เมื่อตุลาปีที่แล้ว เราไปเที่ยวปัตตานี - เบตง มาค่ะ ทำให้นึกถึงประโยคนี้เลย
If you afraid of something
You could have missed the beauty of something.
"ความกลัวบางสิ่ง อาจทำให้พลาดความสวยงามบางอย่าง"
จริงๆ ตั้งใจจะเขียนรีวิวตั้งแต่กลับมาแระ แต่ดองไปดองมาก็ปีนึงพอดิบพอดี
นี่เป็นการเขียนรีวิวครั้งแรกใน pantip หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่สนใจอยากจะเดินทางไปที่นี่เหมือนกันนะคะ
ข้อมูลของเบตงจะอยู่ท้ายๆ นะคะ (ตอนแรกกะเขียนแค่ปัตตานี) เผื่อใครสนใจลองเข้าไปอ่านดูค่ะ
ปล.ที่เรามาเขียนรีวิวครั้งนี้ เพราะอยากจะบอกทุกคนว่า ปัตตานี ยังเที่ยวได้ ผู้คนก็เป็นมิตร และมีน้ำใจกับนักท่องเที่ยวอย่างเราไม่น้อยไปกว่าที่อื่นค่ะ ชาวบ้านแถวนั้นก็ยังใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้ดูรุนแรงอย่างที่เป็นข่าวอย่างที่เราเห็นกัน^^เริ่มจากที่เราอยากไปถ่ายรูปมัสยิดกลางปัตตานี เคยเห็นในเน็ตละสวยดี ก็อยากไปเห็นด้วยตาตัวเองบ้าง
ก็เลยเริ่มหาข้อมูลการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งเราก็หาข้อมูลใน pantip นี่ละค่ะ
เนื่องจากงบน้อยเราเลือกที่จะไปรถทัวร์ เป็นรถสายกรุงเทพ - สุไหงโกลก ผ่านปัตตานีค่ะ ค่ารถน่าจะอยู่ที่ 600 กว่าบาท
ขึ้นรถตอนทุ่ม ไปถึงปัตตานี 9.00 น. เนื่องจากฝนตกหนัก (นานเหนือจินตนาการ 555+)หลังจากล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวที่ บขส.ปัตตานีเสร็จแล้ว เราให้พี่วินมาส่งที่ตัวเมืองค่ะ กะว่าจะหาโรงแรมพักก่อน อัตราค่าบริการที่ตกลงไว้ 60 บาท (จาก บขส.เข้ามาในเมือง)
ระหว่างนั่งรถมาก็ถามพี่วินว่ามัสยิดกลางอยู่ไกลมั้ย พี่เค้าก็เลยพาแวะก่อน ทำไงได้เป้าหมายอยู่ตรงหน้า อดใจไม่ไหวขอถ่ายรูปเช็คอินก่อนละกัน
ยังไม่ลืมที่จะให้พี่วินรอนะคะ
พี่วินก็พาไปดู ประมาณ 2-3 ที่แถวตลาด เราดูแล้วยังไม่ตัดสินใจว่าจะค้างที่นี่ดีมั้ย เริ่มคิดในใจว่าถ้าเที่ยวครบตามที่ตั้งเป้าไว้ในวันนี้
ก็จะนั่งรถกลับไปนอนที่หาดใหญ่ เพราะเรามี plan ที่จะไปเบตงต่อในวันรุ่งขึ้น ก็เลยให้พี่วินมาส่งที่คิวรถสองแถวเพื่อที่จะไปวัดช้างไห้ต่อ
โดนค่ารอ + ค่าโดยสารไป 250 จร้า 555+
ระหว่างทางจะมีทหารประจำการอยู่ตลอดเลยค่ะ รู้สึกปลอดภัยขึ้นเยอะ^^
ในภาพพี่เค้ากำลังจัดแจงที่นั่งให้เราคร่า
จริงๆ หลังจากคุยกันว่าเราจะนั่งรถไปมัสยิดกรือเซะต่อ พี่ๆ เค้าอาสาพาเราไปเที่ยวด้วยนะ แต่เราไม่กล้าอ่ะ ก็ได้แต่ขอบคุณเค้าไป^^
