น้าหนาวมาเยือนประเทศไทยแล้ว ฤดูกาลท่องเที่ยวภาคเหนือมาถึงสักที

ได้ข่าวว่าปีนี้ เมืองไทยจะหนาวเอามากๆ รีบเห็บกระเป๋าเหอะ หายหนาวแล้วจะเสียใจ

เรามาเชียงใหม่บ่อยเอามากๆเลยแหละ ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นครั้งที่ 3 ของปีนี้แล้ว

ถือว่าเป็นการส่งท้ายปีเลยแล้วกัน จุดประสงค์ของเราในครั้งนี้ คือ " กิ่วแม่ปาน "

เห็นข่าวมาว่า คนเยอะขนาดต่อแถวยาวออกมาถึงถนนกันเลยทีเดียว

น่าจะ 6 - 7 ปีแล้วแหละ ที่เคยมาเดิน

ตอนนั้น " กิ่วแม่ปาน " ก็เป็นที่รู้จักบ้างแล้วแหละ ในหมู่นักท่องเที่ยว แต่คงยังไม่มากเท่าปัจจุบัน

เดี๋ยวไปลองดูแล้วกัน ว่าครั้งนี้จะสมใจอยากรึเปล่า
.
.
.
.
.
ถ้าอ่านแล้วถูกใจ กดLikeเพจให้ด้วยนะครับ :- )))
PageFacebook : https://www.facebook.com/Workingdaysareover
.
.
.
.
.
...................................................

เราเริ่มเดินทางวันที่ 11 ธันวาคม เพราะหวังว่าหลังวันหยุดยาวคนจะน้อยกว่าปกติสักหน่อย

ระหว่างทางก็นั่งดูวิวข้างทางกันไป

คิดไป คิดมา นี่เราก็เพิ่งเคยนั่งเครื่องมาแถบๆภาคเหนือครั้งแรก

วิวที่ได้ ก็เลยจะแปลกตาจากที่เราเห็นบ่อยๆ แถบทะเล

.
.
.
.
.

ถึงเชียงใหม่ราวๆเที่ยงพอดี เราก็ตรงดิ่งเข้าโรงแรมกันก่อนเลย

ที่นี่มีชื่อว่า " Brique Hotel " เป็นโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน

เอกลักษณ์ของที่นี่ก็ตามชื่อโรงแรมเลยครับ ก็คือ ก้อนอิฐนั่นเอง อยู่ต้อนรับเราตั้งแต่ประตูเลย

ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยสีสัน สไตล์ล้านนา ตามผนัง เพดาน รวมไปถึงโคมไฟ

พนักงานต้อนรับที่นี่ก็น่ารักเป็นกันเอง พร้อมบริการเราทุกอย่าง ขอแค่ให้บอกเท่านั้น

เธอพร้อมจะบุกป่า ฝ่าดง ไปหามาให้เราได้อย่างทันใจ555555555

.
.
.
.
.

อันเนื่องด้วยเรามาถึงกันเที่ยงๆ พอดี ทางโรงแรมเลยแนะนำให้ลองชิมชาที่นี่ดูหน่อย

เราก็ไม่ขัดศรัทธา ยิ่งหิวๆ เหนื่อยๆ มาจากการเดินทาง ไปจิบชาผ่อนคลายกันดีกว่า

.
.
.
.
.

แล้วก็จัดการอาหารกลางวันกันที่นี่ด้วยซะเลย เราสั่งมารองท้อง 2 3 อย่างแหละ

แต่ขนาดของจานนี!!!!! ไม่ได้รองท้องเราเลย (ใหญ่เบ้อเริ๊มมมมม)

เราสั้งป่อเปี๊ยใส้ผัก ซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ รสชาดเด็ดดวงมาเลยของบอก

อีกสองอย่างก็คือ ไก้สะเต๊ะ และสเต๊กเนื้อนุ่มๆ เป็นจานรองท้องที่อิ่มแป๊!!!! กันเลยทีเดียว

.
.
.
.
.

ลืมบอกไป ร้านอาหารของที่นี่ ชื่อว่า " Vento bar "

ตั้งอยู่ตึกฝั่งขวา บนชั้น 2 มองเห็นวิวทะเลสาบที่สวยที่สุดของโรงแรม

ที่นี่จะมีทั้งอาหารคาว อาหารหวาน กาแฟ ตกดึกยังเป็นบาร์สำหรับดื่มได้อีกด้วย

เก็บภาพบรรกากาศช่วงกลางวันมาให้ชมกัน

.
.
.
.
.

