เราเริ่มเดินทางจากกรุงเทพหมานคร สนามบินสุวรรณภูมิ เวลาประมาณเที่ยงคืนครึ่ง โดยการบินไทย TG934 มุ่งหน้าไปยังกรุงบรัสเซล ประเทศเบลเยี่ยม หลังจากเราขึ้นเครื่อง ทานอาหารบนเครื่องเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเองอย่างเตร่งครัด นั่นคือต่างคนต่างหลับ บางคนก็มีกิจกรรมเสริมบนเครื่องคือการกรนเบาๆ ให้เพื่อนฟังแก้เหงา จริงๆไม่ต้องหวังดีขนาดนั้นก็ได้นะ

เวลาผ่านไปประมาณ13ชั่วโมงก็ถึงสนามบินบรัสเซล ผ่านด้านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย อันดับแรก ออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้าเลี้ยวซ้าย เจอร้านBASE ซึ่งเป็นร้านขายSIM CARD

จากนั้นก็เดินตรงต่อไปจนสุดทางเพื่อรับรถเช่าที่SIXT

เอาหละรถเช่าก็ได้แล้ว น้ำมันรถเต็มถัง น้ำมันคนเอาไว้ก่อน เดินทางกันเลยดีกว่า เมืองแรกที่เราจะไป คือเมือง LEUVEN บางคนออกเสียงว่า ลูเว่น บ้างก็ออกเสียงว่า เลอเฟิ่น ตามสำเนียงชาวดัตช์ แล้วแต่สำเนียง เนื่องจากประเทศเบลเยี่ยม มีหลายเชื้อชาติหลายภาษา ทั้งดัดช์ เยอรมัน และฝรั่งเศษ แต่ที่สำคัญ ไอ้ดมืองLEUVEN ที่ว่าเนี่ย มันไปทางไหน แหม..จะยากอะไร GOOGLE MAP ซิครับ ช่วยได้

LEUVEN เป็นเมืองเล็กๆที่สวยงาม คลาสสิคๆ เมืองนึงในประเทศเบลเยี่ยม และเป็นเมืองหลวงของจังหวัดเฟลมมิชบลาบันต์ (แหม ประเทศนี้เท่ห์จัง มีเมืองหลวงของจังหวัดด้วย) อยู่ห่างจากกรุงบรัสเซลไม่ไกลนักประมาณ25กิโลเมตร เป็นเมืองเล็กที่มีประชากรประมาณ97,000คนเศษ เลอเฟินเป็นที่ตั้งของ Anheuser-Busch InBev บริษัทผลิตเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมหาวิทยาลัยคาทอลิกเลอเฟิน (Katholieke Universiteit Leuven) ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยแคทอลิคที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในประเทศเบลเยี่ยมด้วย สร้างมานานกว่า 600ปี และสามารถรับนักศึกษาได้ถึง 30,000คน อีกทั้งเมือง LEUVEN ยังได้รับการยกย่องว่าเป็นเมืองแห่งการศึกษา เมืองแห่งมหาวิทยาลัยโลกด้วย เราจึงเห็นเหล่านักศึกษาจำนวนมาก ที่ใช้จักรยานเป็นพาหนะในการเดินทาง เมืองนี้จึงขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองจักรยานอีกด้วยเช่นกัน โดยเมืองนี้จะให้ความสำคัญกับจักรยานเป็นสำคัญ ถึงกับใช้คำว่าจักรยานถูกเสมอก็ว่าได้ นั่นหมายความว่าหากมีอุบัติเหตุเกินขึ้นกับจักรยาน จักรยานจะเป็นฝ่ายถูก และถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มาก

เราใช้เวลาประมาณ30นาที ขับรถแบบชิวๆ ก็ถึงเมือง leuven หาที่จอดรถไม่เจอ ไม่รู้ว่าจะจอดที่ไหน ที่นี่ใช่ว่าจะจอดรถเรื่อยเปื่อยตามข้างถนน เหมือนบ้านเราได้นะครับ จะต้องหาที่จอดรถและจะต้องจ่ายค่าจอดรถตามเวลาที่จอด แต่สุดท้านเราก็โดนค่าปรับไป22ยูโรจนได้ เนื่องจากรู้เท่าไม่ถึงการณ์นั่นเอง (แมทช์แรกก็โดนเสียแล้ว) เพราะเราจอดบริเวณริมน้ำตรงนี้ ถามคนแถวนั้น บอกว่าจอดได้ เลยจัดไป จ๋อยเลย...

