พลีชีพ เที่ยวโบรโม่หน้าฝน คนเดียว ก็เพราะดันเจอตั๋วถู๊กกกกก.....ถูก อย่างกะนั่งนครชัยไปกรุงเทพ จากแอเอเชียร์แค่ 1890 บาท จะลังเลอะไร หลังจากได้ตั๋วก็เริ่มหาข้อมูลเตรียมเอาไว้ เปิดมาเจอประโยคนี้
"ฤดูที่ดีที่สุดในการเที่ยวโบรโม คือ ฤดูร้อน ระหว่างเดือนเมษายน – ตุลาคม ควรหลีกเลี่ยงเดือน
เห้ยยย ........Ship หายแล้ว หาข้อมูลเท่าไหร่ก็ไม่เจอว่าหน้าฝนที่นี่จะเป็นยังงัย รีวิวส่วนใหญ่ก็ไปกันหน้าร้อน .....ถ้าอยากรู้ต้องไปดูเองสินะ งั้นก็ไปลุยเองเลยสิ
เริ่มจาการเดินทาง
จากสนามบินสุราบายา ตรงมาที่ประตูทางออก จะเจอรถ Damri Bus ไปลงที่สถานีขนส่ง Bungurasih
ค่าโดยสาร Rp. 25.000 พนักงานเก็บตามป้ายราคาที่ติด
ประมาณ 30 นาที่ ก็จะมาถึงสถานีขนส่ง Bungurasih หน้าตาแบบนี้
ลงจากรถแล้วจะมีแท็กซี่และรถรับจ้างกรูเข้ามากระชากเราอย่างกับฝูงซอมบี้ใน The walking dead ให้ทำใจแข็งไว้ไม่งั้นโดนกัดแน่ ทางเข้า บขส จะอยู่ด้านหลังให้กลับหลังหันแล้วเดินตรงไป
ก็บอกให้ตรงไป
สักพักจะเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนคอยยืนชี้ให้เลี้ยวด้านซ้าย เพื่อจะไปต่อรถบัส
ขึ้นบันไดไปที่ชั้น 2 ระหว่างนี้ก็จะมีซอมบี้คอยกระชากเราเรื่อยๆให้เดินต่อไปอย่าสนใจเด็ดขาด
จากนั้นให้มองหาป้ายที่จะไป Probolinggo ค่าโดยสาร Rp.30.000
ขาไปที่อ่านรีวิวและเจอด้วยตัวเองจะเป็นราคานี้ และรถแอร์ค่อนข้างดี แต่ขากลับแล้วแต่ดวงเพราะถ้าโชคร้ายเจอรถนอกป้ายที่เรียกเก็บแพงกว่าสองเท่า สงสัยจะโชคร้ายเข้าให้แล้วโดนไป Rp. 60.000 ในภาพจะเป็นสภาพรถขากลับ มีคนขายของขึ้นลงทุกป้าย มะม่วง ไก่ย่าง ยาหอม ยาดม เรียกใช้บริการได้นะ แถมมีนักกีตาร์สับเปลี่ยนกันขึ้นมาหลายหน้าหลายตา ถูกใจก็แจกทิปกันปายยย......
ประมาณเกือบ 2ชม. ถ็มาถึง Probolinggo รถมักจะจอดหน้าบริษัททัวร์และจะพูดหว่านล้อมให้เราใช้บริการใครงบน้อยแนะนำให้เดินต่อไปก่อน ถ้าหันหน้าออกถนนให้เดินไปทางซ้ายมือ ประมาณ 300 เมตร จะเจอกับบริการรถสาธารณะ รถที่นี่จะแปลกนิดนึงถ้าไม่เต็มพี่เขาจะไม่ออก ประมาณ 15 ที่นั่ง รอต่อปายยย
รอมาประมาณ 2 ชม. เวลาก็ใกล้จะค่ำมืด มีผู้โดยสารทั้งหมด 4 คน คนขับบอกว่าถ้าอยากออกเลยต้องจ่ายเป็นราคาเต็มรถแล้วหาร 4 คน สรุปโดนไปคนล่ะ Rp. 150.000
ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง ก็มาถึงหมู่บ้าน Cemoro Lawan เป็นหมู่บ้านบนภูเขาที่ใกล้กับโบรโม่ที่สุด คืนนี้เลยพักที่ ฺBromo Otix ค่าห้อง Rp. 150.000 ที่พักบนหมู่บ้านค่อนข้างเยอะไม่ต้องจองล่วงหน้าก็ได้ มาเดินหาตกลงราคากันได้ที่นี่เลย
วิวหลังที่พัก
เย็นนี้คงฝากท้องไว้ที่ Cafe Lava เป็นร้านอาหารของโรงแรม ราคาและรสชาติผ่าน 10 10 10 ไปเลย ถ้าไม่อยากเสี่ยงแนะนำให้สั่งข้าวผัดไว้ก่อน 555+ Nasi gorang
