17+1 ไปให้ถึง Leh Shimla * อีกโลกหนึ่งของอินเดีย
สวัสดีครับเพื่อนๆ มาอีกกระทู้กับประเทศอินเดีย ที่ภาพติดตา ติดใจ หลายๆ คนอาจจะไม่เหมือนที่ผมจะรีวิวต่อไปนี้
17+1 คือจำนวนวันที่เดินทางของทริป แต่ +1 คือวันที่ที่สายการบินแห่งชาติเรา มาแถมให้ผมฟรีอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน 55+
ดังนั้น ทริปจริงๆ ก็ 17 วัน 1 วันทีแถมมาถือไม่นับละกันนะครับ เพราะนอนรอแต่ที่ รร. ทริปแบ่งเป็น 2 ส่วน
1-7 Jun. 2017 : จะตระเวนเทียวใน Ladakh
9-17 Jun. 2017 : เส้นทางจาก Leh - Shimla - Delhi ซึ่งเป็น Road Trip
ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่มาเยือน Leh และ เส้นทาง Leh-Manali เมื่อปีที่แล้วไปถึงแค่ Manali แล้วต่อรถบัสเข้า Delhi เลย รอบนี้เลยขอแวะตามใจอยากที่ Shimla
แผนการเดินทางคร่าวๆ
Bangkok - Delhi - Leh - Lamayuru - Pangong - Leh - Nubra - Leh - Tsomoriri - Sarchu - Manali - Shimla - Delhi - Bangkok
ในรีวิวนี้จะเน้นไปเส้นทาง Leh - Shimla ซะมากกว่าครับ
เพราะ Leh Ladakh ผมเคยรีวิวไว้เมื่อปีที่แล้ว ในเส้นทาง Srinagar - Leh
Kashmir - Leh Road Trip :: จะรีวิวอะไร...เมื่อใครๆ ก็ไปหมดแล้ว
https://pantip.com/topic/35850321
ส่วนผลงานอื่นๆ หรือคำถาม ฝากติดตามที่ http://www.facebook.com/witgoaway ครับ ขอบคุณครับ
งั้นเริ่มกันเลยครับ
* วันแรกของการเดินทาง *
เราเดินทาง โดยป้าม่วง Bangkok - Delhi ถึงประมาณเที่ยงๆ อากาศร้อนตับแล่บเลย...
ลงปุ๊บ ก็เที่ยวเลย ที่แรกคือ
Humayun's Tomb
อยู่กลางกรุงเดลี เป็นหลุมฝังพระศพของจักรพรรดิ Mughal Emperor Humayun ซึ่งถูกให้สร้างโดยมเหสีคนแรก (ซึ่งแตกต่างจาก Taj Mahal จะเห็นที่ฝังของมเหสี) อันนี้ local guide บอกมา แล้วตามหาข้อมูลมาอีกที
ที่นี่ได้ขึ้นทะเบียนเป็น UNESCO เมื่อ 2536 ในความรู้สึกแวบแรก ก็คล้ายๆ กับ Taj Mahal แต่ต่างกันตรงวัสดุที่ใช้ หินทรายสีแดง กับหินอ่อน
เป็นอีกที่หากมีเวลา ก็น่ามาชม คนไม่มากเท่าไหร่ แต่ความสวยงาม ผมว่าสวยเลยแหละ....
Akshardham
ได้รูปมาเพียงเท่านี้ เค้าห้ามนำกล้อง มือถือ เข้าไปเลย ที่นี่เป็นการสร้างขึ้นมาใหม่ เลียนแบบของจริงที่ไหนซักแห่ง แต่การแกะสลักหินอ่อนนั้นวิจิตรตระการตา เพียงแต่ว่า คนเยอะมากก เพราะเปิดเข้าฟรี.... ของฟรี ก็เงี๊ยะ
** วันที่สอง *** Delhi - Leh - Lamayuru - Alchi - Likir - Leh
เป็นการบินแต่เช้าตรู่ โชคดีที่อากาศระหว่างเส้นทางเปิด เลยได้เห็นภาพแนวเขาสวยงาม
อันที่จริง การเดินทางจาก เดลี มา เลห์นั้น ส่วนใหญ่มักจะให้พักผ่อนปรับสภาพร่างกายกันทั้งวันเพราะ การเปลียนระดับความสูงอย่างทันที มักมีผลแน่นอน ส่วนพวกเราก็มีบ้าง เพลีย ปวดขมับ มึนๆ
ทางแก้ไขเบื้องต้น ก็ดื่มน้ำให้มากที่สุด (ผญ ไม่ค่อยดื่ม มักกลัวห้องน้ำ 55+) แต่เพื่อร่างกายควรอย่างยิ่ง และเคลื่อนไหวช้าๆ บางทีเราก็ลืม เจอวิวสวยก็รีบซะ...
