นี่น่าจะเป็นการกินอาหารที่ผมคิดว่าสนุกที่สุดตั้งแต่ที่ผมเคยกินมาเลย และผมคิดว่าสถานที่แห่งนี้หมาะกับการพาแฟนหรือครอบครัวมากินมากๆ โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กตัวเล็กๆ ที่อยู่ในวัยกำลังซน วัยกำลังอยากเรียนรู้
.
.
และถ้าใครไม่เชื่อก็ลองดูภาพเปิดตัวเรียกน้ำย่อยภาพนี้ดูก่อนว่ามันตื่นตาตื่นใจแค่ไหนครับ ^^
Benihana The Japanese Steak House คือห้องอาหารสไตล์เทปันยากิที่เปิดมายาวนานกว่า 50 ปีแล้ว โดยปัจจุบันมีสาขามากมายกระจายไปทั่วโลก และสำหรับในประเทศไทยนั้น Benihana (เบนิฮานา) มีทั้งหมด 3 สาขาด้วยกันได้แก่ สาขาโรงแรมอนันตรา ริเวอร์ไซด์, สาขาโรงแรมอวานี เอเทรียม พัทยา แล้วก็สาขาโรงแรมอวานี เอเทรียม กรุงเทพ บริเวณถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ซึ่งเป็นสาขาที่ผมจะพาทุกท่านไปชิมอาหารกันในวันนี้ โดยโรงแรม Avani Atrium Bangkok (อวานี เอเทรียม กรุงเทพ) นั้นจะอยู่ใกล้ๆ กับ MRT เพชรบุรี คนที่นั่ง MRT มานั้นสามารถที่จะเดินต่อจากสถานีไปยังโรงแรมได้เลย ใช้เวลาแค่ราวๆ 5-10 นาทีเท่านั้น แต่ถ้าใครไม่อยากเดินก็สามารถใช้บริการ Taxi หรือมอเตอร์ไซด์รับจ้างก็ได้ครับ แป้บเดียวก็ถึงแล้ว
สำหรับคนที่ขับรถส่วนตัวมานั้นเมื่อมาถึงที่ทางเข้าที่จอดรถทาง รปภ.จะสอบถามว่าเรามาติดต่ออะไร ก็ให้ตอบไปเลยว่ามาห้องอาหาร Benihana ครับ ทางโรงแรมเค้าจะมีที่จอดรถแยกให้โดยเฉพาะและไม่ต้องวนไกล ซึ่งเรื่องนี้เป็นอะไรที่ผมชอบและประทับใจมากเลย มันสะดวกและแสดงถึงการเอาใจใส่ดีครับ โดยหลังจากที่เราลงรถก็ให้เราขึ้นลิฟท์ไปยังชั้น G จากนั้นก็จะเจอลอบบี้สวยๆ พร้อมกับเจ้าเชฟหมียักษ์ซึ่งเป็นมาสคอตของห้องอาหาร Benihana อยู่ เราก็ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกซักหน่อยแล้วก็เดินต่อไปยังชั้นสองห้องโรงแรมก็จะเจอห้องอาหารครับ
หมายเหตุ : ทางโรงแรม Avani Atrium Bangkok มีบริการรถรับส่งฟรีจากโรงแรมไปยัง MRT เพชรบุรีด้วยนะครับ โดยจะมีรอบเวลาของการบริการในแต่ละวันอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่จะออกจากโรงแรมทุกๆ ต้นชั่วโมง อย่างเช่น 7.00 น., 8.00 น. และออกจาก MRT เพชรบุรี ช่วงครึ่งของชั่วโมงนั้น เช่น 7.30 น., 8.30 น. สำหรับใครที่อยากจะใช้บริการก็ลองสอบถามกับทางโรงแรมดูอีกทีนะครับว่ามีรอบเวลาไหนบ้าง จะได้ไม่พลาดและก็ยังเป็นการประหยัดเงินของเราอีกด้วย
ห้องอาหาร Benihana @ Avani Atrium Bangkok นั้น จะเปิดบริการเป็นรอบ โดยเสาร์และอาทิตย์จะมีรอบเที่ยงและเย็น ส่วนวันธรรมดาจะมีเฉพาะรอบเย็นเท่านั้น สำหรับเวลาก็ตามนี้เลยครับ
เสาร์ – อาทิตย์ :
รอบเที่ยง เวลา 12.00 – 15.00 น.
รอบเย็น เวลา 18.00 – 22.30 น.
จันทร์ - ศุกร์ :
รอบเย็น เวลา 18.00 – 22.30 น.
