ถ้าได้ยินชื่ออินเดียมาบ่อยๆ คงได้เคยได้ยินชื่อเลห์ ลาดักห์ ตามมาติดติด ที่นี่เป็นเป้าหมายของหมู่มวลวัยรุ่น และวัยไม่รุ่น เป็น dream destination ที่แบบเชี่ย โค่ดคูล กูต้องไปให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ก่อนไปเราก็คิดงี้แหละ พอไปเองแล้วโอ้ยทำไมาเพิ่งมาวะ จริงๆเป็นสถานที่ที่ไม่ต้องรอไปก่อนตายอ่ะ ควรไปซะตอนนี้นี้นี้นี้นี้ รูปที่ถ่ายมาไม่สวยเท่าที่ตาเห็นเลย ให้ตากล้องเก่งยังไงเราก็ว่าสวยสู้เท่าที่ตาเราเห็นไม่ได้ เพราะก่อนไปก็ดูภาพมาเยอะมากนะ แต่พอไปจริงๆเห็นวิวแล้วใจสั่นไปหมด แบบ กูไปอยู่ไหนมา !! แก่จนสามสิบแล้วทำไมเพิ่งมาเหยีบ ถ้าข้อเข่าเสื่อมมากกว่านี้คงเสียใจมาก

ตกหลุมรักอินเดีย อ่านเรื่องอื่นๆได้ที่
ปักหมุด 9 จุดห้ามพลาด เลห์ ลาดักห์ : https://goo.gl/8MZTaW
คู่มือเที่ยว Tajmahal : https://goo.gl/L74Etd
E-TOURIST VISA INDIA : https://goo.gl/7MWz2r
ข้อควรรู้เกี่ยวกับสนามบินอินเดีย : https://goo.gl/yj2KCf

ติดตามเรื่องราวอื่นๆได้ที่
FB page : https://www.facebook.com/goanywhere.co/
website : www.goanywhere.co


เที่ยวเลห์ครั้งนี้เหมือนได้เที่ยวหลายประเทศ บอกไม่ถูกว่าอยู่ประเทศอะไรบางวันก็เหมือนสวิส หันไปซ้ายทีอ้าวนั่นมันไอซ์แลนด์ เผลอหลับไปหน่อยตื่นมาอยู่ดาวอังคาร ลงรถไปฉี่อ้าวนี่นิวซีแลนแพะเต็มเลย ( จินตนาการว่าแกะ ) พอกลับมากินข้าวเย็น เออ กูอยู่อินเดียนี่แหละว่ะ ฮ๋าๆ กะหรี่ชิปหาย เลิกกลัวแขก เลิกกลัวกลิ่น เลิกกลัวกระหรี่ ที่นี่มันกระหรี่เบอร์ตองโว้ยย ไม่มีอะไรที่ต้องลังเลห์ ตามมาดมเลห์ ลาดักห์กันเลยจ้าาาา

ความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ


ปฐมบทแห่งเลห์ ลาดักห์ ของเราเริ่มต้นด้วยเราและรุ่นพี่ที่ไม่ค่อยสนิทกันเท่าไหร่คนนึงที่อยู่ๆก็เออ "ไปเลห์กันมั้ยมึง?" อยากไปมาหลายปีแล้วโว้ยย ล่มมาหลายร้อยรอบ รอบนี้ถ้าเหลือกันแค่สองคนก็จะไป ทริป 7 วัน 7 คืน ไปไปพระเจ้าก็ส่งคนบ้า 12 คน มารวมกัน


รู้จักเลห์ ลาดักห์
เลห์เป็นเมืองหลวงของแคว้นลาดักห์ เขตแคชเมียร์ ประเทศอินเดีย อีกชื่อคือ ทิเบตน้อย (Little Tibet) สาเหตุที่เรียกทิเบตน้อยเพราะว่าที่นี่มีส่วนผสมของ วัฒนธรรมทิเบต อีกทั้งมีเชื้อชาติที่หลากหลาย ทั้งทิเบต แขกอินเดีย แขกขาวแบบปากีสถาน บางคนหน้าออกไปทางจีน หน้าตาคนที่นี่ไม่ค่อยเหมือนคนอินเดียในอุดมคติของคนไทยสักเท่าไหร่ เอาจริงผู้ชายแซ่บๆซ่อนอยู่ในดงแขกเยอะมากนะ ต้องคอยพินิจพิจารณา เลห์ อยู่เหนือระดับน้ำทะเลถึง12,000 ฟุต เพราะฉะนั้นอากาศจะบางมาก และหนาวมากสำหรับพวก เส้นศูนย์สูตรแบบพวกเรา