เดี๋ยวแวะไปดูห้องกันเลยดีกว่า วันแรกเราเลือกพักห้องนี้ ชื่อว่า " Premier 2 Bedrooms Suite "

ขนาดประมาณ 47 ตรม. ประกอบด้วยห้องนอน 2 ห้อง ห้องน้ำ 1 ห้อง

ภายในห้องตกแต่งด้วยโทนไม้ทีอุ่น บวกกับแสงไฟโทนส้มอ่อนๆ

ทำให้ห้องดูน่าพักผ่อนมากขึ้นไปอีก บวกกับห้องพักห้องนี้ เป็นห้องริมพอดี

วิวที่ห้องนี้จะได้ก็คือ ริมทะเลสาป แบบพาโนราม่าสุดๆ


.
.
.
.
.

เลี้ยวเข้าไปดูห้องน้ำกันบ้าง ห้องนี้เนื่องจากเป็นห้องใหญ่ จึงมีอ่างอาบน้ำให้เราแช่อย่างสบายอีกด้วย

ภายในห้องน้ำตกแต่งด้วยโทนสีขาว สลับกับ สีดำ ดูโมเดิล ทันสมัย

สลับกับแสงไฟสีส้มที่ทำให้สบายตา พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน

.
.
.
.

.

เข้ามาดูที่ห้องนอนกันบ้าง ห้องนี้จะมีห้องนอน 2 ห้อง

โดยแบ่งเป็นห้องใหญ่ " Master Bedroom " ภายในห้องประกอบด้วยเตียงขนาดใหญ่

ที่ใหญ่กว่า 6 ฟุต แน่นอน เพราะนอนสบายมาก (แต่ไม่แน่ใจว่ามันขนาดเท่าไหร่)

มีตู้เสื้อผ้าแบบเปิด พร้อมตู้เซฟสำหรับเก็บของสำคัญ

ภายในห้องสะมองเห็นวิวด้านนอกแบบพาโนราม่า และสระว่ายอย่างชัดเจน

.
.
.
.
.

ส่วนห้องนี้เป็นห้องเล็กครับ ขนาดกระทัดรัดดี เราชอบห้องนี้มากๆๆๆๆๆๆๆ

ถึงมันจะเล็ก แต่มันส่วนตัวอย่างที่สุด ลองคิดดูสิ คุณจะนอนพร้อมกับเห็นวิวไปด้วยตลอดเวลา

ภายในห้องไม่ใหญ่มากครับ มีเพียงเตียงเล็ก 1 เตียง พร้อมตู้เสื้อผ้า

แต่ทำไมเราถึงชอบห้องนี้เอามากๆเลยยยย55555

.
.
.
.
.

หลังจากพักผ่อนจากการเดินทางที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน

ก็ได้เวลา ไปสำรวจสระว่ายน้ำกันแล้วแหละ

สระว่ายน้ำที่นี่จะตั้งอยู๋ตรงกลางของโรงแรมพอดี โดยจะมีตึกล้อมรอบไว้

ภายในสระว่ายน้ำ ใช้กระเบื้องแผ่นเล็ก สลับสีระหว่าง สีฟ้าและสีน้ำเงิน ได้อย่างลงตัว

ด้านบนมีกระโจมเล็กๆ ไว้ให้นอนพักอาบแดด และแอ๊คท่าถ่ายรูป อวดเพื่อน

.
.
.
.
.

เช้าวันรุ่งขึ้น เรามีแผนจะไปเดินกิ่วแม่ปานกันฮะ ซึ่งทางโรงแรมก็น่ารักมากๆๆ

จัดอาหารเช้าเป็น Box Set ให้เราติดไปกินบนดอยอีกด้วย

เป็นไงล่ะ ขอแค่ให้บอกเท่านั้นว่าอยากได้อะไร เธอจะหามาให้เราได้หมด

ขาเดินขึ้นเราไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้เลยแหละ เพราะเรามาตั้งแต่เช้ามืด

แสงยังไม่มี อีกทั้งก็กลัวคนเยอะ ระหว่างทางขึ้นก็ได้แต่เดินหอบอย่างเดียว

ที่นี่จะมีไกด์คอยนำทางนะครับ เป็นชาวเขาที่อาศัยอยู่หมู่บ้านบริเวณนั้นแหละครับ

เธอน่ารัก เราจะเสียค่าจ้างกันกรุ๊ปละแค่ 200 บาทเอง และไกด์ชาวเขา ก็จะโดนหักหัวคิว 20 บาท

เราก็เลยให้พิเศษไปอีก ร้อยนึง ถือว่าเป็นค่าประสบการณ์ ที่เธอเล่าเรื่องราวๆต่างๆให้ฟัง ระหว่างทาง

.
.
.
.
.

