สวัสดีค่ะ บล็อกนี้เพิ่งเริ่มเขียนรีวิวเป็นครั้งแรก การนำเสนออาจจะยังไม่ราบรื่นเท่าที่ควร ขอร่วมแชร์และแบ่งปันประสบการณ์จากการได้ออกเดินทาง เพื่อประโยชน์แก่มวลชนและผู้สนใจทั่วไป ในรูปแบบของการเล่าเรื่องราวในสิ่งที่พบเห็น เพิ่มอรรถรสด้วยรูปภาพ ข้อมูลเล็กๆน้อยๆ เพื่อการท่องเที่ยวในแต่ละทริปมีความหมาย ให้ผู้สนใจ เพลินตา สุขใจไปตามเจตนารมณ์ของผู้เขียน สำหรับตอนแรกนี้เป็นการเดินทางเล็กๆ ในวันที่เรียกได้ว่า "เป็นสวรรค์ของคนกรุงเทพฯ " เป็นช่วงหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ที่ผู้คนต่างพากันเดินทางออกสู่ต่างจังหวัด เป็นโอกาสทองของคนกรุงฯ ที่จะเดินทางไปไหนต่อไหนได้อย่างสะดวกสบาย รวดเร็วดั่งใจ โอกาสดีๆแบบนี้จึงไม่ควรพลาด .....ไปกันเลยค่ะ "เมืองโบราณ"

ออกจากที่พักย่านถนนรามคำแหง(รถยนต์ส่วนตัว)ใช้เส้นทางด่วนกาญจนาภิเษก(วงแหวนตะวันออก)ผ่านด่านทับช้างและผ่านด่านบูรพาวิถี ใกล้ๆกับห้างMega เมือเห็นพิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ลงทางด่วน สมุทรปราการ-สำโรงขับตรงไปเรื่อยๆ ถึงสามแยกสมุทรปราการ เลี้ยวขวาไปตามถนนสุขุมวิทสายเก่าประมาณกิโลเมตรที่ 33 ก็ถึงแล้วค่ะ จะมีหลักกิโลเมตรจำลองใหญ่ๆ เป็นที่สังเกตุ


บริเวณด้านหน้าจะเป็นที่จอดรถ ที่ทำการจำหน่ายตั๋ว สำหรับราคาค่าบัตร คนไทย บัตรผู้ใหญ่ 250 บาทเด็ก 125 บาท ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปลดครึ่งราคา เหลือ 125 บาท และสิทธิพิเศษสำหรับคนสมุทรปราการ ลดครึ่งราคาเช่นกัน(ต้องแสดงบัตรประชาชน) สำหรับชาวต่างชาติบัตรราคา 400 บาท สำหรับผู้ใหญ่ และ200 บาทสำหรับเด็ก อ้อ! เผอิญว่า ในช่วงที่ไปมี Promotion คนไทยเสียค่าบัตร เพียงท่านละ 100 บาท (โชคดีไป)การเข้าเที่ยวชมภายในเลือกได้หลายวิธี เช่นนั่งรถรางบริการ นั่งรถกอล์ฟ ที่มีให้เลือกหลายขนาด เช่นนั่ง 2 คน , นั่ง 4 คน, นั่ง 8 คน,หรือถึง 10 คน ,จะถนัดขับไปเอง หรือมีคนขับให้บริการ ก็เลือกใช้ได้ตามความต้องการ สนนราคาก็จะแตกต่างกันไป หากแต่ท่านใดประสงค์จะขับรถส่วนตัวเข้าไปก็ได้เช่นกัน จะเสียค่านำรถเข้าคนละ 400 บาท หรือใครจะเที่ยวแบบชิลล์ๆ หรือชอบบรรยากาศแบบ ลัล..ล้า ก็มีจักรยานไว้บริการ (ฟรี) อีกทางเลือกหนึ่ง "เดิน"ก็มีผิดกติกา เช่นกัน สำหรับทริปนี้ เราเลือกเที่ยวชมด้วย บรรยากาศแบบชิลล์ๆ จักรยาน นี่แหละ....ตามมาค่ะ.....

