หากพูดถึงจังหวัดน่าน สิ่งแรกที่พวกเรามักจะนึกถึงก็คือ บรรยายกาศของทุ่งนาสีเขียวกว้างสุดลูกหูลูกตา โดยมีพื้นหลังเป็นท้องฟ้าและภูเขาสลับซับซ้อน เหมือนกับภาพวาดในจินตนาการสมัยประถมที่มักจะวาดส่งครูในวิชาศิลปะ หรือภาพวาดกระซิบรักของปู่ม่านย่าม่านบนฝาผนังของวัดภูมินทร์ที่ชวนให้อยากรู้ว่า นอกจากคำบอกรักแล้ว ปู่กับย่าคุยเรื่องอะไรกันอีกบ้าง และยังมีอีกหลายสถานที่ที่น่าสนใจ เย้ายวนชวนให้ออกไปสัมผัสกับดินแดนแห่งนี้ด้วยตัวเราเอง เหมาะกับการพาแฟนไปกระซิบรักท่ามกลางธรรมชาติอันงดงาม
การเดินทางครั้งนี้พวกเราเริ่มต้นออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง ด้วยสายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งเป็นตั๋วราคาโปรโมชั่นที่พวกเราจองเอาไว้ข้ามปีในราคาหลักร้อย
หลังจาก Check In และพิมพ์ ฺBoarding Pass เรียบร้อยแล้ว พวกเราแวะทานข้าวกลางวันกันที่ Bonchon ทางไป Gate 60 ร้านประจำที่พวกเรามักจะแวะฝากท้องก่อนออกเดินทาง ราคาแพงกว่าข้างนอกนิดหน่อยแต่ก็พอรับได้
การเดินทางไปยังจังหวัดน่านของสายการบินแอร์เอเชียมีทั้งหมด 2 เที่ยว/วัน คือ 7.35 น. และ 14.35 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง
พวกเรามาถึงสนามบินน่านนครช้ากว่ากำหนดประมาณ 1 ชั่วโมง เนื่องจากฝนตกหนัก จึงต้องบินไปแอ่วสนามบินเชียงใหม่เพื่อเติมน้ำมันและบินกลับมาใหม่ สนามบินน่านนครปรับปรุงใหม่ไฉไลมาก
จากนั้นก็มาติดต่อรับรถยนต์จาก Thai Rent A Car ที่พวกเราเช่าเอาไว้ล่วงหน้า เคาร์เตอร์ตั้งอยู่ด้านซ้ายมือของประตูทางออกของจุดรับกระเป๋า เอกสารที่ใช้ประกอบด้วยบัตรประชาชน ใบขับขี่ และบัตรเครดิต โดยบริษัทจะขอล๊อควงเงินในบัตรเป็นค่ามัดจำ 10,000 บาท และคืนให้หลังจากคืนรถประมาณ 14 วัน
เจ้าหน้าที่จะไปขับรถมาจอดบริเวณด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร เพื่อให้เราตรวจสอบรอยขีดข่วนรอบตัวรถ เทคนิคของเราคือ ตรงไหนที่มีรอยเราจะถ่ายรูปไว้ทั้งหมด เพื่อความสบายใจ จากนั้นก็เซ็นต์รับรถและออกเดินทางไปยังที่พักซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสนามบิน (สนามบินอยู่ใกล้กับตัวเมืองมาก)
คืนแรกพวกเราพักกันที่ ท่าลี่ โฮมสเตด (TA - LI Homestead) ที่พักสไตล์ลอฟท์ครึ่งปูนครึ่งไม้ 3 ชั้น ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนมาเยี่ยมบ้านญาติที่ต่างจังหวัด
บริเวณชั้นล่างจะเป็นล๊อบบี้ ห้องอาหาร และห้องนั่งเล่น
ส่วนห้องพักทั้งหมดจะอยู่ด้านบนชั้น 2 และชั้น 3
ตรงกลางมีโถงให้นั่งเล่น
ห้องพักของพวกเราเป็นแบบ Deluxe King Room ผนังและพื้นห้องตกแต่งด้วยไม้ขัดมัน ใช้ไฟแสงสีส้มให้ความรู้สึกอบอุ่น
เตียงและหมอนนุ่มมาก ภายในห้องโล่งโปร่งสบาย ไม่อับชื้นและไม่มีฝุ่น ถึงแม้ว่าจะเป็นห้องไม้
