ใกล้ครบปีกับการไปดอยปุย บ้านห้วยฮี้ แม่ฮ่องสอน รอบก่อนฟ้าไม่เปิด รอบนี้ตั้งใจแล้วเก็บกระเป๋ามาเลย ก่อนเดินทางเราติดต่อชุมชนบ้านห้วยฮี้ไว้แล้ว เดินทางคนเดียวก็เลยให้เอามอเตอร์ไซค์ลงมารับที่ร้าน Coffee Morning แถมรอบนี้วาร์ปมาเวลาน้อยก็เลยเลือกขึ้นไปนอนที่จุดกางเต็นท์บนดอยปุย บ้านห้วยฮี้เลยไม่ได้นอนโฮมสเตย์ที่บ้านห้วยฮี้ก่อนเหมือนปีก่อน ติดต่อชุมชนบ้านห้วยฮี้ได้ที่เพจ : https://www.facebook.com/cbt.huayhee/
รอบนี้น้องที่ลงมารับชื่อสุธี ก่อนขึ้นก็เตรียมใจไว้แล้วว่าทางโหดพอควร แต่พอไปเจอสภาพถนนที่กำลังทำแล้วบอกเลย ทางแย่กว่าเก่า โชคดีที่เราให้คนของชุมชนลงมารับ เขาชำนาญทางมาก เราก็แค่ลุ้นไปด้วย บางช่วงก็มีล้อปัดบ้าง ดีที่น้องคุมรถได้ดี มีภาพเคลื่อนไหวเส้นทางบางส่วนที่ยังพอถ่ายได้มาให้ดู แต่หลังๆ ก็ไม่กล้าถ่ายเลยนะ ใช้ทั้ง 2 มือจับประคองตัวไม่ให้ไหลลงไปทับน้องเวลาลงเขาและไม่ให้หงายหลังเวลาขึ้นเขา การเดินทางของทริปนี้ทั้งไปและกลับ เราให้ชุมชนมารับ-ส่งที่ตัวเมืองแม่ฮ่องสอน
พอถึงลงรถได้นี่ขาเกร็งมาก แถมยังปวดแขนขวามากด้วย ช่วงแรกใช้ข้างซ้ายถ่ายวิดีโอ รอบนี้เราได้เข้ามานั่งพักที่บ้านพ่อหลวงบ้าน (ผู้ใหญ่บ้าน) ได้รับการต้อนรับดีมาก หลายคนยังจำเราได้ว่าเคยมาที่นี่แล้ว ที่นี่ก็ยังคงต้อนรับนักท่องเที่ยวด้วยน้ำอุ่นเสมอ อากาศหนาวตลอดวันจริงๆ จากนั้นก็ได้เวลากินมื้อเที่ยง อาหารที่เตรียมไว้ให้เยอะมาก แต่โชคดีชิมู (ประธานกลุ่มท่องเที่ยวบ้านห้วยฮี้) กับสุธีนั่งกินด้วย
ระหว่างกินข้าวชิมูก็เล่าให้ฟังว่า มีนักท่องเที่ยวแอบขึ้นดอยปุยกันเอง โดยไม่ผ่านชุมชน ด้านบนเต็มไปด้วยขยะที่เขาทิ้งเอาไว้ แอบเอาไม้ที่เป็นทางขึ้นศาลาที่สร้างไว้ที่จุดกางเต็นท์มาทำฟืน ถ้าติดต่อผ่านชุมชนจะมีไกด์ชุมชนขึ้นไปดูแลเรื่องหาไม้ทำฟืน หาน้ำกิน น้ำใช้ในห้องสุขา และจัดการขยะให้เรียบร้อยก่อนลงดอยด้วย ระหว่างรอข้าวเรียงเม็ดเรายังคุยกันอีกหลายเรื่อง ชุมชนท่องเที่ยวบ้านห้วยฮี้อยู่มาได้ยาวนาน 22 ปี เพราะทุกคนมีอะไรก็คุยกันหมด แถมยังคอยถามนักท่องเที่ยวด้วย
ก่อนขึ้นดอยปุยพ่อหลวงบ้านและพาตี่ (ลุง) ที่เราเคยไปพักรอบก่อนก็อวยพรให้พระเจ้าคุ้มครอง ที่นี่เป็นชาวปกาเกอญอนับถือคริสต์ ทางขึ้นที่สั้นต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ไปอีกโลกว่าๆ ถึงเวลาทดสอบสภาพร่างหลังหายป่วยกันหน่อย เส้นทางเดินทางชุมชนจะถางและดูแลตลอดทำให้ใครๆ ก็ขึ้นเองได้ แต่อย่าแอบขึ้นไปเองเลยนะ ถ้าเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นชุมชนจะเดือดร้อน รอบนี้มีป้ายแจ้งรายละเอียดต่างๆ แล้ว
ข้อ 1 ที่หายไปคือห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิดเข้ามาในหมู่บ้านห้วยฮี้และยอดดอยปุย เป็นข้อห้ามสำคัญของหมู่บ้านเลย ชาวบ้านก็ไม่มีใครดื่ม ป้ายหายไปหลังจากติดได้ไม่นาน ระหว่างทางขึ้นน้องให้เราเดินนำ เราแบกกระเป๋าเอง น้องสุธีไกด์ชุมชนแบกเต็นท์ อาหารมื้อเย็น-เช้า หม้อ ชาม ถ้วยไม้ไผ่ ใบตองและน้ำดื่ม เราก็เดินไปพักไปเรื่อยๆ เส้นทางเดินตลอด 2.2 กิโลเมตร ไม่ยาก
