เมื่อตุลาปีที่แล้ว เราไปเที่ยวปัตตานี - เบตง มาค่ะ ทำให้นึกถึงประโยคนี้เลย

If you afraid of something

You could have missed the beauty of something.

"ความกลัวบางสิ่ง อาจทำให้พลาดความสวยงามบางอย่าง"



จริงๆ ตั้งใจจะเขียนรีวิวตั้งแต่กลับมาแระ แต่ดองไปดองมาก็ปีนึงพอดิบพอดี

นี่เป็นการเขียนรีวิวครั้งแรกใน pantip หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ ที่สนใจอยากจะเดินทางไปที่นี่เหมือนกันนะคะ

ข้อมูลของเบตงจะอยู่ท้ายๆ นะคะ (ตอนแรกกะเขียนแค่ปัตตานี) เผื่อใครสนใจลองเข้าไปอ่านดูค่ะ


ปล.ที่เรามาเขียนรีวิวครั้งนี้ เพราะอยากจะบอกทุกคนว่า ปัตตานี ยังเที่ยวได้ ผู้คนก็เป็นมิตร และมีน้ำใจกับนักท่องเที่ยวอย่างเราไม่น้อยไปกว่าที่อื่นค่ะ ชาวบ้านแถวนั้นก็ยังใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้ดูรุนแรงอย่างที่เป็นข่าวอย่างที่เราเห็นกัน^^เริ่มจากที่เราอยากไปถ่ายรูปมัสยิดกลางปัตตานี เคยเห็นในเน็ตละสวยดี ก็อยากไปเห็นด้วยตาตัวเองบ้าง

ก็เลยเริ่มหาข้อมูลการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งเราก็หาข้อมูลใน pantip นี่ละค่ะ

เนื่องจากงบน้อยเราเลือกที่จะไปรถทัวร์ เป็นรถสายกรุงเทพ - สุไหงโกลก ผ่านปัตตานีค่ะ ค่ารถน่าจะอยู่ที่ 600 กว่าบาท

ขึ้นรถตอนทุ่ม ไปถึงปัตตานี 9.00 น. เนื่องจากฝนตกหนัก (นานเหนือจินตนาการ 555+)หลังจากล้างหน้าล้างตาทำธุระส่วนตัวที่ บขส.ปัตตานีเสร็จแล้ว เราให้พี่วินมาส่งที่ตัวเมืองค่ะ กะว่าจะหาโรงแรมพักก่อน อัตราค่าบริการที่ตกลงไว้ 60 บาท (จาก บขส.เข้ามาในเมือง)

ระหว่างนั่งรถมาก็ถามพี่วินว่ามัสยิดกลางอยู่ไกลมั้ย พี่เค้าก็เลยพาแวะก่อน ทำไงได้เป้าหมายอยู่ตรงหน้า อดใจไม่ไหวขอถ่ายรูปเช็คอินก่อนละกัน

ยังไม่ลืมที่จะให้พี่วินรอนะคะ

เราก็ตั้งขาตั้งกล้อง ถ่ายไป วิ่งไป โพสไปของเราคนเดียวค่ะ พี่วินก็ยืนหัวเราะอยู่บริเวณใกล้ๆ รอไปส่งเราที่โรงแรมค่ะ

จัดไปหลายแอ๊คเลยล่ะคร่าคุ๊นนนนน555+


หลังจากถ่ายรูปกับมัสยิดกลางจนหนำใจแระ ก็เริ่มมองหาที่พักค่ะ โจทย์ของเราคือสามารถเดินไปมัสยิดกลางตอนเย็นได้


พี่วินก็พาไปดู ประมาณ 2-3 ที่แถวตลาด เราดูแล้วยังไม่ตัดสินใจว่าจะค้างที่นี่ดีมั้ย เริ่มคิดในใจว่าถ้าเที่ยวครบตามที่ตั้งเป้าไว้ในวันนี้

ก็จะนั่งรถกลับไปนอนที่หาดใหญ่ เพราะเรามี plan ที่จะไปเบตงต่อในวันรุ่งขึ้น ก็เลยให้พี่วินมาส่งที่คิวรถสองแถวเพื่อที่จะไปวัดช้างไห้ต่อ