ภายในห้องมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ไม่ว่าจะเป็นทีวี ฟรีไวไฟ ไดร์เป่าผม ตู้เย็น และแอร์ ฯลฯ
ห้องน้ำกว้างและสะอาด มีเครื่องทำน้ำอุ่น สบู่ และยาสระผมให้
จากนั้นพวกเราก็ออกมาเดินเล่นกันที่ถนนคนเดิน บริเวณข้างวัดภูมินทร์ ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักเพียงแค่ 350 เมตร ใช้เวลาเดินไม่ถึง 5 นาที
ถนนคนเดินมีทุกวันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์ เป็นถนนคนเดินเส้นสั้นๆ แบ่งออกเป็น 2 โซน โซนแรกเป็นเสื้อผ้า ของใช้ ของตกแต่ง และของที่ระลึก ส่วนอีกโซนเป็นอาหารหลากหลายเมนู
สิ่งที่ตากลมมักจะไม่เคยพลาดเมื่อได้มาเดินถนนคนเดินในต่างจังหวัด นั่นก็คือการช๊อปปิ้งเสื้อผ้าท้องถิ่น
โดยเฉพาะผ้านุ่ง ผ้าถุง หรือผ้าซิ่น ที่ถักทอเป็นลวดลายบ่งบอกถึงเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น
เดินเล่นได้ไม่นานก็มีฝนโปรยปรายลงมาเล็กน้อย ร้านค้าก็ยังคงขายกันต่อไป
มีอาหารให้เลือกทานเยอะมาก แต่ที่ถูกปากเราที่สุดก็คือ หมี่ยำเมืองน่าน เส้นนุ่ม รสชาติกลมกล่อม เนื่องจากฝนตก จึงนั่งทานที่ลานหน้าวัดภูมินทร์ไม่ได้ พวกเราจึงซื้ออาหารมานั่งทานกันที่โรงแรม
เช้าวันที่สอง เริ่มต้นด้วยอาหารเช้าที่โรงแรม ซึ่งถูกจัดใส่ถาดไม้ไผ่สานมาเป็นชุด คนละ 1 ชุด
ประกอบด้วยข้าวสวย และกับข้าว 3 อย่าง ได้แก่ น้ำพริงอ่องและผักสด จอผักกาด หน่อไม้อั่วกับน้ำจิ้มถั่ว ส่วนน้ำพริกงาดำถ้วยเล็กๆ เจ้าของที่พักเอามาให้ลองชิม อาหารอร่อยทุกอย่าง แถมเจ้าของก็ใจดีและเป็นกันเองมาก
ฝนตกปรอยๆมาตั้งแต่เช้ามืดและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด แผนการตื่นมาใส่บาตรตอนเช้าจึงถูกยกเลิกไป และถูกแทนที่ด้วยการขดตัวอยู่ในผ้าห่มอุ่นๆ จนเกือบ 11 โมง จากนั้นก็เช็คเอาท์ออกจากที่พัก
แพลนของวันนี้คือการเดินทางไปพักค้างคืนกันที่อำเภอปัว แต่ก่อนจะออกเดินทางขอแวะจิบกาแฟเพิ่มความสดชื่นกันที่ Cafe Amazon ตรงข้ามกับวัดภูมินทร์
ทานเสร็จก็แวะถ่ายรูปเล่นท่ามกลางสายฝน บริเวณหน้าประตูบ้านเก่าหลังหนึ่ง ด้านหน้าของร้านกาแฟ
แต่ก็ยังไม่ได้ออกเดินทางต่อแต่อย่างใด เพราะพวกเรามีภารกิจที่เพิ่มขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็คือการออกไปตามหาเสื้อผ้าฝ้ายแขนกุด เนื่องจากเมื่อคืนตากลมซื้อมาลองใส่ 1 ตัวแล้วรู้สึกชอบ จึงอยากได้เพิ่มอีกหนึ่งตัว เลยมาเดินตามหากันแถวศูนย์โอทอปน่าน ใกล้กับวัดภูมินทร์ แต่ก็หาสีและไซด์ที่ต้องการไม่เจอ
จากนั้นก็ออกเดินทางต่อไปยังอำเภอปัว ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองน่านไปทางทิศเหนืออีกประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.นิดๆ (ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ) โดยสถานที่แรกที่เราไปคือ ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ เพื่อมาแวะทานข้าวกลางวัน
