สวัสดีครับ วันนี้ผมนาย “ภรรยาหา สามีใช้" จะพาทุกคนไปชิมอาหารที่ร้าน “Brown Sugar Bistro & Clean Food" แถวๆ BTS สะพานควายครับ โดยร้านนี้เป็นร้านที่ผมคิดว่ามีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายอย่างและน่าจะตอบโจทย์คนที่ทำงานแถวนั้นรวมทั้งคนที่ชอบอาหาร Clean Food ได้เป็นอย่างดีเลย
เราเริ่มดูกันไปทีละเรื่องเลยแล้วกันนะครับ เริ่มจากพิกัดที่ตั้งร้านกันก่อน ร้าน Brown Sugar Bistro & Clean Food หรือร้าน Brown Sugar Bistro นั้นตั้งอยู่ใน Community Mall ของคอนโด Ideo Mix พหลโยธินครับ (ชื่อโครงการจริงๆ มันตามนี้เลย แต่ผมว่าถ้าจะให้เข้าใจและหาเจอง่ายๆ ก็น่าจะเรียกว่า Ideo Mix สะพานควายมากกว่า) โดยคนที่มาด้วย BTS นั้นก็ให้ลงที่สถานีสะพานควายจากนั้นก็ออกที่ทางออก 4 แล้วเดินต่อไปทางสวนจตุจักรอีกราวๆ 30-40 เมตรก็จะถึงครับ เรียกว่าตำแหน่งร้านนั้นใกล้ BTS มากๆ ส่วนคนที่ขับรถมานั้นหากขับมาจากสวนจตุจักรก็ให้ขับมาตามถนนพหลโยธินเรื่อยๆ และจะเห็นคอนโด Ideo Mix อยู่ทางซ้ายมือของเราก่อนที่จะถึงสถานี BTS สะพานควายเล็กน้อย
สำหรับคนที่ขับรถมานั้นก็จำเป็นต้องแลกบัตรตามระเบียบของการเข้าเขตคอนโดนะครับ โดยให้เราบอก รปภ. ไปว่า มาทานข้าว จากนั้นเค้าจะให้เราไปจอดรถที่หลังตึกซึ่งหากเราประทับตราบัตรจอดรถที่ร้านก็จะสามารถจอดได้ฟรี 3 ชั่วโมง แต่ถ้าใครเน้นสะดวกอยากจอดที่ด้านหน้าคอนโดเลย จะสามารถจอดได้แค่ 30 นาทีเท่านั้นและหากเกินต้องจ่ายเงินค่าจอดแพงพอดูครับ T__T
พอเรามาถึงหน้า Community Mall ของ Ideo Mix สะพานควาย ที่มี Max Value อยู่ด้านล่างแล้ว ก็ให้เราเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง เราก็จะเห็นร้าน Brown Sugar Bistro อยู่ที่หัวมุมเลย โดยร้าน Brown Sugar Bistro นั้นเป็นร้านขนาดเล็กมีโต๊ะในร้านประมาณ 6-7 ตัว สามารถรองรับคนได้ราวๆ 25-30 คน ส่วนด้านนอกนั้นก็จะมีโต๊ะที่เป็น Outdoor อีก 3-4 ตัว สามารถนั่งได้ราวๆ 15 คน ซึ่งบริเวณโต๊ะด้านนอกนี้ผมว่าเหมาะกับวันที่บรรยากาศดีๆ หรือช่วงตอนเย็นๆ ที่แดดไม่ค่อยแรงเท่าไหร่ครับ บรรยากาศน่าจะชิวดี
ลักษณะการตกแต่งภายในร้าน Brown Sugar Bistro นั้นจะเป็นแบบเรียบง่าย โทนสีสบายตา ไม่ได้มีอะไรหวือหวามากนัก โดยบางโต๊ะจะแอบเห็นมุมต้นไม้เขียวๆ ด้านนอกด้วยดูแล้วสบายตาดี