โดนค่ารอ + ค่าโดยสารไป 250 จร้า 555+

ระหว่างทางจะมีทหารประจำการอยู่ตลอดเลยค่ะ รู้สึกปลอดภัยขึ้นเยอะ^^

วัดราษฏร์บูรณะ หรือวัดช้างให้ อยู่ห่างจากตัวเมืองปัตตานีไปประมาณ 31 กิโลค่ะ เราต้องนั่งรถสองแถวสายนาประดู่ ซึ่งก็ยังไม่ถึงตัววัด หารถเข้าไปจากแยกค่อนข้างลำบากและเส้นทางที่จะไปวัดค่อนข้างเปลี่ยว สองข้างทางมีแต่สวนยาง ฉะนั้นก่อนจะขึ้นรถเราต้องตกลงกับคนขับให้ดีๆ นะคะว่าถ้าให้ไปส่งที่วัดราคาเท่าไหร่ แต่ถ้าหากว่าไปกันหลายคนเราว่าเหมาไปเลยดีกว่าค่ะราคาที่เคยหาข้อมูลไว้ประมาณวันละพันนิดๆ สำหรับเราให้พี่เค้าไปส่งอย่างเดียว 200 บาท เพราะขากลับเรากะโบกรถกลับค่ะถึงแล้วคร่าวัดช้างให้






มีรถไฟผ่านด้วยนะคะ จอดหน้าวัดเลยด้านหน้า ประตูทางเข้าวัด


รั้วกำแพง

บริเวณภายในวัดค่ะ


รูปปั้นหลวงปู่ทวดค่ะ



หลังจากไหว้พระขอพร แล้วก้ถึงเวลาเดินชมบริเวณวัดค่ะ



วัดที่เราไปตรงกับวันทำบุญเดือนสิบค่ะ ชาวบ้านมาทำบุญกันเยอะเลย



พี่ตำรวจ 3 นายนี้มาดูแลความสงบเรียบร้อยภายในงานวัดค่ะ จริงๆ แล้วมากัน 2 คันรถ แต่พี่ 3 คนนี้ยืนอยู่ด้านหน้าวัด เราเอาเป้ไปฝากพี่เค้าระหว่างเข้าไปไหว้พระด้านในค่ะ


ขากลับพี่ๆ ตำรวจให้เราติดรถจากวัดเข้ามาตรงท่ารถนาประดู่ด้วยค่ะ อย่างงี้สิที่เพิ่งของประชาชน ฮรี่ๆ


ในภาพพี่เค้ากำลังจัดแจงที่นั่งให้เราคร่า

โดนสอบปากคำระหว่างทาง ว่าทำไมกล้ามาเที่ยวปัตตานี แถมมาคนเดียวด้วย


จริงๆ หลังจากคุยกันว่าเราจะนั่งรถไปมัสยิดกรือเซะต่อ พี่ๆ เค้าอาสาพาเราไปเที่ยวด้วยนะ แต่เราไม่กล้าอ่ะ ก็ได้แต่ขอบคุณเค้าไป^^

จากนาประดู่ขึ้นรถสองแถวมากะหนุ่มน้อย 2 คน อย่างน้อยก็มีเพื่อน^^


ค่าโดยสารเข้าเมืองประมาณ 60 บาทค่ะ (คร่าวๆ นะ ราคาจริงๆ ทำไม่ได้แล้วค่ะ)

สักพักก็เริ่มมีเรื่อยๆ ค่ะ ขอถ่ายรูปหนุ่มๆ ขี้อายกันหมดเลย^^


ได้คุยกับคุณลุงในภาพ ลุงเป็นคนพื้นที่ก็ถามเราเหมือนที่พี่ๆ ตำรวจถามว่าทำไมถึงมาเที่ยวที่นี่ แล้วมาคนเดียวไม่กลัวหรอ


พอเราถามลุงกลับบ้างว่าลุงอยู่ที่นี่ไม่กลัวหรอ แล้วตอนนี้เหตุการณ์รุนแรงยังมีอยู่มั้ย ลุงตอบมาว่าเหตุการณ์มีเป็นปกติ ^^"

แล้วลุงก็เปิดแผลกระสุนตรงหน้าอกให้ดู ลุงเล่าให้ฟังว่าโดนกราดยิงเมื่อหลายปีก่อน เพื่อนๆตายกัน แต่ลุงไม่ตาย เพราะกระสุนไม่โดนจุดสำคัญ

ถามลุงว่ากลัวมั้ย ลุงบอกว่ากลัวนะ แต่ไม่รู้จะย้ายไปอยู่ไหนเพราะที่นี่คือบ้าน คนเราถ้าไม่ถึงเวลาก็คงไม่ตาย และถึงตายก็ไปอยู่กับอัลเลาะ

คือเราฟังแล้วรู้สึกเข้าใจลุงนะ...หลังจากเล่าให้ลุงฟังว่าเรามี plan ที่จะไปมัสยิดกรือเซะ กับสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 6 โล

ก็สอบถามลุงว่าไปยังไง พอรถถึงในเมืองถึงจุดที่ลุงจะลง ลุงเรียกให้เราลงด้วยแล้วพาไปฝากวินมอไซด์ที่เป็นเพื่อนลุงให้พาเราไปค่ะ

