หลบไปพัก.. ท่ามกลางธรรมชาติ ณ เขื่อนเชี่ยวหลาน

จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่ผมได้เดินทางมาเที่ยวบ่อยมากๆ ซึ่งส่วนใหญ่ที่เดินทางมานั้นจะเน้นไปเที่ยวตามทะเล หรือ ตามเกาะต่างๆ เสียมากกว่า อย่างเช่น เกาะสมุย หรือ เกาะพะงัน ก็ได้มีโอกาสไปเยือนอยู่บ่อยครั้ง แบบว่า.. พอเดินทางมาถึง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็มุ่งไปทางทิศตะวันออก ไปทางอ่าวไทยในทันที แต่ในครั้งนี้.. จะขอย้ายมาทางฝั่ง ทิศตะวันตกบ้าง โดยจะไปเที่ยวที่ เขื่อนเชี่ยวหลาน กันครับ!

เขื่อนเชี่ยวหลาน หรืออีกชื่อหนึ่งที่เรียกว่า เขื่อนรัชชประภา นอกจากจะเป็นเขื่อนกักเก็บน้ำไว้ใช้ประโยขน์ต่างๆ แล้ว ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของ จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีความสวยงาม เป็นธรรมชาติ น่าหลบมาพักผ่อนสักครั้ง ซึ่งการเดินทางครั้งนี้ ก็เป็นครั้งแรกของผมเช่นกันที่จะได้มาเที่ยวที่นี่ ลองตามมาเที่ยวกันได้เลย..



พันวารีย์ รีสอร์ท เขื่อนเชี่ยวหลาน

การมาเที่ยว เขื่อนเชี่ยวหลาน ในครั้งนี้ ผมได้มีโอกาสมาพักที่ แพพันวารีย์ รีสอร์ท ซึ่งเป็นแพที่ถือว่าอยู่ในทำเลที่ดี ด้านหลังของแพพักจะเป็นหน้าผาเขาหินปูนสูงตระหง่าน และเบื้องหน้าก็เป็นผืนน้ำที่ถูกรายล้อมด้วยภูเขาหินปูนอยู่ไกลๆ บรรยากาศโดยรวมก็ถือว่าดีครับ โดยที่นี่จะมีแพ็คเกจสำหรับการเข้าพักให้เลือกอยู่หลายแบบ ซึ่งสำหรับผมเองที่เวลาค่อนข้างจำกัด ขอหลบมาพักคืนเดียวก็พอ ก็เลย.. เลือกเป็นแบบ แพ็คเกจ 2 วัน 1 คืน ครับ (พัก 1 คืน + อาหาร 3 มื้อ + ค่าเรือรับส่ง/เรือนำเที่ยว + Guilin Trip + Morning Safari + เรือคายัค/เก้าอี้ลอยน้ำ/เบาะลอยน้ำ)

ราคาแพ็คเกจ เริ่มต้นที่ 3,500 บาท/คน ทั้งนี้.. ราคาโปรโมชั่นจะมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ติดตามได้ทาง แฟนเพจ ของ พันวารีย์ รีสอร์ท ได้เลยนะครับ


โปรแกรมการเดินทางทริปนี้(แพ็คเกจ 2 วัน 1 คืน)

วันที่ 1

  • 11.30 น. เรือมารับที่ท่าเรือเขื่อนเชี่ยวหลาน
  • 13.00 น. เดินทางถึงแพ/อาหารเที่ยง
  • 16.00 น. นั่งเรือเที่ยวกุ้ยหลินเมืองไทย(เขาสามเกลอ)
  • 18.00 น. เล่นน้ำ/อาหารเย็น
  • 19.00 น. ลอยกระทงในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์


วันที่ 2

  • 07.00 น. Morning Safari
  • 08.00 น. อาหารเช้า
  • 09.00 น. เช็คเอาท์/เดินทางกลับ

เป็นโปรแกรมเที่ยวสบายๆ เน้นพักผ่อน ชมธรรมชาติ และดูไม่เหนื่อยมาก …ซึ่งการเดินทางจะเป็นอย่างไรนั้น ก็ตามมาเที่ยวพร้อมกันเลยครับ!


DAY #1

07.15 น. ออกเดินทาง!

เริ่มต้นออกเดินทางกันที่ สนามบินดอนเมือง โดยใช้บริการ สายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งก่อนที่จะมาสนามบินนั้น ผมก็ได้คำนวณเวลาแล้วว่า ถ้าผมจะต้องนั่ง รถเมล์สาย A1 จาก สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต เพื่อเข้าไปยังสนามบิน ที่มีเที่ยวแรกตอนเวลา 06.00 น. เวลามันจะค่อนข้างกระชั้นมากสำหรับการไปขึ้นเครื่อง ผมก็เลยทำเช็คอินออนไลน์ และ Print บอร์ดดิ้งพาส มาก่อนล่วงหน้า.. ซึ่งมันก็สะดวกดี นั่งรถเมล์ A1 เที่ยวแรก ใช้เวลาเดินทาง 20 นาที ถึงสนามบิน แล้ว.. เดินเข้า Gate ได้เลย รวดเร็ว และทันขึ้นเครื่องแน่นอนครับ

ผมนัดหมายกับสมาชิกผู้ร่วมเดินทางอีก 2 คน ซึ่งก็เดินทางมาถึงสนามบินดอนเมืองในเวลาที่เกือบจะพร้อมกัน จากนั้นก็พากันเดินเข้า Gate เตรียมเดินทางไป จังหวัดสุราษฎร์ธานี

สภาพอากาศในเช้าวันนี้.. ค่อนข้างมีเมฆมาก คล้ายว่าฝนจะตกครับ ซึ่งก็ต้องลุ้นให้จุดหมายปลายทางที่จะไปอากาศดี ไม่เจอฝน ถ้าเจอฝนล่ะก็.. คงแย่เลย..

