สำหรับใครที่ยังไม่ได้อ่านภาคก่อนหน้ารวมถึงภาคพิเศษที่รวมเรื่องน่าสนใจของไอซ์แลนด์ไว้ไปอ่านกันก่อนได้เลย

สักครั้งในชีวิต พิชิตไอซ์แลนด์ #1 - ลิงค์และภาพไฮไลต์ด้านล่างครับ
https://pantip.com/topic/36521035

รีวิวภาคพิเศษ "ไอซ์แลนด์ฉบับย่อ" รวมเรื่องน่าสนใจของไอซ์แลนด์


VDO สั้นๆ ของทริปนี้


และนี่คือตอนที่ 2 ของทริปไอซ์แลนด์

สำหรับคนชอบท่องเที่ยวและถ่ายภาพก็ไปโม้ต่อกันได้ที่เพจ "นายมด" https://facebook.com/9MotPhotography หรือติดตามรีวิวท่องเที่ยวถ่ายภาพได้ที่บล็อก www.9mot.com ครับ


เอาล่ะเมื่อพร้อมแล้วมาเริ่มเดินทางกันต่อเลยครับ … หลังจากชมธารน้ำแข็งและน้ำแข็งที่ไหลลงทะเลแล้ว เราเดินทางเข้าสู่ฝั่งตะวันออกของไอซ์แลนด์ซึ่งมีลักษณะเป็นฟยอร์ด โดยเราเดินทางถึงที่พัก ณ เมือง Djúpivogur ซึ่งเป็นเมืองท่าสุดแสนสงบริมถนนสายหลักที่น่าอาศัยมาก บ้านพักของเราเป็นอพาทเม้นต์ 4 ห้องนอนพร้อมครัวตั้งอยู่ใกล้ท่าเรือ มองเห็นวิวชัดเจนจากหน้าต่างห้องนอน … ข้าวของเครื่องใช้ก็มีให้พร้อมสรรพ คืนนี้ก็เลยจัดอาหารกันแบบเต็มพิกัดเลย

นี่เลยครับที่พักเรา อยู่ใกล้ท่าเรือของเมืองเลย

บรรยากาศของเมืองสวยใช่เล่นเลย … ภูเขาที่เห็นด้านหน้าเป็นแนวของฟยอร์ดที่เรียงตัวกันไปตามแนวชายฝั่งด้านตะวันออกครับ

ค่ำคืนวันนี้พยากรณ์บอกว่าแสงเหนือจะมีความแรง KP4 ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เราต้องขับรถออกไปราว 30-40 กม.เพื่อให้อยู่ในเขตที่ท้องฟ้าโปร่งเพียงพอ … คืนนั้นหลังอาหารมื้อค่ำก็เลยขับรถออกจากเมืองไป และเฝ้าสังเกตท้องฟ้า แต่ดูเหมือนโชคไม่เข้าข้าง ฟ้าโดยรอบถูกปกคลุมด้วยเมฆหนาทำให้ไม่เห็นแสงเหนือจึงต้องกลับที่พักในที่สุด

วันรุ่งขึ้นเรายังคงขับรถต่อไปตามเส้นทางฟยอร์ดทางตะวันออก อากาศที่อึมครึมในช่วงเช้าค่อยๆ ดีขึ้น เราจึงแวะถ่ายภาพเป็นระยะ เพราะวิวสองข้างทางสวยเกินห้ามใจจริงๆ

ช่วงหลังเที่ยงอากาศดีเลยหาที่นั่งทานข้าวเที่ยงกันริมบึงข้างทาง แสงสะท้อนในน้ำสวยมากจริรงๆ

จากฟยอร์ดฝั่งตะวันออกเรา ใช้ถนนเส้นที่ตัดผ่านยอดเขาสูงมุ่งหน้าสู่เมือง Egilsstaðir ซึ่งเป็นที่พักสำหรับคืนนี้ ปกติแล้วเส้นทางนี้มักไม่ค่อยเปิดให้ใช้ช่วงหน้าหนาวเพราะเต็มไปด้วยหิมะและถนนบางส่วนก็ยังเป็นลูกรัง แต่โชคดีที่หิมะตกไม่เยอะนักช่วง 2-3 วันที่ผ่านมาเราจึงได้ขับผ่านถนนสายนี้ … แอบเสียวนิดหน่อยเพราะทางไม่ลาดยางแถมมีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมเป็นระยะทำให้ต้องขับด้วยความระมัดระวัง แต่โบนัสคือได้ขึ้นไปเล่นหิมะฟูๆ บนยอดเขา

