เมื่อพูดถึง "ตะกั่วป่า " เมืองเล็ก ๆ ในจังหวัดพังงา เมื่อเอ่ยถึงชื่อนี้ หลายคนคงรู้จักชื่อนี้ ในฐานะที่เคยเป็นพื้นที่ที่เคยได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติที่ยากจะลืมเลือนเมื่อหลายสิบปีก่อน

แต่วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ "ตะกั่วป่า"ในอีกมุมมองกันดีกว่า จริงๆ ขอสารภาพเลยค่ะว่า การเดินทางของเราในครั้งนี้ ไม่ใช่การเดินทางเพื่อท่องเที่ยว แต่มันคือการเดินทางเพื่อไปทำงาน แต่เพราะวันนี้มีเวลา 1 วันเต็มกับการใช้ชีวิตที่พังงา เราและทีมงานจึงจัดสินใจที่จะมา สร้างเรื่องราวความทรงจำกับสถานที่แห่งนี้กันดีกว่า...

มาเริ่มต้นเดินทางไปด้วยกันค่ะ การเดินทางของเราเลือกที่จะเดินทางด้วยเครื่องบินค่ะ มาลงที่ท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต มาลงเครื่องที่นี่...จุดไฮไลต์อยู่ที่ต้องมารอถ่ายภาพคู่เครื่องบินที่กำลัง landing ลงสนามบินเพื่อเป็นที่ระลึก แต่ว่าจะได้ภาพก็ต้องอาศัยมุม และรอเวลาอยู่สักพักเพราะเครื่องบินจะมาทุกๆ 15 -20 นาที หลังจากได้ภาพเครื่องบินเป็นที่ระลึกแล้ว เราก็ใช้เวลาในการเดินเล่น บริเวณริมชายหาดเพื่อสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนและนักท่องเที่ยวบริเวณนั้นอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะตัดสินใจขึ้นรถ และวางแผนกันว่าเวลาที่เหลืออยู่เราจะสามารถไปเที่ยวที่ไหนได้บ้าง??....

ถัดจากบริเวณริมชายหาดที่นักท่องเที่ยวนิยมไป เล่นน้ำทะเล อาบแดด และถ่ายรูป เซลฟี่คู่กับเครื่องบินแล้ว เดินมาอีกหน่อยจะเป็นชายหาดที่เป็นที่จอดพักเรือของชาวประมงบริเวณนั้น บรรยากาศค่อนข้างสงบเพราะชาวประมงส่วนใหญ่เดินทางถึงฝั่ง และเข้าไปพักผ่อนกันหมดแล้ว ช่วงนั้น เวลาราว ๆ 11.00 น.โดยประมาณ

หลังจากเก็บภาพบรรยากาศทะเลของจังหวัดภูเก็ตเป็นที่เรียบร้อย เป้าหมายของเราที่แท้จริงคือการเดินทางไปยังจังหวัดพังงา เราได้รับคำแนะนำจากพี่คนขับรถตู้ ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวในจังหวัดพังงาให้เรารู้จัก คือ สะพานเหล็กโคกขนุน และเมืองเก่าตะกั่วป่า เพราะไม่เคยไปทั้ง 2 สถานที่ จึงตบปากรับคำ ขอให้พี่คนขับรถตู้เป็นไกด์พาเราเดินทางเที่ยวจังหวัดพังงา หนึ่งวัน..ว่าแล้วก็ไปกันเลย...


สถานที่ Check in แรกคือ สะพานเหล็กโคกขนุน

สะพานเหล็กโคกขนุน คือสะพานข้ามแม่น้ำตะกั่วป่าตั้งอยู่ที่บ้านโคกขนุน ต. บางนายสี ความยามประมาณ 200 เมตร ตามประวัติบอกว่า บริษัท จุติ บุญสูง บริษัท จุติ บุญสูง โคกขนุน จำกัดสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2511 จากเหล็กเรือขุดแร่ เพื่อให้ความสะดวกแก่คนงานและประชาชน ก่อนหยุดกิจการไป ปัจจุบันสะพานแห่งนี้ใช้เป็นที่สัญจรของรถจักรยานยนต์ที่วิ่งข้ามฝั่งไป-มา ระหว่างถ่ายรูปก็ต้องทำตัวให้เล็กที่สุด เพื่อให้รถจักรยานต์สามารถผ่านไปได้ แต่สิ่งหนึ่งที่สัมผัสได้ ทุกคนที่ขับผ่านเราจะยิ้มให้เราทุกคน รู้สึกอบอุ่นดีค่ะ