ไม่ต้องปรับสภาพกันละ ตรงไป Lamayuru เลย
ระหว่างทางก็แวะที่ จุดบรรจบแม่น้ำ Zanskar (ขุ่น) vs Indus
Lamayuru - Moon Land ด้วยสภาพพื้นที่โดนกัดกร่อน แต่จริงๆมี monastery สวยงามอยู่ครับ แต่ผมไม่ได้ถ่ายภาพกว้างๆมา ลองดูในรีวิวก่อนหน้านี้ได้
Alchi
Likir
อีก monastery ที่มีรูปแบบสไตล์ธิเบต ในนิกาย Gelug เช่นเดี่ยวกันกับ Thiksey ไม่ไกลจาก Alchi มากนัก ห่างจากเลห์ประมาณ 50 km.
** วันที่ 3 ของการเดินทาง ** ไม่ต้องพักกันละ เดินทางต่อไป Pangong Lake
ชื่อนี้ คงไม่ต้องการันตีความสวยงามใดๆ เพราะเป็นที่โด่งดังมากมาย สำหรับ ใครที่มาเลห์ มักจะมีทะเลสาบแห่งนี้มาด้วยเสมอ
ระดับความสูงของทะเลสาบนี้โดยประมาณ 4,250 ม. ส่วนเรื่องของอากาศ ก็มักจะหนาวตลอดปี ล่าสุดที่ไป มิ.ย. 2c ครับบบบบ...หนาวมั๊ยล่ะ! ฤดูร้อน
มีส้วม outdoor 55+
ที่นี่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมาก แม้ฤดูร้อน อากาศก็หนาวมาก อย่างที่ไป กลางคืน 2c กลางวันก็สบายๆ 10-20c แต่ออกจะร้อนแดดไปนิด
** วันที่ 4 ** เดินทางกลับ Leh
ก็ใช้เวลาให้คุ้มกับการเดินทางมาที่นี่
** วันที่ 5 ** ไหว้พระ 9 วัด จริงๆแค่ 5 แห่งเพราะตระเวณบริเวณเขตเลห์ ให้พี่คนขับพักผ่อนบ้าง
เริ่มที่แรก...สายบุญก็มา
Hemis Monastery
เป็นวัดสำคัญอีกแห่ง อารามเดิมถูกสร้างก่อนศตวรรษที่ 11 ในศาสนาพุทธ ธิเบต Drukpa ต่อมาได้มีการสร้างวัดใหม่ขึ้นในปี พ.ศ.2215
Shey Palace
ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของ Ladakh ในฤดูร้อน ภายในประดิษฐานของพระพุทธเจ้าศากยมุนี
มีชื่อมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าเป็นนักปราชญ์ (มุนี) ของชนชาติซะยา ว่ากันว่าเป็นรูปปั้นที่ใหญ่เป็นอันดับสองใน Ladakh
Thiksey Monastery
อยู่ห่างจากตัวเมืองเลห์ ประมาณซัก 20 km. ได้ เป็นวัดพุทธ ที่เป็นนิกาย Gelug ในธิเบต ซึ่งเน้นทางด้าน
ตรรกะ และการอภิปราย เป็นหลัก
ลักษณะก็เหมือนๆวัดในธิเบต ใครไปเลห์ละไม่น่าพลาด
Leh Palace
เป็นพระราชวังที่ตั้งตระหง่านเหนือเมืองเลห์ มองเห็นได้จากทุกมุม สร้างขึ้นโดยมีพื้นฐานมาจากพระราชวัง Potala ในกรุงลาซา ถูกสร้างโดยกษัตริย์ Sengge Namgyal ในศตวรรษที่ 17 พระราชวังมีชั้นสูงเก้าชั้นซึ่งชั้นบนใช้เพื่อรองรับพระราชวงศ์ขณะที่ชั้นล่างจัดคอกและห้องเก็บของไว้ หลังคามีมองเห็นวิวเมือง Leh โดยสามารถมองเห็นภูเขาได้รอบเมือง
Namgyal Tsemo Monastery
เป็นพระอารามในเขต Ladakh จะมองเห็นเด่นชัดได้จาก Shanti Stupa และ Leh Palace
ภาพวิวเมืองเลห์
** วันที่ 6 ** Leh - Khardung La - Nubra Valley (Diskit)
หลังจากให้คนขับพักบ้าง เราไม่พัก ...ก็เดินทางไป Nubra Valley โดยผ่านถนนที่สูงที่สุดในโลก เค้าว่างั้น Khardung La
นี่เรามาสูงขนาดนี้...