เค้าคุยกันเป็นภาษายาวีนะ เราฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่ก็เดาว่าประมาณนี้ __/\__ขอบคุณคุณลุงใจดีมา ณ โอกาสนี้ด้วย



คุณลุงแอบแนะนำว่า ให้อยู่ห่างๆ เจ้าหน้าที่ไว้ เพราะผู้ก่อเหตุส่วนมากจะเล็งเป้าไปที่เจ้าหน้าที่ค่ะ (แอบคิดในใจ ชิหายละ!! ตะกี้อยู่กับเจ้าหน้าที่ตั้งนานสองนาน ปาดเหงื่อแป่บ--")



ถึงแล้วค่ะสุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว


อีกสักมุม


ประวัติของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวค่อนข้างยาว เพื่อนๆ หาอ่านเพิ่มเติมละกันเองโน๊ะ ^^


ไม่กล้าลงอ่ะ มีหลายคำเล่า

http://www.geocities.ws/prawat_patani/masjidkersik.htm

คร่าวๆว่าเกี่ยวข้องบางอย่างกับมัสยิดกรือเซะที่อยู่ถัดไป

รูปมัสยิดกรือเซะด้านหน้า







น้องๆ นักเรียนมาเที่ยวกัน ชวนถ่ายรูปซะเลย^^





ด้านหน้าเดิมจะเป็นที่ตั้งของปืนใหญ่พญาตานีจำลองค่ะ มาตั้งวันที่ 2 มิ.ย.56. และก็โดนวางระเบิดวันที่ 11 มิ.ย.56


สนใจใคร่รู้เข้าไปหา link ดูเลยจ้า ส่วนสภาพในวันที่เราไป 5 ตุลา 56 ก็ตามภาพด้านล่างเลยค่ะ




หลังจากนั้นลุงคนขับ พาเรามาไหว้ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวที่อยู่ในเมืองค่ะ รูปบริเวณด้านนอก







ด้านในศาลค่ะ ปล.เราลืมถ่ายรูปองค์เจ้าแม่มาค่ะ เนื่องจากวันนั้นด้านหน้ามูลนิธิมีงานคนเยอะมาก


กว่าจะได้รูปแบบนี้ ต้องใช้เวลานานเหมือนกันน๊าาา



อันนี้น่าเป็นบุคคลสำคุญที่เคยมาเยือนหรือเกี่ยวข้องกับที่นี่ (อ่านนะ แต่จำไม่ได้แล้วอ่า)


มีพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จย่า และรัชการที่ 6 ด้วยค่ะ







หลังจากไหว้ศาลเสร็จ คุณลุงวินมอไซด์พาไปส่งที่ตลาดค่ะ เราขอไปเดินดูตลาดก่อนที่จะไปท่ารถตู้กลับไปพักหาดใหญ่ คุณลุงวินมอไซด์พาไปส่งที่ตลาดค่ะ ลุงคิดค่าโดยสาร 150 บาท เราให้ไป 200 บาท ลุงขับตั้งไกล พาไปเที่ยวหลายที่ คิดถูกกว่าคนเมื่อเช้าตั้งร้อยนึง


(ตอนนั้นในแผนคือคิดว่าจะกลับไปนอนหาดใหญ่ ลืมบอกไปค่ะหาดใหญ่-ปัตตานีห่างกันประมาณ 100 กม. มีรถตู้ค่ะ ใช้เวลา 1 ชม. ราคา 100 บาท)



ชมภาพตลาดกันเนอะ^^

สาวน้อยมาจ่ายตลาดกับคุณพ่อ ผ้าคลุมผมน่ารักเชียว


คุณป้าคนนี้ใจดีมาก คุยกับเราตั้งนานพอขอถ่ายรูปเท่านั้นแหละ หน้าบึ้งเลย 555++ คิดว่าป้าคงเขินอ่ะค่ะ



หลังจากเดินตลาดเสร็จเรา ก็ถามทางคนแถวนั้นเพื่อที่จะไปคิวรถตู้ พอดีคุณตำรวจใจดีท่านนี้ก็ขับรถเข้ามาสอบถามว่ามีอะไรให้ช่วยรึปล่าว


ถ้าจำไม่ผิด พี่เค้าชื่อวราค่ะ


เราก็สอบถามเค้าเรื่องมัสยิดกลางปัตตานีค่ะว่า อยากไปถ่ายรูปตอนกลางคืน พี่เค้าบอกว่าถ่ายได้วันนี้มีละหมาด (วันศุกร์) เราก็เลยเปลี่ยนใจค้างที่ปัตตานีค่ะ ซึ่งตอนแรกว่าจะพักที่โรงแรม C.S. จากที่หาข้อมุลมา แต่ว่าอยู่ห่างจากมัสยิดกลางและไม่ค่อยมีรถเพราะตกเย็น รถเค้าก็จะเข้าบ้านกันหมดค่ะ เราก็เลยเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ สามารถเดินไปได้ โดยมีพี่วราแนะนำที่พักให้ ราคา 500 บาทค่ะ