เลห์ ลาดักห์ เที่ยวไหนดี ?
ทริปนี้เราเดินทางในช่วงต้นเดือนตุลาคม ( 6-14 ตุลาคม 2017 ) ข้อดีของเดือนตุลาคมคือใบไม้เปลี่ยนสี ใบไม้ที่เลห์จะกลายเป็นสีเหลืองทอง แต่ก็นั่นแหละค่ะ ความสวยต้องแลกมากับความหนาว แต่ชอบใบไม้สีทองเลยยอมค่ะ ยอมหนาว ยอมผิวแตก ปากแตก ถ้าอยากเจอเลห์เขียวๆ ไปช่วง มิถุนายน - สิงหาคม ถ้าอยากเจอเลห์แบบสีทอง ไป ตุลาคม - พฤศจิกายน ถ้าอยากเจอเลห์แบบขาวๆ ธันวาคม - เมษายน ( หนาวและขาวมาก) เพื่อให้เห็นภาพได้ชัดๆ เราสรุปให้เป็นรายละเอียดแต่ละวันไว้ให้ จะได้แพลนตามกันได้ง่ายๆค่ะ ทริปนี้เรามีเวลาอยู่ที่เลห์ทั้งสิ้น 7 วัน 7 คืน ( ไม่รวมวันเดินทาง ) สรุปรายละเอียดทริปของเราสั้นๆ ตามนี้จ้า ( ต้องการ trip แบบละเอียด inbox ไปที่เพจ Goanywhere ได้เลยค่ะ)

6 OCT : BKK - new Delhi
7 OCT : New Dehli - Leh (Leh City >> Leh Palace, Shanti Stupa & Main Bazaar)
8 OCT : Magnetic Hill, Sangam Viewpoint, Alchi, Lama Yuru ( moon land )
9 OCT : Nubra Valley, Turtuk *Khardung La Pass
10 OCT : Hunder Sand Dune- Pangong Lake
11 OCT : Pangong Lake - Chang La Pass
12 OCT : Tsomoriri Lake
13 OCT :Tsokar Lake Taglang La Pass
14 OCT : Leh - New Delhi -Agra
15 OCT : Taj Mahal - New Delhi - Bangkok
** ต่อจากเลห์เราเดินทางต่อไปชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลกต่ะ แต่ใครจะจบแล้วบินกลับไทยเลยก็ตามสะดวกค่ะ

จุดเริ่มต้นของเราเริ่มต้นตั้งแต่นั่งเครื่องบินจากนิวเดลี ไปเลห์ แล้วล่ะค่ะ ตอนจองตั๋วให้เลือกที่นั่งฝั่งซ้ายถ้าไม่ได้นั่งที่นั่งหน้าสุด ให้เลือกที่นั่งหลังสุดไปเลยค่ะ ตรงกลางจะติดปีกเครื่องบิน กีดลูกตา ( เข้าไปเช็คตำแหน่งที่นั่งได้ที่สายการบินที่เดินทางได้นะคะ แต่ละสายการบินจะมี Layout เครื่องให้ดู )


ความรู้สึกตอนนั่งเครื่องเหมือนเราใกล้ภูเขามากมาก นิวเดลี - เลห์ ใช้เวลาบิน 1.20 ชั่วโมง เวลาผ่านไปเร็วมาก ปกติเราจะชอบหลับตอนนั่งเครื่องบิน แต่รอบนี้ไม่หลับเลย หลับไม่ลงจริงๆ เจอวิวแบบนี้ เหมือนเราอยู่ใกล้ภูเขามาก นี่ก็คิดถ้าเปิดหน้าต่างเครื่องบินได้แล้วยื่นมือออกไปคงเอานิ้วจิ้มเมฆได้เลยอ่ะ ความพีคเริ่มขึ้นตั้งแต่ 30 นาทีแรกหลังเครื่องขึ้นแล้วเตรียมกล้อง เตรียมเมม เตรียมแบตไว้ให้พร้อมนะคะ ยิ่ง 15 นาทีก่อนเครื่องลงเนี่ยโค่ดพีคจ้าาา กดชัตเตอร์รัวรัว ขนลุกไปหมดค่ะคุณ :)

ภูเขาหิมะ ธารน้ำแข็ง ไกล้มาก เหมือนภูเขาจะทิ่มเครื่องบิน
ภูเขาสีน้ำตาล ภูเขาหิมะ ท้องฟ้าสดใส รวมกัน = สวยมากกกก

มาถึงสนามบินเลห์ ที่นี่ห้ามภ่ายภาพ เป็นสนามบินเล็กๆ ลงจากเครื่องจะมีรถบัสมารับไปยังตัวอาคาร สนามบินเลห์เล็กนิดเดียวค่ะ ระหว่างรอรับกระเป๋าเจ้าหน้าที่ก็จะมีเอกสารมาให้กรอกเล็กๆ เป็นรายละเอียดทั่วไป เราติดต่อรถเอาไว้แล้ว รถจะรอรับที่หน้าสนามบิน พร้อมชูป้ายชื่อรอต้อนรับกะเหรี่ยงชาวไทยทั้ง 12 คน ตอนนี้แหละการผจญภัยของพวกเราก็เริ่มต้น

