หนีเมืองกรุง...มุ่งไปสโลว์ไลฟ์ที่ สังขละ - อีต่อง 3 วัน 2 คืน

สังขละบุรี สะพานมอญ หมู่บ้านอีต่อง คือจุดหมายปลายทางของทริปเราครั้งนี้

วันนี้เราจะพาไปใช้ชีวิตสโลไลฟ์ในเวลา 3 วัน ณ. จังหวัดกาญจนบุรี (ฤดูกาญฯ จริงๆ) เราจะพาไปสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ที่กรุงเทพฯ นั้น หาไม่ได้กันดีกว่า ทริปนี้เรารวมกลุ่มกับเพื่อนๆ 10 คน ยกกันไปทั้งแก๊งค์เลย

ไปค่ะ ตามเราไปเที่ยวกัน...

เริ่มต้นการเดินทางทริปไปกาญจนบุรีของเรา ก็ไม่ลืมที่จะแวะไฮไลท์เด็ดที่ไม่ควรพลาด นั่นก็คือไปแวะสะพานข้ามแม่น้ำแคว ชวนเพื่อนถ่ายรูปยืนกันเป็นแถวเป็นเด็กแนว ขวางสะพานกันเลยทีเดียว ฮ่าฮ่า

นานได้ๆเที่ยวกับเพื่อนหลายคนก็ต้องแช๊ะภาพกันไว้สักนิด ปล. เราแวะที่สะพานกันช่วงเช้า คนก็เลยยังไม่ค่อยเยอะ ทำให้ได้ถ่ายรูปเล่นกับเพื่อนยาวๆเลย

ใกล้ๆ กับสะพานข้ามแม่น้ำแคว จะมี"พิพิธภัณฑ์สงคราม (สะพานข้ามแม่น้ำแคว)" ซึ่งสามารถเดินมาได้ไม่ไกลมากจากสะพานข้ามแม่ เราก็ไม่พลาดที่จะแวะเข้าไปชมกัน ด้านหน้าของพิพิธภัณฑ์ก็มีจัดแสดงรถไฟสมัยก่อนที่ใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยนะ

พิพิธภัณฑ์สงครามเป็นพิพิธภัณฑ์ภาคเอกชนที่รวบรวมเก็บสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น ภาพถ่าย เครื่องการเเต่งกาย เเละอื่นๆ เป็นจำนวนมากจัดเเสดง ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียงสะพานข้ามแม่น้ำเเคว อีกทั้งการจัดเเสดงภาพวาดการต่อสู้ระหว่างคนไทยและพม่า ภาพจิตรกรรมฝาผนังบอกประวัติศาสตร์ไทยและภาพนายกรัฐมนตรีและบุคคลทางการเมืองที่สำคัญ นอกจากนี้ยังมีงานแกะสลักไม้แบบเขมร พระพุทธรูป และภาพวาดอื่น ๆ

เวลาเปิดเข้าชม: ทุกวัน 7:00 น. - 18:30 น.

ค่าเข้าชมสถานที่: 30 บาท

ด้านในจะมีจัดแสดงอาวุธสงครามชนิดต่างๆ ให้เราได้ชมกัน

จำลองการสร้างรางรถไฟของเชลยศึก ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

เชลยศึกสมัยสงครามโลก น่าสงสารมากเน๊อะ ต้องก่อสร้าง โดนทรมานร่างกายต่างๆ นานาๆ

เมื่อขึ้นมาบนดาดฟ้าของตึกพิพิธภัณฑ์สงคราม จะมีที่นั่งให้เรานั่งด้วย ตรงจุดนี้เราสามารถนั่งชมวิวของสะพานแม่น้ำแควได้เลยนะคะ

วิวจากดาดฟ้าของพิพิธภัณฑ์สงครามก็จะประมาณนี้เลยค่ะ

ด้านนอกของพิพิธภัณฑ์สงครามก็จะมีจัดแสดงเครื่องบินรบด้วย

ระหว่างทางก่อนไปสังขละบุรี เราก็แวะไปเที่ยวกันที่ทางรถไฟสายมรณะ ไปรอถ่ายรูปกับรถไฟเก๋ๆกัน