ส่วนเมนูอาหารของทางร้านนั้นถือว่ามีเยอะพอดูเลยเมื่อเทียบกับขนาดของร้าน โดยเท่าที่ผมเปิดดูเมนูนั้นก็พบว่ามีอาหารหลากหลายประเภทตั้งแต่ อาหารทานเล่น เช่น ปอเปี๊ยะ, เฟรนช์ฟราย, นักเก็ต, ปีกไก่ จนไปถึงอาหารประเภทกับข้าว, อาหารจานเดียว, ยำ, สลัด. มังสวิรัติ แล้วก็ของหวานและเครื่องดื่ม ซึ่งเท่าที่ผมลองนับจำนวนรายการอาหารของร้านเล่นๆ ดู มันน่าจะมีเกิน 100 เมนูเลยครับ เรียกว่าต่อให้เรามากินทุกวันตลอดหนึ่งเดือนก็ยังไม่ซ้ำกันรายการกันเลย โดยประเภทเมนูที่โดดเด่นและทางร้านภูมิใจนำเสนอมากที่สุด น่าจะเป็นอาหารที่มีปลากะพงเป็นส่วนประกอบ เพราะเล่นยึดพื้นที่หน้าเมนูไปหนึ่งหน้าเต็มๆ เลย
อ้อ...ส่วนเมนูอาหาร Clean Food นั้นทางร้านก็มีบริการเหมือนกันนะครับ แต่จะเน้น Delivery ทำเป็นข้าวกล่องมากกว่า โดยมีหลากหลายเมนูเหมือนกัน แต่เดี๋ยวเรื่อง Clean Food นั้น ผมจะขอไปเล่าในตอนท้ายๆ แล้วกัน เพราะว่าทางร้านได้ให้อาหาร Clean Food ผมกลับไปชิมที่บ้านด้วย ส่วนรายการอาหารที่ผมกินที่ร้านนั้น จะเป็นอาหารทั่วๆ ไปและเป็นรายการเด็ดของร้านตามนี้เลยครับ
• ปลากะพงผัดฉ่า (149 บาท)
• หม้อไฟปลากะพงต้มเผือก (189 บาท)
• เต้าหู้คั่วพริกเกลือ (115 บาท)
• หมูสับผัดหนำเลี๊ยบ (129 บาท)
• ปลากะพงทอดน้ำปลา (320 บาท)
• ลาบหมูทอด (99 บาท)
• ทอดมันกุ้ง (159 บาท)
• ต้มยำผัดแห้งรวมมิตรกระทะร้อน (199 บาท)
• ข้าวไรซ์เบอรี่ (20 บาท)
• BSB บราวนี่และไอศกรีม (125 บาท)
เป็นยังไงล่ะครับ ดูจากรายชื่อแต่ละรายการแล้ว น่ากินใช่มั้ยล่ะครับ และต้องบอกเลยว่าไม่ใช่แค่ชื่อเท่านั้นที่ดูแล้วน่ากิน เพราะหน้าตาอาหารจริงๆ ก็น่ากินไม่แพ้กับชื่อเลยครับ > <
เรามาเริ่มกันที่จานแรกกันเลยกับ “ปลากะพงผัดฉ่า" บอกเลยว่าเมนูนี้สมกับเป็นเมนูที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอ เพราะคณะกินเพื่อความบันเทิงของผมทั้ง 3 คน ต่างเห็นตรงกันว่าจานนี้เด็ดมาก เนื้อปลาสดแน่น ชิ้นใหญ่ รสชาติกลมกล่อม เครื่องเทศเยอะโดยเฉพาะกระชาย เรียกว่าขาที่ชอบผัดฉ่า ขาที่ชอบอะไรแซ่บๆ น่าจะโดนใจกับจานนี้ครับ อ้อ....แต่ด้วยความที่เนื้อปลาแต่ละชิ้นมันใหญ่มาก ดังนั้นในจานมันก็เลยจะมีจำนวนชิ้นของปลาไม่ได้เยอะมากนะครับ ซึ่งของอย่างนี้มันก็ต้องแลกกันเนอะ ชิ้นใหญ่ก็ได้น้อยชิ้น ชิ้นเล็กก็ได้เยอะชิ้นหน่อย เอาเป็นว่าถ้าไปหลายคนแล้วเห็นว่าจำนวนชิ้นไม่พอคนก็ลองตัดแบ่งกันดู หรือไม่ก็สั่งเป็นจานใหญ่แทน เพราะจานที่ผมกินนั้นเป็นแบบจานเล็กครับ ^^
ต่อกันที่เมนูที่สอง “หม้อไฟปลากะพงต้มเผือก" ปลากะพงในหม้อนี้จะเป็นปลากะพงทอดนะครับ ดังนั้นแนะนำเลยว่าควรจะต้องรีบกินตั้งแต่ตอนที่มาเสิร์ฟใหม่ๆ เพราะรสชาติจะดีที่สุด หากทิ้งไว้นานเนื้อปลาจะเริ่มนิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากใครที่ไม่ชอบทานเนื้อปลาทอดในน้ำแกงแบบนี้ก็สามารถบอกทางร้านได้นะครับ เค้าจะมีเมนูที่ไม่ใช่เนื้อปลาทอดด้วย ส่วนรสชาติโดยรวมนั้นถือว่าดี โดยส่วนประกอบที่เด็ดสุดผมยกให้เป็นเผือกที่อยู่ในหม้อไฟมันอร่อยถูกปากดีครับ