เราเดินมาถึงจุด highlight ของที่นี่ตอนประมาณ 6.30 น.

เรียกว่า เดินออกมาจากป่าพร้อมกันกับพระอาทิตย์กันเลยแหละครับ

เราขึ้นมาบนนี้ก่อนคนกรุ๊ปใหญ่จะขึ้นมานะครับ คนเลยน้อยหน่อย ถ่ายรูปสะดวก

ทะเลหมอก ออกมาต้อนรับเราอย่างไม่ผิดหวัง

6 - 7 ปีที่จากไป กลับมาเยือนครั้งนี้ไม่ผิดหวังจริงๆ

.
.
.
.
.

เราอยู่บนจุดชมวิวราวๆ 40 นาที มีผู้คนเดินผ่านไป มา เยอะมากๆ

เลยแอบเก็บภาพ โมเม้น ของแต่ละคนที่ขึ้นมาแอ๊คท่าถ่ายรูปกันบนนี้สักหน่อย

ขออภัย สำหรับคนที่ติดมาในรูปด้วยนะครับ แต่ว่าแต่ละคน น่ารักมากๆเลย

.
.
.
.
.

ทีนี้ก็ได้เวลาเดินทางกันเลย พระอาทิตย์เริ่มขึ้นแล้วแหละครับ

แสงเริ่มส่องผ่านกิ่งไม้ลงมายังพื้นดิน ให้เราได้เก็บภาพระหว่างทางมาฝาก

.
.
.
.
.

อุณภูมิที่เราเดินอยู่ราวๆ 4 - 7 อาศานะครับ

แต่ตอนออกมาแดดน่าจะออกแล้ว อุณหภูมิเลยขึ้นมานิดหน่อย

แต่ไม่ได้อุ่นขึ้นมาเลยฮะ เดินไปหนาวไป แวะถ่ายรูปนานๆหน่อย เพราะเหนื่อย 5555555

.
.
.
.
.

ขับรถเลยขึ้นมาอีกนิดนึง ที่นี่เรายังไม่เคยเข้ามา

มันคือ " เส้นทางศึกษาธรรมชาติอ่างกา " โดยได้รับฉายาว่า " ป่าในสายหมอก " กันเลยทีเดียว

ทางเข้าก็ไม่ยากเลยครับ จอดรถข้างทาง ทางเข้าก็อยู๋ข้างที่จอดรถนั่นแหละ

เป็นการเดินป่า ที่ง่ายเอามากๆเลย

.
.
.
.
.

ภายในจะมีทางเดิน เป็นสะพานไม้ ที่มีตะไคร่เกาะเยอะๆ โครตได้อารมณ์เดินป่าเลย

เสียงเงียบๆของป่า ต้นไม้ มีเสียงนกร้องแซมขึ้นมา

.
.
.
.
.

เราเดินอยู่ภายในป่า อากาศเย็นมากเลยนะ ถึงจะเห็นว่าในรูปมีแดดออกแล้ว

แต่คงเพราะป่าที่แน่นทึบ เลยทำให้อากาศที่นี่เย็นตลอดเวลา

ที่แหละมั้งครับ ฉายาของมัน " ป่าในสายหมอก "

.
.
.
.
.

ดูความสมบูรณ์ของธรรมชาติที่นี่สิครับ

มันช่างเขียวชะอุ่มซะเหลือ ทำไมมันเขียวจัง ทำไมมันเขียวกว่าชาวบ้านเขา 55555555555


.
.
.
.
.

หลังจากที่ไปพจญภัยกันมาทั้งวัน กลับมาที่โรงแรมใช้บริการนวดสปากันหน่อยดีกว่า

ที่นี่มีให้บริการนวดสปาหลายรูปแบบนะครับ ทั้งนวดไทย นวดตัว นวดไหล่

สปาหน้า นวดหน้า หรืออื่นๆอีกเยอะมากๆ พนักงานสอบถามเราตลอดระหว่างทำ

เจ็บไหมคะ แรงพอไหม แถบบรรยากาศนี่แบบ อยากจะนอนอยู่ในห้องนี้ไปเลย555

.
.
.
.
.