ถึงแล้วกับทางรถไฟสายมรณะ จะมีถ้ำกระแซอยู่ตรงเส้นทางรถไฟสายมรณะด้วยนะคะ

จุดนี้เวลาเดินชมวิวทิวทัศน์คือต้องระมัดระวังในการเดินนิดนึงน๊า เพราะทางเดินบนรางรถไฟค่อนข้างแคบค่ะ เดินพลาดนิดนึงอาจร่วงไปเจ็บตัวได้เลย ฮ่าฮ่า

ทางรถไฟสายมรณะ

รถไฟมาแล้ว เตรียมมาถ่ายรูปกับรถไฟกัน... งานนี้ต้องไวกันนิดนึงนะ ถึงแม้รถไฟจะวิ่งช้า แต่ถ้าเราช้า เราก็พลาดกับการถ่ายรูปกับรถไฟเหมือนกัน ฮ่าฮ่า

จุดนี้ต้องแช๊ะภาพอย่างว่องไวกันเลยทีเดียว ไม่งั้นพลาด เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นไวมากๆ อีกทั้งเราก็มัวแต่ตื่นเต้นกับตอนที่รถไฟมาด้วย... ฮ่าฮ่า แอบขำตัวเอง ปล. อย่ามัวแต่เซลฟี้เพลินจนลืมระมัดระวังความปลอดภัยกันนะทุกคน

อย่าว่าแต่พวกเราตื่นเต้นที่รถไฟกำลังวิ่งผ่านตรงทางรถไฟสายมรณะเลย คนในขบวนรถไฟก็ตื่นเต้นกันเหมือนพวกเราด้วยนะ อิอิ แอบเม้าท์

เมื่อรถไฟจากไปแล้ว เราก็แช๊ะภาพกันเอง ทางโล่งแล้ว ไม่พลาดโอกาสแน่นอน...

หลังจากถ่ายรูปกันรัวๆ ตรงจุดนี้กันจนหนำใจแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อไปสังขละบุรีกันจ้า

ระหว่างทางเราก็จะผ่านน้ำตกเกริงกระเวีย ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ริมถนนสายหลัก เส้นทองผาภูมิ-สังขละบุรี เราก็ไม่พลาดที่จะแวะชมความงามของน้ำตกกันค่ะ

น้ำตกเกริงกระเวีย ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เป็นน้ำตกที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก สูงประมาณ 5 เมตร มีน้ำไหลตามชั้นของน้ำตก น้ำใสมาก สามารถลงเล่นน้ำได้สบายๆเลย

น้ำใสไหลเย็นมาก ขนาดพวกเราไม่ได้ลงเล่นน้ำ ยังสัมผัสได้ถึงความเย็นของน้ำตก เพราะรอบๆ บริเวณน้ำตก คือบรรยากาศเย็นสบายมากจริงๆ อาจจะฟังดูเว่อร์ แต่!! อยากให้ลองไปสัมผัสแล้วจะคิดเหมือนเรา เชื่อสิ

หลังจากเพลิดเพลินกับน้ำตกพอสมควร เราก็มุ่งหน้าเดินทางต่อไปสังขละบุรีกันต่อจ้า...

ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงสังขละบุรีในเวลาช่วงเวลาบ่ายๆ พวกเราก็มุ่งมาที่พักกันเลย

เราเลือกพักกันที่ "ภูธาร รีสอร์ท" ที่พักจะอยู่ห่างจากสะพานมอญประมาณ 1 กิโลเมตรโดยประมาณ

ที่พักจะมีลักษณะเป็นบ้านพัก แยกเป็นหลังๆ

ภายในห้องพักของเรา

แหะ แหะ แอบตุนเสบียงกันมานิดนึง

ที่พักของเราก็จะประมาณนี้เน๊อะ

เก็บของกันเสร็จเรียบร้อย เราก็ไม่รอช้า รีบออกไปสำรวจยามเย็นของสังขละบุรี


เราเดินชมบรรยากาศยามเย็นกันสักพัก ก็ไปหาทัวร์ชมวัดใต้น้ำ 3 วัด หรือเมืองบาดาล ของสังขละบุรีกัน

ราคาเรือเหมา เสียคนละ 80 บาทต่อคน ทางทัวร์ก็พาไป 3 ที่ หากต้องการเพิ่มดอกไม้ธูปเทียนด้วยก็เพิ่มเงินอีกคนละ 10 บาทค่ะ