สนามบินเลห์ ลาดัก ล้อมรอบไปด้วยภูเขา

001 Leh city / Main Bazaar

มาถึงเลห์วันแรกอย่าเพิ่งซ่า เพราะร่างกายเราต้องใช้เวลาในการปรับตัว บุหรี่ แอลกอฮอล์ การวิ่ง กระโดด หรือแม้กระทั่งการอาบน้ำเองขอให้พักไว้ก่อน ใช่ค่ะ ห้ามอาบน้ำ ห้ามสระผม ถึงจะอาบน้ำได้ก็ไม่อยากจะอาบน้ำอยู่ดี มันหนาว( เข้าทางหน่อยๆ ) อากาศในตัวเมืองเลห์ ประมาณ 5- 20 องศา ทำได้แค่ล้างหน้า แปรงฟันเท่านั้นค่ะ ห้ามฝ่ากฎนะคะ เผลอเอาน้ำราดหัวไปอาจช๊อคได้ หลังเดินทางมาถึงต้องพักร่างกายพักผ่อน ทานให้อิ่ม นอนหลับให้สดชื่นสัก 2-3 ชั่วโมง บ่ายแก่ๆค่อยออกไปเดินเล่นในเมืองกันค่ะ

ธงมนตรา บริเวณ Main Barza
คุณป้าแคนรูน เจ้าของเกสเฮาส์ แห่ง seven sea guest house สวย ใจดี และน่ารักมากมาก ชาไจร้อนๆ เป็น welcome drink เมืองเลห์ ต้อนรับพวกเรา มันดีย์มากค่ะ

เราไม่ค่อยได้เดินเล่นในเมืองเลห์สักเท่าไหร่ ไว้เป็นที่พำนัก จิบชา พักผ่อน ที่เกสเฮาส์ซะเป็นส่วนใหญ่ แต่จริงๆในเมืองนี้น่าเดินเล่นมากเหมือนกัน ใครมีเวลามากกว่านี้ลองเช่ามอเตอร์ไซค์ขับเล่นๆรอบรอบเมืองก็น่าสนุกดีเหมือนกันค่ะ จริงๆก็อยากจะทำตัวคูลๆขับรถมอไซค์ร่อนเหมือนกันแหละ แต่สกิลการขับขี่ทุกชนิดกากมาก บวกกับหนาว เลยนั่งรถปกติดีกว่า

จิบชาในสวนหน้าเกสเฮาส์ อังกฤษสไตล์มากมาก

002 Leh Palace

วันแรกที่เดินทางมาถึงเราจัดทริปให้อยู่ไกล้ๆ เดินทางน้อยๆ เพื่อให้ร่างกายปรับตัว ทริปเลยจะวนเวียนอยู่ในเมืองเลห์ เริ่มต้นด้วย Leh palace ที่นี่มองเห็นวิวรอบๆเมืองเลห์ ( โชว์พาสปอร์ตไทย ค่าเข้าชมคนละ 15 RS)

"พระราชวังเลห์ ตั้งอยู่บนเนินเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากจัตุรัสกลางเมืองเลห์ พระราชวังเลห์สร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 17 มีทั้งหมด 9 ชั้น ในอดีตเป็นพระราชวังที่ประทับของราชวงศ์แห่งลาดักห์ จนกระทั้งถึงย้ายพระราชฐานมาที่ stok palace ในปี ค.ศ. 1830 "


003 Shanti Stupa

เจดีย์สันติภาพ(Shanti Stupa) เป็นเจดีย์สีขาว ขนาดใหญ่โดยญี่ปุ่นเป็นผู้สร้างขึ้นเพื่อประกาศพระศาสนาและแสดงถึงสันติภาพแห่งโลก เจดีย์นี้ตั้งอยู่บนยอดเขาในแทบจังสปา เราสามารถมองเห็นเมืองเลห์ได้ในมุมสูง และมองเห็นพระราชวังเลห์ และ วัดนัมเกลและป้อมแห่งชัยชนะ ได้ด้วย เวลาประมาณ 05.00 - 21.00 น. ไม่มีค่าใช้จ่ายในการเข้าชมค่ะ

Namgyal Tsemo Gompa มองจาก santi stupa

** ห่างจากเมืองเลห์ประมาณ 2 กิโลเมตร เราสามารถเดินขึ้นบันไดไปชมเจดีย์ได้ หรือ จะนั่งรถแล้วต้องเดินทางต่ออีกสัก 5 นาที จากเจดีย์ แต่หอบมากค่ะ เราแนะนำให้นั่งรถเถิดจ้าา เก็บข้อเข้าไว้ใช้งานอื่นโน้ะ สงสารขังขรา หอบบบบบบนรกกิน


004 Namgyal Tsemo Gompa


Namgyal Tsemo Gompa เราว่าที่นี่เป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดในเมืองเลห์ สนุกกับการถ่ายภาพกับธงมนตราหลากสีสันและชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ได้เต็มที่เลยค่ะ ที่นี่ยังมองเห็นวิว Santi stupa ผ่านวิวใบไม้เปลี่ยนสีไกลไกล มองมุมไหนก็สวยไปหมดเลยค่ะ บอกได้คำเดียวว่า 10 10 10 ไปเลยจ้า