ที่นี่มีร้านอาหารและเครื่องดื่มคอยให้บริการนักท่องเที่ยว โดยร้านตั้งอยู่ริมเชิงเขา
มีวิวด้านหน้าเป็นผืนนาสีเขียวขจีไกลจนสุดสายตา โดยมีแม่น้ำสายเล็กๆไหลผ่าน
เมนูอาหารเกือบทั้งหมดจะมีส่วนประกอบจากเห็ดหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับประเภทของอาหาร
ส่วนเมนูแนะนำที่ไม่ควรพลาดก็คือ พิซซ่าเห็ด ในราคา 140 บาท แป้งนุ่ม เห็ดและชีสเข้ากันได้ดีมาก
สถานที่ต่อมาซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน นั่นก็คือ ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ
ร้านกาแฟสดที่ตั้งอยู่ริมทุ่งนา โดยมีทางเดินไม้พาดยาวไปยังซุ้มหลังเล็กๆ สำหรับพักผ่อนและชมวิว
ภายในซุ้มที่มุงหลังคาด้วยหญ้าคาและปูพื้นด้วยไม้ไผ่สาน มีเบาะนุ่มๆพร้อมหมอนอิงให้นั่งหรือนอนเล่น
บรรยากาศดีมากๆ ไม่รู้จะอธิบายยังไงดี ต้องลองมาสัมผัสด้วยตัวเองจึงจะเข้าใจ
กาแฟสดก็รสชาติดี ราคาแก้วละประมาณ 30 - 50 บาท ส่วนวิวข้างหน้าราคาหลักล้าน
บริเวณกลางแปลงนามีดอกคลีโอมีหรือดอกเสี้ยนฝรั่งกำลังออกดอกอย่างสวยงาม สามารถเดินเข้าไปชมใกล้ๆได้
ทางเดินบางช่วงเป็นไม้แผ่นใหญ่ บางช่วงเป็นไม้ไผ่ เชื่อมต่อกันเป็นวงกลมวนกลับมาที่ร้านได้ และต้องใช้ความระมัดระวังในการเดิน
ในที่สุดพวกเราก็ได้พบกับวิวที่เหมือนกับภาพวาดในจินตนาการสมัยประถมที่มักจะวาดส่งครูในวิชาศิลปะ
มีน้องแพะเดินเล่นไปมา
มีกังหันน้ำขนาดใหญ่ที่ยังสามารถใช้งานได้อยู่
"ถ่ายยังไงก็ได้ให้หน้าเรียว" - แพะ
เป็นร้านกาแฟที่เรารู้สึกชอบมากที่สุดเท่าที่เคยผ่านมา เพราะว่าบรรยากาศของที่นี่ช่วยเปลี่ยนภาพในจิตนาการของวัยเด็กให้กลายเป็นภาพจริงขึ้นมาได้นั่นเอง
บริเวณด้านข้างของร้านกาแฟมีร้านขายเสื้อผ้าพื้นเมือง มีเสื้อผ้าให้เลือกมากมายหลากหลายรูปแบบ เลือกกันจนตาลาย
หนึ่งในนั้นคือเสื้อผ้าฝ้ายแขนกุดสีและไซด์ที่ตากลมตามหาเมื่อเช้านี้
จากนั้นก็มุ่งหน้าต่อไปยัง โฮมสเตย์ ตานงค์ ที่พักของพวกเราในคืนนี้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอปัว
โฮมสเตย์กลางทุ่งนาที่พวกเราหมายตามาแรมปี รีบจองทันทีหลังได้ตั๋วเครื่องบิน
ที่นี่มีห้องพักอยู่หลายห้อง ห้องที่พวกเราพักอยู่บนชั้น 3 ของบ้านหลังใหญ่ ซึ่งมีอยู่เพียงห้องเดียว
ภายในห้องกว้างมาก มีเตียงขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง สิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องได้แก่ ทีวี แอร์ และฟรีไวไฟ ส่วนตู้เย็นจะเป็นตู้ที่ใช้ร่วมกันตั้งอยู่ที่ชั้น 2
มีห้องน้ำภายในตัว พร้อมเครื่องทำน้ำอุ่น แต่มีแมลงเยอะมากเกาะอยู่บนมุ่งลวดตรงช่องระบายอากาศด้านบนและตามพื้นห้องน้ำ เพราะที่นี่อยู่กลางทุ่งนา แมลงจึงบินเข้ามาเล่นไฟ อาจจะไม่เหมาะกับคนที่แพ้ง่าย เพราะมันจะทำให้คันและรำคาญหน่อยๆ