ใช้เวลาเดิน 50 นาทีก็ถึงจุดกางเต็นท์ ศาลาหลังขวาที่โดนรื้อทางขึ้นไปทำฟืนเกือบหมดแล้ว
นั่งสักพักน้องสุธีไกด์ชุมชนก็ไปหาไม้มาทำฟืน จากนั้นก็ไปหาน้ำสำหรับประกอบอาหาร (น้ำดื่มนำขึ้นมาต่างหาก) และน้ำใช้ในห้องน้ำ เราก็ออกซนใกล้ๆ เดินดูอะไรไปเรื่อย
สักพักใหญ่น้องเขาก็มาจุดไฟ ทุกอย่างง่ายมาก แป๊บเดียวไฟติดแล้ว ถ้าเป็นเราคงอีกนานมาก จากนั้นก็เริ่มกางเต็นท์ และแล้วก็เกิดเหตุโครงเต็นท์หายไป 1 โครง ก็คุยกับน้องว่านอนข้างกองไฟได้ไม่มีปัญหา แต่น้องบอกเดียวพี่หาตัวช่วยก่อน สักพักน้องได้ไม้ไผ่มา 2 เส้นเล็กๆ สอดทำโครงอีกอันแทน และยังพอเหลือสำหรับตอกเป็นหมุดเต็นท์ให้ด้วย
ทุกอย่างเรียบร้อยก็กินเวลาจน 4 โมงกว่าๆ น้องพาขึ้นไปดูอาทิตย์ตก (รอบก่อนไม่ได้ขึ้น ฟ้าปิดสนิทเลย) รอบนี้ก็ลุ้นให้ฟ้าเปิด พอถึงยอดบอกเลยลมแรงจนหนาว ลุ้นดูอาทิตย์ตกอยู่นานแต่ก็ได้แค่แสงลอดเมฆ
อยู่รออาทิตย์ตกเป็นชั่วโมงก็ได้แค่นี้ แถมหนาวมาก สุดท้ายก็ลงมาที่เต็นท์กัน คุยกันจนรู้ว่ามีแค่เราคนเดียวที่ขึ้นมานอนบนดอยปุย แต่มีนักท่องเที่ยวอีก 3 คนที่นอนโฮมสเตย์ ช่วงเช้าเขาจะขึ้นมาดูอาทิตย์ขึ้น
รอบเย็นที่ขึ้นยอดดอยปุยก็ยังไม่ได้ซนอะไรมาก แถมต้องลงมาทำมื้อเย็นอีก น้องไกด์ชุมชนถามเราว่าพี่กินมาม่าง่ายๆ ไปก่อนนะ เดี๋ยวต้มน้ำให้พี่จิบกาแฟแก้หนาวก่อน มื้อเย็นก็นั่งกินไปคุยกันไปหลายเรื่องเกี่ยวกับการท่องเที่ยวชุมชนบ้านห้วยฮี้ และชุมชนอื่นๆ ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน สุดท้ายทนหนาวไม่ไหวก็มุดเข้าเต็นท์ส่วนน้องไกด์ชุมชนขอผูกเปลนอนข้างกองไฟเลย นัดกันตอนเช้า 5:30 น. เราหลับไปสักพักก็ได้ยินเสียงกระพรวนที่ห้อยคอควาย น้องตื่นขึ้นมาไล่ควายให้ ส่วนเราก็นอนต่อ กลางดึกที่หนาวมากเราตื่นขึ้นมาพร้อมได้ยินเสียงฝีเท้าสัตว์วิ่งหนีออกไปจากจุดที่เรา 2 คนพัก มารู้ตอนเช้าจากน้องไกด์ชุมชนว่าเป็นสัตว์ป่า แต่ไม่มั่นใจว่าเป็นอะไร ไม่ได้ตามไปดู เราก็คิดทันทีว่าถ้าขึ้นกันเองแล้วเจอสัตว์ป่าแบบนี้แต่ไม่มีไกด์ชุมชนดูแลจะทำยังไง ที่นี่คือป่าและมีสัตว์ป่ามากมาย น้องบอกแบบนั้น
รุ่งขึ้นเราตื่น 4:45 ก็เข้าห้องน้ำ ล้างหน้าแปรงฟันในอากาศหนาวๆ รอเวลาที่นัดกัน 5:30 มีเสียงกลุ่มนักท่องเที่ยวขึ้นมาแล้ว เราพร้อมแล้ว น้องตื่นเต็มตาพอดี เราก็เริ่มเดินขึ้นตามกลุ่มที่ไปก่อน พอพ้นแนวต้นไม้ แสงเริ่มมาแล้ว ดีที่รีบเดินจนขึ้นมาทันแสง ได้ทันเห็นหมอกรอบๆ ดอยปุย ยอดดอยปุยสูง 1,772 เมตรจากระดับน้ำทะเล สูงที่สุดในอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน
มุมนี้ทะเลหมอกหนาๆ คลุมตัวเมืองแม่ฮ่องสอนอยู่
แสงเริ่มเยอะแล้วก็ซนได้เต็มที่หน่อย