หลังจากที่เราเดินเข้าไปห้องอาหารแล้วเราก็จะเจอกับอะไรที่สวยๆ งามๆ แปลกตาหลายอย่างเลย ตั้งแต่ฆ้องขนาดใหญ่ที่ทางพนักงานต้อนรับจะใช้เพื่อตีบอกพนักงานทุกคนที่อยู่ในร้านว่ามีลูกค้ามาใหม่นะ แล้วก็ยังขวดสาเกสวยๆ วางประดับเต็มไปหมด ซึ่งผมว่าคนที่ชอบทานสาเกน่าจะต้องกลืนน้ำลายเอื้อกๆ อย่างแน่นอน
ภายในห้องอาหาร Benihana นั้นแสงค่อนข้างจะน้อยนิดนึงนะครับ และเค้าจะมีการแบ่งเป็นส่วนๆ ไป ตั้งแต่ Counter Bar ที่เอาไว้ผสมเครื่องดื่มและทำอาหารบางประเภท, โต๊ะที่เอาไว้ทานอาหารสำหรับคนที่ไม่ต้องการทานพวกเทปันยากิหรือไม่อยากให้หัวของเรามีกลิ่นควัน และก็สุดท้ายก็คือไฮไลท์ของร้าน โต๊ะสำหรับการทานอาหารประเภทเทปันยากิที่จะมีเชฟมาทำอาหารให้เราต่อหน้าต่อตาในระยะประชิดแบบได้สี แสง เสียง และกลิ่น ครบทุกมิติ
สำหรับโต๊ะที่มีกระทะใหญ่ยักษ์สำหรับทำเทปันยากินั้นจะมีหลายโต๊ะและหลายขนาดเลย ตั้งแต่แบบที่นั่งได้แค่ 4-5 คน จนไปถึงแบบที่นั่งได้ถึง 14-15 คน และก็ยังมีแบบที่เป็นห้องสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวด้วยครับ โดยแบบที่เป็นห้องนั้นจะมีจุดเด่นอีกอย่างก็คือจะมีปุ่มกดเรียก “Sake Guru" หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสาเกออกมาได้ด้วย ใครอยากจะรู้ว่าเป็นยังไงอันนี้ต้องไปลองพิสูจน์เองนะครับ เดี๋ยวเล่าหมดแล้วมันจะไม่สนุก ^^
เอาล่ะ ดูภาพรวมของห้องอาหารไปแล้วทีนี้เรามาดูเรื่องอาหารกันดีกว่าครับ สำหรับอาหารของ Benihana @ Avani Atrium Bangkok นั้นนอกจากจะมีเทปันยากิที่เป็นจุดเด่นสุดๆ ของร้านแล้วก็ยังมีพวกสลัด, ซูชิ, ของหวานแล้วก็เครื่องดื่มที่น่าสนใจอีกหลายรายการเลย โดย Set ที่ทางห้องอาหารเค้าแนะนำสำหรับคนที่พึ่งเคยมาครั้งแรก หรือต้องการอะไรที่รวดเร็วหน่อยก็คือชุด “Weekend Brunch Set" (ราคา set ละ 790 บาท ++) โดยจะได้ทานอาหารทานเล่นอย่างถั่วแระญี่ปุ่น, ซุปญี่ปุ่น, สลัดผักเบนิฮานา, ปลาดิบ, แคลิฟอร์เนียโรล, ผัดผักเคียง, ข้าวผัดกระเทียม, หอยนางรม และกุ้ง จนไปถึงอาหารจานหลักอย่างหมูคุโรบุตะ, เนื้อวัวออสเตรเลีย, ไก่ หรือปลาแซลมอน (สำหรับเนื้อ 4 อย่างหลังนี้ เราจะเลือกได้เพียงชนิดเดียวเท่านั้นนะครับ) โดยในส่วนของหอยนางรมและกุ้งนั้นจะเป็นการกินแบบบุฟเฟต์คือเราสามารถกินได้เรื่อยๆ เลยซึ่งเป็นอะไรที่คุ้มมาก
หมายเหตุ : ภาพด้านล่างนี้เป็นภาพประกอบจากทาง Benihana @ Avani Atrium Bangkok นะครับ
ผมให้ดูคุณภาพของหอยนางรมและกุ้งซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนที่สั่ง Brunch set จะสามารถทานได้ไม่อั้นกันดีกว่า โดยไลน์ของหอยนางรมและกุ้งนั้นเค้าจะวางไว้บริเวณกลางห้องอาหารเลย เราสามารถไปหยิบมาทานได้เรื่อยๆ ความสดของทั้งหอยนางรมและกุ้งนั้นดีมาก ขนาดของหอยนางรมถือว่าใหญ่ใช้ได้ ส่วนขนาดของกุ้งอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้ใหญ่มาก แต่พอเหมาะกับการกินเพลินๆ ดี