สำหรับอาหารเย็นสามารถสั่งชุดขันโตกกับทางโรงแรมได้ในราคาคนละ 130 บาท ไม่รวมเครื่องดื่ม
นั่งทานริมสระน้ำพุ บรรยากาศดี๋ดี อาหารก็อร่อย มียุงประมาณสองสามตัวเท่านั้น
ตอนกลางคืนอากาศเย็นสบาย มีฝนตกลงมาพรำๆ กระทบหลังคาเบาๆ มีเสียงเขียดร้องประสานเสียงกับจิ้งหรีด ช่วยขับกล่อมให้นอนฝันดี ตื่นมาอีกทีตอนหกโมงเช้าของวันจันทร์ โดยไม่ต้องพึ่งเสียงของนาฬิกาปลุก
บรรยากาศตอนเช้ามีหมอกอ่อนๆลอยอยู่บนยอดเขา มีกลุ่มเมฆสีเทากระจายตัวอยู่ทั่วท้องฟ้า
รู้สึกได้ถึงความหนาแน่นและความบริสุทธิ์ของออกซิเจนที่ลอยอยู่ตรงหน้า จนอยากจะมีปอดเพิ่มอีกสักสองก้อน
ดอกไม้ใบหญ้าชุ่มฉ่ำไปด้วยหยดน้ำค้าง
โฉมหน้าหนึ่งในสมาชิกของวงประสานเสียง
เครื่องดนตรีที่ใช้สร้างเสียงน้ำไหล
มุมจากดาดฟ้าของกระต๊อบไม้ไผ่กลางทุ่งนา
มื้อเช้ารองท้องง่ายๆด้วยข้าวต้ม
โฮมสเตย์มีชุดม่อฮ่อมและหมวกให้เช่ามาถ่ายรูปเล่นที่ทุ่งนาได้ ค่าเช่าก็แล้วแต่จะให้
ช่วงที่พวกเราไปคือช่วงต้นเดือนสิงหาคม เป็นช่วงที่ต้นข้าวกำลังแตกใบอ่อนชูช่อรับสายฝน
พวกเราเช็คเอาท์ออกจากที่พักในช่วงสายๆ และมุ่งหน้าต่อไปยังวัดร้องแง วัดเก่าแก่ของชุมชนชาวไทลื้อ ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักออกไปเพียงแค่ 6 กิโลเมตร
วัดร้องแง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2310 โดยการนำของจ้าวหลวงเทพพญาเลนเจ้าช้างเผือกงาเขียว ภายในวัดมีวิหารเก่าแก่ศิลปะไทยลื้อที่มีความสวยงามและโดดเด่น
ด้านในของวิหารประดิษฐานพระประธานปางมารวิชัย บริเวณฝาผนังของวิหารเป็นภาพจิตกรรมเก่าแก่แสดงเรื่องราวพุทธประวัติเเละชาดก
บริเวณเพดานประดับด้วยตุงหลากหลายลวดลายที่ชาวบ้านนำมาถวายวัด เพื่อเป็นการอุทิศบุญกุศลให้กับญาติที่ล่วงลับไปแล้ว
และตะแกรงไม้ไผ่สานเป็นทรงสี่เหลี่ยม ด้านในมีดอกไม้กระจายอยู่เต็มพื้นที่ เป็นของที่ชาวบ้านนำมาถวายวัดในวันลอยกระทงของทุกปี เพื่อความเป็นสิริมงคล
คุณยายทั้งสาม เอ้ย!!! ทั้งสองท่าน ผู้ถ่ายทอดความรู้เรื่องตุงและตะแกรงไม้ไผ่สาน
ไม่ไกลจากตัววัดเป็นที่ตั้งของหอเจ้าหลวงเทพพญาเลนช้างเผือกงาเขียว ซึ่งตั้งอยู่กลางทุ่งนา
อนุสาวรีย์เชิดชูเกียรติให้กับเจ้าหลวงเทพพญาเลน ซึ่งมีช้างเผือกงาเขียวเป็นช้างคู่บารมี
บริเวณตรงข้ามกับทางเข้าวัดร้องแงเป็นที่ตั้งของอาคารจัดแสดงนิทรรศการจากสิบสองพันนาสู่บ้านร้องแง
ด้านในจัดแสดงข้อมูลและรูปภาพที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมา ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวิถีชีวิตของชาวไทลื้อบ้านร้องแง
ด้านข้างของอาคารนิทรรศการจัดแสดงตัวอย่างเฮือนไทลื้อ ข้าวของเครื่องใช้ และอุปกรณ์ทำมาหากิน
ถัดจากวัดร้องแงไปอีกไม่ไกลเป็นที่ตั้งของวัดภูเก็ต วัดที่ไม่ได้อยู่ในจังหวัดภูเก็ต
ไฮไลท์ของวัดภูเก็ตก็คือ ระเบียงชมวิวทุ่งนาเขียวขจีกว้างสุดลูกหูลูกตา โดยมีพื้นหลังเป็นภูเขาและท้องฟ้า