ปล.ลืมถ่ายห้องนอน ก็โรงแรมต่างจังหวัดทั่วไป แอบเก่านิดนึง ถ้าเพื่อนๆ จะไปมีโรงแรมใหม่กว่านี้นะคะ ลองหาดู เรารู้ตอนที่ไปเดินเล่นตอนกลางคืนใกล้มีตลาดโต้รุ้งค่ะ หลังจากอาบน้ำแล้วเราก็มาฝากท้องตรงโต้รุ่ง ก่อนที่จะไปมัสยิดกลางอีกรอบค่ะ






รถมอไซด์ที่จอดแถวตลาดนัด จะเปิดเบาะกันค่ะ


พี่ทหารก็มาคอยดูแลความเรียบร้อย ตามจุดต่างๆ ที่เป็นแหล่งชุมชน แต่คนนี้สงสัยแอบแชทหาแฟน^^


มัสยิดกลางยามเย็นค่ะ รูปไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ตอนนั้นเพิ่งหัดถ่าย 555 (ตอนนี้ก็ไม่ได้แตกต่างไรเล๊ยยย)



วันนั้นตรงกับวันศุกร์ คนมามัสยิดค่อนข้างเยอะค่ะ และก็เป็นมิตร ยิ้มแย้มให้เราด้วย คุณลุงผู้ดูแลมัสยิดก็มาคุยด้วย บอกว่าคราวหน้าพาเพื่อนๆ มาด้วยเยอะๆ นะ ยินดีต้อนรับ^^



มีเด็กๆ มามุงดูเราถ่ายรูปเยอะเลยค่ะ พอชวนถ่ายด้วยกันก็อายกล้าถ่ายกับเราแค่ 2 สาวเอง ปล.อย่าเพิ่งตกใจหน้าสดเรานะ 555



ระหว่างที่อยู่มัสยิด พี่วราเจ้าเก่าก็ขับรถตามมาดูค่ะ ว่าเราอยู่ที่นี่รึปล่าว แล้วก็อาสาพาไปดูรอบๆ เมืองค่ะ


ฮั่นแน่ะ อย่าเพิ่งคิดเป็นอื่นไปค่ะ ตอนแรกเราก็แอบระแวงค่ะ ไม่กล้าไปด้วยกลัวแกจะเป็นประเภทหัวงู อะไรอย่างงี้ แต่ดูๆ ไปแกก็ดูจริงใจดีนะคะ

พี่วราบอกว่าดีใจที่มีคนจากกรุงเทพอยากมาเที่ยวบ้านเค้า ก็อยากจะพาไป ตอนแรกเราก็ปฏิเสธค่ะเกรงใจเค้า (ใจจริงแล้วแอบนึกถึง คำเตือนของคุณลุงเมื่อกลางวัน ที่ว่าให้อยู่ห่างๆ ทหาร ตำรวจ เพราะเดี๋ยวจะเป็นเป้า><) แต่คุณลุงคนดูแลมัสยิดแกก็แนะนำว่าให้ไป ไม่ต้องกลัว พี่เค้าไว้ใจได้ ไปกับพี่เค้าปลอดภัยแน่นอน ก็เลยไปอย่างขัดเสียไม่ได้คร่า (จริงๆ จากใจเลย 555)



พี่นราพามาถ่ายรูปแถวสวนสาธารณะ ตรงวงเวียนหอนาฬิกาค่ะ


ศาลหลักเมือง



ปัตตานียามค่ำคืนก็สวยดีนะคะ เงียบ สงบดี เราว่าถ้าไม่มีเรื่องเหตุการณ์ความไม่สงบน่าจะเป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนไม่น้ยกว่าจังหวัดอื่นๆ แน่ๆ


คุณตำรวจพากลับมาส่งแล้ว พร้อมกับกำชับว่าอย่าออกไปไหนตอนกลางคืน รับปากรับคำอย่างดี หลังจากขอบคุณพี่เค้าแล้ว ก่อนจากกันพี่เค้ามีทิ้งท้ายว่า ถ้าลงอินเตอร์เน็ตอย่าลืมเอารูปเค้าลงด้วยนะ 555


คล้อยหลังเราแอบเดินไปดูร้านใกล้ๆ โรงแรม นั่งมอไซด์ผ่านมาเห็นมีหนุ่มสาวนั่งกันเยอะ เป็นร้านไอติมค่ะ น่ารักเชียว ชื่อร้าน "สามส่วนหนึ่ง"




ที่เห็นร้านโล่ง เพราะเราออกจากร้านคนสุดท้ายค่ะ ร้านปิดประมาณ 20.30-21.00 น.


