี่ฮอทฮิตสมชื่อครับ นักท่องเที่ยวล้นหลาม ถึงแม้ว่าใบไม้แดงจะร่วงไปจนหมดเเล้ว

แต่ที่เยอะขนาดนี้ อาจเป็นเพราะว่าช่วงนี้วัดมีงานจัดแสดงแสงสีเสียงตอนกลางคืนด้วย

วัยรุ่นหญิงชายชาวญี่ปุ่น ทั้งคู่รัก กลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ มาพร้อมชุดยูกาตะและกิโมโน ช่วยสร้างบรรยากาศได้ดีมาก

ผมไปสะดุดกับสาวญี่ปุ่นคนนึง เธอกำลังกวักควันธูปเข้าหาเพื่อนชาวต่างชาติ การกวักควันธูปเข้าหาตัวนั้น

เชื่อว่าจะทำให้โชคดีมีสุข สุขภาพแข็งแรง เป็นการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้กันทางวัฒนธรรมที่น่ารักดีครับ

ค่าเข้าชม : 300 เยน




Day 5 Kyoto > Osaka

Tenryuji Temple - Kinkakuji Temple (วัดทอง) - Osaka - Shinsaibashi - Dotonbori

ที่พัก : Nishitetsu Inn Shinsaibashi

ฝั่งตรงข้ามมี Lawson

สถานีใกล้เคียง : Shinsaibashi (เดิน 6 นาที)



เริ่มต้นวันกันเเต่เช้าตรู่เหมือนเดิม โปรเเกรมเเรกของวันนี้คือ วัด Tenryuji ครับ

เดินจากที่พักไปสถานีเกียวโต ขึ้น JR Sagano Line ไปลงสถานี Sagaarashiyama

เมื่อออกจากสถานีให้เราเดินไปทางขวามือ จะเป็นถนนเล็กๆ เดินตรงอย่างเดียวก็จะเจอทางเข้าหลังวัดที่เป็นป่าไผ่

มาถึงเช้าๆ แบบนี้ คนน้อยครับ พวกเราใช้เวลาถ่ายรูปและชื่นชมความงามของป่าไผ่กันอย่างเต็มที่

ว่าเเต่ถ่ายยังไง มุมไหน ก็ไม่สวยเหมือนของจริงเลย ป่าไผ่วัด Tenryuji นี่ คงต้องมาชมด้วยตาตัวเองเท่านั้นครับ




ตัววัด Tenryuji สวยสมกับที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลก งามทั้งเรื่องทิวทัศน์เเละสถาปัตย์ครับ

ค่าเข้าชม : 500 เยน

ผมสังเกตเห็นอยู่อย่างหนึ่งครับ เวลาที่คนญี่ปุ่นถ่ายภาพหรือเซลฟี่กันอยู่ ถ้าเราหยุดยืนรอจนเค้าถ่ายเสร็จ


เค้าจะรีบหันมาขอโทษหรือขอบคุณทันที ผมว่ามันเป็นมารยาทที่ดีที่นักท่องเที่ยวทุกคนควรมี

ไม่ว่าจะไปที่ไหน ถ้าทุกคนมีน้ำใจเอื้อเฟื้อกัน ใส่ใจคนรอบข้างบ้าง มีเเต่จะช่วยสร้างรอยยิ้มให้กันครับ



พวกเราเดินออกกันมาทางหน้าวัด เเล้วเลี้ยวขวาไปขึ้นรถไฟที่สถานี Arashiyama

นั่ง Arashiyama Line ไปที่สถานี Katabiranotsuji

เเล้วเปลี่ยนเป็น Kitano Line ไปลงที่สถานี Kitano-Hakubaicho

เเล้วต่อรถบัสสาย 101, 102 ไปวัด Kinkakuji ครับ





วัด Kinkakuji หรือ วัดทอง เป็นที่สุดท้ายก่อนที่เราจะเดินทางไปโอซาก้ากัน

ลงรถบัสสาย 102 ที่ป้าย Kinkakuji-michi

ค่าเข้าชม : 400 เยน

กลับถึงที่พัก รับสัมภาระที่ฝากไว้ โค้งขอบคุณพี่พนักงานที่เป็นธุระเรื่องกันดั้มให้


โบกมือลาเกียวโต เมืองอันแสนสงบสวยงาม เตรียมตัวเดินทางสู่มหานครโอซาก้า

แต่พวกเราต้องแวะที่สถานี Shinosaka เพื่อไปรับเจ้ากันดั้มซะก่อน

ไปถึงก็ถามเจ้าหน้าที่ว่าแผนก Lost & Found อยู่ตรงไหน

เหมือนเคยครับ ฟังยากมากๆ เเต่ก็มั่วกันจนเจอ

จากนั้นก็ทำตามขั้นตอน คือยื่นกระดาษที่มีรหัสให้ และตอบคำถามอีกนิดหน่อย เท่านี้ก็เรียบร้อยครับ



จากสถานี Shinosaka นั่ง Subway Midosuji Line ไปลงสถานี Shinsaibashi


เช็คอินเข้าโรงแรม เก็บของ เเละนัดเวลากัน เพื่อออกไปเดินเล่นหาอะไรอร่อยๆ กินกันที่ย่าน Dotonbori ครับ




Day 6 Osaka

Osaka Castle - Shitennoji Temple - Shinsekai - Dotonbori



วันสุดท้ายของทริป นั่ง subway สลับกับเดินเที่ยวกันสบายๆ ในโอซาก้าครับ

เริ่มต้นที่แรก Landmark ประจำเมือง ปราสาทโอซาก้า

นั่ง Subway Nagahori Tsurumi-ryokuchi Line ไปลงสถานี Osaka Business Park เเล้วเดินเข้าตัวปราสาทครับ




จากนั้นไปเที่ยววัด Shitennoji ครับ ต่อด้วยเดินช้อปปิ้งที่ย่าน Shinseikai


ชุดเนื้อผัดกะทะร้อน ร้าน Kasuya อยู่หัวมุม 4 แยกตรงทางออกหน้าวัด ราคา 715 เยน


เดินช้อปปิ้งย่าน Shinseikai

ค่ำๆ เดินเล่นเเถว Shinsaibashi และมื้อเย็นที่ Dotonbori เหมือนเดิมครับ


เป็น 6 วัน ที่ช่างผ่านไปรวดเร็วเหลือเกิน

เช้าวันพรุ่งนี้ ก็ถึงเวลาที่พวกเราต้องเดินทางกลับกันเเล้ว

ประเทศญี่ปุ่นยังมีสถานที่ๆ น่าสนอีกมากมาย เเต่ละฤดูกาลก็สวยงามแตกต่างกันออกไป

แม้ว่าพวกเราจะพลาดชมใบไม้หลากสีสุดแสนโรแมนติก แม้ว่าทริปนี้จะไม่ได้สมบูรณ์แบบ

แต่การมาเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ มันก็ทำให้พวกเราได้ประสบการณ์กับความทรงจำดีๆ กลับไปไม่น้อย

ถ้ามีโอกาสพวกเราจะกลับมามองดูญี่ปุ่นในมุมอื่นๆ บ้างอย่างเเน่นอนครับ


ซาโยนาระ... ขอบคุณทุกคนที่ติดตามครับผม (:

www.facebook.com/blue.eyes.photo.graphic

ความคิดเห็น