ลงเขามาก็เจอทะเลสาบที่กลายเป็นน้ำแข็งอีก ถ่ายภาพกันสนุกเลย

ไปถึงเมือง Egilsstaðir แล้วยังพอมีเวลาเหลือเราก็เลยขับรถไปเที่ยวหมู่บ้านที่เป็นเมืองท่าสำคัญของฝั่งตะวันออกที่ชื่อ Seydisfjordur … ระหว่างทางไปที่นี่ต้องผ่านภูเขาสูงซึ่งบัดนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวสวยอีกแล้ว

หมู่บ้าน Seydisfjordur เป็นหมู่บ้านประมง ก่อนหน้านี้เคยเป็นฐานทัพเรืออเมริกา บ้านเรือนเป็นสไตล์ Norwegian เมื่อรวมกับ location ที่ถูกขนาบด้วยภูเขาจึงกลายเป็นหมู่บ้านที่น่ารักมากๆ .. หมู่บ้านนี้มี มีประชากร 700 คน ในทุกวันพฤหัสเรือเฟอร์รี่ขนาดใหญ่เข้ามาจาก Denmark ทำให้มีผู้คนคึกคักมากเป็นพิเศษ

จากหมู่บ้าน Seydisfjordur เราเดินทางกลับเข้าที่พักซึ่งอยู่ชานเมือง Egilsstaðir โดยระหว่างทางแวะถ่ายภาพกับม้าไอซ์แลนด์ที่ฟาร์มริมทาง … ยอมรับเลยว่าม้าที่นี่เป็นมิตรมาก พอเราเดินลงไปที่รั้วมันก็เดินมาหาแบบไม่เกรงกลัวเราเลย

ที่พักคืนนี้อยู่ชานเมืองชื่อว่า Vallnaholt Apartments and Rooms ลักษณะเป็น Apartment มีครัวและห้องนั่งเล่น ห้องนอนไม่กว้างนักแต่ห้องนั่งเล่นและห้องน้ำกว้างขวางดี

วันรุ่งขึ้นเราขับรถผ่านที่ราบสูงที่ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะเต็มไปหมด ถนนมีกองหิมะเป็นระยะทำให้ต้องขับด้วยความระมัดระวัง แถมวันนี้เป็นอีกวันที่ลมแรงมากจนเกือบทำประตูรถพังเพราะไม่ทันระวังตัวตอนเปิด ยังดีที่จับไว้ทันจึงมีแค่เสียงดังผิดปกติและสามารถแก้ไขกลับมาเหมือนเดิมได้ในภายหลัง มิเช่นนั้นคงต้องจ่ายค่าซ่อมอานแน่ ... แต่ทั้งหมดนี้แลกมาด้วยวิวที่สวยเกินบรรยาย

โปรแกรมวันนี้เราแวะไปเที่ยวน้ำตกสำคัญอีกแห่งของ Iceland คือ Dettifoss และ Selfoss … ที่จริงก็แอบกลัวเส้นทางเข้าสู่น้ำตกพอสมควร แต่โชคดีที่เราไปถึงในวันที่หิมะเบาบางแล้ว ถนนจึงใช้งานได้ดีไปจนถึงที่จอดรถ และทางเดินัจากที่จอดรถไปยังตัวน้ำตกทั้งสองแห่งที่ไม่ได้ลำบากมากนัก

ทางเดินไปน้ำตกดีกว่าที่คิดครับ หิมะไม่หนามากนักและไม่จับตัวเป็นน้ำแข็ง

สำหรับผมความยากของการถ่ายภาพน้ำตกก็คือละอองน้ำนี่แหละครับ เช็ดเลนส์กันเหนื่อยเลยทีเดียว แต่ยอมรับว่า Dettifoss เป็นน้ำตกที่ยิ่งใหญ่สวยงามสมกับการเข้ามาชมจริงๆ