ส่วนตอนเช้า เราต้องรีบกลับหาดใหญ่ กลัวไม่ทันรถตู้ไปเบตงค่ะ เลยไม่ได้ถ่ายรูปอะไร ระหว่างที่นั่งรอขึ้นรถตู้ เราก็ได้เห็นภาพสุดประทับใจนี้โดยที่เราไม่รู้มาก่อนเลยว่ามีแบบนี้ด้วย รีบคว้ากล้องมาถ่ายแทบไม่ทันเลยค่ะ รูปที่ออกมาเลยไม่ค่อยชัด รีบถ่ายแล้วก็รีบวิ่งไปซื้อของมาตักบาตรค่ะ


ซึ่งจากคำบอกเล่าของพ่อค้าร้านติ่มซำเจริญรัตน์ (ที่เราซื้อซาลาเปาใส่บาตร)บอกว่ามันเป็นภาพที่คนพื้นที่เห็นอยู่ทุกวัน เห็นแล้วขนลุกเนอะ


ขออนุญาตปิดท้ายปัตตานีนี้ด้วยภาพนี้นะคะ และหวังว่าคงจะเป็นประโยชน์กับคนที่อยากไปเยือนปัตตานีบ้างไม่มากก็น้อย

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านมาถึงบรรทัดนี้ค่ะ


อ่อลืม ฝาก link การท่องเที่ยวปัตตานีด้วยนะคะ เพิ่งเห็นเพื่อนโพสวันนี้เอง


https://www.facebook.com/video.php?v=591713524268366



เที่ยวให้สนุกนะคะ^^ขอบคุณ สำหรับทุกความคิดเห็นนะคะ

แต่ดูเหมือนทุกคนกำลังคิดว่าเราไม่กลัวขอบอกเลยว่ากลัวจร้า มากด้วย 555+

คนที่เราไปเจอมาก็ไม่ได้แต่คนน่ารักใจดีน๊าาา

แบบที่ถามที เดินหนีเลยโดยไม่พูดอะไรกับเราสักคำก็มีนะคะ แต่เราก็พอจะเข้าใจเค้านะ ด้วยสถานการณ์ในตอนนั้นก็ไม่แปลกที่เค้าจะระวังตัวอ่ะน๊อออ


ปล.ขอบคุณ ทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะดีใจที่มีคนปัตตานีเข้ามาอ่าน และชอบรูปถ่ายของเรานะคะ ถ้ามีข้อมูลตรงไหนผิดพลาดก็บอกกล่าวกันได้นะคะ อยากได้ข้อมูลเพิ่มเติมเหมือนกันค่ะ เพราะถ้ามีโอกาสเราก็อยากกลับไปอีก มีคนบอกว่าทะเลที่นั่นสวย และที่สำคัญชาชักที่ขึ้นชื่อเรายังไม่ได้ชิมเลยค่ะ รบกวนคนพื้นที่ชี้พิกัดด้วยจร้า ขอบคุณล่วงหน้านะคร้า^^เช้าวันที่ 6 ตุลา 56 นั่งรถตู้จากปัตตานี ย้อนไปหาดใหญ่ใช้เวลา 1 ชม. ค่าโดยสาร 100 บาท เพื่อจะนั่งรถตู้จากหาดใหญ่ ไปเบตง (ด้วยความไม่รู้ว่าจากปัตตานี ต่อรถไปยะลาอีก 30 กิโลก็มีรถไปเบตงเหมือนกัน และไม่รู้ว่าเส้นทางที่จะไปเบตงมันจะย้อนกลับมาทางที่ปัตตานีเหมือนเดิม และก็มั่นจร้า ไม่ถามใครด้วย มารู้ตัวอีกทีก็นั่งรถย้อนกลับมาที่เดิมละ 555++ )



จากหาดใหญ่ไปเบตงมีรถตู้แบบที่วิ่งสายเก่า หาดใหญ่-ยะลา-บันนังสตา-ธารโต-เบตง เบอร์ 086-9627575 มีรอบ 8.00,10.00,12.00,14.30 น.

กับสายที่วิ่งเข้ามาเลเซีย-เบตง อันนี้ต้องมี passport ด้วยค่ะ มีรอบ 7.00, 9.00 น. และ 12.30 น.