ภาพประกอบ


ระหว่างทางมีแนวไม้เขียวขจี ร่มรื่น ช่วยให้การปั่นจักยานมีบรรยากาศได้ชิลล์ ไม่ร้อน มีเพื่อนร่วมทางเยอะมากเลย สถานีแรกที่เราหยุดแวะ อาคารไม้แบบดั้งเดิม ภายในบอกเล่าเรื่องราว ชีวประวัติ และเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งและสร้างเมืองโบราณแห่งนี้ ให้นักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้ศึกษาเรียนรู้

สถานีต่อมาที่กำลังสร้างบรรยากาศให้ผู้คนต้องหยุดแวะ ด้วยเสียงประชาสัมพันธ์เชิญชวน ดังแว่วมาแต่ไกล ตั้ง Concept ว่าตลาดโบราณ ซึ่งอยู่ในส่วนของ Free zone(ตามแผนที่) เป็นแหล่งรวมที่มีชีวิตชีวาแบบย้อนยุค ด้วยอาคารทรงโบราณ รวบรวมร้านค้าแบบโชว์ห่วย อาหารการกิน ของเล่น ตุ๊กตา ขนมโบราณ สิ่งละอันพันละน้อย ที่สรรหามาวางขาย ให้ผู้มาเยือนได้เพลิดเพลินกับบรรยากาศ ได้เก็บภาพเต็มอิ่มย้อนเวลา ช่วงวันวาน...ยังหวานอยู่


เราแวะชมโน้น นี่ นั่น เรื่อยไป สายตาเหลือบเห็นป้าย...ที่บอกว่าด้านในนั้นมีอะไรบ้าง แวะเข้าไปดู และก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ด้านหนึ่งเป็นเรือนไม้ทรงไทยเปิดโล่ง ภายในจำลองเป็นบ้านแบบสมัยเก่า ที่ฝาบ้านจะแขวนรูปภาพที่ใส่กรอบเรียบร้อย เช่นภาพโฆษณาสินค้า ภาพดาราผู้โด่งดัง ในยุคนั้น อีกมุมหนึ่งจำลองเป็นร้านตัดผมชาย หลงเพลินซึมซับกลิ่นไอ ในอดีตที่เต็มไปด้วยเรื่องราว

เมื่อเดินย้อนออกมาอีกด้านหนึ่ง ก็จะเห็นบรรยากาศของ โรงหนังใหญ่ โรงงิ้วหุ่นกระบอก โรงบ่อนขุนพัฒน์ ฯลฯ


ตกอยู่ในภวังค์ ของการบอกเล่าเรื่องราวเก่าๆอยู่นาน กลับออกมา...จักรยานคันเดิมพาเราต่อไป ผ่านร่มไม้ใบบัง สิ่งปลูกสร้าง อื่นๆที่เราเพียงชมผ่าน เพราะเริ่มประเมินได้ว่า ยังไปไม่ถึงไหน ในพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลถึง 800 ไร่ เห็นที่ถ้าอ้อยอิ่งนานเกินไป คงเที่ยวชมได้ไม่ถึงครึ่ง เรามาหยุดอีกครั้งเมื่อถึงเรือนไทยหลังใหญ่ มีคลองน้ำเล็กๆรอบบ้าน ที่มีลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูง มีกอต้นพุทธรักษาสีเหลือง ก่อนสะพานข้าม กับช่อกล้วยไม้ที่เกาะติดตรึงกับต้นไม้ใหญ่ ก่อนขึ้นบันได การขึ้นไปชมเรือนด้านบนต้องถอดรองเท้า มีบริเวณบ้านชานเรือน กระถางต้นไม้ใบใหญ่ เตียงตั่ง สำหรับนั่งเล่น บนเรือนมีหลายห้อง พื้นไม้เป็นเงาวับ แสดงว่าคงมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดี มีชานเรือนเป็นที่สำหรับนั่งเล่น พักผ่อน บรรยากาศที่เย็นสบายด้วยสายน้ำและพุ่มดอกไม้ห้อยระย้า มองออกไปเป็นวิหารพระศรีสรรเพชญของจริงตั้งอยู่ที่จังหวัดอยุธยา ขอเวลานั่งชิลล์สักหน่อยเป็นไร