ตรงนี้แหละที่เราโดนค่าปรับ แต่บรรยากาศริมน้ำนี้ก็สวยดี

เราตั้งหลักจาตรงนี้เพื่อเดินชมความงามของเมืองเล็กๆ ไปเรื่อยๆ โดยมีจุดหมายปลายทางที่ GRAND PLACE และCITY HALL ระหว่างทางสัมผัสได้กับความเงียบสงบ อากาศเย็นสบายมาพร้อมกัลม สัมผัสผิวกายให้เย็นยะเยือกเป็นละลอก ผู้คนไม่พลุกพล่านเหมือนเมืองใหญ๋ๆ หรืออาจเป็นเพราะวันนี้เป็นวันเสาร์ก็อาจเป็นได้ เราเดินผ่านอาคารที่มีลักษณะเป็นอิฐแดง ซึ่งน่าจะเป้นตึกที่สร้างขึ้นใหม๋ ซึ่งน่าจะเป้นหอพักนักศึกษา และตามทางจะสังเกตุว่าเมืองนี้มีคูน้ำล้อมรอบเช่นกัน ทำให้เห็นวิวเมืองและวิวคูน้ำรอบเมือง ลักษณะน้ำในคูใสวิ๊งๆ ต่างกับคูน้ำบ้านเราอย่างชัดเจน ใครนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงคูน้ำบ้านเรา แล้วจินตนาการให้ตรงกันข้าม ก็จะเห็นภาพทันที ร้องอ๋อกันเป็นแถว ใช่ไหมล้า

เราเดินไปเรื่อยๆผ่านโบสถ์ ที่สวยงาม และมีความคลาสสิค มีความเป็นยุโรปตอนกลาง ผู้คนแวะเวียนมาไม่มากนัก ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ Small Beguinage


Small Beguinage หรือที่เรียกว่า Saint-Catherine Beguageage เป็นอะไรที่มากกว่าถนนที่มีตรอกซอกซอยเล็ก ๆ สองข้าง ก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 13 และได้รับการบูรณะอีกครั้งในศตวรรษที่18 ภายหลังจากการปฏิวัติฝรั่งเศสได้สิ้นสุดลง และ Beguinage ได้เป็นที่รู้จักอีกครั้งในศตวรรษที่ 19 และ จนในปี พ. ศ. 2517 สถานที่แห่งนี้ได้รับการครอบครองโดยเจ้าของใหม่และสถานที่แห่งนี้จึงถูกขายออกไป โดยบางส่วนถูกแบ่งเป็นห้องเช้าสำหรับนักศึกษา


เดินตรงไปเรื่อยๆสุดตัวโบสถ์ เลี้ยวซ้ายเจอซุ้มประตูสวยงาม เดินลอดซุ้มเข้าไปมีลักษณะคล้ายสวนสาธารณะ มีสวน ร่มรื่นอยู่ตรงกลาง ล้อมรอบด้วยอาคารสวยงาม ที่สร้างจากอิฐแดง เป็นบล็อกๆ ที่แท้ อาคารหลังสวยงามคลาสสิคๆ เหล่านี้คือหอพักนักศึกษานั่นเอง ช่างน่าอิจฉานักศึกษาที่นี่เหลือเกิน มีทั้งห้องเรียนและหอพักที่สุดแสนตะคลาสสิคและโรแมนติก ยิ่งนัก

เดินทะลุหอพักมาเจอกับย่านร้านค้า ร้านอาหาร น่าจะเป็นแหล่งช๊อปปิ่งและดื่มกินสำหรับหนุ่มสาวที่นี่ มีร้านรวงสองข้างทางตลอดแนว ทั้งเสื้อผ้าอาหาร ที่นั่งดื่มกันหน้าร้านข้างทางเดินไสตล์ยุโรป ที่เราเห็นทั่วไปในหนังวัยรุ่น

และแล้วเราก็เดินมาจนถึงจุดหมายปลายทาง คือ Grand place และ city hall เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์ บริเวณจตุรัส จะมีการเปิดร้านค้าคล้ายๆถนนคนเดินบ้านเรา มีทั้งน้านขายดอกไม้ ร้านหนังสือ และร้านขายของแนวศิลปะ

Town hall หรือ City hall หรือ ที่ทำการเมือง Leuven เป็นอาคารโบราณที่สวยงาม อลังการงานสร้าง ในแบบโกธีค สัางขึ้นระหว่างปี 1448-1469 ซึ่งด้านนอกอาคารและหลังคาเสร็จในปี ค.ศ. 1460 และในปี ค.ศ. 1469 อาคารเสร็จสมบูรณ์ เป็นอาคารสำคัญตั้งอยู่บริเวณจตุรัส ของเมือง หรือย่านGROTE MARKT ตั้งอยู่ตรงข้ามกัยโบสถ์ St. peter's