สำหรับเมนูนี้หากเรามากันน้อยคนแล้วอยากจะลองทาน ทางร้านเค้ามีแบบที่ไม่ใช่หม้อไฟด้วยนะครับ จะได้ปริมาณที่น้อยลงหน่อย น่าจะพอเหมาะกับการกินซัก 2-3 คน
ต่อกันที่เมนูที่ 3 “เต้าหู้คั่วพริกเกลือ" เมนูนี้เป็นเมนูที่ทั้งโต๊ะยกให้เป็นเมนูชนะเลิศ ได้ที่ 1 สำหรับมื้อนี้อย่างเป็นเอกฉันท์เลย โดยผมขอแนะนำเลยว่าถ้าไม่ใช่คนที่เกลียดการกินเต้าหู้ไข่จริงๆ ควรต้องสั่งมากิน เพราะเต้าหู้เค้าทอดมาได้ดีมากส่วนนอกมีสีเหลืองทองและมีความกรอบนิดๆ ส่วนเนื้อในก็ยังมีความนิ่มอยู่ ที่สำคัญตัวเต้าหู้ไม่มีการปริแตกเลยแม้แต่ชิ้นเดียว และสุดท้ายก็คือเวลากินเต้าหู้ร่วมกับพริกที่ใส่มาในจานนั้น มันอร่อยลงตัวเลยครับ
เมนูที่ 4 “หมูสับผัดหนำเลี๊ยบ" เมนูนี้เป็นเมนูที่ผมประทับใจน้อยสุดในมื้อนี้ครับ ไม่ใช่ว่ามันไม่อร่อย เพียงแต่มันไม่ค่อยเหมือนกับหมูสับผัดหนำเลี๊ยบที่ผมเคยกิน โดยลักษณะที่ผมเคยกินมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ มันจะออกแนวผัดแห้งๆ มีหนำเลี๊ยบเยอะๆ รสชาติเค็มนำ ไม่สามารถกินเปล่าๆ ได้ ต้องกินกับข้าวต้มหรือข้าวสวยเยอะๆ ถึงจะเอาอยู่ แต่สำหรับหมูสับผัดหนำเลี๊ยบของร้าน Brown Sugar Bistro นั้นจะเป็นแนวมันๆ ปริมาณหมูนำหนำเลี๊ยบพอควร ดังนั้นรสชาติจึงไม่เค็มมาก และสามารถกินเปล่าๆ ได้เลยโดยที่ไม่ต้องง้อข้าวเลย
ยังไงลองพิจารณาดูนะครับว่าชอบกินสไตล์ไหน คือถ้าเป็นคนที่ชอบหมูเยอะๆ เค็มน้อยๆ และชอบทานมันๆ น่าจะถูกปากกับรายการนี้ แต่ถ้าเป็นคนที่เคยชินแบบที่ผมเคยกินตั้งแต่เด็กๆ จะรู้สึกแปลกๆ กับมันหน่อยครับ
เมนูต่อมาคือ “ปลากะพงทอดน้ำปลา" ขนาดตัวปลากลางๆ ไม่ได้ใหญ่มาก เนื้อปลาทอดมาได้ดีเลยกรอบฟูทั้งตัว ทิ้งไว้นานก็ไม่เหนียว และสามารถกินได้แทบจะทั้งตัวตั้งแต่หัวยันหาง ซึ่งผมมั่นใจว่าหากใครที่ชอบกินปลากะพงทอดน่าจะชอบเมนูนี้แน่ๆ และเจ้าปลาที่ถูกนำมาทอดมันจะไม่เสียดายชีวิตอย่างแน่นอนเพราะมันกินได้แทบจะทุกสัดส่วนจริงๆ
สำหรับน้ำจิ้มที่ให้มาคู่กันนั้นจะเป็นน้ำจิ้มแบบรสแซ่บลักษณะคล้ายๆ ยำนะครับ ไม่ได้หวานแบบที่มีมะม่วงผสมเหมือนกับหลายๆ ร้าน
ต่อกันที่ “ลาบหมูทอด" ที่ปริมาณทั้งจานน่าจะได้อยู่ประมาณ 20 ชิ้น นี่ก็เป็นอาหารอีกรายการที่ทางร้านทำออกมาได้ดี ทอดมาโดยที่ข้างนอกกรอบแต่ข้างในยังนิ่มอยู่ ไม่ได้กรอบแข็งไปทั้งชิ้น แล้วก็ในเนื้อลาบหมูทอดนั้นก็ใส่เครื่องเทศผสมมาให้เยอะดี โดยส่วนตัวแล้วผมว่ารายการนี้สามารถกินเพลินๆ ได้ทั้งกับข้าวแล้วก็เป็นกับแกล้มได้เลยครับ