ค่าโดยสารเข้าเมืองประมาณ 60 บาทค่ะ (คร่าวๆ นะ ราคาจริงๆ ทำไม่ได้แล้วค่ะ)
พอเราถามลุงกลับบ้างว่าลุงอยู่ที่นี่ไม่กลัวหรอ แล้วตอนนี้เหตุการณ์รุนแรงยังมีอยู่มั้ย ลุงตอบมาว่าเหตุการณ์มีเป็นปกติ ^^"
แล้วลุงก็เปิดแผลกระสุนตรงหน้าอกให้ดู ลุงเล่าให้ฟังว่าโดนกราดยิงเมื่อหลายปีก่อน เพื่อนๆตายกัน แต่ลุงไม่ตาย เพราะกระสุนไม่โดนจุดสำคัญ
ถามลุงว่ากลัวมั้ย ลุงบอกว่ากลัวนะ แต่ไม่รู้จะย้ายไปอยู่ไหนเพราะที่นี่คือบ้าน คนเราถ้าไม่ถึงเวลาก็คงไม่ตาย และถึงตายก็ไปอยู่กับอัลเลาะ
คือเราฟังแล้วรู้สึกเข้าใจลุงนะ...หลังจากเล่าให้ลุงฟังว่าเรามี plan ที่จะไปมัสยิดกรือเซะ กับสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 6 โล
ก็สอบถามลุงว่าไปยังไง พอรถถึงในเมืองถึงจุดที่ลุงจะลง ลุงเรียกให้เราลงด้วยแล้วพาไปฝากวินมอไซด์ที่เป็นเพื่อนลุงให้พาเราไปค่ะ
เค้าคุยกันเป็นภาษายาวีนะ เราฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่ก็เดาว่าประมาณนี้ __/\__ขอบคุณคุณลุงใจดีมา ณ โอกาสนี้ด้วย
คุณลุงแอบแนะนำว่า ให้อยู่ห่างๆ เจ้าหน้าที่ไว้ เพราะผู้ก่อเหตุส่วนมากจะเล็งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ค่ะ (แอบคิดในใจ ชิหายละ!! ตะกี้อยู่กับเจ้าหน้าที่ตั้งนานสองนาน ปาดเหงื่อแป่บ--")
ถึงแล้วค่ะสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว
ไม่กล้าลงอ่ะ มีหลายคำเล่า
http://www.geocities.ws/prawat_patani/masjidkersik.htm
คร่าวๆว่าเกี่ยวข้องบางอย่างกับมัสยิดกรือเซะที่อยู่ถัดไป
สนใจใคร่รู้เข้าไปหา link ดูเลยจ้า ส่วนสภาพในวันที่เราไป 5 ตุลา 56 ก็ตามภาพด้านล่างเลยค่ะ
กว่าจะได้รูปแบบนี้ ต้องใช้เวลานานเหมือนกันน๊าาา
มีพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จย่า และรัชการที่ 6 ด้วยค่ะ
(ตอนนั้นในแผนคือคิดว่าจะกลับไปนอนหาดใหญ่ ลืมบอกไปค่ะหาดใหญ่-ปัตตานีห่างกันประมาณ 100 กม. มีรถตู้ค่ะ ใช้เวลา 1 ชม. ราคา 100 บาท)
ชมภาพตลาดกันเนอะ^^
ถ้าจำไม่ผิด พี่เค้าชื่อวราค่ะ
มีเด็กๆ มามุงดูเราถ่ายรูปเยอะเลยค่ะ พอชวนถ่ายด้วยกันก็อายกล้าถ่ายกับเราแค่ 2 สาวเอง ปล.อย่าเพิ่งตกใจหน้าสดเรานะ 555
ฮั่นแน่ะ อย่าเพิ่งคิดเป็นอื่นไปค่ะ ตอนแรกเราก็แอบระแวงค่ะ ไม่กล้าไปด้วยกลัวแกจะเป็นประเภทหัวงู อะไรอย่างงี้ แต่ดูๆ ไปแกก็ดูจริงใจดีนะคะ