ได้นั่งเรือช่วงเย็นเป็นอะไรที่ฟินมาก ลมเย็นมากๆเลย ค่ะ ชอบสุดๆ อิอิ

ระหว่างนั่งเรือ เราจะมองเห็นเจดีย์พุทธคยา สีเหลืองทองอร่าม สวยงามมาก

นั่งเรือไปก็ชมความงามของสองฝั่งแม่น้ำที่สังขละบุรีกันค่ะ ทุกคน ชมวิวกันไปเพลินเพลิน


ยอดหอระฆังของวัดวังก์วิเวการามเดิมที่โผล่พ้นเหนือน้ำ

ถึงแล้วกับสถานที่แรก เมืองบาดาล หรือ วัดวังก์วิเวการามหลังเก่า ช่วงที่เรามาเป็นช่วงน้ำขึ้น จึงทำให้ไม่สามารถเข้าไปชมภายในโบสถ์ด้านในได้

เมืองบาดาล หรือ วัดวังก์วิเวการาม เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวอันซีนไทยแลนด์ (Unseen Thailand)

แนะนำว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุด ซึ่งจะเห็นเมืองบาดาลได้คือ ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายนที่น้ำในเขื่อนลดลง ต่ำสุดนะคะ


มาถึงสถานที่ 2 กันค่ะ คุณพระ!! ตอนที่เราไปเป็นช่วงน้ำขึ้นมาก เลยทำให้เห็นเพียงเท่านี้เองค่ะ ฮ่าฮ่า


มาต่อกันสถานที่ 3 เราต้องเดินขึ้นไปประมาณ 200 เมตร เผื่อไปสักการะพระประธานที่ประดิษฐานในโบสถ์กันค่ะ





ด้านนอกของโบสถ์ค่ะ จะมีต้นไม้ปกคลุม ดูไปดูมาเหมือนกับในหนังภาพยนตร์เลยว่าไหม

หลังจากจบภารกิจทัวร์ชมเมืองบาดาลของเราแล้ว ก็นั่งเรือกลับไปที่สะพานมอญกันค่ะ เราจะไปทัวร์ยามเย็นหาของกินกัน ฮ่าฮ่า หิวมากแล้ว ณ ตอนนี้

เรามาเดินเที่ยวถนนคนเดินสังขละกัน โดยตลาดจะมีแค่วันเสาร์ และจะปิดตลาดชั่วคราวในช่วงฤดูฝนค่ะ

ของกินเยอะแยะไปหมดเลย เลือกไม่ถูก


มาถึงสังขละทั้งที เมนูนี้ไม่ควรพลาดเลยนะ หมูจุ่มพม่า... ฮ่าฮ่า ราคามิตรภาพ ไม้ละ 1 บาทค่ะ ขอบอกว่า ทานไป 10 ไม้ขึ้น ยังไม่อิ่มเลย

นั่งทานกันไปค่ะ เพลินๆ กับเพื่อน

จานนี้เป็นยำ แอบจำชื่อไม่ได้อ่ะ ขนาดตอนเราสั่ง เรายังสั่งตามโต๊ะข้างๆ เขาเลย เห็นเขาทานแล้วแบบ เฮ้ย!!! สั่งบ้าง ราคา 30 บาท ต่อจานค่ะ รสชาติไม่เผ็ดมา หวานๆ อมเปรี้ยว อร่อยใช้ได้เลยนะ ส่วนที่มายำคือหมูค่ะ

ค่ำคืนนี้เราก็หมดเวลากันไปกับการเดินเที่ยวถนนคนเดินสังขละกันนานเลย

เช้าแล้วค่ะ กิจกรรมที่ต้องทำเวลามาสังขละ ห้ามพลาดเลยนะ กับการตักบาตรยามเช้าแบบชาวมอญ

มีหลายร้านมากค่ะ ให้เราได้เลือกของตักบาตรกัน

สาวๆ หลายท่าน ก็เลือกใส่ชุดมอญกัน เพื่อได้อินกับบรรยากาศใส่บาตรแบบชาวมอญ

ตักบาตรกันค่ะ



หลังจากตักบาตรเสร็จแล้วก็หาของอร่อยๆ ทานกัน


ทุกครั้งที่มาเที่ยวสังขละบุรี เราจะชอบมาทานอาหารเช้าที่ร้านนี้ค่ะ เดินมาไม่ไกลมาจากสะพานมอญ