ที่นี่จุดเด่น...(ในความคิดของเรานะ) น่าจะเป็นสะพานเหล็กที่ทอดยาว เป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดให้คนที่สัญจรไปมาต้องจอดรถเพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ตัดกับทุ่งหญ้าสีเขียวสด ยิ่งหน้าฝน เราอาจจะได้เห็นหมอกลอยเอื่อยๆ บนทิวเขา ตัดกับทุ่งหญ้าสีเขียว ฟินน่าดู ...

ถ้าถามถึงความกว้างของสะพาน กว้างพอให้รถจักรยานยนต์ 2 คันสวนทางกันได้ค่ะ


หลังจากเก็บภาพบรรยากาศสะพานเหล็กเสร็จเรียบร้อย พี่รถตู้พาเราไปยังตลาดเก่าตะกั่วป่าค่ะ แต่วันที่เราไปเป็นวันปกติ เลยไม่มีถนนคนเดิน ภาพที่เราได้มาจะเป็นภาพของตึกรามบ้านช่อง แบบเงียบ ๆ เรียกว่าเงียบสงบมากค่ะ แต่ยังพอมีกลิ่นอายของคนในชุมชนให้เราเห็นอยู่เป็นระยะ



จุดที่ 2 ของวันนี้คือ เมืองเก่าที่ตะกั่วป่า

โชคดีที่มาถูกเวลา ทำให้เห็นแสงของพระอาทิตย์เริ่มตกดิน ได้อารมร์ไปอีกแบบค่ะ ระหว่างที่เราถ่ายรูปอยู่จะมีคนในชุมชนปั่นจักรยานออกกำลังกาย สองข้างทางจะมีทั้งตุกเก่าและบ้านเก่า ๆ ให้ถ่ายรูปไว้เป็นจุด ๆ ค่ะ

บ้านไม้หลังเก่า ดูโทรม ๆ (แอบน่ากลัวเล็กน้อย) แต่ด้วยความใจกล้าอยากมีรูป ฮิป ๆ กับเขาเลยวิ่งข้ามถนนไปอีกฝั่งเพื่อให้น้องถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกค่ะ 555 เราเริ่มต้นเดินจากที่นี่เป็นที่แรกค่ะ แล้วค่อย ๆเดินเท้า ค่อยๆ สัมผัสกับบรรยากาศของเมืองเก่า ที่ตะกั่วป่าไปทีละน้อย ๆ ค่อยๆ แฝงตัวเองไปกับชุมชนแห่งนี้ค่ะ

จากการบอกเล่าของพี่คนขับรถตู้...ที่ขันอาสามาเป็นไกด์จำเป็นให้เราในวันนี้เล่าให้ฟังว่า ที่ตะกั่วป่า หรือ ตำบลตลาดใหญ่ เดิมเคยเป็นสถานที่ที่รุ่งเรืองมากเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา เพราะสมัยนั้นมีชาวจีนเข้ามาทำกิจการเหมืองแร่ในพื้นที่แห่งนี้ค่อนข้างมาก การคมนาคมค่อนข้างสะดวก มีคนไปมาค่อนข้างเยอะ บ้านเรือนที่นี่ส่วนใหญ่จะถูกสร้างเป็นลักษณะตึกแถวแบบชิโน-โปรตุกีส ซึ่งจัดเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาถ่ายรูปคู่กับบ้านเรือนแถวนี้