ในเรื่องของน้ำจิ้มนั้นก็มีให้เลือกเยอะแยะเลย ใครชอบแบบไหนก็จัดไป หากไม่ถูกใจก็ปรุงแต่งเพิ่มกันได้ตามใจชอบ แต่ผมกับภรรยาลงตัวตั้งแต่น้ำจิ้มซีฟู้ดแล้วครับ
ส่วนของทานเล่นต่างๆ ที่มีใน set รสชาติก็ตามนี้เลยครับ
• ถั่วแระญี่ปุ่น : อร่อย อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
• ซุปญี่ปุ่น : จะเป็นซุปหัวหอมนะครับ โดยจะมีหอมญี่ปุ่นทอด, ต้นหอมซอย แล้วก็พริกไทเป็นส่วนผสมด้วย รสชาติถือว่ากลมกล่อมดี หวานนิดๆ ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากการกินซุปมิโสะพอควร
• สลัดผักเบนิฮานา : รสชาติดี และผักที่ใส่มาก็สด ดูน่ากิน
• แซลมอน : มาทั้งหมด 3 ชิ้นด้วยกัน ขนาดชิ้นไม่ใหญ่มาก ความสดอยู่ในเกณฑ์ดี
• แคลิฟอร์เนียโรล : มาทั้งหมด 4 ชิ้นด้วยกัน รสชาติกลางๆ ครับ อันนี้ไม่ได้ประทับใจอะไรมาก
เอาล่ะครับ หลังจากดูพวก Appetizer แล้วก็ของทานเล่นต่างๆ แล้ว สำหรับคนที่เลือกทาน Brunch Set ก็จะได้ทานข้าวผัดแล้วก็เนื้ออีก 1 ใน 4 อย่าง ตามที่เราได้เลือกไปว่าจะเอาอะไรดีระหว่างหมูคุโรบุตะ, เนื้อวัวออสเตรเลีย, ไก่ หรือปลาแซลมอน ซึ่งตรงนี้แหละที่จะเป็นไฮไลท์เพราะทางเชฟเค้าจะมาที่กระทะขนาดยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าเราแล้วก็เริ่มร่ายรำการทำอาหารที่แสนฮา ผสมกับแสง สี เสียง กลิ่นและความร้อนจากเปลวไฟที่จะทำให้เราตื่นตาตื่นใจไปพร้อมๆ กับอาการขำจนท้องแข็ง
โดยสเตปแรกทางเชฟที่ดูแลโต๊ะเราจะเข้ามาแนะนำตัว, เตรียมความพร้อมของอุปกรณ์ แล้วก็แนะนำอาหารที่จะทำพร้อมกับซอสที่ทาง Benihana มี ซึ่งเค้ามีถึง 3 ซอสเลย ได้แก่ ซอสขิง (Ginger Sauce) ที่เหมาะกับผักและซีฟู้ดส์, มัสตาร์ดครีมซอส (Mustard Cream Sauce) ที่เหมาะกับเนื้อ หมู ไก่ และซอสพริกสูตรพิเศษ (Spicy Sauce) ที่นอกจากจะเผ็ดร้อนแรงใช้ได้แล้วยังมีความหวานของน้ำผึ้งผสมลงไปด้วย ก็ลองดูแล้วกันนะครับว่าชอบแบบไหน แต่จะบอกว่าเราไม่ต้องกินซอสตามที่เชฟแนะนำก็ได้ เพราะผมก็ไม่ทำตาม ฮา
พอแนะนำอะไรเสร็จเรียบร้อย คราวนี้ก็ได้เวลาเชฟปล่อยของแล้ววววว ทั้งลีลาการร่ายรำตะหลิว การโยนไข่ การเล่นกับไฟ การทำอาหารต่างๆ บอกเลยว่ามันเป็นช่วงเวลาที่สนุกมาก ยิ่งถ้าใครที่ได้เชฟที่ขยันปล่อยมุกทุก 1 นาทีอย่างเชฟแบงก์มาประจำการที่โต๊ะด้วย ผมบอกเลยว่าคุณอาจจะกินข้าวได้น้อยกว่าปกติเพราะคุณอาจจะปวดท้องจากการขำแบบไม่บันยะบันยังก็ได้ ><
และที่เด็ดกว่าลีลาเชฟนี่ก็คือ พี่แกเล่นให้เราไปร่วมสนุกด้วยการเอาตะหลิวเดาะไข่เล่นด้วย แน่นอนว่าคนเก่งๆ อย่างพวกผมต่อให้มีไข่อีก 10 ฟองก็ไม่พอ เพราะมันแตกเรียบคร้าบบบบบบ
สำหรับเมนูในช่วงนี้ที่เราจะได้กินก็จะเหมือนกันทั้งคนที่ทาน Brunch set แล้วก็คนที่ทานเนื้อพิเศษ นั่นก็คือพวกผัดผักเครื่องเคียง, กุ้งลายเสือ 1 ตัว แล้วก็ข้าวผัดกระเทียม ซึ่งที่ผมว่าทีเด็ดมากๆ ก็คือการทำ Volcano หรือหัวหอมภูเขาไฟนี่แหละครับ ดูแล้วตื่นตาตื่นใจมาก