นี่คือบรรดาเมนูอาหารเช้าของเราค่ะ น่าทานไหม บอกเลยว่าร้านนี้รสชาติไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ


บรรยากาศยามเช้าที่สะพานมอญ



ก่อนกลับไปเช็คเอ้าท์จากที่พัก เราก็ไปสักการะหลวงพ่ออุตตมะที่วัดวังก์วิเวการาม

ต่อกันด้วยเจดีย์เจดีย์พุทธคยา





เพลิดเพลินยามเช้าที่ฝั่งมอญพอสมควร ก็ยกขบวนแก๊งค์เพื่อนข้ามฝั่งกลับไปเก็บกระเป๋า และอำลาสังขละบุรีไป ต่อกันที่อีต่องกันค่ะ

ผ่านกันไป 399 โค้ง ก็มาถึงหมู่บ้านอีต่องกันแล้วค่ะ เราเลือกพักกันที่นี่ "Pilok Hill House"

ที่พักที่นี่เราไม่ได้ถ่ายรูปในห้องไว้ หากใครสนใจไปพัก สามารถไปดูรูปห้องพักเพิ่มเติมได้ที่

Facebook : Pilok Hill House ที่พักเหมืองปิล็อก บ้านอีต่อง โทร 0807815702 เลยนะคะ


เก็บกระเป๋าเสร็จก็ออกทัวร์สำรวจยามเย็นกันค่ะ



เดินชมยามเย็นของหมู่บ้านสักพัก เราก็กลับมาทำอาหารเย็นทานกันเองค่ะ

ที่พักของเราสามารถทำอาหารทานได้หน้าห้องพักเลย แต่ห้ามส่งเสียงมากจนเกินไป

ก่อนเราขึ้นมาที่หมู่บ้านอีต่อง เราแวะซื้อของสดจากตลาดกันมาค่ะ ก็ทำของกินง่ายๆ กินกัน เม้าท์มอยหอยสังข์กับเพื่อน ก่อนจะแยกย้ายกันไปนอน พรุ่งนี้เช้าเรามีภาระกิจสำคัญ กับการไปทัวร์ค่ะ

** โดยที่เราสามารถแจ้งกับเจ้าของที่พักว่าต้องการเช่ารถโฟร์วีลทัวร์ ปิล็อก พร้อมคนขับได้เลยค่ะ พี่เจ้าของที่พักใจดี เขาก็จะช่วยหาให้เราค่ะ

ในช่วงเช้าเราก็ไปเดินสำรวจหมู่บ้านอีต่องยามเช้ากัน ก่อนที่รถโฟร์วีลทัวร์ปิล็อกจะมารับเราไป บ้านป้าเกล็น (เหมืองสมศักดิ์) น้ำตกจ็อกกระดิ่น สันเขาเนินช้างศึก และจุดประสานสัมพันธ์ไทยเมียนมาร์








พอเดินทัวร์ชมหมู่บ้านอีต่องยามเช้าเสร็จ ท้องก็ร้องสิคะ ไปค่ะ ไปทานปูพม่าผัดผงกะหรี่ที่ร้านเจ๊ณีกัน อาหารขึ้นชื่อที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาเที่ยวหมู่บ้านอีต่อง ทานกันเสร็จ รถก็มารับเราไปทัวร์ปิล็อคกัน

นี่เลยค่า.... สภาพทางที่ไปเหมืองสมศักดิ์เพื่อไปหาป้าเกล็น และเพื่อไปหม่ำเค้กของป้า ฮ่าฮ่า ทำไมเรื่องของอร่อยถึงยอมพลีชีพกันขนาดนี้

สภาพทางก็จะประมาณนี้เลยค่ะทุกคน...