เมนูที่ 7 “ทอดมันกุ้ง" จานนี้จะได้ทอดมันกุ้งทั้งหมด 4 ชิ้น ขนาดชิ้นถือว่าใหญ่อยู่ เนื้อกุ้งเยอะดี เด็กๆ และคนที่ไม่ชอบทานเผ็ดน่าจะชอบ แต่ผมว่าทางร้านทำขนาดชิ้นของทอดมันกุ้งมาบางไปนิดนึง ถ้าสามารถทำให้หนากว่านี้ได้จะดีมาก เพราะพอมันบางไปนิดก็เลยทำให้เวลาที่เรากัดไปมันจะรู้สึกถึงแป้งข้างนอกได้ง่าย และทำให้รู้สึกว่าเนื้อกุ้งนั้นน้อยกว่าความเป็นจริง ผมว่าถ้าทางร้านสามารถปรับรูปร่างส่วนนี้ได้น่าจะทำให้หลายๆ คนชอบมากขึ้นครับ
ปิดฉากของคาวด้วยเมนูสุดท้าย “ต้มยำผัดแห้งรวมมิตรกระทะร้อน" เมนูนี้จะมีให้เลือกทั้งเป็นกระทะร้อนแล้วก็แบบธรรมดานะครับ โดยแบบกระทะร้อนจะราคาสูงกว่า 40 บาท ซึ่งผมว่าถ้างบถึง ผมแนะนำแบบเป็นกระทะร้อนจะดีกว่าเพราะหน้าตาดูน่ากินมาก ตัวน้ำนี่เดือดผุดๆ มาเลย
ในกระทะร้อนจะใส่กุ้ง หอยและปลาหมึกมาให้เยอะสมราคา โดยกุ้งกับปลาหมึกนั้นขนาดตัวใหญ่ใช้ได้ ส่วนหอยนี่ต้องทำใจจริงๆ เพราะเปลือกใหญ่ก็จริงแต่พอผ่านความร้อนแล้วตัวมันหดลงไปเยอะเลย T___T สำหรับรสชาติโดยรวมๆ นั้นถือว่าดีเช่นกัน จัดจ้านและหอมต้มยำ ทานคู่กับข้าวร้อนๆ ลงตัวดีครับ
สำหรับเมนูนี้ผมว่าไม่ค่อยเหมาะกับคนที่ไม่ค่อยชอบทานต้มยำซักเท่าไหร่นะครับ ส่วนใครที่ชอบอะไรแนวต้มยำน่าจะโดนใจ ยิ่งได้กินคู่กับข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่ทางร้านหุงมาอย่างดี ทั้งนุ่ม ทั้งอร่อย บอกเลยว่ากินเพลินดีครับ
เอาล่ะครับตอนนี้ฝั่งของคาวมื้อใหญ่ๆ ก็จบไปเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังเหลือภารกิจเครื่องดื่ม, ขนม แล้วก็ของหวานอีก เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปเริ่มจากเครื่องดื่มกันเลยครับ
เครื่องดื่มของทางร้าน Brown Sugar Bistro นั้น จะมีให้เลือกทั้งชา, กาแฟ, น้ำผลไม้, อิตาเลี่ยนโซดา, น้ำอัดลม, เบียร์ แล้วก็ค็อกเทลครับ ซึ่งผมว่าประเภทเครื่องดื่มที่ทางร้านมีนั้นมันครอบคลุมกับคนทุกประเภทเลยทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ วัยรุ่น ผู้หญิง และผู้ชาย สำหรับวันนี้ผมทั้ง 3 คนเลือกเป็นเครื่องดื่มตามนี้ครับ
• น้ำแตงโม (65 บาท)
• น้ำมะนาว (65 บาท)
• ชาเย็นนมสดทรงเครื่อง (75 บาท)
น้ำแตงโมนั้นมาเสิร์ฟในภาชนะรูปทรงเหยือกขนาดเล็ก ดูสวยงามดี รสชาติหวาน สดชื่น อยู่ในมาตรฐานของน้ำแตงโมที่ดีครับ ส่วนน้ำมะนาวนั้นมาในแก้วทรงสูงรสชาติดีเช่นกัน