ในเรื่องของรสชาตินั้น รสชาติของกุ้งลายเสืออยู่ในระดับกลางๆ ส่วนข้าวผัดกระเทียมนั้นรสชาติกำลังดีไม่เข้มข้นมาก สำหรับข้าวผัดกระเทียมนี้เราจะได้คนละถ้วยเท่านั้น โดยทางเชฟเค้าจะมีการคำนวณปริมาณการผัดข้าวให้พอดีกับจำนวนคนครับ
เอาล่ะครับ พอจบตรงนี้แล้ว สำหรับคนที่ทาน Brunch set ก็จะเป็นการเข้าสู่การทำเทปันยากิเนื้อประเภทที่ตัวเองเลือกไว้ แต่สำหรับคนที่ไม่ได้สั่ง Brunch set แต่สั่งเป็นเนื้อพิเศษอื่นๆ ก็จะเป็นการทำอาหารเมนูนั้นๆ ครับ ซึ่งสำหรับมื้อนี้นั้นทางผมกับภรรยาก็ได้ชิมอาหารตามนี้เลย
• ปลาฮามาจิ (950 บาท ++)
• Canadian Lobsters (2,100 บาท ++)
• Australian Wagyu Tomahawk Steak (4,200 บาท ++)
และต้องขอบอกตามตรงว่าครั้งแรกที่ผมเห็นขนาดของล็อปสเตอร์กับเนื้อโทมาฮอว์คนั้นผมกับภรรยาถึงกับอึ้งไปเลย เพราะว่าขนาดของมันนั้นใหญ่มากกกกกก ล็อปสเตอร์นี่น่าจะหนักเกือบๆ หนึ่งกิโลได้ ก้ามของมันใหญ่มาก เรียกว่าใหญ่เกือบเท่ากับมือถือเครื่องนึงเลย ส่วนเนื้อโทมาฮอว์คนั้นก็หนักประมาณ 1.1-1.2 กิโลกรัมได้ โดยตอนที่เชฟถือขึ้นมาครั้งแรกนั้น ผมนี่นึกว่าเชฟกำลังถือขวานอยู่ตามชื่อที่มาของมันเลย ><
ทีนี้เราไปดูเรื่องรสชาติกันดีกว่า เริ่มจากปลาฮามาจิกันก่อนเลย เนื้อปลาสดแน่น กินเปล่าๆ จืดไปนิด แต่ถ้าจิ้มกับซอสขิงผมว่าลงตัวกำลังดีเลยครับ
ต่อกันที่ล็อปสเตอร์แคนาดาตัวโตเบ้อเริ่มเทิ่ม ซึ่งตรงนี้ผมต้องบอกก่อนนะครับว่าล็อปสเตอร์ที่นำมาใช้ปรุงอาหารนั้นเป็นล็อปสเตอร์เป็นๆ ที่พึ่งผ่านการผ่าไม่นาน โดยทางเชฟจะทำการลอกเปลือกที่ก้ามมาให้เราเรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะได้นำมาปรุงและกินต่อได้ง่าย
และด้วยความที่เป็นล็อปสเตอร์ที่สดมากๆ แบบนี้นั่นแหละจึงไม่แปลกใจเลยที่เนื้อของมันจะอร่อย หวาน และเด้งดึ๋งมาก
จบจากล็อปสเตอร์ใหญ่ยักษ์ไปแล้วทีนี้ก็ถึงเวลาของเนื้อโทมาฮอว์คชิ้นใหญ่เบิ้มชิ้นนี้แล้วครับ เนื้อชิ้นนี้ทางเชฟจะใช้เวลาในการปรุงอาหารนานพอดูเหมือนกันครับ ตั้งแต่เลาะเอากระดูกออกและแบ่งเนื้อออกไปหลายส่วนเพื่อที่จะใช้กระบวนการปรุงอาหารที่เหมาะกับลักษณะและความเหนียวของเนื้อในส่วนนั้นๆ ได้
ระหว่างที่เชฟทำอาหารไป เราก็กลืนน้ำลายเอื้อกๆ ไป เพราะว่ามันน่ากินมาก เนื้อสีสวย กลิ่นก็หอมยั่วใจเหลือเกิน T___T
หลังจากที่เชฟปรุงเจ้าโทมาฮอว์คไปซักพัก ทีนี้ก็ได้เวลาที่ผมกับภรรยาจะได้ลองชิมแล้วครับ รสชาติที่ได้นั้นต้องบอกว่านุ่มและอร่อยมาก แต่เมนูนี้เป็นเมนูที่ผมกับภรรยาพึ่งเคยกินครั้งแรก ดังนั้นก็เลยไม่สามารถเปรียบเทียบกับหลายๆ ที่ได้นะครับว่าคุณภาพของที่นี่เมื่อเทียบกับที่อื่นเป็นอย่างไร รู้แต่ว่ามันอร่อยครับ และดีใจมากมายที่ได้มีโอกาสลองชิม T__T