นอกจากตึกรามบ้านช่องที่เป็นเสน่ห์ของสถานที่แห่งนี้แล้ว ... วิถีชีวิตของคนในย่านนี้ก็จัดเป็นเสน่ห์อีกอย่างที่ทำให้นักท่องเที่ยวอย่างเราต้องหยุดถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ทำให้การเดินทางของเราในวันนี้ดูมีชีวิตขึ้นเมือได้พบเจอกับผู้คน ที่กำลังทำกิจวัตรของตัวเอง

ระหว่างทางจะมีขบวนรถจักรยานปั่นมาเป็นระยะ ๆ ช่วยให้บรรยากาศที่เงียบเหงาของเราในวันนี้ ดูมีชีวิตชีวาขึ้น ระหว่างทางที่เราเดินมา จะมีภาพวาดฝาผนังให้เราเห็นเป็นระยะ ทั้งตามฝาผนังบ้าน เสาบ้าน ที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นตะกั่วป่าให้เห็นอยู่รายทาง


เดินมาได้สักระยะ จะเห็นมุมนี้ค่ะ เป็นมุมนิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราว ประวัติความเป็นมาของตะกั่วป่าผ่านภาพถ่าย เป็นอีกมุมที่เหมาะสำหรับการทำความรู้จักกับตะกั่วป่า เดินมาเรื่อยๆ จะเจอสามแยกจะเจอภาพวาด ที่อาจจะใหญ่ที่สุด ในตลาดเก่า เป็นภาพวาดที่บอกเล่าให้เห็นถึงอดีตของตะกั่วป่า ที่เฟื่องฟูในเรื่องของการทำเหมืองแร่ สีสันจัดจ้าน สะดุดตา จนต้องหยุดถ่ายภาพอยู่เป็นพัก


ระหว่างทางจะมีภาพวาด อยู่รายทางค่ะ บอกเล่าเรื่องราวและวิถีชีวิตของคนตะกั่วป่าให้เห็นอยู่ตลอด ถึงบรรยากาศจะเงียบไปหน่อย แต่ก็ได้อารมณ์อีกแบบหนึ่ง


ตึกรามบ้านช่อง มีทั้งเก่าและใหม่แทรกตัวอยู่เป็นระยะ ลักษณะเด่นอีกอย่างสำหรับบ้านเรือนแบบชิโน-โปรตุกิสคือ ตึกแถวที่มีเสา และโค้งเรียงอยู่เป็นแนว อยู่หน้าตึกชั้นล่าง ซึ่งรับระเบียงชั้นสอง ทำให้ เกิดลักษณะที่เรียกว่า "อาเขต" ภาพบรรยากาศยามเย็นของตะกั่วป่า ย่านนี้จะเป็นย่านที่มีตลาดเย็นทำให้เริ่มเห็นรถลา และผู้คนค่อนข้างเยอะ ผิดจากช่วงต้นทางที่ดูเงียบสงบ

ใช้เวลาเดินเท้า อยู่ในเมืองตะกั่วป่า ราวชั่วโมงเศษได้ จนท้องเริ่มหิว ก้ได้มาเจอกับย่านตลาดเย็น พอดีกับเวลา จัดแจงซื้อของกินเสร็จสรรพก่อนจะเดินทางไปยังที่พัก

ถึงแม้จะเดินทางมาไม่ถูกจังหวะ เพราะไม่ใช่วันที่เขามีถนนคนเดิน แต่เราก็ได้สัมผัสอีกแง่มุมของเมืองเก่า ที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นตะกั่วป่าไว้ได้ ถึงแม้จะเป็นเมืองเก่าที่คนไม่ค่อยนึกถึง แต่ถ้าใครได้มีโอกาสลองมาสัมผัสจะหลงรักไปโดยไม่รู้ตัว ค่อย ๆ เดินเท้าสัมผัสวิถีชีวิต ศึกษาศิลปะการออกแบบของตึกที่อยู่รายรอบ เห็นรอยยิ้มของคนในชุมชน ลองลิ้มชิมรสอาหารพื้นถิ่น ทำให้การเดินทางในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่นึกถึงกี่ครั้งก็มีความสุข .....

ความคิดเห็น