มีทั้งคนที่นำรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ส่วนตัวขึ้นกันไปเองที่เหมืองสมศักดิ์ก็มีค่ะ

รถจักรยานยนต์บางคันก็ไม่ไหว ก็สภาพนี้เลย ช่วยกันเข็นเลยค่ะ เพราะทางวิบากมาก เครื่องยนต์ไม่แกร่งจริงคือมีสิทธิ์เครื่องน็อคได้กลางทางเลยนะ

ระหว่างทางนั่งรถกันไป รถก็เขย่ากันสนุกสนาน เหมือนไปเล่นเครื่องเล่นกันเลยค่ะ และพวกเราก็เพิ่งทานกันมาอิ่ม... ไม่อยากจะพูด ว่าแทบจะคืนของที่ทานกันออกมาเลยทีเดียว ฮ่าฮ่า มือไม้ต้องจับให้มั่นนะ เพราะทางเรียบๆ น้อยมากจริงๆ

ในที่สุดเราก็ถึงกันแล้วค่ะ เหมืองสมศักดิ์ ได้เจอป้าเกล็นแล้ว เย้!!!

ด้านในบ้านป้าเกล็นค่ะ

นี่เลยค่ะ สิ่งที่เรารอคอย.... ได้ทานกันสมใจแล้ว เค้กของป้าเกล็น ฮ่า!!! กว่าจะมาถึงป้า ไส้เราแทบพันกันทั้งหมด แต่ก็คุ้มมากเลยนะคะ กับสิ่งที่ได้มาสัมผัส บ้านของป้าเกล็นร่มรื่นมาก

บริเวณรอบบ้านป้าเกล็นค่ะ ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ ร่มรื่น อากาศเย็นสบายมาก

หลังจากหม่ำเค้กจนอิ่ม และทัวร์บ้านป้ากันหนำใจแล้ว ก็ลงจากเหมืองกันค่ะ ทางไปกลับมีทางเดียวนะคะ เพราะฉะนั้นก็เขย่ากันไปเหมือนตอนมาเลยค่ะทุกคน ฮ่าฮ่า เอาอีกแล้วเพิ่งทานอิ่มกันมาด้วย แทบจะคืนเค้กป้ากันเลยทีเดียว

จุดที่ต่อไปที่เราจะแวะก็คือ "น้ำตกจ็อกกระดิ่นค่ะ" ไปค่ะ พี่สุชาติ เฮ้ย!! ไม่ใช่ พี่คนขับ ไปค่ะ

แต่น แตน แต๊น!!! ถึงกันแล้วค่ะ กับน้ำตกจ็อกกระดิ่น เป็นไงคะ ภาพที่อยู่เบื้องหน้า สวยเน๊อะ น้ำตกนี้

โอ้ย...คุ้มแล้วที่ได้มา สิ่งแรกที่คิดในหัว คิดแบบนี้เลย สารภาพ

มองไปทางไหนก็คือสวยไปหมด น้ำใสมากด้วย ขอบอก ที่สำคัญน้ำเกือบเย็นเจี๊ยบ !!! คุณพระ เย็นจริงๆ ฮ่าฮ่า

นั่งซึมซับบรรยากาศที่น้ำตกกันจนพอใจแล้วก็ไปค่ะ เดินทางไปทัวร์สถานที่ต่อไปกันนะทุกคน

ง่อว!!! ที่นี่ ที่ไหนกันคะทุกคน ที่นี่ใช่ที่รักหรือเปล่า... หืม จะบ้าหรอ ตื่นค่ะตื่น ที่นี่คือ" เนินช้างศึก" กาญจนบุรีเองจ้า จุดชมวิว จุดกางเต็นท์ มหานิยมของนักท่องเที่ยวหลายๆคนเลยค่ะ

มองไปทางไหนก็เจอแต่เขา ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ฟินจังเลย... ณ จุดจุดนี้ ขอบอก

บนเนินช้างศึก จะมีทหารคอยดูแลนักท่องเที่ยวค่ะ ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยเลยนะ

หรือจะไปยืนอ้าแขนรับโอโซนบนยอดเขาแบบฮิปๆ ก็ได้นะ

หรือว่าจะถ่ายรูปเท่ๆ ก็ทำได้

พอละๆ อยู่บนเนินช้างศึกได้สักพัก ฟินกันพอสมควรก็ต้องอำลาสถานที่นี้ไปแล้ว....แง้ ไม่อยากกลับเลย อากาศดีมากข้างบนนี้

ก่อนจะจบทริปการทัวร์ เราก็ได้แวะชมที่จุดประสานสัมพันธ์ไทยเมียนมาร์

และก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปกับทหารพม่าสุดหล่อ ก่อนกลับ ฮ่าฮ่า

มาสรุปค่าใช้จ่ายกันค่ะ

ค่าเสียหายทั้งหมด หารเฉลี่ย 10 คน ได้แก่ ค่าเช่ารถตู้ ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าเหมาเรือ ค่ารถโฟร์วีลไปทัวร์ เหมืองสมศักดิ์ น้ำตกจ็อกกระดิ้น เนินช้างศึกและจุดประสานสัมพันธ์ไทยเมียนมาร์ รายละเอียดแจกแจงตามด้านล่างเลย...