ลงจากเรือน...จูงจักรยานไปยังฝั่งตรงกันข้ามเป็นที่ตั้งของหอพระแก้ว อาคารโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบจีน ทรงหกเหลี่ยม ประกอบด้วยอาคารหลังใหญ่ และอาคารหลักเล็ก หลังคาหลายชั้นลดหลั่นกันไป ตั้งตระหง่านอยู่ในบึงน้ำ มีสะพานโค้งสีขาวที่ตัดกับราวสะพานที่เขียวสะท้อนลงพื้นน้ำได้อย่างสวยงาม และมีอาคารลักษณะคล้ายศาลากลางน้ำ เมื่อดูโดยรวมทำให้คิดถึงสวนในพระราชวัง...ฉากหนังจีนกำลังภายในยุคสมัยหนึ่ง มีผู้รู้ให้ข้อมุลว่าสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาในสมัยกรุงศรีอยุธยา

ภายในอาคารหลังใหญ่ เป็นที่ประดิษฐานพระแก้ว ตกแต่งสีสันและลวดลายเฉดสีอิฐและเหลืองทอง หลังคาคล้ายโดมทรงสูง เสากลมแต่งด้วยลวดลายสีต่างๆ

เราออกจากที่นี่ แล้วผ่านชมสวนขุนช้างขุนแผน พระปรางยอดกลีบมะเฟืองของจ.ชัยนาท แล้วมาถ่ายภาพพระปรางสามยอดของจ.ลพบุรีที่อยู่ฝั่งตรงกันข้ามริมแม่น้ำ

จักรยานคันเดิมพาเราไปเรื่อยๆ ระหว่างทางมีต้นไม้ร่มรื่น มีเพื่อนร่วมทาง มีรถรางวิ่งผ่าน บางครั้งรถกอล์ฟ ระหว่างทางก็มีเด็กๆเล่นสาดน้ำสงกรานต์บ้าง เราผ่านชมวิหารวัดโพธิ์เก้าต้น จ.สิงห์บุรี และสถานที่อื่นๆ เพราะเริ่มเข้าโหมดต้องการอาหารแล้ว จุดมุ่งหมายตอนนี้ต้องเติมพลังกันหละ....


เรามาอยู่ที่ตลาดน้ำตำหนักหยก ก็เพราะเป็นตลาดน้ำบรรยากาศจึงล้อมรอบด้วยคลอง หรือคู่น้ำขนาดใหญ่ ปลูกสร้างอาคารคล้ายบ้านริมน้ำ สถาปัตยกรรมออกแนวไทยๆ กึ่งจีนบ้าง มีร้านขายของที่ระลึก ขายอาหาร ก๋วยเตียวเรือ ขนมนมเนย สิ่งละอันพันละน้อยให้ได้เดินชมเพลินๆ ผัดไทกุ้งสด(สี่สิบบาท) อาหารสำหรับมือนี้...และที่จุดนี้ยังมีบริการเรือพายให้เช่าเที่ยวชมอีกด้วย อ้อ! ลืมถามสนนราคา

บรรยากาศตลาดน้ำ

ในคลองมีเรือยนต์ เรือโยง เรือลากจูง เรือบรรทุกสินค้า ผูกต่อกันเรียงรายหลายลำ ทำให้หวนคิดถึงบรรยากาศ เด็กผมแกระ หัวเกรียน แก้ผ้า กระโดดน้ำ เกาะท้ายเรือ ส่งเสียงแจ้๊วจ๊าว ตลอดคุ้งน้ำ เมื่อ20-30 ปีก่อน

เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้ว ชั่งใจอยู่ว่าจะไปทางไหนต่อดี ก็เหลือบเห็นกระบวนจักรยานกลุ่มหนึ่งข้ามพ้นสะพานมา ฟังสำเนียงเสียงภาษาที่สนทนากัน เพื่อนบ้านเราชาวอาเซี่ยนทั้งนั้นเลย จึงลองตามไปดู แล้วมาหยุดที่ สถานีวัดจองคำ จ.ลำปาง


และด้านหน้าฝั่งตรงกันข้าม เขาจัดเป็นที่ให้สรงน้ำพระ เพราะเป็นช่วงสงกรานต์พอดี ให้บรรยากาศแบบภาคเหนือ สิ่งที่สนใจคือการตัดกระดาษตกแต่งสีสันสดใส ก่อกองทรายบริเวณด้านหน้า และพวงมะโหดที่ห้อยย้อยระย้าบริเวณซุ้มประตูทางเข้าทำให้คิดถึงชาวเพชรบุรีที่ชำนาญเรื่องการตัดกระดาษตกแต่งนี้ในเทศกาล งานบุญ งานบวช งานรื่นเริง งานวัดประจำปีเมื่อในอดีต

เราผ่านหมู่บ้านไทยภาคเหนือมาถึงเรือสำเภาไทยลำใหญ่ จอดลอยสงบนิ่งในบึงน้ำให้นักท่องเที่ยวขึ้นไปชมได้ เราเพียงหยุดชมภายนอกและถ่ายภาพ

ศาลารามเกียรติ์ เป็นที่ที่เรามาถึงถัดมา เป็นศาลาหลายหลังที่การออกแบบคล้ายเจ๋งจีน มีแม่น้ำล้อมรอบ มีทางเดินเล่นเป็นเหลี่ยมเป็นมุนได้อารมณ์เพลิดเพลินในการเดินเล่นและนั่งพักในศาลา

เราผ่านเลยไปทางปีกซ้ายเป็นบริเวณที่มีคลองขนาดใหญ่ มีเรือพระราชพิธีจำลอง จอดเรียงรายอยู่เต็มคุ้งน้ำ กระบวนเรือขบวนเสด็จพยุหยาตราชลมารค อาทิ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงษ์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ เป็นต้น อลังการงานสร้างทีเดียว

เราเลี้ยวไปทางซ้ายและเลยไปอีกเล็กน้อย ถึงสถานี เขาพระสุเมรที่ดูคล้ายศาลามณฑปลอยอยู่บนหลังของตัวปลาใหญ่ ในสระน้ำขนาดใหญ่ มีช้างและกระต่ายเข้าคอยดูแล

ตะวันเริ่มบ่ายคล้อยมากแล้ว หลังคาสีเขียวๆกระทบกับแสงอาทิตย์มองเห็นแวววาวอยู่ไกลๆ เราจึงปั่นไปตามภาพที่เห็น ป้ายบอกว่าที่นี่เรียกว่า ศาลาพระอรหันต์ ช่างยิ่งใหญ่ อลังการงานสร้างอีกแล้ว รูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายมณฑปหลายหลัง ลดหลั่นกันไป มีหลังคาคล้ายโบสถ์ ยอดแหลมสูง ระดับช่อฟ้า กระเบื้องสีเขียวเชิงชายฉลุไม้สีเหลืองทอง เมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์อะร้าอร่ามเป็นสีทองสวยงาม มีสะพานทอดข้ามให้เดินเข้าไปชมด้านใด

เราเริ่มต้องทำเวลา หลายที่เราต้องแค่ผ่านชมและเก็บภาพระหว่างทางขากลับ เราได้เก็บภาพเหล่านี้ไว้ ศาลาทศชาติ เป็นศาลาสีเหลืองทอง ด้านในตกแต่งและประดับประดาด้วยลวดลายสวยงาม สำหรับนั่งเล่นและพักผ่อนได้ เมื่อมองออกไปจะเห็นสะพานสายรุ้งอยู่ไม่ไกล