เบอร์ติดต่อรถตู้หาดใหญ่ - เบตงค่ะ 074-203905,081-8965123 อันนี้ใครจะไปลองโทรถามเวลาอีกทีนะคะ (ข้อมูลจากสมุดบันทึกตอนนั้น)

ค่าโดยสารคนละ 250 บาท ใช้เวลาน่าจะสัก 4 ชั่วโมงกว่าๆ ระยะเวลาทั้ง 2 เส้นทางพอๆ กัน(จากคำบอกเล่าของพี่โซเฟอร์นะคะ)

ของเราได้รถสายเก่า เพราะสายมาเลมีคนจองเต็มหมดแล้ว และถ้าจะไปเส้นนี้ต้องรออีกทีเที่ยงครึ่ง เราไม่รอจร้า ใจมันถึงเบตงแล้วววว

วันที่ไปฝนตกตลอดทางเลยค่ะ นึกถึงความรู้สึกตอนนั้น เปิดดูพิกัดตัวเองใน GPS แต่ละอำเภอที่ผ่านคุ้นหูทั้งน๊านนน --"

พอผ่าน อ.ธารโตเส้นทางจะเป็นขึ้นเขาคดเคี้ยวตลอด ระหว่างทางมีจอดพักรถให้ผู้โดยสารยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำ ซื้อขนมที่บ้านคอกช้าง ก่อนที่จะเข้าเบตง



ถึงแล้วค่ะเบตง เมืองในหมอก^^

วิวนี้ ถ่ายจากหน้าต่างที่พักค่ะ จริงๆ ตอนที่ถ่ายฝนตกอยู่นะ แต่พอถ่ายรูปออกมามันไม่มีแฮะ


เราพักที่โรงแรมโมเดิร์นไทยค่ะ อยู่ใกล้ๆ หอนาฬิกา ไปมาสะดวก ตอนกลางคืนมีโต้รุ่งด้วย


ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวมาเลมาพัก ห้องพักสะอาดดีนะคะ แต่ออกจะเหม็นกลิ่นบุหรี่นิดนึง

อาจจะเป็นเพราะว่าวันที่เราไป มีแต่คนมาเลรึป่าวไม่รู้ และเค้าก็ดูสูบบุหรี่กันถ้วนหน้า

ค่าห้องคืนละ 800 เบอร์โทร 073-235666



สถาพห้องพัก เผื่อใครอยากจะไปพักค่ะ



เป็นวันที่ใช้ห้องพักคุ้มมากค่ะ ฝนตกหนัก ไปไหนไม่ได้ นอนยาวเลยคร่าตื่นขึ้นมาอีกทีก็มืดแล้ว ออกไปเดินเล่นหอนาฬิกากันคร่า


คือตอนที่เดินมาได้ยินเสียงนกค่ะ มาดูใกล้ๆ เห็นเกาะเต็มสายไฟเลย แบบว่าเยอะมากที่เห็นเป็นปุ่มๆ ปมๆในภาพนกทั้งนั้นเลยค่ะ


หอนาฬิกายามเย็นย่ำค่ะ


อีกมุมนึงน๊าาาา



จากหอนาฬิกาก็เดินไปอุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ ที่อยู่ใกล้ๆ กันคร่า



ถ่ายรูปเสร็จแล้วเรามานั่งทานบะหมี่ตรงโต้รุ่ง แล้วก็ต่อด้วยร้านชา เหมือนร้านนี้จะฮอตเหมือนกันนะคะ ลูกค้าเต็มร้านเลย ตรงใกล้ๆ กะหอนาฬิกาเลยจร้า มีรถเข็นโรตีด้วยค่ะ


ปล. ตอนนั้นเราไม่รู้ว่ามันมีเมนูกบภูเขาขึ้นชื่อ ก็เห็นรายการอาหารนะ แต่ไม่ได้สั่ง มารู้ทีหลังแอบเสียดายถึงตอนเช้าฝนก็ยังตกปรอยๆ เราเช่ารถมอไซด์จากโรงแรมค่ะ วันละ 300 บาท ตามแพลนกะจะออกไปเที่ยวสวนดอกไม้เมืองหนาว

แต่พอฝนตกก็เลยอดไปค่ะ มื้อเช้าเราขับมอไซด์ไปกินติ่มซำที่ร้าน เฮง เฮง แต๋เตี๋ยมค่ะ ลูกค้าเยอะมั่กๆ

เสียดายไม่ได้พกกล้องมาด้วย (กลัวเปียก)

ข้อเสียของการมาเที่ยวคนเดียวคือ ขาดอรรถรสในการกินค่ะ และที่สำคัญเวลาไปร้านแบบนี้มันก็มีของกินน่ากินหลายอย่างใช่ม๊าาาา