เสาธงแซ่บโน้ะ

005 Magnetic Hill

วันที่ 2 ร่างกายเราเพิ่มปรับตัวขึ้นเลยออกมารอบๆเมืองเลห์ เป้าหมายแรกอยู่ที่ Magnetic Hill เรียกอีกชื่อว่า Gravity Hill เป็นฉากที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาได้อลังการมากมาก ( เหมือนฉากที่เซทถ่ายหนังเบอร์นั้น ) เหมือนเป็นถนนวิ่งเข้าไปในภูเขาใหญ่ ถ้าจอดรถเอาไว้ตรงจุดที่เค้ากำหนดไว้แล้วดับเครื่องยนต์ เราจะเห็นเหมือนกับว่า รถมันไหลขึ้นภูเขาได้เอง ซึ่งจริงๆมันเป็นภาพลวงตา ทางถนนจริงๆมันเป็นทางลงเขาต่างหาก แต่มุมมองที่มองมันเหมือนกับขึ้นภูเขา ที่นี่เลยได้ชื่อว่า magnetic hill เป็นอีกจุดหมายที่ทำให้เรารู้ว่าตัวเราเล็กแค่ไหนเ มื่อเทียบกับธรรมชาติรอบตัว ธรรมชาติคือสิ่งมหัศจรรย์จริงๆ


006 Sangam Viewpoint

sangam view point เป็นจุดตัดของแม่น้ำ สินธุ และซันสการ์ ไหลมาบรรจบกัน โดยจุดที่แม่น้ำไหล
มาบรรจบกัน จะเห็นความแตกต่างของสีแม่น้ำเป็นสองโทนโดยไม่ต้องสังเกตเลย เป็นความงดงามของธรรมชาติที่ไม่ต้องปรุงแต่งอะไรเลย แม่น้ำด้านล่างผสมกับ ฉากหลังที่เป็นภูเขา สลับไปมาและสีท้องฟ้าสดใส ไปนั่งถ่ายรูปสวยๆ เพลินๆ แป๊ปเดียวเวลาหายไป ไม่ทันรู้ตัวเลย



007 Likir Monastery

ที่นี่เป็นทางผ่าน พอมีเวลาเลยแวะหน่อย บรรยากาศใบไม้เปลี่ยนสีสวยมากค่ะ เนื่องจากไม่ใช่สายวัดสัก
เท่าไหร่ ก็เลยอินกับวิวที่วัดแทน :)


008 Alchi

วัดนี้เก่าแก่มาก ที่มีจุดเด่นคือ ศิลปะบนฝาผนัง มีหลายห้องมากมาก งานละเอียดสวยมากมาก แต่ด้านในไม่สามารถถ่ายภาพมาได้ นอกจากจิตรกรรมภาพวาดแล้วยังมีกงล้อมนตรา ความเชื่อของชาวทิเบตเชื่อว่าการหมุนกงล้อมนต์หนึ่งรอบมีผลเท่ากับการสวดมนต์หนึ่งรอบ :)

[caption id="attachment_786" align="alignnone" ] จุดชมวิวหลังวัด

009 moon land


Moon land คือภูมิประเทศแบบดวงจันทร์ เป็นแลนสเคปที่แปลกดี เป็นทางผ่านระหว่างไป lama yura แวะถ่ายภาพชิลชิลได้


010 Lama Yuru

ที่นี่ก็เหมือนกับวัดทั่วไปในเลห์ โอบล้อมด้วยภูเขาลักษณะแบบ moon land ดูแปลกตาดีแต่ด้วยความที่เราอิ่มวัดมาแล้ว ก็เลยเฉยๆ เน้นเดินเล่นไปเรื่อยๆ

เส้นทางระหว่าง moon land & Lama Yura[/caption]


โชคดีช่วงที่เราเดินทางมาถึงชาวบ้านมีงานรื่นเริงกันพอดี เลยได้มีโอกาสเข้าไปร่วมเต้นกับเขาด้วย โค่ดน่ารักเลย คุณป้าให้การต้อนรับพวกเราอย่างดี สอนท่าเต้นสไตล์ชาวเลห์ อบอุ่นมากมาก แต่พวกเราเต้นแรงไปหน่อยทุกคนดูตกใจไปนิสสสสส เลยเดินเล่นที่วัดแป๊ปเดียว แล้วมาเต้นเข้าจังหวะกับป้าป้า ดีจัง

ตรงนี้ดูเหมือนโต๊ะ vip รอชมการแสดง ท่าเต้นแบบคิ้วๆ
เด็กที่นี่น่ารักทุกคน เด็กๆ หน้าตาน่ารัก ร่วมเต้นกับชาวบ้านแต่พี่คนนี้เค้าเต้นแรงกว่าชาวบ้านไปหน่อยนึงนะ ป้าหน้ามุ่ยเลย น่าจะชอคเล็กๆ:)