City Hall


โบสถ์เซนต์ปีเตอร์ (Dutch: Sint-Pieterskerk) of Leuven, Belgium

ตั้งอยู่ที่Grote Markt ซึ่งเป็นจัตุรัสของเมือง ตรงข้ามกัย Town Hall อันหรูหรา สร้าง ในศตวรรษที่ 15 มีความยาว 93 เมตร ว่ากันว่าโบสถ์หลังแรกที่สร้างขึ้นมา สร้างมาจากไม้ในปี ค.ศ.986 และในปี 1196 ได้ถูกไฟไหม้ จึงได้สร้างโบสถ์โรมันที่ทำจากหินขึ้นมาทดแทน และโบสถ์แห่งนี้ยังถูกทำลายอีกครั้ง จนได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่สองอีกด้วย ปัจจุบันใช้เป็นที่เก็บงานศิลป์และผลงานประติมากรรมภาพวาดและงานโลหะต่าง ซึ่งเปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้


เดินเล่นไปเรื่อยๆ ผ่านcity hall ผ่านโบสถ์เซ็นต์ปีเตอร์ ข้ามถนนมาจะเจอ อีแลนด์มาร์คหนึ่ง ที่ขึ้นวื่อสำหรับเมืองนี้อีกอย่างนึง ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการศึกษา ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งมหาวิทยาลัยโลก ต้องนี้เลยครับ อนุสาวรีย์น้ำพุแห่งภูมิปัญญา ชื่อเท่ห์จังเลย ซึ่งมันก็คือรูปปั้นที่ชื่อว่า Fons sapientiae ซึ่งมีลักษณะเป๋นรูบปั้นรูปนักศึกษากำลังยืนอ่านหนังสือในขณะที่มือขวาถือแก้วน้ำ เทน้ำใส่ในหัวของตนเอง ซึ่งน้ำในแก้วจะไหลอยู่ตลอดเวลา และไม่ล้นหัวออกมา เสมือนบอกทางอ้อมว่า เติมความรู้เข้าไปในหัวไม่มีวันเต็ม และชีวิตต้องเรียนรู้ตลอดเวลา นั่นเอง

เราเบรคมื้อเที่ยงด้วยวัฟเฟิ่ล ซึ่งเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อของที่นี่ สรุปเลยว่าอร่อยจริง กรอบนอก นุ่มใน ไส้อร่อยอุ่นละมุ่น นุ่มแก้มเวลาเคี้ยว กลิ่นหอมแป้งขนมอบขึ้นจมูก

เติมพลังแล้วไปต่อกันที่ GROOT BEGIJNHOF มันอ่านไงน่ะ ก็ ตามนี้เลย สำเนียงใครสำเนียงมัน ออกเสียง เบกีนาฌ (ตามฝรั่งเศษ: béguinage) หรือ เบอไคน์โฮฟ (ตามภาษาดัตช์: begijnhof) ซึงเป็นบริเวณที่อยู่อาศัยร่วมกันขนาดเล็ก ๆ ของเหล่าฆราวาสหญิง ที่เรียกว่า "เบกีน" (Béguine) ซึ่งเป็นสตรีผู้ประพฤติศีลอย่างเคร่งครัดในศาสนาคริตส์ แต่มิใช่นักบวชแบบแม่ชี โดยกลุ่มอาคารมักจะสร้างในสถาปัตยกรรมแบบเดียวกัน และมักห้อมล้อมด้วยสวนอยู่ตรงกลาง หรืออยู่ใกล้โบสถ์ ในปัจจุบันนั้นไม่มีเหล่าเบกีนเหลืออยู่แล้ว ซึ่งเบกีนาฌที่พบ ทั้ง 13 แห่งในประเทศเบลเยี่ยมได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม โดยองค์การยูเนสโก เรียบร้อยแล้ว เมื่อปี 1998

.ในส่วนของ GROOT BEGIJNHOF นี้ ปัจจุบัน เป็นทั้ง มหาวิทยาลัย และหอพักนักศึกษา จะเห็นได้จากมีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยในบริเวณนั้นและมีจักรยานจอดเรียงรายให้เห็นทั่วไป

มหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ใน GROOT BEGIJNHOF

และนี่คือส่วนหนึ่งของความคลาสสิคของเมืองนี้

นายโรตี หนีเที่ยว

ความคิดเห็น