Dettifoss

Selfoss

หลังจากชมความงามและยิ่งใหญ่ของ Detiifoss และ Selfoss แล้วเรามุ่งหน้าสู่ที่พักคืนนี้ซึ่งอยู่ใกล้ทะเลสาบ Myvatn เป็น guest house ที่มีห้องพักให้บริการ 4 ห้อง โดยเราเช่า 3 ห้อง แต่เนื่องจากไม่มีแขกคนอื่นอยู่ พื้นที่ทั้งหมดจึงกลายเป็นของเราโดยปริยาย และที่นี่เป็นที่พักเพียงแห่งเดียวของทริปนี้ที่ราคารวมอาหารเช้าด้วย

วิวระหว่างทาง ผ่านโซนที่มีน้ำพุร้อน สีของภูเขาแถบนี้จะต่างกับจุดอื่นๆ ดูๆ ไปคล้ายหนังวัวเลย อิอิ

ที่พักแห่งนี้ชื่อ CJA Guesthouse อยู่ท่ามกลางฟาร์มบรรยากาศดี เจ้าของก็ใจดีมากด้วย

คืนนี้เป็นอีกคืนที่มีพยากรณ์ความแรงของแสงเหนือราว KP3-4 แต่โซนที่เราอยู่ฟ้าไม่เป็นใจนักมีเมฆปกคลุมจนเกือบถึง 4 ทุ่ม ผมจึงเข้านอนโดยไม่นั่งคอยแสงเหนือต่อเพราะ เพลียกับการออกมารอตอนดึกในวันก่อนๆ … แต่เกือบตี 3 ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา จึงเปิดประตูออกไปดูปรากฎว่าเห็นสีเขียวโค้งจางๆ เหนือภูเขาหน้าบ้านพัก รีบเดินไปปลุกแฟนให้ลุกขึ้นมาดูแล้วคว้ากล้องออกมาถ่ายภาพ … พอเห็นภาพจากกล้องจึงแน่ใจว่าใช่แล้ว แสงเหนือจริงๆ ด้วยแต่อาจเป็นเพราะมีเมฆบางๆ และความแรงอยู่ระดับ KP3 จึงทำให้เห็นไม่ชัดนัก ผมให้แฟนไปปลุกเพื่อนคนอื่นๆ ในทริปมาดูด้วยกัน ส่วนผมเดินไปอีกฝั่งที่มืดหน่อยและเห็นมีแสงสีเขียวสะบัดไปมาอยู่ทั่วท้องฟ้าและมีแนวโน้มที่จะเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าจะไม่ได้ถึงกับเป็นสีเขียวเข้มก็ตาม

ช่วงตีสามกว่าๆ เป็นช่วงที่เห็นชัดที่สุดเป็นแนวโค้งขนาดใหญ่จนเลนส์มุมกว้างของผมเก็บแทบไม่หมด ตอนนั้นทั้งตื่นเต้นและดีใจไปพร้อมๆ กัน และตั้งกล้องถ่ายเป็น VDO ไว้จนแสงเหนือค่อยๆ หายไปพร้อมกับแสงยามเช้า

รุ่งเช้าเจ้าของบ้านนำอาหารมาวางไว้ให้ที่บาร์เป็นพวกขนมปัง, cold cut, ซีเรียล, ไข่ต้มและผลไม้ต่างๆ นอกจากไม่ต้องตื่นมาทำอาหารแต่เช้าแล้ว สาวๆ ยังได้ปลอดปล่อยความเครียดด้วยการช้อปปิ้งหมวกที่ทำจาก wool ซึ่งเจ้าของบ้านถักเองด้วย

หลังจากอำลาเจ้าของบ้านแล้วเราออกเดินทางจากที่พักขับรถย้อนกลับไปที่ทะเลสาบ Myvatn โดยมีโปรแกรมหลวมๆ ขับรถถ่ายภาพทิวทัศน์รอบทะเลสาบ จากนั้นจะไปแช่น้ำพุร้อนที่ Myvatn Nature Baths กันก่อนเดินทางไปยังเมืองถัดไปทางด้านเหนือของไอซ์แลนด์