011 Khardung La Pass

Khardung la Pass เป็นถนนที่สูงที่สุดในโลก สูงถึง 18,380 ฟุตหรือ 5,602 อากาศบนนี้หนาวแลออกซิเจนบาง มากมาก เราใช้เวลาอยู่บนนี้ได้แค่ 30 นาที ฮ่าๆ มันเหนื่อยจนหายใจไม่ออก แต่เป็น 30 นาทีที่ เหมือนได้พิชิตอะไรที่เป็น อับดับโลก ( บ้าสถิตินิดนิด )
ที่นี่เป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยวทั่วโลก บางคน ขี่มอเตอร์ไซค์ ขึ้นมาบนนี้ ทั้งทั้งที่ถนนที่นี้ ไม่ใช่ทางลาดยางสวยๆ เป็นทางขรุขระๆ แคบๆ และสูงมากมาก และหนาวมากมาก แค่คิดว่าต้องขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมาบนนี้ ก็ตัวสั่นหมดแล้ว ขนาดเรานั่งรถตู้ขึ้นมา ยังเสียวและหนาวขนาดนี้ การขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นมามันต้องใช้ความพยายามและ ความตั้งใจขนาดไหน!! แต่เราว่ามันคงเป็นคนเป็นที่สุดในชีวิตอีกอย่างของเค้าและของเราเองด้วยแหละ
สำหรับที่นี่เราชอบระหว่างทางที่เดินทางมากกว่าจุดตรงนี้ คือมันสวยมาก ถ้าเคยได้ยินว่ายิ่งสูงยิ่งหนาว ที่นี่คือบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี แต่เราขอเพิ่มนิยามของที่นี่ไว้อีกอย่าง คือ “ ยิ่งสูงยิ่งอ๊วก” พกยาดมและถุงพลาสติกไว้ให้มั่น กลับไปเมืองไทยจะได้พูดกับเพื่อนได้เต็มปากแหละว่า “กูไปถนนที่สูงที่สุดในโลกมาแล้วนะมึง”


012 Turtuk

Turtuk เป็นหมู่บ้านติดชายแดนปากีสถาน เนื่องจากพวกเราเรื่อยเปื่อยกินลมชมวิวระหว่างทางมาก ทำให้เรามาถึงที่นี่เย็นไปหน่อย เลยไม่ได้เข้าไปในหมู่บ้าน เพราะไม่ได้วางแพลนจะนอนที่นี่กันเลยเอ๊า ตัดใจเดินทางกลับเลย ถือว่ามานั่งรถเล่นระหว่างทาง เพราะระหว่างทางก็สวยมาก ไม่เสียใจที่มาเลย ไว้มาใหม่รอบหน้าจะเผื่อเวลาให้ Turtuk เยอะๆเลย คนที่นี่หน้าตาดีมาก ( ใครเดินทางจากเลห์ ตรงมา turtuk เหมือนเรา แล้วอยากกลับไปนอนที่ nubra valley เผื่อเวลามาหน่อยน๊าา ออกเช้าเช้าไปเลย เพราะเราไม่สามารถอดทนกับระหว่างทางสวยสวยได้จีจี )

บรรยากาศระหว่างทาง[/caption]

013 Hunder Sand Dune


หิมะตกตกบนเขา

ถ้าตอนเด็กๆอยากเป็นมิเชลล์ในฟ้าจรดทราย ที่นี่ทำให้ความฝันเป็นจริงแล้วล่ะ เข้าใจคำว่าฟ้าจรดทรายจริงๆ มันเป็นยังไง แถมยังมีน้องอูฐให้ขี่ จินตการเป็นชายาของท่านชีค เซลล์ฟี่กับอูฐจนเมมเต็ม เลห์ลาดัคห์ครั้งเดียว เที่ยวได้หลายประเทศจริงจริง Hunder sand dune ตั้งอยู่ในบริเวณของ Nubra Valley ( เป็นพื้นที่ที่อากาศอุ่นที่สุดในทริป หายใจได้เต็มปอดสุดก็ที่นี่แหละค่ะ)

อูฐที่นี่รับน้ำหนักได้เยอะ คนอ้วนขี่ได้ พี่เสื้อส้มหนัก 200 โล อูฐก็ยังรับได้แต่ตอนขี่เสร็จหลังอูฐยุบไปหน่อย



กิจกรรมที่ห้ามพลาดคือการขี่อูฐ เรามัวแต่ขี่อูฐเพลินๆเลยไม่ค่อยได้ถ่ายภาพสักเท่าไหร่ ตื่นเต้นอ่ะอยู่เมืองไทย เจอแต่หน้าหมา แมว มาเจอหน้าอูฐมันก็จะตื่นเต้นหน่อยๆ อูฐจะมีให้เลือก 2 แพ็คเกจ 15 นาที ( 200 รูปี ) และแบบ 30 นาที ( 300 รูปี ) เป็นราคามาตรฐาน ไม่ต้องกลัวโดนหลอกค่ะ เราเลือกแบบ 30 นาที เราว่ากำลังดีไม่มากไม่น้อยไป ถ้ามากกว่านี้ก็เจ็บตูด ถ้าน้อยกว่านี้ก็ยังยังไม่เต็มอิ่ม