สำหรับชาเย็นนมสดทรงเครื่องนั้นถือว่าเป็นเมนูเครื่องดื่มที่แปลกที่สุดในมื้อนี้เลย ตัวชาชงมาจากเครื่อง Espresso รสชาติดี หอมมันนม หวานน้อย และชาไม่เข้มมากนัก ถือว่าเป็นชานมที่ดีแก้วนึง แต่ในเรื่องของทอปปิ้งที่ใส่มาอย่างคอนเฟล็ก, ลูกเดือยและเม็ดแมงลักนั้น ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ครับ คิดว่าถ้าใส่เป็นเฉาก๊วยหรือกินชานมเพียวๆ น่าจะถูกปากผมมากกว่า แต่ทั้งนี้หลายๆ คนก็อาจจะชอบทอปปิ้งแบบนี้นะครับ
ทีนี้มาดูในส่วนของของหวานกันดีกว่าครับ ทางร้าน Brown Sugar Bistro นั้นมีเมนูของหวานให้เลือกหลายรายการเลยโดยเฉพาะของหวานไทยๆ อย่างบัวลอยสามสี, กล้วยบวชชี แต่วันนี้ท้องของผมและชาวคณะนั้นอิ่มมากจนแทบจะยัดอะไรไม่ลงแล้วก็เลยขอลองแค่อย่างเดียวนั่นก็คือ BSB บราวนี่และไอศกรีม เพราะว่าบราวนี่นั้นทางเจ้าของร้านเป็นคนทำเองกับมือ ผมก็เลยแอบคิดในใจว่ามันน่าจะต้องเด็ดแน่ๆ
เมนู BSB บราวนี่และไอศกรีมนั้นค่อนข้างจะใช้เวลาในการรอนานซักหน่อยนะครับ เพราะทางร้านต้องอุ่นบราวนี่และก็ตกแต่งจานอีกเล็กน้อย โดยไอศกรีมที่อยู่ในจานจะเป็นไอศกรีมวานิลลา ความอร่อยอยู่ในระดับกลางๆ แต่สำหรับบราวนี่นั้นผมว่าอร่อยมากครับ ลักษณะบราวนี่ของร้าน Brown Sugar Bistro นั้นจะเป็นแบบเนื้อแห้งที่ด้านบนจะกรอบนิดๆ และมีช็อคโกแลตชิพเป็นทอปปิ้ง ซึ่งพอมันผ่านการอุ่นร้อนอีกรอบมันก็เลยยิ่งน่าทานเพราะช็อคโกแล็ตชิพด้านบนจะเยิ้มนิดๆ ส่วนวิปครีมวันที่ผมไปนั้นจะเป็นวิปครีมแบบหวาน ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันไม่ค่อยเท่ากันเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามทางร้านได้แจ้งว่าหลังจากนี้จะเปลี่ยนไปใช้เป็นวิปครีมแบบจืดแทนซึ่งน่าจะทำให้รสชาติของขนมหวานจานนี้กลมกล่อมมากขึ้นครับ
สรุปสำหรับเมนูนี้ บราวนี่อร่อยโดนใจมาก และสำหรับคนที่ชอบกินบราวนี่ แต่ไม่ชอบกินไอศกรีม ผมแนะนำเลยว่าให้สั่งแต่บราวนี่ที่ราคาชิ้นละ 50 บาทอย่างเดียวมากินก็พอ รับรองว่าอร่อยโดนใจ และประหยัดเงินไปได้พอควรเลยครับ ^^
จบจากของคาว, เครื่องดื่ม และของหวานไปแล้ว ทุกคนก็คงจะเห็นว่าเมนูแทบจะทั้งหมดที่ผมกินมานั้น ไม่ใกล้เคียงกับความเป็น Clean Food เลยใช่มั้ยครับ ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับชื่อของร้าน สิ่งที่เราจะพูดถึงต่อไปนี้ก็คือเมนู Clean Food นั่นเอง โดยอาหาร Clean Food ของทางร้านนั้นมีหลากหลายเลยครับ น่าจะเกือบ 20 รายการได้ บางรายการนี่ผมก็แอบงงอยู่ว่าจะ Clean ยังไง แต่ด้วยความสามารถของเชฟเค้าก็สามารถทำออกมาได้ครับ @_@