จบจากโทมาฮอว์คแล้ว ตอนนี้หลายๆ คนคงคิดว่าผมกับภรรยาคงจะปิดฉากมื้อนี้กันแล้วใช่มั้ย แต่อยากจะบอกว่ามันยังไม่จบครับ เพราะ Benihana นั้นเค้ามีอาหารอีกหลายประเภทมากทั้งพวกซูชิ, สลัด, ค็อกเทล แล้วก็เมนูต่างๆ อีกเต็มไปหมด ซึ่งในวันนั้นผมกับภรรยาก็ได้มีโอกาสลองชิมอาหารอื่นๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากเทปันยากิดังนี้ครับ
• Benihana Salmon Tuna Tartar (550 บาท ++)
• Uminosachi (500 บาท ++)
• Rocky's Mountain Sandwich (400 บาท ++)
• Cocktail “Benihana Sour"
โดยรวมๆ แล้วอาหารหลายๆ จานของ Behihana นั้นถือว่าใหญ่ใช้ได้เลย โดยเฉพาะ Uminosachi และมันก็ทำให้ผมกับภรรยาอิ่มมาก อิ่มจนแทบจะยัดอะไรลงอีกไม่ไหวเลย ดีนะที่วันนั้นมีทั้งหมด 4 คน ถ้ามีแค่ 2 คนเหมือนปกตินี่ต้องบอกเลยว่าผมคงจอดไม่ต้องแจวตั้งแต่จบโทมาฮอว์คแล้วครับ
ทีนี้เราไปไล่ดูเมนูและรสชาติแต่ละรายการกันดีกว่าครับ เริ่มตั้งแต่ Benihana Salmon Tuna Tartar ซึ่งประกอบไปด้วยปลาแซลมอน, ปลาทูน่า, อโวคาโด, ไข่ปลาแซลมอน แล้วราดด้วยซอสกลิ่นวาซาบิกับน้ำซอสยูซุ
รสชาติโดยรวมๆ แล้ว อร่อยดีครับ ความสดของส่วนประกอบต่างๆ อยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะไข่ปลาแซลมอน แต่ด้วยการที่ขนาดโดยรวมๆ ของมันไม่ได้ใหญ่มากนัก ดังนั้นโดยส่วนตัวแล้วผมก็คิดว่าราคาของเมนูนี้แอบแรงไปหน่อยครับ T_T
ต่อกันที่ Uminosachi หรือสลัดปลาเงินทอด พร้อมกับไข่ปลาแซลมอนและวาซาบิ ต้องบอกว่าจานนี้ใหญ่มากกก สมราคาเลยครับ และมันใหญ่จนพวกผมทั้ง 4 คนไม่สามารถกินมันหมดได้ เมนูนี้ผมว่าน่าจะเหมาะสำหรับคนที่ชอบไข่กุ้งและไข่ปลาแซลมอล เพราะปริมาณไข่ที่เค้าให้มาถือว่าเยอะใช้ได้เลย
เมนูถัดมาคือ Rocky's Mountain Sandwich หรือ Signature Sushi Roll ของ Benihana ที่ใช้ชื่อของผู้ก่อตั้งมาเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเมนู โดยเมนูนี้จะเป็นข้าวห่อสาหร่ายไส้ปลาแซลมอนคลุกด้วยซอสสไปซี่, ไข่ปลา, หัวหอมญี่ปุ่น โรยด้วยต้นอ่อนหัวผักกาด แล้วก็ราดด้วยซอสน้ำมันพริกกับมายองเนสสไปซี่ครับ
เมนูนี้เป็นเมนูที่ผมประทับใจน้อยที่สุดในมื้อนี้เลย ซึ่งมันอาจจะมาจากหลายองค์ประกอบทั้งจากที่ผมทิ้งมันไว้นาน หรือผมอิ่มเกินไปจนแทบรับรสไม่ได้ หรือไม่ก็เพราะเป็นเมนูที่ค่อนข้างต่างจากเมนูอื่นๆ ก่อนหน้านี้ที่ผมกินก็เลยทำให้รสชาติมันไปคนละทาง แต่อย่างไรก็ตามในเรื่องของหน้าตาและคุณภาพวัตถุดิบผมถือว่าดีเลยครับ ส่วนรสชาติอาจจะต้องฟังความเห็นของคนอื่นเพิ่มเติมอีกที
อ้อ รายการนี้ทางเชฟเค้าจะหั่นครึ่งมาให้แล้ว ดังนั้นเวลาที่เรากินก็จะกินง่ายหน่อย ไม่ต้องอ้าปากกว้างมากครับ
จัดของคาวมาเยอะแล้วทีนี้มาชิมเครื่องดื่มกันดีกว่า ที่ Benihana นั้นมีเครื่องดื่มหลายชนิดเลยทั้งชาเขียว, สาเก แล้วก็ค็อกเทล ตัวผมในวันนั้นนั้นลองชิมไปสองอย่างก็คือชาเขียวกับค็อกเทลอีกหนึ่งแก้ว โดยชาเขียวนั้นรสชาติอยู่ในเกณฑ์ดี ส่วนค็อกเทลที่ได้ลองนั้นเป็นค็อกเทลสูตรใหม่สุดๆ ใหม่ชนิดที่ว่าวันที่ผมไปนั้นทั้งชื่อและราคาก็ยังไม่เรียบร้อยดีเลยครับ ><