ทะเลทรายที่นี่เป็นทะเลทรายที่แตกต่างจากโอมานที่เราเคยไปมา สวยคนละแบบ เป็นทรายสีน้ำตาลอ่อนๆ เนื้อทรายละเอียดๆ ไม่แน่นมาก สันทรายไม่สูง แต่มีภูเขาสูงล้อมรอบแทน แตกต่างจากทะเลทรายที่อื่น แต่ที่เหมือนๆกันคือความน่ารักของน้องอูฐนี่แหละ อูฐที่นี่ ค่อนข้างคุ้นเคยกับคน เราเลยได้เซลฟี่หรือถ่ายรูปได้กันตามสบาย


014 Pangong Lake

ภาพรีเฟลคไม่ได้ตัดต่อนะคะ ของจริงเลยค่ะ Tip : อยากได้ภาพแบบมีรีเฟลคแบบนี้ต้องถ่ายช่วงเช้าค่ะ ภาพนี้พวกเราถ่ายประมาณ 9.00

ทะเลสาบปันกอง ทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าเป็นน้ำตาแห่งหิมาลัย และเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในโลก ตั้งอยู่ที่ความสูง 4,350 เมตร น้ำทะเลสาบสีเทอคอยซ์ สีฟ้า สีน้ำเงิน กระจายเป็นเฉดสี ตามอุณหภูมิของแสงอาทิตย์ ในเวลานั้นๆ ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงใหญ่ ตัดท้องฟ้าสีน้ำเงินตามแบบฉบับของเลห์

ที่นี่เรายกให้เป็นสถานที่ที่ห้ามพลาดมากมากมากมาก ต้องไปค้างคืนที่นี่สักคืน จะได้เห็นน้ำในทะเลสาบครบทุกเฉดสี ตื่นเช้ามาค่อยๆจิบชา นอนดูแสงอาทิตย์ค่อยๆส่องภูเขา ใช่ชีวิตดื่มด่ำอย่างเต็มที่ สวยจนพูดไม่ออกเลย ( อิผี หนาวจนปากสั่น ) เราเดินทางช่วงตุลาคม เป็นช่วงต้นฤดูนาว ที่พักส่วนใหญ่ปิดทำการแล้วจึงมีที่พักให้เลือกได้ไม่มาก

ตื่นเช้ามาอ่านหนังสือแบบสดใสด ความจริงนั้นไซ้ หนาวคางสั่นเลยจ้า

หลังจากถ่ายรูปเสร็จ เป็นลมไปเลยค่ะ น้ำในทะเลสาบจะเปลี่ยนโทนไปตามแสงแดด

การเดินทางมาที่นี่ว่ายากแล้วแต่การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ยากกว่ามาก อากาศที่นี่ตอนกลางคืนหนาวจนติดลบคาดว่า ประมาณ -15 องศา) ในบรรยากาศที่ห้องพักไม่มีฮีสเตอร์ ไม่มีผ้าห่มไฟฟ้า ไม่มีน้ำอุ่น ไม่มีอะไรเลย เป็นความทรมารที่หนาวที่สุดในชีวิตเรา ( เคยเจออากาศหนาวกว่านี้นะ แต่ไม่มีที่ไหนที่ทำให้เรารู้สึกหนาวได้เท่าที่นี่) หนาวบาดเนี้อกันไปเลย ถ้าหนาวมากกว่านี้จะกรีดเนื้อตัวเองทิ้งละ

น้ำที่ทะเลสาปปันกองใสมาก

แต่ถึงจะหนาวมากมาก แต่ก็ทำให้เราพบเจอความสวยงามที่หาไม่ได้จากชีวิตประจำวัน หาเจอได้ที่นี่สุดท้าย เราขอสถาปนาให้ปันกอง คือทะเลสาบที่ได้ชื่อว่าน้ำตาแห่งนักเดินทาง มาถึงที่นี่แล้วต้องหลั่งน้ำตาแห่งความหนาว เอ้ยย ความประทับใจสิ
การเดินทาง : เดินทางจากเลห์ ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง หรือเพื่อนๆจะจัดทริปเดินทางจาก Nubra Valley ก็ได้ค่ะ มีถนนตัดมาที่ pangong ได้เลย ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมงเหมือนกันค่ะ

ระหว่างทางสวยทุกมุม ไม่ต้องกังวลที่จะนั่งรถนานนาน อากาศบางมากมากก็รอดถ้าเตรียมตัวมาดี แต่อาจจะมีผลกับสตินิดหน่อยเลยกลายเป็นแบบนี้ #เพื่อนพี่เป็นตุ๊ด[/caption]