แต่เราไปคนเดียวเนี่ย จะให้สั่งเยอะๆ มันก็กินไม่หมด เสียดาย แต่มันเห็นของโต๊ะอื่นละมัน เฮ้ออออออออ

วกกลับมาที่เหตุผลที่ทำให้เราอยากมาเบตงดีกว่า นอกจากจะเป็นอำเภอที่อยู่ใต้สุดของไทยแล้ว เราว่ามันเจ๋งดีตรงที่เป็นอำเภอเดียวในประเทศที่มีป้ายทะเบียนเป็นของตัวเอง และเราก็อยากถ่ายรูปกะรถป้ายทะเบียนเบตง เหตุผลเท่านั้นก็เพียงพอที่จะออกเดินทางละ



ขอสนอง need ตัวเองก่อนน๊าาาา

ฝนหยุดแล้วเริ่มออกเที่ยวกันเลยดีกว่า เริ่มที่อุโมงค์เดิมเนี่ยแระ แต่คนละฝั่งค่ะ



ตามด้วยแลนด์มาร์คของที่นี่




สนามกีฬาในหุบเขาค่ะ เค้าว่าเป็นสนามกีฬาที่ตั้งอยู่ในระดับความสูงที่สุดของประเทศ เราชอบชื่อ "สวนสุดสยาม" ฟังแล้วไงไม่รู้ ชอบบบบบ


เย่ มีนายแบบแล้ว^^


ลืมบอกไปเลย ก่อนไปเที่ยวเรา list สถานที่ท่องเที่ยวไว้คร่าวๆ แล้วก็ขอแผนที่จากทางโรงแรมค่ะ


สถานที่แต่ละที่ไม่ไกลกันมาก ขับมอไซด์ไปได้สบายเลยค่ะ จากนี้จะพาเข้าวัดละนะคะ



วัดพุทธาธิวาส หรือวัดเบตงค่ะ เป็นวัดอารามหลวงด้วยนะคะ

ตรงทางเข้าวัดจะมีรูปพุทธประวัติแบบนี้ค่ะ ปกติจะเห็นอยู่ในโบสถ์หรือกำแพง แบบนี้ก็ไม่เหมือนใครดีนะคะ


ด้านบนจะเป็นพระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ



พระมหาธาตุเจดีย์พระพุทธธรรมประกาศ


ตามประวัตฺสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสมงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษา ของสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ โดยพระองค์ได้พระราชทานนาม และเสด็จทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุบนยอดฉัตร

แอบเสียดาย ถ้าไปในวันที่ฟ้าใส คงได้รูปสวยกว่านี้ T^T


รูปนี้ถ่ายย้อนลงมาด้านล่างค่ะ

ด้านหน้าวัด ส่วนที่ติดกับถนนจะมีพระพุทธธรรมกายมงคลประยุรเกศานนท์สุพพิธาน พระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศค่ะ เห็นว่าสร้างจากเมืองจีนแล้วนำมาประดิษฐานที่เบตง



เยื้องกันก็จะมีโรงเรียนจงฝาค่ะ ออกแนวจีนๆ สวยดี



ตอนเราไปในโรงเรียนมีดอกศรีตรังกำลังบานค่ะ ปล.เราชอบดอกศรีตรังค่ะ ก็เลยค่อนข้างดี๊ด๊าาา


ตั้งใจจะไปไปรษณีย์ค่ะ ขับหลงไปอีกทางไปป๊ะกะมัสยิดเบตงพอดี โชคดีจัง


และแล้วเราก็มาถึงตู้ไปรษณีย์เบตง ตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โอก โอก โอกกกก (อย่าลืมทำเสียงแอคโค่ด้วยนะ^^)




สถานีต่อไปก็หาไก่เบตงกินคร่า จำชื่อร้านไม่ได้ อยู่ใกล้ๆ หอนาฬิกาค่ะ เป็นร้านขายข้าวมันไก่โดยเฉพาะ


พูดถึงเรื่องนี้ เราว่าเราเป็นพวกลิ้นจรเข้ แยกไม่ออกว่ามันอร่อยกว่าข้าวมันไก่ทั่วไปตรงไหน คือกินๆ ไปแล้วคิดว่ามันเหมือนๆ กัน คิดงั้นจริงๆ นะ



อิ่มแล้วก็เดินถ่ายรูปแถวๆ นั้นค่ะ แหม่เสียดายที่ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องมาด้วย อยากยืนถ่ายรูปข้างๆ รถคันนี้มากเลย ^^

อีกคันนึงคร่า เท่ห์ป่ะล่ะป้ายเบตง^^


สถานีต่อไปก็หาไก่เบตงกินคร่า จำชื่อร้านไม่ได้ อยู่ใกล้ๆ หอนาฬิกาค่ะ เป็นร้านขายข้าวมันไก่โดยเฉพาะ