อีกฝากฝั่งหนึ่งมองเห็นเรือนไทย กับสะพานไม้สีแดงพาดผ่าน

เราย้อนกลับมาใกล้ถึงส่วนของฟรีโซนอีกครั้ง เป็นสวนน้ำพุ พระโพธิสัตว์อวโลกิศวรบางแสดงปาฏิหาริย์

หลังจากนั้นเราผ่านไปชม สถานที่สร้างใหม่ เรียกว่า พุทธาวาสแห่งอนันตจักรวาล เป็นอาคารคล้ายโบสถ์หลังใหญ่สีทองเหลืองอร่าม มีพระปรางค์องค์ใหญ่ประดับเป็นยอด อีกด้านหนึ่งจะมีโรงแรมที่พักชื่อริมขอบฟ้า อยู่ใกล้เคียง สำหรับผู้ที่จะประสงค์เข้าพักค้างคืนก็ได้เช่นกัน

จบท้ายด้วยภาพ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท จ.อยุธยา

พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท

ก่อนจะต้องผ่านประตูออกไป เราแวะในส่วนตลาดโบราณอีกครั้ง ได้ชมเกวียนเก่า รูปแบบต่างๆ ที่ตั้งโชวร์ไว้ให้นักท่องเทียวได้ชมและเรียนรู้

ภาพเก็บตก ก่อนจบทริป

บันทึกส่งท้าย

เมืองโบราณ ตั้งอยู่ในเขตตำบลบางปูใหม่ ใกล้กับหลักกิโลเมตรที่ 33 ถนนสุขุมวิทสายเก่า จังหวัดสมุทรปราการ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวและแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรมไทย เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งแห่งสยามประทศตามเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้ง จากการได้เข้าไปเที่ยวชม สิ่งหนึ่งที่น่าชื่นชม มีระบบการจัดการแหล่งน้ำได้เป็นอย่างดี เพราะอาคารสิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่จะสร้างในแหล่งน้ำ หรือใช้สระน้ำเป็น Location และดูแลรักษาให้ยังคงใสสะอาด สำหรับทริปนี้ เวลาเพียง 1 วันอาจไม่สามารถเที่ยวชมได้อย่างทั่วถึง โซนทางด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือเรายังไม่ได้ไป คงต้องติดค้างไว้ แล้วหาเวลากลับมาอีกสักครา ที่นี่จะปิด ในเวลาประมาณ 18.00 น. หรือนักท่องเที่ยวต้องออกภายในเวลา 18.00 น. ด้วยข้อจำกัดเรื่องไฟฟ้าแสงสว่างภายใน อาจทำให้นักท่องเที่ยวไม่ได้รับความสะดวก

เราวางแผนว่ามื้อเย็นวันนี้ ศาลาสุขใจ สถานที่ต่างอากาศบางปู ว่าแล้ว..ก็ไปกันเลย แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะลูกค้าแน่นขนัด รอคิวยาว เราเลยเปลี่ยนใจ มื้ออร่อยมื้อนี้ด้วยข้าวเหนียวหมูปิ้ง กับภาพนกนางนวลถลาเล่นลมสวยๆ ที่อยูู่่คู่กับสถานที่ตากอากาศบางปูแห่งนี้มาตราบนานเท่านาน ให้ชมกันเพลินๆค่ะ

สรุปงบประมาณ

NGVเต็มถัง 128 บาท ค่าผ่านทางไป-กลับ 120 ค่าบัตร เข้าชม 100 บาท (ค่าอาหาร+น้ำดิ่ม+อื่นๆ) ประมาณ 200 บาท รวม 548 บาท

ขอจบทริปแรกแต่เพียงเท่านี้นะคะ

หวังว่าท่านที่ได้ชม จะได้รับความสุข "เพลินตา สุขใจไปกับดาริ "นะคะ

พบกันใหม่ทริปต่อไป

สวัสดีค่ะ






ความคิดเห็น