อีกหนึ่งไฮไลท์ก็คือพระอุโบสถหลังใหญ่ที่มีภาพวาดจิตกรรมฝาผนังที่สวยสดงดงาม
บริเวณตีนเขาทางลงมาจากวัดภูเก็ต มีร้านค้าจำหน่ายผ้านุ่งทอมือของกลุ่มทอผ้าไทลื้อบ้านเก็ต สามารถแวะชมและอุดหนุนได้ตามกำลังทรัพย์
จากนั้นพวกเราก็ขับรถมุ่งหน้ากลับเข้าตัวเมืองน่าน ระหว่างทางมีฝนตกอยู่เป็นระยะ และมาทานข้าวกลางวันกันที่เฮือนภูคา
ร้านอาหารที่ตกแต่งแบบล้านนา โดยมีเสียงดนตรีบรรเลงเพลงคำเมืองคลอเบาๆ
มีอาหารพื้นเมืองน่านให้เลือกทานหลากหลายเมนู โดยเมนูที่อยากจะแนะนำก็คือ ผักเซียงดาผัดไข่
หลังจากท้องอิ่มพวกเราก็มาต่อกันที่วัดภูมินทร์
ศาสนสถานที่สำคัญของวัดก็คือ พระอุโบสถทรงจตุรมุข
ภายในประดิษฐานพระประธานจตุรพักตร์นาคสะดุ้งขนาดใหญ่แห่แหนพระอุโบสถเทินไว้กลางลำตัวนาค
ภาพจิตรกรรมหรือ “ฮูบแต้ม” ภายในพระอุโบสถ โดยฝีมือของ หนานบัวผัน สล่าชาวไทลื้อในสมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดช เมื่อ พ.ศ.2410 แสดงเรื่องราวพุทธประวัติเเละชาดก
และภาพวิถีชีวิตของคนเมืองในสมัยนั้น
ภาพที่ถือว่าเป็นไฉไลท์ของวัดภูมินทร์ที่ทุกคนต้องแวะมาเยี่ยมชมก็คือ ภาพปู่ม่านย่าม่าน ซึ่งเป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อในสมัยโบราณกระซิบสนทนากัน ที่มาของคำว่า "กระซิบรักบรรลือโลก"
ภาพกระซิบรักปู่ม่านย่าม่าน มีบทบรรยายอันสละสลวยเป็นภาษาล้านนา ซึ่งต่อมาได้รับการแปลถ่ายทอดโดย อาจารย์สมเจตน์ วิมลเกษม ผู้เชี่ยวชาญทางด้านอักษรล้านนา ถอดคำบรรยายภาพนี้ออกมาอย่างวิจิตรไพเราะ ดังนี้
"ความรักของพี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวมันเหน็บหนาว
จะฝากไว้กับท้องฟ้า อากาศ กลางหาวก็กลัวเมฆหมอกมาขลุ้ม
จะเอาฝากไว้ในข่วง ในคุ้ม ก็กลัวเจ้ากลัวนายมาเจอะเจอแย่งรักของพี่ไป
ก็เลยเอาฝากไว้ในอกในใจขอตัวพี่ให้มันร่ำให้อะฮิ อะฮี้
ถึงน้องทุกยามสะดุ้งตื่นเววา"
และวัดสุดท้ายของทริปนี้ก็คือ วัดมิ่งเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ประดิษฐานเสาหลักเมืองของจังหวัดน่าน
ลักษณะเด่นของศาลหลักเมืองและพระอุโบสถก็คือลายปูนปั้นสีขาวที่มีลวดลายละเอียดอ่อนและวิจิตรบรรจง
ภายในพระอุโบสถประดิษฐานองค์พระประธานนามว่า หลวงพ่อพระศรีมิ่งเมือง
มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพตำนานประวัติเมืองน่านที่งดงาม
จากนั้นพวกเราก็รีบมุ่งหน้าไปยังสนามบินน่านนคร โดยแวะเติมน้ำมันคืนให้เต็มถังก่อนคืนรถที่สนามบิน และเดินทางกลับกรุงเทพด้วยสายการบินแอร์เอเชีย รอบ 16.00 น. ซึ่งเป็นรอบสุดท้ายของวัน ก็เป็นอันจบทริปพาแฟนไปกระซิบรัก ณ น่านนคร ด้วยระยะเวลา 3 วัน 2 คืน อย่างสมบูรณ์
สรุปรายละเอียดการเดินทาง ดังนี้
DAY 1
1. ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง ด้วยสายการบิน Airasia เที่ยวบินที่ FD 3556 เวลา 14.35 น.