พูดถึงเรื่องนี้ เราว่าเราเป็นพวกลิ้นจรเข้ แยกไม่ออกว่ามันอร่อยกว่าข้าวมันไก่ทั่วไปตรงไหน คือกินๆ ไปแล้วคิดว่ามันเหมือนๆ กัน คิดงั้นจริงๆ นะ



อิ่มแล้วก็เดินถ่ายรูปแถวๆ นั้นค่ะ แหม่เสียดายที่ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องมาด้วย อยากยืนถ่ายรูปข้างๆ รถคันนี้มากเลย ^^


อีกคันนึงคร่า เท่ห์ป่ะล่ะป้ายเบตง^^


สำหรับที่เบตงเราจะไม่ค่อยได้คุยกับคนในพื้นที่เท่าไหร่ ก็เลยไม่มีเรื่องเล่าจร้า ก็จะเป็นไปตามสถานที่ต่างๆ ซะส่วนมาก


ซึ่งตลอดทั้งวันฝนก็ตกปรอยๆ ตลอดเราเลยอดไปอุโมงค์ปิยะมิตรเลย ตกๆ หยุดๆ อยู่อย่างงั้นจนเราช่างใจว่าจะอยู่ต่ออีกคืนเพื่อที่จะไปสวนไม้เมืองหนาวกับเก็บอุโมงค์ปิยะมิตร หรือจะตัดสินใจกลับวันนี้ดี สุดท้ายก็กลับเลยค่ะ ก่อนกลับขอซักภาพนะคะ



เรานั่งรถตู้กลับเส้นทางเดิม ท่ารถตู้จะอยู่ใกล้ๆ โรงแรมค่ะ ตอนที่ขึ้นรถแล้วแอบได้กำไรนิดนึงตรงที่ รถตู้เข้าไปรับผู้โดยสารถึงบ้าน 2-3 คนเราก็เลยได้เห็นความเป็นอยู่ของชาวบ้านละแวกนั้นก็ตอนนี้แหละค่ะ


อันนี้เป็นเรื่องฮาทิ้งท้ายทริปนี้ ระหว่างนั่งรถกลับเราก็คุยกับผู้โดยสารที่นั่งข้างๆ เค้าก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องที่เคยมีการดักยิงผู้โดยสารรถตู้เส้นนี้ที่เรากำลังนั่งเนี่ยตายไป 9 ศพ เค้าถามว่าทำไมเรามาเส้นนี้ไม่กลัวหรอ ตอบพี่เค้าไปจากใจเลยค่ะ หนูไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนอ่ะพี่ --"

เราก็ถามเค้ากลับไปบ้างเค้าก็บอกว่าทำไงได้มันจำเป็น(น่าเห็นในเนอะ)

จากนั้นก็หลับๆ ตื่นๆ จนมาถึงแถวๆ สะบ้าย้อย (ตื่นมาเห็นชื่อก็กลืนน้ำลายเฮือกละฮะ)

มีต้นไม้ล้มขวางทาง ชาวบ้านกำลังช่วยกันตัดกิ่งไม้ออก แต่เราไม่ได้คิดยังงั้นค่ะ เห็นข้างหน้ามีต้นไม้ล้ม มีผู้คนอยู่รอบๆ อารมณ์หนังไทยมาเต็มค่ะ จินตนาการไปถึงไหนไหน ใครว่าเราไม่กลัว คิดใหม่นะคะ 555+ คิดแล้วยังตลกตัวเองพอถึงหาดใหญ่ประมาณสัก 5 โมงเย็นก็นั่งรถทัวร์เข้ากรุงเทพต่อเลยคร่า (งบน้อยต้องอดทน ฮือ ฮือ)



จบละนะรีวิวการเดินทางของเรา ขอบคุณทุกคนที่อ่านรีวิวอันยาวเหยียดและเปลืองพื้นที่อันนี้ พึ่งรู้ตัวว่าเราควรจะย่อไฟล์ให้เล็กลง

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามนะคะ^^ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะคะ โดยเฉพาะเจ้าของบ้าน ใครที่อาสาจะพาเที่ยวอย่าลืมน๊าาาา จขกท จะกลับไปซ่อมอีกแน่นอนค่ะ จะไปเก็บตกของกินให้หมดเลย 5555+

ปล.ปลื้มใจที่เจ้าของบ้านชอบค่ะขอบคุณ คุณไปรษณีย์สีฟ้าค่ะ

เหตุผลที่เรามาทำรีวิวก็เพราะว่าอยากเชียร์ให้ไปเที่ยวกันเยอะๆค่ะ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิดค่ะ^^

Justsmile

 วันจันทร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.32 น.

ความคิดเห็น