พี่วราบอกว่าดีใจที่มีคนจากกรุงเทพอยากมาเที่ยวบ้านเค้า ก็อยากจะพาไป ตอนแรกเราก็ปฏิเสธค่ะเกรงใจเค้า (ใจจริงแล้วแอบนึกถึง คำเตือนของคุณลุงเมื่อกลางวัน ที่ว่าให้อยู่ห่างๆ ทหาร ตำรวจ เพราะเดี๋ยวจะเป็นเป้า><) แต่คุณลุงคนดูแลมัสยิดแกก็แนะนำว่าให้ไป ไม่ต้องกลัว พี่เค้าไว้ใจได้ ไปกับพี่เค้าปลอดภัยแน่นอน ก็เลยไปอย่างขัดเสียไม่ได้คร่า (จริงๆ จากใจเลย 555)
พี่นราพามาถ่ายรูปแถวสวนสาธารณะ ตรงวงเวียนหอนาฬิกาค่ะ
คล้อยหลังเราแอบเดินไปดูร้านใกล้ๆ โรงแรม นั่งมอไซด์ผ่านมาเห็นมีหนุ่มสาวนั่งกันเยอะ เป็นร้านไอติมค่ะ น่ารักเชียว ชื่อร้าน "สามส่วนหนึ่ง"
ซึ่งจากคำบอกเล่าของพ่อค้าร้านติ่มซำเจริญรัตน์ (ที่เราซื้อซาลาเปาใส่บาตร)บอกว่ามันเป็นภาพที่คนพื้นที่เห็นอยู่ทุกวัน เห็นแล้วขนลุกเนอะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาถึงบรรทัดนี้ค่ะ
https://www.facebook.com/video.php?v=591713524268366
เที่ยวให้สนุกนะคะ^^ขอบคุณ สำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ
แต่ดูเหมือนทุกคนกำลังคิดว่าเราไม่กลัวขอบอกเลยว่ากลัวจร้า มากด้วย 555+
คนที่เราไปเจอมาก็ไม่ได้แต่คนน่ารักใจดีน๊าาา
แบบที่ถามที เดินหนีเลยโดยไม่พูดอะไรกับเราสักคำก็มีนะคะ แต่เราก็พอจะเข้าใจเค้านะ ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้นก็ไม่แปลกที่เค้าจะระวังตัวอ่ะน๊อออ
ปล.ขอบคุณ ทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะดีใจที่มีคนปัตตานีเข้ามาอ่าน และชอบรูปถ่ายของเรานะคะ ถ้ามีข้อมูลตรงไหนผิดพลาดก็บอกกล่าวกันได้นะคะ อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเหมือนกันค่ะ เพราะถ้ามีโอกาสเราก็อยากกลับไปอีก มีคนบอกว่าทะเลที่นั่นสวย และที่สำคัญชาชักที่ขึ้นชื่อเรายังไม่ได้ชิมเลยค่ะ รบกวนคนพื้นที่ชี้พิกัดด้วยจร้า ขอบคุณล่วงหน้านะคร้า^^เช้าวันที่ 6 ตุลา 56 นั่งรถตู้จากปัตตานี ย้อนไปหาดใหญ่ใช้เวลา 1 ชม. ค่าโดยสาร 100 บาท เพื่อจะนั่งรถตู้จากหาดใหญ่ ไปเบตง (ด้วยความไม่รู้ว่าจากปัตตานี ต่อรถไปยะลาอีก 30 กิโลก็มีรถไปเบตงเหมือนกัน และไม่รู้ว่าเส้นทางที่จะไปเบตงมันจะย้อนกลับมาทางที่ปัตตานีเหมือนเดิม และก็มั่นจร้า ไม่ถามใครด้วย มารู้ตัวอีกทีก็นั่งรถย้อนกลับมาที่เดิมละ 555++ )
จากหาดใหญ่ไปเบตงมีรถตู้แบบที่วิ่งสายเก่า หาดใหญ่-ยะลา-บันนังสตา-ธารโต-เบตง เบอร์ 086-9627575 มีรอบ 8.00,10.00,12.00,14.30 น.
กับสายที่วิ่งเข้ามาเลเซีย-เบตง อันนี้ต้องมี passport ด้วยค่ะ มีรอบ 7.00, 9.00 น. และ 12.30 น.