แล้วหิมะก็เริ่มโปรย...
Nubra Valley (Diskit)
ถึงแล้ววว
ทะเลทรายก็มี แต่เป็นทรายของแม่น้ำ...
** วันที่ 7 ** เดินทางกลับ Leh
แต่วันนี้มันก็ไม่ได้ราบรื่น เราติดอยู่ระหว่างทางขึ้น Khardung La จนถึงยอด อยู่ 9 ชม. เนื่องจากเมื่อวานหิมะตกหนัก และรอเคลียร์ทาง
แต่แม้จะเคลียร์ทางได้แล้ว ด้วยความชัน กับพื้นน้ำแข็งใส ลื่นๆ ทำให้รถขึ้นกันลำบาก รถที่เราใช้ก็มีขึ้น ถอยลงอยู่ 3-4 รอบเลย
ตั้งแต่ 11 โมงเช้า จนถึง สองทุ่ม หลักพระอาทิตย์ตก อากาศก็เริ่มหนาวจัด อย่างฉับพลัน ได้แต่ลุ้นว่า เมื่อไหร่จะหลุดไปได้ซะที ....
สุดท้ายก็หลุดมาได้ตอนสองทุ่มกว่าๆ เห้อ โล่งง...^^
** วันที่ 10 ** เพื่อนอีกกลุ่มมาถึง ก็พักปรับสภาพก่อน แล้วเดินตลาดกัน...
<<< เดี่ยวมาต่อครับ >>>
** วันที่ 11 ** Leh - Tsomoriri
รอบที่ 2 ของการมาเยือนที่นี่
การเดินทางประมาณ 6-7 ชม.จากเลห์ ก็เอาเมื่อย แต่พอมาถึงก็ลืมมม...
แต่ระหว่างทางจากเลห์ ก็มักจะพบกับเจ้า Marmot ได้ตลอดๆ ทีระดับความสูงมากกว่าประมาณ 3,500m. ขึ้นไป บริเวณหญ้าเขียว ลองส่องไปดู คล้ายๆ สีน้ำตาลๆหน่อย ยิ่งถ้ามีแดด ยิ่งเห็นง่าย เพราะมาอาบแดดกัน
ก่อนจะถึง Tsomoriri ก็จะเจอทะเลสาบแห่งหนึ่งระหว่างทาง
สูดหายใจกันให้เต็มปอด....^^
Tsomoriri
ถึงแล้ววว....
ทะเลสาบที่ตั้งอยู่ระดับความสูง 4,522 m. โดยรอบได้รับการคุ้มครองเป็นเขตอนุรักษ์สงวนพื้นที่ชุ่มน้ำ Tso Moriri
ยาวประมาณ 26 km. กว้าง 3-5km. อากาศที่นี่ค่อนข้างแปรปรวนแม้ฤดูร้อน มิ.ย. สามารถมีหิมะตกได้ เหมือนตอนผมไปนี่แหละ 0 c บรื๋ยย..
พื้นที่บริเวณนี้โดยรอบเป็นที่อนุรักษ์ชุ่มน้ำ มักจะมีนก หลายชนิดมาหากินบริเวณนี้ แต่เยอะจริงๆ
อุณหภูมิตอนกลางคืนที่นี่ เมื่อตอนที่ไปคือเดือน มิ.ย. อยู่ที่ 1c นะครับ
** วันที่ 12 ** Tsomoriri - Sarchu
การเดินทางวันนี้จะออกเดินทางจาก Tsomoriri เพื่อไป Manali แต่ต้องพักระหว่างทางที่ Sarchu เพราะด้วยเส้นทาง การข้าม Pass สูงๆ ทำความเร็วไม่ได้ ออกสายๆ ก็ไปถึง Sarchu เย็นๆ
แต่ก่อนออก เช้าตรู ขอออกสำรวจอีกที ^^
ดันเจอหิมะตกเข้าให้ อุณหภูมิ 0c
หิมะกำลังเปลียนสีภูเขาอย่างว่องไว...
เริ่มมีแดดอ่อนๆ
อ่าวเฮ้ย หันไปดูภูเขาด้านฝั่งทะเลสาบอีกที กลายเป็นภูเขาขาวหมดละ...
โดดกันจนลืม ว่าอยู่ที่สูงม๊ากก...