TIP : เนื่องจากอยู่บนที่สูงมาก อากาศก็บางมากมาก เดินทางมาที่นี่ควรเตรียมออกซิเจนกระป๋อง เครื่องกันหนาว และอาหารมาให้พร้อมค่ะ ( ยิ่งช่วงหน้าหนาวยิ่งไม่มีไรกินจ้า มาม่า โจ๊ก คือช่วยนำพาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นอย่างไว )


015 Thiksey monastery

เราไม่ใช่สายวัดเลย ทริปนี้ไม่ได้เลือกวัดเข้ามาในแพลนเท่าไหร่ พอดีวัดนี้พอมีเวลาเหลือระหว่างทางเลยมีโอกาสได้แวะ ซึ่งถือเป็นโชคดี เพราะว่ามันสวยมากเลย Thiksey monastery ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นโปตาลาน้อยประจำเมืองเลห์ เพราะรูปร่างหน้าตา คล้ายกับวัดโปตาลาที่ธิเบต ที่นี่เป็นที่ประดิษฐานของพระศรีอารยะเมตรัยองค์ใหญ่ที่สุดในลาดัคห์ สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกถึงการมาเยือนขององค์ดาไล ลามะองค์ที่ 14 ซึ่งสร้างได้สวยงามมากมาก ที่วัดมีเกสเฮาท์ให้สำหรับ ผู้ที่สนใจปฎิบัติธรรม นอกจากนั้นรอบวัดยังมีบรรยากาศดีมากมาก ชมวิวใบไม้เปลี่ยนสีได้สุดลูกหูลูกตา


016 Tsomoriri Lake

Tsomoriri Lake เป็นทะเลสาบที่สูงที่สุดของเราในทริปนี้ สูง 4,522 เมตร ( สูงกว่า pangong หน่อยนึง ) ที่ไม่ได้โด่งดังมากนักในเลห์ ถือเป็นตัวประกอบด้วยซ้ำ แต่ด้วยความที่เป็นคนชอบ ทะเลสาบที่มีภูเขาที่นี่จึงเป็นเป้าหมาย ที่เราอยากไป พอไปแล้วเอ้ย!! จากบทตัวประกอบยกระดับมาเป็นบทพระเอกทันที

ยิ่งเดินทางช่วงเดือนตุลาคมแบบเรา แล้วเจอบรรยากาศระหว่างทางเป็นสีทองหมดเลย ลองจินตนาการภาพ ฝูงแพะบนทุ่งหญ้าสีทอง ตัดกับทะเลสาบสีฟ้า น้ำเงิน มีประกายแดดระยิบระยับ ฉากหลังเป็นภูเขาหิมะ และท้องฟ้าใสใสสีน้ำเงิน วี๊ดดดดดดดดดด สวยพ่อแม่ไม่สั่งสอนมากมาก ยิ่งตอนพระอาทิตย์ตก แสงอาทิตย์ส่องภูเขาเป็นสีชมพูอมส้ม ฟ้าเป็นสีชมพู ให้บรรยากาศอบอุ่นที่ทำให้เราลืมไปเลยว่าที่นี่คืออินเดีย ลืมความหนาวเหน็บ ลืมกลิ่นแพะใต้เกสเฮาส์ ลืมอาหารกลิ่นกระหรี่ แล้วนั่งจิบชาไจชมวิวหลักล้านที่หาได้ยากอย่างมีความสุขปนหนาว

บรรยากาศตอนดวงอาทิตย์ตก

ถ้าเทียบความงาม ที่นี่เราว่าความสวยงามสูสีกับ pangong มากมาก ถ้าเทียบเรื่องความยิ่งใหญ่ทะเลสาบปันกอง กว้างใหญ่กว่ามาก แต่เราว่าที่นี่เป็นความเล็กพริกขี้หนู เป็นความเล็กที่ครบเครื่อง เล็กกว่าแต่สงบกว่า ส่วนตัวเราชอบที่นี่ มากกว่า pangong ส่วนเพื่อนเราชอบที่ pangong มากกว่า สองที่นี่แย่งชิงตบตีการเป็นที่หนึ่งในแก๊งนักเดินทาง 12 คน แต่ยังไงก็เป็นที่ที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง ต้องเติมเข้าไปในแพลน !
ตัวประกอบ ไม่ได้เป็นตัวประกอบเสมอไปหรอก บางทีตัวประกอบอย่าง Tsomoriri อาจจะเป็นพระเอกสำหรับใครบางคน รวมทั้งเราเอง