-ที่พักที่สังขละบุรี เราเลือกพักที่ ภูธารรีสอร์ท ค่ะ ราคาห้องสบายๆ 4,500 บาท จำนวน 3 ห้อง หารกับเพื่อน คนล่ะ 450 บาท ต่อคืน (ติดต่อได้เฟสบุ๊คแฟนเพจนี้เลยค่ะ ภูธาร.รีสอร์ท อ.สังขละบุรี) ที่พักไม่ไกลจากสะพานมอญมาก บริการดี ทั้งเจ้าของที่พักและคนดูแล เขาดูแลลูกค้าดีมากๆ :)

-ที่พักที่หมู่บ้านอีต่อง เราเลือกพักที่ปิล็อกฮิลเฮ้าส์ ราคา 4,000 บาท จำนวน 4 ห้อง หารกับเพื่อน คนล่ะ 400 บาทต่อคืน (ติดต่อได้ตามเฟสบุ๊คแฟนเพจนี้เลยค่ะ Pilok Hill House ที่พักเหมืองปิล็อก บ้านอีต่อง โทร 0807815702 ) ที่พักบริการดี วิวสวยมองเห็นธรรมชาติ ยิ่งห้องชั้นบนนะ วิวสวยมาก แนะนำเลย :)

-ค่าน้ำมัน ตลอดทริป 2,760 บาท หารแล้วราคา 276 บาทต่อคน

-ค่าเช่ารถตู้ 3 วัน ราคา 6,000 บาท หารเฉลี่ย 600 บาทต่อคน (รอบนี้เราเลือกเดินทางด้วยการเช่ารถตู้ เพราะเนื่องด้วยไปหลายคนและเป็นอีกทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง หากไปกันหลายคน สามารถแวะได้หลายที่ รถตู้เบาะนั่งสบาย แอร์เย็นฉ่ำ แน่ะๆ มีโฆษณา ก็ของดีก็เลยอยากแนะนำนะ พี่เค้าบริการดีค่ะและใจดีมาก ใครสนใจติดต่อได้ที่เฟสบุ๊คนี้เลย Akapong Sinpeng หรือติดต่อใช้บริการได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจ VAN Theque รถตู้อารมณ์ดี ตามนี้เลยค่ะ :)

-ค่าเช่ารถโฟร์วีลทัวร์ ปิล็อก 1,800 บาท หารคนล่ะ 180 บาท (ติดต่อได้จากปิล็อกฮิลเฮ้าส์)

-ค่าอาหาร เราเลือกทานง่ายๆ ร้านค้าทั่วไป และทำทานเอง ราคาทั้งหมด 7,356 บาท หารเฉลี่ย คนล่ะ 735.50 บาท (กินอิ่มเต็มที่ทุกมื้อ)

สรุปทริปนี้ ค่าใช้จ่ายต่อคนคือ 2,641 บาทถ้วนจ้า...


ที่เล่ามาเนี่ยยังมีอีกเยอะนะ ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเอง ทั้งอากาศที่ดีไม่มีมลพิษ ไปสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย รวมถึงไปเรียนรู้วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์

ครั้งนึงในชีวิตไม่ควรพลาดกับการลองไปเที่ยวที่ สังขละบุรี และอีต่อง เมื่อไปแล้วคุณจะตกหลุมรัก 2 สถานที่นี้เหมือนเราแน่นอนค่ะ


#เที่ยวเมืองไทยไม่ไปก็นอนอยู่บ้าน

#เที่ยวให้ยับ

#TeawHaiYab

#กาญจนบุรี











































































































เที่ยวให้ยับ : Crazy Journeys

 วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 17.38 น.

ความคิดเห็น