Cocktail แก้วนี้ชื่อว่า “Benihana Sour" โดยแก้วที่ผมกับภรรยากินนั้นถือว่าเป็นแก้วแรกๆ ของห้องอาหารเลย รสชาติรวมๆ นั้นผมชอบนะครับ แปลกดี แปลกทั้งรสชาติแล้วก็ส่วนผสมเลย โดยทาง Benihana บอกว่าค็อกเทลแก้วนี้มีส่วนผสมของข้าวคั่วด้วย ดังนั้นใครที่ชอบทานค็อกเทล หรือเครื่องดื่มแปลกๆ ใหม่ๆ ก็ลองไปชิมดูนะครับ
หลังจากมหากาพย์การกินอาหารมื้อนี้ดำเนินมายาวนาน ในที่สุดมันก็มาถึงจุดนี้แล้วครับ จุดที่ผมจะพาทุกท่านไปกินของหวานกันต่อ @___@ โดยเมนูของหวานที่ผมกับภรรยาได้ชิมก็ตามนี้เลยครับ
• Dark Chocolate Sphere (210 บาท ++)
• Miso – Vanila Crème & Carrot Cremeux (230 บาท ++)
เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราไปว่ากันที่รสชาติกันดีกว่าครับ เริ่มจาก Dark Chocolate Sphere ก่อน หน้าตาดูสวยงามเลย โดยเฉพาะ Chocolate Sphere ที่เป็นไฮไลท์ของจานนี้ แต่แน่นอนว่าคนที่ไม่ค่อยชอบกินช็อคโกแลตอย่างผมก็ยังไม่ค่อยถูกกับมันอยู่ดี และก็ทำให้ผมต้องเลี่ยงไปกินไอศกรีมมะม่วง (Mango Sorbet) ที่อยู่ข้างในแทน แต่สำหรับภรรยาผมเธอบอกว่าช็อคโกแลตด้านนอกอร่อยดีนะครับ
อ้อ ตัวไอศกรีมมะม่วงที่อยู่ข้างในนั้นผมว่าอร่อยดี ถึงแม้จะไม่ได้เป็นมะม่วงจ๋าแต่รสชาติถูกปากก็โอเคแล้วครับ
ส่วนของหวานอีกจานที่ชื่อว่า Miso – Vanila Crème & Carrot Cremeux นั้น เป็นอะไรที่ผมชอบมากกว่า เพราะว่าหน้าตาเก๋ไก๋และไม่มีความขมของช็อคโกแลตมาปน โดยในจานนี้จะประกอบไปด้วยเค้กแครอท, มูสมิโซะวนิลลา, นมเปรี้ยวยูซุ, เยลลี่สาเก แล้วก็ไอศกรีมราสเบอร์รี่เชอร์เบท ซึ่งเค้กแครอทนี่อร่อยมาก ส่วนเยลลี่สาเกนี่ก็แปลกมากจริงๆ ทั้งรสชาติและหน้าตา ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีอาหารแบบนี้ด้วย ซึ่งอันนี้ต้องปรบมือดังๆ ให้กับเชฟที่คิดเมนูนี้ออกมาเลยครับ
อ้อ......ผมลืมบอกไปเลย หลังจากที่เชฟที่ประจำโต๊ะเราเค้าทำเมนูอาหารประเภทเทปันยากิเสร็จเรียบร้อยแล้ว เชฟเค้าจะต้องขอตัวเพื่อไปยังโต๊ะอื่นๆ ต่อนะครับ แต่เราและเพื่อนๆ ยังสามารถนั่งกินอาหารต่อได้เรื่อยๆ โดยก่อนที่เชฟจะจากไปนั้น เชฟแต่ละคนจะมีกลเม็ดและความสามารถพิเศษของตัวเองมาโชว์ส่งท้ายให้ดูด้วย โดยเชฟแบงก์ที่ดูแลโต๊ะผมจะโชว์กลไพ่ครับ
หมายเหตุ : สำหรับใครที่เคยไปทานอาหารที่ Benihana มาแล้วประทับใจเชฟคนไหนเป็นพิเศษ คราวหน้าที่เรากลับไปใช้บริการอีก เราสามารถระบุจองคิวเชฟคนนั้นได้เลยนะครับ ^^
เอาล่ะครับ ตอนนี้ผมก็พาทุกคนตะลุยแทบจะทุกซอกทุกมุมของ Benihana @ Avani Atrium Bangkok แล้ว ทีนี้ผมก็ขอสรุปทิ้งท้ายเพื่อความชัดแจนและเข้าใจง่ายๆ ตามนี้นะครับ
วันที่รับประทาน : วันอาทิตย์ที่ 7 พฤษภาคม 2560
ช่วงเวลา : 12.00 – 15.00 น.