ออกเดินทางไปยัง Sarchu
โดยระหว่างทางไป Sarchu นั้น ก็ห้ามพลาด ห้ามนอนเลย...สวยตลอดทาง
Sarchu
หากต้องการเดินทางจาก Leh ไป Manali ระยะทางร่วม 470km.แต่ คงต้องแวะพักระหว่างทางที่ Sarchu ด้วยสภาพถนน และการเดินทางเป็นภูเขาสูงตลอด ทำให้ระยะทาง 470km. ต้องใช้เวลา 2 วันเต็ม ที่นี่อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลร่วมๆ 4,290m. ดังนั้น สภาพอากาศค่อนข้างหนาว มิ.ย.ล่าสุด 2-3c
คืนนี้นอนเต็นท์แคมป์ที่หนาววววมากกก
** วันที่ 13 ** Sarchu - Manali มาด้วย iphone
เป็นอีกวันที่ต้องเดินทางทั้งวัน แต่ที่สำคัญแบตกล้องหมดเกลี้ยง ...เหลือแต่ iphoneSE ภาพต่อจากนี้เป็นจากมือถือล้วนๆง่ะ
ไฮไลท์คือระหว่างทาง สวยงามสุดๆ ห้ามพลาด ใครหลับละจะเสียใจ...
ตื่นมาอาจมีงง....เรามาที่นี่กันด้วยเหรอ..55+
จริงๆ มาถึง Manali ประมาณ 5 โมงเย็นแต่ รถติดเกือบ 3 ชั่วโมง ถึงที่พักสองทุ่ม ฟังไม่ผิดหรอกฮะ รถติดจริงๆ ....
** วันที่ 14 ** ไม่ถึงชิมลา เราไม่หยุด เดินทางต่อไป Shimla
ใช้เวลาประมาณ 8-9 ชม.
Shimla เป็นเมืองหลวงของรัฐ Himachal Pradesh ในอดีตเคยเมืองตากอากาศสมัยอังกฤษ ดังนั้น มีสถาปัตยกรรมแบบอังกฤษพบเห็นได้ทั่วไป ส่วนประชากรถาวรที่นี่มีประมาณ 180,000 คน เป็นเมืองหลวงที่มีคนอาศัยอยู่น้อยที่สุดแห่งหนึ่งของอินเดีย
** วันที่ 15 ** เต็มอิ่ม กับ ชิมลา
เปิดด้วยผู้ดีอังกฤษ
Viceregal Lodge
หรือที่รู้จักกันในนาม The Rashtrapati Niwas เคยเป็นที่ปฏิบัติงานอุปราช ในสมัยอังกฤษ ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอังกฤษ ดังนั้นแลดูเหมือนอยู่ในอังกฤษไหงงั้นเลย
Shimla Railway Station
ก็เหมือนๆ สถานรถไฟทั่วไป แต่เกี่ยวข้องกับมรดกโลกโดย Unesco โดยเส้นทางการเดินทาง Kalka-Shimla ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 1,552 เมตร เป็นอีกสถานีรถไฟในอินเดียที่มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่ง
Jakhoo Temple
นั่งกระเช้า ไปหาลิง ไม่ใช่สิไปวัด...แต่ลิงเยอะมากก และชอบแย่งของ ดูไม่ค่อยดู แต่อย่าเผลออออ...
The Mall & The Ridge Road
ได้เวลาช็อป ชิม ชิล...กันที่ถนนสายนี้ เดินเล่นได้เต็มที่เพราะให้คนเดินเท่านั้น
ที่เห็นและชอบที่สุดคือ การรณรงค์ให้ ชิมลาปลอดบุหรี แล้วก็จริงๆ แทบไม่มีคนสูบเลย เดินเล่นสี่ชั่วโมง เห็นคนเดียว คือดีมากก
ยังคงเห็นสถาปัตยกรรมอังกฤษแทบทั้งเมือง...
ก่อนพระอาทิตย์ตก
** วันที่ 16 ** เดินทางกลับจาก Shimla - Delhi ก็ทั้งวัน 6-8 ชม.
** วันที่ 17 ** วันเดินทางกลับ Del-Bkk แต่......ป้าม่วงดันแถมให้อีก 1 วันเต็มด้วยปัญหาทางเทคนิคเครื่องยนต์ ทำให้ต้องกินโรตีอีกวัน นี่กินมา 16 วัน แล้วจะแถมอีก ...
** วันที่ 18 ** ถึงได้กลับบ้าน
มาหา.....กระเพราะหมู + ไข่ดาว .......ที่รัก
ขอบคุณที่ติดตามครับ หวังว่าคงจะสนุกไปด้วย แต่ไปเที่ยวเองสนุกกว่าภาพเป็นไหนๆ
ฝากติดตามผลงานอื่นๆที่ http://www.facebook.com/witgoaway แล้วเจอกันรีวิวต่อไปครับ ....
ส่วนกล้องที่ใช้ Canon 5D mark II , 24-70f2.8 และ iphone SE
ขอบคุณ Pantip สำหรับพื้นที่แชร์เรื่องราว
WitGoAway Traveller
วันอังคารที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 21.34 น.