หลักๆ แล้ว อาหาร Clean Food ของร้าน Brown Sugar Bistro นั้นจะเน้นทำเป็นแบบ Delivery เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนที่รักสุขภาพโดยมีราคากล่องละ 89 บาท แต่เราสามารถซื้อเป็นแพคเกจหลายๆ กล่องแล้วทยอยกินได้ ซึ่งจะมีราคาถูกลงครับ ส่วนขอบเขตในการ Delivery นั้นทางร้านจัดส่งทั่วทั้งเขต กทม. เลยนะครับ แต่ในเรื่องรายละเอียดค่าใช้จ่ายในการจัดส่งอาจจะต้องสอบถามที่ร้านดูอีกที ทั้งนี้ในวันที่ผมไปนั้นผมได้อาหารมาทดลองชิมสามกล่องด้วยกันได้แก่
• ข้าวกล้องผัด + ปลาทูย่าง
• ข้าวเต้าหู้ทรงเครื่องไก่สับ
• ข้าวแกงกะหรี่ไก่
รสชาติโดยรวมๆ ต้องบอกว่ามันคืออาหาร Clean Food นี่แหละครับ ปรุงแต่งน้อย เน้นการต้มและนึ่งเป็นหลัก แต่รสชาติโดยรวมก็ยังดีอยู่ และถือว่ารสชาติอร่อยกว่าอาหาร Clean Food หลายๆ ร้านที่ผมเคยกิน เพียงแต่คนที่ชอบกินอาหารรสจัดๆ หวานๆ คงไม่ชอบซักเท่าไหร่ ส่วนในเรื่องของราคาก็ต้องยอมรับกับตรงๆ ว่าอาหาร Clean Food นี่จะราคาสูงกว่าอาหารโดยทั่วไปอยู่พอควร แต่ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เดียวกับร้านอาหาร Clean Food หลายๆ ร้าน โดยอาจจะมีบางร้านที่ราคาถูกกว่าหน่อยแต่ปริมาณที่ได้ก็น้อยลงตามไปด้วยครับ T___T
อ้อ...สำหรับเมนูข้าวแกงกะหรี่ไก่นั้น หลังจากที่ผมลองชิมแล้วผมว่ามันน่าจะเป็นผัดผงกะหรี่ไก่มากกว่าครับ
นอกจากอาหาร Clean Food แล้ว ทางร้าน Brown Sugar Bistro ก็ยังมีการจัดอาหารเป็นพวกเมนู lunch set ด้วยนะครับ โดยจะเป็นเมนูเด่นๆ ของร้าน 3-4 อย่างเช่น หมูสับผัดหนำเลี๊ยบ, กะเพราไส้อั่ว, ทอดมันกุ้ง แล้วก็ลาบหมูทอด มาจับคู่กับข้าวสวยหรือข้าวไรซ์เบอร์รี่แล้วจำหน่ายในราคาชุดละ 300 บาท ซึ่งปริมาณที่ได้จากราคานี้ก็แน่นอนว่ามันก็ต้องเยอะกว่าการกินแบบอาหารจานเดียวแน่นอน โดยจากที่ผมลองกะๆ ด้วยสายตาดูแล้ว ผมว่าปริมาณของมันน่าจะเหมาะกับซัก 2 คนทาน หรือไม่ก็ 3 คนในกรณีที่ไม่ใช่สายแข็งมากครับ
สำหรับผมในวันนั้นได้มีโอกาสลองชิมกะเพราไส้อั่วไปด้วยนิดนึง ต้องบอกเลยว่ามันอร่อยและเป็นอะไรที่ผมชอบมากนะครับ ไม่แปลกใจเลยที่รายการนี้จะเป็นรายการยอดฮิตติดอันดับของร้านคู่กับเต้าหู้คั่วพริกเกลือ แต่สิ่งที่ผมเสียดายสุดๆ ก็คือทำไมเค้าไม่เอาเมนูนี้มาให้ผมชิมตั้งแต่แรก เพราะผมชอบมันมากกว่าบางรายการที่ได้กินไปแล้วซะอีก T_____T
ปล. ไส้อั่วของทางร้านเค้าบอกว่านำมาจากจังหวัดแพร่นะครับ เป็นไส้อั่วที่รสไม่จัดจ้านมาก จึงสามารถนำมาปรุงอาหารแล้วต่อยอดรสชาติไปได้อีกหลายทาง ใครที่ชอบทานอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ แนะนำให้ลองทานดูครับ
เอาล่ะครับ ทีนี้ก็มาถึงบทสรุปของการรีวิวอาหารของร้าน Brown Sugar Bistro & Clean Food แล้วนะครับ โดยผมก็ขอแยกออกเป็นหัวข้อต่างๆ ตามเดิมนะครับ
วันที่รับประทาน : วันพุธที่ 10 พฤษภาคม 2560
ช่วงเวลา : 14.30 – 17.30 น.