เรียงหินเพื่อให้ความเคารพ และขอพรเทพเจ้าในพื้นที่

การเดินทาง : ห่างจากเลห์ ประมาณ 7-8 ชั่วโมง ( หรือจะเดินทางจาก pangong lake เลยก็ได้ค่ะ ถ้าร่างกายยังไหว ) บรรยากาศระว่างเดินทางสวยมาก เป็นระหว่างทางที่ลืมไม่ลงเลย เส้นทางนี้ห้ามหลับตา หลับเมื่อไหร่พลาดเมื่อนั้น
TIP : ช่วงหน้าหนาวที่นี่จะอุณภูมิ - 45 องศา ( แค่คิดก็ขนลุก ) ชาวบ้านจะย้ายไปพักที่เมืองเลห์ ถือเป็นช่วงฮอลิเดย์ของเค้า ใครจะเดินทางมาช่วงหน้าหนาวจะหาที่พักและอาหารยากสักหน่อย ขนาดเรามาช่วงต้นหน้าหนาวยังหาที่พักยากนิดหน่อย ออซิเจน เครื่องหนาว และอาหาร ยังเป็นเรื่องสำคัญมากมากที่ต้องเตรียมมาค่ะ และที่พลาดไม่ได้คือ ออกซิเจนกระป๋อง ปันกองว่าอากาศบางแล้วที่นี่บางกว่ามากค่ะ หนาวจนเหน็บและเหนื่อยหอบมาก เดินไปสักพักก็หน้าม่วงๆกันแล้ว หายใจไม่ทัน เตรียมไปไว้รัวรัวเลยจ้า


017 Tso Kar


Tsokar Lake ทะเลสาบสีขาว ตอนแรกเราคิดว่ามันน่าจะขาวจากหิมะ แต่ แต่ความจริงแล้วมันคือทะเลสาบเกลือ จากที่เราเคยเจอแค่นาเกลือ ไปเจอทะเลสาบเกลือนี่เป็นสิ่งเซอร์ไพรพอควร ที่นี่เป็นเพียงพิกัดที่พวกเราแวะเพราะเป็นทางผ่าน ขากลับจาก Tsomoriri เป็นทะเลสาบที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไรเลย แต่เป็นพิกัดที่เหนือความคาดหมายมากมาก ชอบที่สีขาวของเกลือตัดกับหญ้าสีทอง และภูเขาสะท้อนน้ำแบบนี้ รูปโปรไฟล์ใช้ได้เป็นปีเลยล่ะ

หมายเหตุ : เนื่องจากเป็นทะเลสาบเกลือ พื้นดินเลยมีความชื้นสูง รถติดหล่มได้ง่าย อย่าขับรถเข้าไปลึก ใช้การเดินเข้าไปแทนค่ะ พวกเราติดหล่มมาแล้ว เข็นกันสนุกเลย

รถติดหล่มเกลือจ้าา ผู้ชายเข็น ผู้หญิงชี้นิ้ว[/caption]

018 ON THE WAY

ระหว่างทางกับจุดหมายสำคัญพอพอกัน ระหว่างทางในเลห์สวยมากมาก ทริปนี้ถ่ายภาพมาเกือบ 5,000 ภาพ ผ่านมาเดือนนึงแล้วยังดูไม่หมดเลย ฮ่าๆ เยอะมากจนตาลาย ตอนเขียนนี่ก็เลือกแบบคล่าวๆสุ่มๆเอาเลย (ย้ำอีกที ของจริงสวยกว่าในภาพมากมาก )

อลิสอินวันเดอร์แลนด์ :) ทุ้งหญ้าที่นอน มีก้อนหินเพื่อนฉี่อยู่ไกล้ๆ

สุดท้าย ชอบที่ไหนก็หยิบจับมาเป็นแผนการเดินทางของตัวเองได้เลยจ้า การันตีเลยว่า มาเลห์ลาดักห์ไม่รักก็บ้าแล้ว !! ส่วนใครจะจัดทริปไปทัชมาฮาลต่อแบบเราก็ได้ค่า จากนิวเดลีไปอัคราต่อได้ไม่ยาก เราเขียนไว้ตามไปอ่านได้เลยค่ะ Tajmahal : เยือนสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ชมสถาปัตยกรรมแห่งความรัก


ถ้าอ่านจบมาถึงตรงนี้ หรือดูเฉพาะรูปจบมาถึงตรงนี้แล้ว
คงไม่ต้องลังเลห์ อะไรอีก ตามไปจองตั๋วเครื่องบินได้เลยจ้า :)

แล้วเจอกันอีก
จูเล่ !!

ตกหลุมรักอินเดีย อ่านเรื่องอื่นๆได้ที่
ปักหมุด 9 จุดห้ามพลาด เลห์ ลาดักห์ : https://goo.gl/8MZTaW
คู่มือเที่ยว Tajmahal : https://goo.gl/L74Etd
E-TOURIST VISA INDIA : https://goo.gl/7MWz2r
ข้อควรรู้เกี่ยวกับสนามบินอินเดีย : https://goo.gl/yj2KCf

ติดตามเรื่องราวอื่นๆได้ที่
FB page : https://goo.gl/nRFCBF
website : https://goo.gl/68JyHQ
IG : https://goo.gl/R5XitX


ความคิดเห็น