น้องไกด์ชุมชนชวนเดินลงจากดอยปุยอีกด้านเพื่อไปดูสุดเขตแหล่งท่องเที่ยวดอยปุย บ้านห้วยฮี้ ที่ติดกับเขตอุทยานแห่งชาติ ระหว่างลงก็เกรงๆ บ้าง ถ้าไหลก็ลงยาวกันเลย พอลงมาจุดที่เตี้ยที่สุดระหว่างยอดทั้งสองก็จะได้ภาพมุมประมาณนี้
เดินขึ้นไปอีกยอดก็ถึงสุดเขตท่องเที่ยวชุมชนบ้านห้วยฮี้แล้ว ด้านล่างเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ
ตลอด 22 ปีที่ชุมชนท่องเที่ยวบ้านห้วยฮี้ดำเนินการมาเรื่อยๆ น้องก็เล่าให้ฟังว่าก็จะมีงบการท่องเที่ยวมาให้ทำที่นั่ง ระเบียงถ่ายภาพที่ผาเพียงฟ้า (ชื่อตั้งโดยผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนท่านก่อนหน้านี้)
เดินต่อเพื่อจะลงกลับไปที่จุดกางเต็นท์ก็จะเจอกองไฟของคนที่แอบขึ้นมาเอง แล้วมากางด้านบนที่ไม่มีอะไรกันลมแรงๆ แถมยังทิ้งซากกระป๋องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไว้อีกด้วย น้องไกด์ชุมชนก็เลยต้องจัดการเก็บลงมา ลงมาได้อีกนิดก็เจอควายมองหน้าที่มารบกวนเวลากินของเขา
เดินต่อลงมาบริเวณทุ่งดอกไม้ จะบานเต็มดอยช่วงปลายตุลาคมของทุกปี เราไปธันวาคมทั้ง 2 รอบก็จะได้บรรยากาศแบบที่เห็น
ก่อนลงก็มองย้อนไปบนยอดดอยปุย
ลงมาถึงจุดกางเต็นท์น้องไกด์ชุมชนก็ทำอาหารเช้าง่ายๆ กาแฟนม ขนมปังและไส้กรอกปิ้งกับกองฟืน ได้ความหอมของไม้มาด้วย อร่อยไปอีกแบบ
พออิ่มก็ถึงเวลาเก็บเต็นท์และข้าวของต่างๆ เตรียมลงดอยกันแล้ว ขาลงเราลงรวดเดียวเลยไม่พัก ระหว่างทางก็แวะถ่ายโน้นนี่นั่นไปเรื่อย
ลงมาถึงจุดที่จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ก็ให้น้องพักสักครู่ เราก็พักด้วย ระหว่างนั้นก็ซนรอบๆ อีกนิด
พอมาถึงบ้านภรรยาพ่อหลวงบ้านก็ทัก "ต่าบลึ้อ เลย (ต่าบลึ้อ แปลว่า สวัสดี) แล้วคุณแม่ก็ชงน้ำชาใส่เกลือให้กิน มีคนเคยบอกมาบ้านห้วยฮี้ต้องชิม รอบนี้ได้ชิมแล้ว หอมชาและได้รสเค็มอ่อนๆ ด้วย
ไม่นานอาหารเช้ามื้อหนักๆ ก็มาอยู่ตรงหน้าเรา ชวนพ่อหลวงบ้าน แกบอกกินแล้วตามสบายเลย ข้าวในห่อใบตองหอมดี อาหารอร่อยทุกอย่าง ติดใจน้ำพริกมากๆ
ปิดท้ายด้วยส้มป่อยตามแบบชุมชน อันนี้ก็ชอบมากเปรี้ยวตัดเค็มจากเกลือ อร่อยจนกินเกือบหมด
สักพักใหญ่ๆ เราก็ลาพ่อหลวงบ้านกับภรรยา แกเดินมาจับมือแล้วก็อวยพรให้พระเจ้าคุ้มครอง เดินทางปลอดภัย ได้ความรู้สึกเหมือนญาติผู้ใหญ่มาส่งเราเลย ไม่แปลกใจที่ชุมชนบ้านห้วยฮี้จะทำโฮมสเตย์และการท่องเที่ยวชุมชนมาได้ถึง 22 ปี เพราะมันอบอุ่นแบบนี้ ทุกคนช่วยเหลือกันดูแลนักท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงฐานการเรียนรู้วิถีชุมชนด้วย เราคงกลับมาที่นี่อีกแน่นอน ชุมชนน่ารักแบบนี้ควรต้องมาสัมผัสสักครั้ง
ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่
เพจ : ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว
IG : prapat / ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว
ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว
วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 04.02 น.