จำนวน : 3 คน
รสชาติอาหาร : โดยรวมๆ รสชาติอาหารถูกปากผมกับชาวคณะ อร่อยและสอบผ่านเลยครับ โดยเฉพาะเต้าหู้คั่วพริกเกลือ, ปลากะพงผัดฉ่า, ปลากะพงทอดน้ำปลา แล้วก็ของหวานอย่างบราวนี่ ซึ่งต้องยอมรับเลยว่าเมนูที่ทำจากปลากะพงส่วนใหญ่ทางร้านทำออกมาได้ดีจริงๆ สมแล้วที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอและเลือกใช้เนื้อจากปลากะพงตัวใหญ่หนักกว่า 10 กิโลกรัม เนื้อก็เลยแน่น อร่อย และสามารถทำอาหารได้หลากหลาย ส่วนอาหาร Clean Food นั้น ผมว่ารสชาติอาหารดีนะครับ ซึ่งผมขอสารภาพตามตรงเลยว่าก่อนที่จะกินนั้นผมแอบดูถูกอยู่ในใจว่าอาหารที่ไม่ปรุงอะไรเยอะนี่มันจะอร่อยได้ซักแค่ไหนเหรอ แต่พอได้กินเข้าไปแล้วก็รู้สึกดีกับเมนูเหล่านี้ขึ้นมาเลยครับ
ความหลากหลายของอาหาร : เป็นจุดเด่นนึงของร้านเลย ทั้งที่เป็นร้านขนาดไม่ใหญ่มากแต่จำนวนรายการอาหารกลับมีให้เลือกเยอะมาก เอาเป็นว่าแค่เมนูจากปลากะพงอย่างเดียวก็เยอะแล้ว คนที่ชอบทานปลากะพงน่าจะถูกใจร้านนี้แน่ๆ ครับ
ความสะอาดของร้าน : อยู่ในระดับกลางๆ ทั้งความสะอาดและความเรียบร้อย ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงเพราะพื้นที่ร้านจำกัดด้วย แต่ในเรื่องของความสวยงามโดยรวมก็ถือว่าทำออกมาได้ดีในพื้นที่แบบนี้ครับ
การบริการของพนักงาน : วันที่ผมไปนั้นทั้งร้านมีแค่ 1-2 โต๊ะเท่านั้น เพราะไม่ใช่ช่วงเวลาที่ใครจะมาทานข้าวกัน ดังนั้นก็เลยไม่ได้ติดประเด็นอะไรในส่วนนี้ แต่เท่าๆ ที่ผมสังเกตดูตอนที่มีลูกค้าคนอื่นๆ เข้ามาในร้าน ทางเจ้าของร้านก็เข้าไปช่วยดูแลลูกค้าด้วยตัวเองเลย ดังนั้นคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในส่วนนี้ครับ
ความสะดวกของการเดินทาง : ถ้าพูดถึงการเดินทางอย่างเดียวผมว่าทำเลที่ตั้งร้านเป็นทำเลที่สะดวกดีนะครับ ใกล้ BTS สะพานควาย เดินต่ออีกแค่ไม่กี่สิบเมตรเท่านั้น ส่วนคนที่ขับรถมาก็มีที่จอดรถในส่วนของคอนโดได้เลย ไม่ต้องวุ่นวายหาที่จอดมากนัก (ประทับตราที่ร้านสามารถจอดรถได้ 3 ชั่วโมง) แต่ถ้าพูดถึงครับความสะดุดตาของร้านและคอนโดแล้ว ผมว่ามันไม่ค่อยสะดุดตาเท่าไหร่ มองผ่านๆ จากภายนอกแทบมองไม่เห็นหรือไม่รู้เลยว่ามีร้านอยู่ตรงนี้ด้วย ซึ่งสำหรับขาประจำที่รู้จักร้านแล้วก็คงไม่เป็นประเด็นมากนัก แต่สำหรับขาจรนี่น่าจะสังเกตเห็นลำบากหน่อย ทางร้านน่าจะต้องหาป้ายอะไรเด่นๆ สีสดๆ มาติด มันน่าจะช่วยดึงดูดสายตาได้มากขึ้นครับ