วันนี้เราแอบเปลี่ยนห้องพักนิดหน่อยฮะ อยากได้หลายๆอารมณ์

ห้องนี้ชื่อว่า " Premier Deluxe " ขนาดประมาร 36 ตรม.

ประกอบไปด้วยเตียงขนาดใหญ่ ที่ใหญ่กว่า 6 ฟุตมากๆเลย นอนจนลืมตื่นเลยทีเดียว

ภายในห้องจะมีระเบียง ที่มองไปเห็นสระว่ายน้ำของโรงแรม และวิวทะเลสาป

แถมด้วยมุมอ่านหนังสือริมระเบียง ที่มีแสงสว่างส่องมารับพอดี

.
.
.
.
.

ห้องน้ำภายในห้องนี้ ตกแต่งคล้ายๆกับห้องแรกครับ

คุมโทนด้วยสีดำสีขาว ไม่มีอ่างอาบน้ำ แต่อุปกรณ์ก็ยังครบครัน

.
.
.
.
.

Dinner วันนี้เราเลือกทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรมนี่แหละฮะ

จัดเต็มทุกอย่าง อาหารคาว 5 อย่าง

หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์อบชีสสสส

เฟตตูชินี่ ซอสเนื้อ

กุ้งพันเบคอน

ยำรวมมิตร

และข้าวผัดกุ้ง เรียกว่า หลายเชื้อชาติกันเลยทีเดียว

.
.
.
.
.

ตื่นเช้าขึ้นมาอากาศเย็นสบายยิ่งนัก ก่อนกลับเลยได้ลองอาหารเช้าของทางโรงแรม

ที่นี่ห้องอาหารเช้า จะอยู่บริเวณชั้น 1 อยู่บริเวณริมทะเลสาบ ข้างสระว่ายน้ำ

ที่นี่มีอาหารให้เลือกหลากหลายมากๆ ทั้งอาหารฝรั่ง อาหารไทย เลือกกันได้ตามอัธยาศัย

แต่ที่เป็น highlight เลยก็ว่าได้ คือ " Coffee Print " ชื่อเหมือนซีรี่เกาหลีเลยใช่ไหมฮะ

แต่จริงๆแล้วมันคือ การพิมพ์รูปอะไรก็ได้ลงบนกาแฟ ตามรูปเลย

ซึ่งนี่เป็นครั้งแรกที่เคยเห็นเลยฮะ แปลกมากๆ แถมยังอร่อยอีกด้วย

อยากให้มาลองจริงๆอันนี้พลาดไม่ได้

.
.
.
.
.

ก่อนกลับกรุงเทพ จะพาไปบินดูทิวทัศน์ของโรงแรมกันหน่อย

แต่บอกได้คำเดียวเลยว่า เจ๋งโคร๊ตโครตตตตตต

ถึงเวลาต้องกลับสักที อากาศหนาวที่เรารอคอยมาทั้งปี

ไม่ว่าจะเป็นครั้งที่เท่าไหร่ เชียงใหม่ ก็ไม่เคยทำให้เราผิดหวังเลยสักครั้ง

ไม่ว่าจะสถานที่ท่องเที่ยว ผู้คน ถนนหนทาง โรงแรม ต่างก็ทำให้เราตื่นเต้นที่ได้เจอมันได้ทุกครั้ง

ใครจะแวะมาแถวนี้ อย่าลืมมาพักที่นี่กันล่ะ แล้วคุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน

ใครสนใจกดเข้าไปLink ข้างเลยฮะ

Website Brique Hotel Chiangmai: https://www.briquehotel.com/

อย่าลืมติดตามที่ Workingdaysareover เดี๋ยวจะมีของรางวัลมาแจก

.

.

.
ถ้าอ่านแล้วถูกใจ กดLikeเพจให้ด้วยนะครับ :- )))
PageFacebook : https://www.facebook.com/Workingdaysareover
.

.

.

ปล.ติชมได้นะครับ ผิดพลาดประการใดต้องขออภัยด้วยครับ





.........................................................



ความคิดเห็น