จำนวน : 4 คน
รสชาติอาหาร : ดีมากๆ ในหลายๆ เมนู เช่น โทมาฮอว์ค, ล็อปสเตอร์, หอยนางรม และกุ้ง ส่วนเมนูอื่นๆ ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดีครับ จะมีแค่ Rocky's Mountain Sandwich ที่ผมว่ารสชาติแตกแยกไปกว่าเพื่อนหน่อย ซึ่งส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะลักษณะอาหารค่อนข้างกระโดดไปไกลกว่าอันอื่น แต่โดยรวมๆ แล้วถือห้องอาหารแห่งนี้สอบผ่านในด้านรสชาติและคุณภาพของวัตถุดิบครับ และสมแล้วที่มีสาขาอยู่ทั่วโลก
ความหลากหลายของอาหาร : ถือว่าเยอะเลยครับ เพราะนอกจากประเภทเนื้อต่างๆ ที่นำมาทำเทปันยากิแล้ว ก็ยังมีอาหารอีกหลายประเภทอย่างสลัด, ซูชิ และอาหารทานเล่นต่างๆ ให้เราเลือกทานครับ ดังนั้นเรื่องนี้ไม่น่าเป็นปัญหากับที่นี่ครับ
ความสะอาดของร้าน : ถึงบรรยากาศโดยรวมจะค่อนข้างมืดและแสงน้อยไปนิด แต่ก็พอจะเข้าใจได้ว่าส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะทางร้านอยากจะให้มีความเป็นส่วนตัวของแต่ละโต๊ะ อีกทั้งมันยังทำให้เห็นไฟและการปรุงอาหารของเชฟที่ชัดเจนขึ้นด้วย ดังนั้นก็เลยออกมาใน mood and tone แบบนี้ครับ สำหรับในส่วนของเรื่องความสะอาดไม่ได้มีประเด็นอะไรครับ สอบผ่านแบบไม่มีปัญหา
การบริการของพนักงาน : รวดเร็ว เอาใจใส่ดีมาก เพราะโดยส่วนหนึ่งของการทานอาหารแบบนี้จะไม่ได้มีการสั่งอะไรเพิ่มเติมเรื่อยๆ อยู่แล้ว ลักษณะการกินจะเป็นการกินอยู่ที่โต๊ะและทางเชฟที่ทำการปรุงอาหารให้เรานั้นจะเป็นคนดูแลเราเกือบหมด ซึ่งตรงนี้ผมว่าเชฟของที่นี่อัธยาศรัยดีทุกคนเลยครับ สุภาพและบริการดีมากๆ ทุกคนเลย
ความสะดวกของการเดินทาง : สำหรับคนที่ขับรถมาไม่น่ามีปัญหาอะไรมาก เพราะทางโรงแรมมีที่จอดรถอยู่เยอะพอควรและที่สำคัญที่จอดรถของห้องอาหาร benihana ยังได้แยกออกไปต่างหากอีก ไม่ต้องวนรถเยอะด้วย เข้าไปในที่จอดรถแป๊บเดียวก็เจอเลยซึ่งเป็นอะไรที่ดีมาก แต่ปัญหาใหญ่ของคนที่ขับรถมาเองก็คือการจราจรในช่วงเวลาเย็นๆ ตอนหลังเลิกงานของถนนเพชรบุรีตัดใหม่นี่ค่อนข้างสาหัสเลย ส่วนคนที่เดินทางด้วยรถสาธารณะนั้นผมว่าสะดวกในระดับนึงนะครับ เพราะทางโรงแรมมีรถที่บริการรับส่งฟรีอยู่เป็นระยะๆ แต่ถ้าใครไม่อยากรอหรือเวลาไม่ตรงกันก็สามารถเดินไปเองได้เพราะโรงแรมอยู่ไม่ไกลจาก MRT เพชรบุรีมาก ยังพอที่จะเดินไหวอยู่ หรือถ้าไม่สะดวกกับการเดินก็สามารถใช้การต่อรถอื่นๆ แทนได้ แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว
ความคุ้มค่า : นี่เป็นเรื่องที่ผมเขียนยากที่สุดในรีวิวนี้เลย เพราะสาเหตุสองอย่าง อย่างแรกก็คือบางเมนูผมไม่เคยกินมาก่อนเลย เช่น โทมาฮอว์ค ดังนั้นก็เลยวัดความคุ้มค่ายาก แต่เท่าๆ ที่ผมลองดูข้อมูลก็พบว่าราคาอาหารของที่นี่ก็อยู่ในเกณฑ์เดียวกับห้องอาหารระดับเดียวกันนะครับ ส่วนอย่างที่สองก็คือแทบจะไม่มีห้องอาหารไหนเลยที่จะให้เราสัมผัสประสบการณ์การกินเทปันยากิแบบใกล้ชิดขนาดนี้ มันเหมือนกับเราได้ดูโชว์สนุกๆ โชว์นึงที่มีความยาว 1 ชั่วโมงเลยครับ ดังนั้นผมก็เลยคิดว่าหากเรามองที่ราคาอาหารอย่างเดียว มันคงดูสูงหรือแพงไปหน่อยสำหรับหลายๆ คน แต่หากมองว่ามันคือการดูโชว์สนุกๆ โชว์นึงที่ชื่อ “เทปันยากิโชว์" และมีอาหารดีๆ ให้เรากินด้วย ผมว่ามันจะรู้สึกคุ้มค่าและอยากกินขึ้นมาทันทีเลยครับ โดยเฉพาะ Brunch Set ที่ราคา set ละ 790 บาท ++ ผมว่าเป็นอะไรที่คุ้มสุดๆ (ผมไม่ได้กินเนื้อที่อยู่ใน Brunch set นะครับ แต่แค่ดูจากบรรดาเครื่องเคียงต่างๆ และคุณภาพของวัตถุดิบในเมนูอื่นๆ ผมว่ามันไม่น่าจะผิดหวังแน่ๆ ที่สำคัญ Brunch set ยังได้ดูเชฟทำอาหารแบบเดียวกับคนที่สั่งเนื้อพิเศษด้วย ดังนั้นผมก็เลยคิดว่ามันคุ้มค่ามากๆ ครับ)
สรุป : หากคุณเป็นคนที่ชอบทานอาหารประเภทเทปันยากิ แสวงหาการกินอาหารที่แปลกใหม่ที่แตกต่างจากเดิม และไม่ต้องการความเงียบสงบสำหรับสวีทหวานแหวว แต่ต้องการความสนุก ความหัวเราะ และความสุขไปพร้อมๆ กับคนที่คุณรัก กินไปหัวเราะไป ยิ้มไป เฮฮากันไป ผมว่าที่นี่เป็นห้องอาหารที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงครับ เพราะถึงตอนนี้ผมยกให้มื้อนี้ของผมเป็นอาหารที่ผมกินแล้วสนุกที่สุดในชีวิตไปเรียบร้อยแล้วครับ!!
หมายเหตุ : โดยปกติแล้วทาง Benihana จะมีโปรโมชั่นราคาพิเศษกับบัตรเครดิตต่างๆ อยู่เป็นระยะๆ ซึ่งบางครั้งก็ลดมากถึง 25% เลย ดังนั้นก่อนที่จะไปใช้บริการที่นี่ผมแนะนำว่าให้ลองโทรไปสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับโปรโมชั่นบัตรต่างๆ ก่อน จะได้เลือกบัตรติดตัวไปถูกและช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของเราครับ ^^
ก็จบลงแล้วสำหรับรีวิวนี้ หากผมรีวิวขาดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยด้วยและการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือรสชาติที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ และทุกท่านสามารถดูคลิปวีดีโอส่วนหนึ่งของบรรยากาศการกินอาหารของผมที่ Benihana @ Avani Atrium Bangkok ได้ที่ด้านล่างเลยครับ
สำหรับใครที่ชอบการรีวิวของผม ก็สามารถไปติดตามหรือแนะนำข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่เลยครับ https://www.facebook.com/amazingcouples
แล้วพบกันใหม่รีวิวหน้า สวัสดีครับ
ภรรยาหา สามีใช้
วันพุธที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.02 น.