ความคุ้มค่า : ผมขอแยกเป็น 2 ส่วนแล้วกันนะครับ ในส่วนของอาหาร Clean Food นั้น สำหรับตัวผมเองที่ไม่ใช่คนชอบกิน Clean Food จะรู้สึกว่าราคามันสูงไปหน่อย ไปหาอาหารธรรมดาๆ ที่ไม่ Clean กินแทนก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก ร่างกายคงทนได้ >< แต่สำหรับคนที่กินอาหาร Clean Food บ่อยๆ น่าจะคิดว่าราคาอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ของอาหารประเภทนี้ครับ ส่วนในเรื่องของอาหารทั่วๆ ไปนั้น ผมว่าราคาโอเคนะครับสำหรับร้านที่ตั้งอยู่ในทำเลติดรถไฟฟ้าแบบนี้และรสชาติแบบนี้ครับ ราคาอาหารโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 100-200 บาทต่อจาน ซึ่งอาจจะมีคุ้มบ้าง หรือรู้สึกแพงบ้างก็แล้วแต่เมนูและความชอบของแต่ละคน แต่ถ้าจะให้ดีผมว่าถ้าบางช่วงทางร้านมีจัด Promotion Discount ให้กับพนักงานที่ทำงานแถวนี้ ซัก 5-10% คนน่าจะมีคนสนใจเยอะขึ้นอีกพอควรเลยครับ
สรุป : หากคุณเป็นคนชอบที่ทาน Clean Food และขี้เกียจทำอาหารเอง หรือเป็นคนที่ขี้เกียจเดินทางออกจากออฟฟิศหรือออกจากคอนโดเพื่อไปกินข้าว ผมว่าอาหารกล่องร้านนี้น่าจะตอบโจทย์ได้ดีเลยเพราะเมนูแต่ละอย่างน่าสนใจมากและไม่ใช่เมนูที่ร้านอาหารตามสั่งทั่วไปจะมี ที่สำคัญเค้ายังใส่ภาชนะที่ปลอดภัยและมีราคาพิเศษสำหรับคนที่ซื้อเป็นแพคเกจเยอะๆ ด้วย และนอกจากนี้ร้าน Brown Sugar Bistro & Clean Food น่าจะยังเหมาะกับกลุ่มคนที่ชอบทานอาหารอร่อยๆ เมนูแปลกๆ หรือคนที่ชอบทานปลากะพงอีกด้วย โดยเฉพาะในช่วงตอนเย็นที่ผมคิดว่าที่นั่งบริเวณหน้าร้านนั้นน่านั่งกินลมชมวิวมากๆ ครับ และสุดท้ายผมมองว่าร้านนี้ไม่ค่อยเหมาะกับคนที่ชอบทานอาหารเร็วๆ หรือมีเวลาทานน้อยซักเท่าไหร่ เพราะเท่าที่ดูผมว่าเมนูเด็ดๆ แต่ละอย่างของทางร้านค่อนข้างจะใช้เวลาในการทำนานกว่าอาหารตามสั่งทั่วไปอยู่พอควรครับ
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ หากผมรีวิวขาดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยด้วยและการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือรสชาติที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ
สำหรับใครที่ชอบการรีวิวของผม ก็สามารถไปติดตามหรือแนะนำข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples
แล้วพบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ
ภรรยาหา สามีใช้
วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.11 น.