เบอร์ติดต่อรถตู้หาดใหญ่ - เบตงค่ะ 074-203905,081-8965123 อันนี้ใครจะไปลองโทรถามเวลาอีกทีนะคะ (ข้อมูลจากสมุดบันทึกตอนนั้น)
ค่าโดยสารคนละ 250 บาท ใช้เวลาน่าจะสัก 4 ชั่วโมงกว่าๆ ระยะเวลาทั้ง 2 เส้นทางพอๆ กัน(จากคำบอกเล่าของพี่โซเฟอร์นะคะ)
ของเราได้รถสายเก่า เพราะสายมาเลมีคนจองเต็มหมดแล้ว และถ้าจะไปเส้นนี้ต้องรออีกทีเที่ยงครึ่ง เราไม่รอจร้า ใจมันถึงเบตงแล้วววว
วันที่ไปฝนตกตลอดทางเลยค่ะ นึกถึงความรู้สึกตอนนั้น เปิดดูพิกัดตัวเองใน GPS แต่ละอำเภอที่ผ่านคุ้นหูทั้งน๊านนน --"
พอผ่าน อ.ธารโตเส้นทางจะเป็นขึ้นเขาคดเคี้ยวตลอด ระหว่างทางมีจอดพักรถให้ผู้โดยสารยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำ ซื้อขนมที่บ้านคอกช้าง ก่อนที่จะเข้าเบตง
ถึงแล้วค่ะเบตง เมืองในหมอก^^
ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวมาเลมาพัก ห้องพักสะอาดดีนะคะ แต่ออกจะเหม็นกลิ่นบุหรี่นิดนึง
อาจจะเป็นเพราะว่าวันที่เราไป มีแต่คนมาเลรึป่าวไม่รู้ และเค้าก็ดูสูบบุหรี่กันถ้วนหน้า
ค่าห้องคืนละ 800 เบอร์โทร 073-235666
สถาพห้องพัก เผื่อใครอยากจะไปพักค่ะ
คือตอนที่เดินมาได้ยินเสียงนกค่ะ มาดูใกล้ๆ เห็นเกาะเต็มสายไฟเลย แบบว่าเยอะมากที่เห็นเป็นปุ่มๆ ปมๆในภาพนกทั้งนั้นเลยค่ะ
ปล. ตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันมีเมนูกบภูเขาขึ้นชื่อ ก็เห็นรายการอาหารนะ แต่ไม่ได้สั่ง มารู้ทีหลังแอบเสียดายถึงตอนเช้าฝนก็ยังตกปรอยๆ เราเช่ารถมอไซด์จากโรงแรมค่ะ วันละ 300 บาท ตามแพลนกะจะออกไปเที่ยวสวนดอกไม้เมืองหนาว
แต่พอฝนตกก็เลยอดไปค่ะ มื้อเช้าเราขับมอไซด์ไปกินติ่มซำที่ร้าน เฮง เฮง แต๋เตี๋ยมค่ะ ลูกค้าเยอะมั่กๆ
เสียดายไม่ได้พกกล้องมาด้วย (กลัวเปียก)
ข้อเสียของการมาเที่ยวคนเดียวคือ ขาดอรรถรสในการกินค่ะ และที่สำคัญเวลาไปร้านแบบนี้มันก็มีของกินน่ากินหลายอย่างใช่ม๊าาาา
แต่เราไปคนเดียวเนี่ย จะให้สั่งเยอะๆ มันก็กินไม่หมด เสียดาย แต่มันเห็นของโต๊ะอื่นละมัน เฮ้ออออออออ
วกกลับมาที่เหตุผลที่ทำให้เราอยากมาเบตงดีกว่า นอกจากจะเป็นอำเภอที่อยู่ใต้สุดของไทยแล้ว เราว่ามันเจ๋งดีตรงที่เป็นอำเภอเดียวในประเทศที่มีป้ายทะเบียนเป็นของตัวเอง และเราก็อยากถ่ายรูปกะรถป้ายทะเบียนเบตง เหตุผลเท่านั้นก็เพียงพอที่จะออกเดินทางละ
ขอสนอง need ตัวเองก่อนน๊าาาา
สถานที่แต่ละที่ไม่ไกลกันมาก ขับมอไซด์ไปได้สบายเลยค่ะ จากนี้จะพาเข้าวัดละนะคะ
วัดพุทธาธิวาส หรือวัดเบตงค่ะ เป็นวัดอารามหลวงด้วยนะคะ
ตามประวัตฺสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสมงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษา ของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ โดยพระองค์ได้พระราชทานนาม และเสด็จทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบนยอดฉัตร
รูปนี้ถ่ายย้อนลงมาด้านล่างค่ะ
พูดถึงเรื่องนี้ เราว่าเราเป็นพวกลิ้นจรเข้ แยกไม่ออกว่ามันอร่อยกว่าข้าวมันไก่ทั่วไปตรงไหน คือกินๆ ไปแล้วคิดว่ามันเหมือนๆ กัน คิดงั้นจริงๆ นะ
อิ่มแล้วก็เดินถ่ายรูปแถวๆ นั้นค่ะ แหม่เสียดายที่ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องมาด้วย อยากยืนถ่ายรูปข้างๆ รถคันนี้มากเลย ^^
พูดถึงเรื่องนี้ เราว่าเราเป็นพวกลิ้นจรเข้ แยกไม่ออกว่ามันอร่อยกว่าข้าวมันไก่ทั่วไปตรงไหน คือกินๆ ไปแล้วคิดว่ามันเหมือนๆ กัน คิดงั้นจริงๆ นะ
อิ่มแล้วก็เดินถ่ายรูปแถวๆ นั้นค่ะ แหม่เสียดายที่ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องมาด้วย อยากยืนถ่ายรูปข้างๆ รถคันนี้มากเลย ^^
ซึ่งตลอดทั้งวันฝนก็ตกปรอยๆ ตลอดเราเลยอดไปอุโมงค์ปิยะมิตรเลย ตกๆ หยุดๆ อยู่อย่างงั้นจนเราช่างใจว่าจะอยู่ต่ออีกคืนเพื่อที่จะไปสวนไม้เมืองหนาวกับเก็บอุโมงค์ปิยะมิตร หรือจะตัดสินใจกลับวันนี้ดี สุดท้ายก็กลับเลยค่ะ ก่อนกลับขอซักภาพนะคะ
อันนี้เป็นเรื่องฮาทิ้งท้ายทริปนี้ ระหว่างนั่งรถกลับเราก็คุยกับผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ เค้าก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เคยมีการดักยิงผู้โดยสารรถตู้เส้นนี้ที่เรากำลังนั่งเนี่ยตายไป 9 ศพ เค้าถามว่าทำไมเรามาเส้นนี้ไม่กลัวหรอ ตอบพี่เค้าไปจากใจเลยค่ะ หนูไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนอ่ะพี่ --"
เราก็ถามเค้ากลับไปบ้างเค้าก็บอกว่าทำไงได้มันจำเป็น(น่าเห็นในเนอะ)
จากนั้นก็หลับๆ ตื่นๆ จนมาถึงแถวๆ สะบ้าย้อย (ตื่นมาเห็นชื่อก็กลืนน้ำลายเฮือกละฮะ)
มีต้นไม้ล้มขวางทาง ชาวบ้านกำลังช่วยกันตัดกิ่งไม้ออก แต่เราไม่ได้คิดยังงั้นค่ะ เห็นข้างหน้ามีต้นไม้ล้ม มีผู้คนอยู่รอบๆ อารมณ์หนังไทยมาเต็มค่ะ จินตนาการไปถึงไหนไหน ใครว่าเราไม่กลัว คิดใหม่นะคะ 555+ คิดแล้วยังตลกตัวเองพอถึงหาดใหญ่ประมาณสัก 5 โมงเย็นก็นั่งรถทัวร์เข้ากรุงเทพต่อเลยคร่า (งบน้อยต้องอดทน ฮือ ฮือ)
จบละนะรีวิวการเดินทางของเรา ขอบคุณทุกคนที่อ่านรีวิวอันยาวเหยียดและเปลืองพื้นที่อันนี้ พึ่งรู้ตัวว่าเราควรจะย่อไฟล์ให้เล็กลง
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ^^ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ โดยเฉพาะเจ้าของบ้าน ใครที่อาสาจะพาเที่ยวอย่าลืมน๊าาาา จขกท จะกลับไปซ่อมอีกแน่นอนค่ะ จะไปเก็บตกของกินให้หมดเลย 5555+
ปล.ปลื้มใจที่เจ้าของบ้านชอบค่ะขอบคุณ คุณไปรษณีย์สีฟ้าค่ะ
เหตุผลที่เรามาทำรีวิวก็เพราะว่าอยากเชียร์ให้ไปเที่ยวกันเยอะๆค่ะ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ^^
Justsmile
วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.32 น.