ระหว่างทางผ่านทะเลสาบ Másvatn ใกล้ Myvatn น้ำกลายเป็นน้ำแข็ง พวกเราเลยลองเดินถ่ายภาพบนผิวน้ำแข็งกันอย่างสนุกสนาน

แวะถ่ายภาพที่ Skútustaðagígar ริมทะเลสาบ Myvatn ทัศนียภาพคล้ายปากกล่องภูเขาไฟดูแปลกตาดี แต่ที่จริงแล้วภูมิประเทศแบบนี้เกิดจากลาวาร้อนกับน้ำเย็นในทะเลสาบมาเจอกันทำให้แก๊สดันตัวขึ้นมาจนเกิดเนินดินรูปทรงเหมือนปล่องภูเขาไฟ

หลังจากนั้นเราไปแช่น้ำพุร้อนที่ Myvatn Nature Baths ซึ่งเป็นบ่อน้ำพุร้อนอีกแห่งนอกจากบ่อชื่อดังอย่าง Blue Lagoon … บ่อแห่งนี้คนน้อยกว่าและค่าเข้าใช้บริการก็ต่ำกว่าครับราคาคนละ 3,800 ISK ไม่รวมผ้าขนหนูดังนั้นแนะนำให้เตรียมไปด้วยนะครับ อีกอย่างถ้าไปช่วงที่อากาศยังหนาวควรมี Bath rope ไปคลุมตัวช่วงที่เดินออกจากอาคารไปบ่อน้ำพุร้อนด้วย เพราะอากาศหนาวมากๆ … ทั้งนี้แต่ละบ่อมีอุณหภูมิแตกต่างกันไป ไม่ถือว่าร้อนมากหากเทียบกับ onsen ของญี่ปุ่น แต่ที่เด็ดคือน้ำสีฟ้ากับวิวสวยๆ นี่แหละครับ แช่กันเป็นชั่วโมงยังไม่เบื่อเลย

หลังจากแช่น้ำพุร้อนกันสบายตัวแล้ว เราก็เดินทางไปยังเมือง Akureyri ซึ่งเป็นที่พักสำหรับคืนนี้ โดยระหว่างทางแวะเที่ยวน้ำตก Goðafoss อีกหนึ่งน้ำตกที่ผมว่าสวยมากและอยู่ริมทางเลย แต่เสียดายที่อากาศไม่เอื้ออำนวยเอามาก ๆ ฟ้าครึ้มแถมฝนตก ทั่วบริเวณเต็มไปด้วยละอองฝนทำให้ผมถ่ายภาพได้ไม่มากอย่างที่หวังไว้

น้ำที่นี่สีเขียวมรกตเลย ถ้าอากาศดีน่าจะสวยกว่านี้อีกหลายเท่าตัว

เมื่ออากาศไม่อำนวยก็เลยต้องยอมยกธงเดินทางกันต่อไปยัง Akureyri ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับต้นๆ ตั้งอยู่ริมอ่าวทางด้านเหนือของ Iceland … อันที่จริงเส้นทางสู่ Akureyri ก็สวยงามมากๆ แต่ฝนตกค่อนข้างหนักผมเลยแทบไม่ได้เก็บภาพสักเท่าไหร่ มาหยุดให้ตรงก่อนถึงเมือง Akureyri จึงหยุดถ่ายภาพเพราะฟ้ากำลังสวยพอดี

สำหรับรีวิวตอนนี้ก็ฝากไว้ตรงเมือง Akureyri ก่อนนะครับ แล้วตอนหน้าซึ่งเป็นตอนจบ ผมจะพาไปชมหินไดโนเสาร์ทางฝั่งเหนือและสัญลักษณ์ของไอซ์แลนด์รวมถึงเส้นทางท่องเที่ยว Golden circle ใกล้เมือง Reykjavik ด้วย … แล้วพบกันใหม่ตอนต่อไปครับ

ถ้าชอบท่องเที่ยวถ่ายภาพอย่าลืมตามไปคุยกันต่อที่เพจ "นายมด" https://www.facebook.com/9MotPhotography นะครับ

ความคิดเห็น