2. เช็คอินท์เข้าที่พัก ณ ท่าลี่ โฮมสเตด
3. เดินเล่นถนนคนเดินน่าน
DAY 2
1. ทานอาหารเช้าที่โรงแรม และแวะจิบกาแฟที่ Cafe Amazon ตรงข้ามวัดภูมินทร์
2. แวะช๊อปปิ้งที่ศูนย์โอทอปน่าน
3. ทานอาหารกลางวันที่ฟาร์มเห็ดบ้านหัวน้ำ อ.ปัว
4. จิบกาแฟยามบ่ายและชมวิวทุ่งนา ณ ร้านกาแฟบ้านไทลื้อ อ.ปัว
5. แวะช๊อปปิ้งร้านจำหน่ายเสื้อผ้าพื้นเมือง ข้างร้านกาแฟบ้านไทลื้อ
6. เช็คอินท์เข้าที่พัก ณ โฮมสเตย์ ตานงค์ อ.ปัว
DAY 3
1. สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า ณ โฮมสเตย์ ตานงค์
2. แวะเที่ยวชมวัดร้องแง และหอเจ้าหลวงเทพพญาเลนช้างเผือกงาเขียว อ.ปัว
3. แวะเที่ยวชมนิทรรศการจากสิบสองพันนาสู่บ้านร้องแง
4. ชมวิวทุ่งนา ณ วัดภูเก็ต อ.ปัว
5. แวะช๊อปปิ้งร้านค้าจำหน่ายผ้านุ่งทอมือของกลุ่มทอผ้าไทลื้อบ้านเก็ต อ.ปัว
6. ทานอาหารกลางวันที่ร้านเฮือนภูคา ในตัวเมืองน่าน
7. แวะชมภาพกระซิบรักบรรลือโลก ณ วัดภูมินทร์
8. แวะสักการะศาลหลักเมืองน่าน ณ วัดมิ่งเมือง
9. เดินทางกลับกรุงเทพ ด้วยสายการบิน Airasia เที่ยวบินที่ FD 3557 เวลา 16.00 น.
สรุปรายละเอียดค่าใช้จ่าย ดังนี้
1. ค่าตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ดอนเมือง - น่าน คนละ 780 บาท (ราคาโปรโมชั่น จองข้ามปี)
2. ค่าเช่ารถยนต์ จำนวน 2 วัน (24 ชม.= 1 วัน) 2,400 บาท
3. ค่าน้ำมันตลอดทริป 360 บาท
4. ค่าที่พัก ท่าลี โฮมสเตด ห้อง Deluxe King Room จำนวน 1 คืน 1,760 บาท
5. ค่าที่พัก โฮมสเตย์ ตานงค์ ห้องปกติ จำนวน 1 คืน 700 บาท (รวมอาหารเช้า)
6. ค่าอาหารและอื่นๆ : ตามอัธยาศัย
รวมค่าใช้จ่าย 3 วัน 2 คืน ทั้งหมด 6,780 บาท ตกคนละ 3,390 บาท
***สนับสนุนรถยนต์ในการเดินทาง โดยบริษัท Thai Rent A Car***
คิ้วหนา & ตากลม
Love is a journey | เพราะความรัก คือ การเดินทาง...
ติดตามการเดินทางของพวกเราเพิ่มเติมได้ที่ : LOVE IS A JOURNEY
LOVE & LIFE IS A JOURNEY
วันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 22.48 น.