หลังมื้อเย็นก็มาวางแผนว่าไปไปดูวิวยังงัยเพราะ รถจิ๊ปก็ไม่ได้เช่า แถมฝนตกตลอดตั้งแต่มาถึง เลยได้แผนคร่าวๆว่า เดินไปที่จุดชมวิว Seruni point แล้วเดินกลับมาตั้งหลักที่ Camara Indah แล้วค่อยเดินไปปล่องภูเขาไฟ
สำหรับใครที่มาคนเดียวก็ไม่ต้องกังวลเพราะจะมีเพื่อนเดินร่วมทางเป็นระยะๆ เดินฝ่าสายฝนจนขึ้นมาถึงจุดชมวิวก็รอเวลาดวงอาทิตย์ขึ้น แต่ก็อย่างที่บอกฤดูฝนอย่าคาดหวังมาก
เมื่อไม่มีแสงบรรยากาศจึงดูอึมครึมหม่นๆไปอีกแบบ ในภาพเทียบไม่ได้กับความรู้จริงที่ได้ไปสัมผัส ดีที่เป็นฤดูฝนนักท่องเที่ยวน้อย วิวงามๆตรงหน้าจึงไม่ต้องถูกใครแย่ง
วิวหมู่บ้านที่พัก
หลังจากเสพวิวด้านบนจนพอแล้วก็เดินลงมาตามทางเมื่อคืน สองข้างทางจะเป็นไร่กะหล่ำปลีของชาวบ้าน
เดินเพลินๆก็มาถึง โรงแรม Camara Indah จะมีรูปปั้นผู้ชายขี่ม้าอยู่ด้านหน้า และมีทางเนินลงเขาเพื่อเดินไปที่ปล่องภูเขาไฟ ทางนี้ไม่ต้องเสียค่าเข้าชม แต่ทางค่อนข้างโหด ไม่แนะนำสำหรับคนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย ถือว่าเตือนแล้วนะ 555+
สำหรับคัยที่ไม่อยากเดินก็มีรถจิ๊ปให้บริการ เพราะฤดูฝน ทำให้โชคดีไม่เจอฝุ่นตลบแบบในรีวิวก่อนหน้าที่อ่านมา แต่ก็จะทุลักทุเลกับการเดินฝ่าฝนและลำบากในการถ่ายรูปนิดหน่อย
มาถึงจุดนี้ก็ครึ่งทางแล้ว จากจุดนี้ถ้าใครเหนื่อยแล้ว ก็ใช้บริการพี่ม้าได้นะ ราคาก็แล้วแต่ความสามารถจะต่อรองได้
ระหว่างทางขึ้นจะมีวัดฮินดูตั้งอยู่ ท่าทางเก่าแก่และเป็นวัดร้างไม่มีคนอยู่ เดินผ่านใกล้ๆก็หวิวใช้ได้เลยนะ
ระหว่างทางมีร้านขายของตลอด ไม่ต้องกลัวหิว
ด่านสุดท้ายจากที่เดินมาเกือบจะหมดแรงแล้ว ต้องผ่านบันไดนี้ขึ้นไปให้ได้
แล้วก็มาถึง แบบนี้สินะ........"ลมหายใจ ของเทพเจ้า" ไม่มีคำบรรยาย ความเหนื่อยหายไปหมด แทนที่ด้วยความกลัว มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กเหลือเกินเมื่อมายืนอยู่ตรงนี้
รั้วกั้นจะเตี้ยไปไหน เสียวหมดแล้วววว กลิ่นกำมะถันไม่แรงมาก คงจะเพราะฝนที่ปรอยๆตลอดเวลา
หลังจากเดินชมวิวจนพอใจก็ได้เวลากลับที่พัก มาขึ้นรถที่สามแยกใกล้กับ Cafe Lava รถจะเริ่มออกประมาณ 9.00 น. รอบสุดท้ายประมาณ 11.00 น. หรือจนกว่ารถจะเต็ม กะเวลาให้ดีนะ ขากลับมีทั้งหมด 10 คน ค่าโดยสารเลยลดลงเป็นคนล่ะ Rp. 50.000
บรรยากาศของการเที่ยวโบรโม่ฤดูฝน ช่วง มกราคม-เมษายน ก็จะประมาณนี้ อารมณ์เทาๆ หนาวๆคูลๆ ข้อดีคือ นักท่องเที่ยวน้อย ไม่มีฝุ่น บรรยากาศโคตรชิว .......
สรุปค่าใช้จ่าย
- ค่ารถ Damri bus ไปกลับ Rp. 50.000
- ค่ารถ Probolinggo ไป Rp. 30.000 กลับ Rp. 60.000 = Rp. 90.000
- ค่ารถ Mini Bus ขาไป Rp. 150.000 ขากลับ Rp. 50.000= Rp. 200.000
- ค่ากิน ใช้จ่าย อื่นๆ Rp. 200.000
- ค่าตั๋วเครื่องบิน 1890 บาท
- ค่าที่พัก Rp. 150.000
- รวมโดยประมาณ 3512 บาท
ภาพถ่าย:Huawei mate 9
Unseasonal
วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.31 น.