เดินทางออกมาได้เกือบชั่วโมง จนเครื่องกำลังจะลดระดับลง ก้เห็นสภาพอากาศข้างนอกดูสดใสดี ก็โล่งใจแล้ว.. ทริปนี้ต้องปลอดโปร่งแน่นอน 55+


08.30 น. สนามบินสุราษฎร์ธานี

ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ ก็เดินทางมาถึง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่ง.. ผมได้ลืมบอกไปว่า ก่อนที่ผมจะขึ้นเครื่องที่ สนามบินดอนเมือง นั้น ผมได้โทรติดต่อกับวินรถตู้โดยสารสาย สุราษฎร์ธานี – ท่าเรือเขื่อนฯ เอาไว้ ให้เขาแวะเข้ามารับในสนามบินได้เลย โดยที่ไม่ต้องนั่งรถเข้าเมืองไปให้เสียเวลา เพียงแค่บอกจำนวนคนที่จะเดินทาง เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับ และ เวลาที่เครื่องลง เอาไว้ พอถึงเวลานัดหมายเขาก็จะมารอรับเอง(เบอร์วินรถตู้โดยสาร 077-287059) ซึ่งเมื่อผมเดินทางมาถึง พอเปิดมือถือเขาก็โทรมาเลย รถตู้ที่นัดไว้มาจอดรอรับแล้ว(ค่าโดยสาร เที่ยวละ 200 บาท/คน)

เดินทางด้วยรถตู้โดยสารต่อไปยัง ท่าเรือเขื่อนฯ ซึ่งระยะทางจากสนามบิน ไป ท่าเรือเขื่อนฯ ก็ประมาณ 60 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ระหว่างนี้ก็งีบพักผ่อนไปก่อนได้..

ระหว่างทางมีคนขึ้น-ลง อยู่ตลอด จนเกือบจะไปสิ้นสุดที่ ท่าเรือฯ ก็เหลืออยู่แค่กลุ่มผม 3 คน พอใกล้จะถึงท่าเรือพี่คนขับรถตู้ก็ถามว่า จะแวะซื้อของก่อนมั้ย? เดี๋ยวแวะให้.. ก็เลยให้พี่เขาแวะ ขอซื้อของ ขนม เครื่องดื่ม ขึ้นเรือเผื่อไปสักหน่อย(อย่าลืม ขอเบอร์โทรฯ รถตู้เอาไว้โทรนัดตอนขากลับไปสนามบินด้วยนะครับ)


10.00 น. ท่าเรือเขื่อนรัชชประภา

จากร้านค้าที่แวะซื้อของมาไม่ไกล ก็เดินทางมาถึง ท่าเรือเขื่อนรัชชประภา แล้วครับ อากาศในตอนนี้ร้อนมากๆ แดดแรงแบบสุดๆ ไปเลย

ก่อนอื่นต้องเสีย ค่าธรรมเนียมอุทยาน กันก่อนนะ สำหรับคนไทย คนละ 40 บาท

สำหรับทริปนี้.. เดินทางมาด้วย แพ็คเกจ ของทาง แพพันวารีย์ รีสอร์ท ครับ ซึ่งแพ็คเกจได้รวมค่าเรือไปแล้ว จึงไม่มีค่าใช้จ่ายตรงนี้เพิ่ม

ผมได้นัดหมายกับเรือของทางที่พักเอาไว้ ให้มารับใน เวลา 11.30 น. ซึ่งก็เหลือเวลาอีกค่อนข้างเยอะกว่าที่เรือจะมารับ ช่วงนี้ก็เลยหาที่นั่งเล่น หาอะไรกินเพลินๆ ไป โดยแถวๆ ท่าเรือก็มีร้านอาหาร และร้านค้า ให้ได้นั่งหาอะไรกินรอเวลา

และแล้ว.. ก็ได้เวลาที่เรือมารับ พวกเราช่วยกันขนของลงเรือ แล้วออกเรือมุ่งหน้าไปยังแพที่พักกันเลย..

วันนี้.. อากาศสดใสมาก และ แดดก็แรงมากด้วย ยังดีที่เรือมีหลังคาไว้บังแดด ไม่งั้นกว่าจะถึงปลายทางคงได้เปลี่ยนสีผิวกันแน่เลย..

ระหว่างทาง.. ก็ชมบรรยากาศไปเรื่อยๆ ชิลๆ ครับ ต้องใช้เวลาในการนั่งเรืออีกประมาณ 45 นาที วิวสองข้างทางก็ดีมากๆ จนน้องคนขับเรือตะโกนบอกมาว่า.. ไปนั่งชมวิวที่หัวเรือก็ได้นะพี่ เอาให้เต็มที่เลย 55+

เรือเริ่มเดินทางเข้ามาใกล้กับเหล่าภูเขาหินปูนน้อยใหญ่แล้ว ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นปากทางเข้าเขื่อนเชี่ยวหลาน

น้องคนขับเรือ ค่อยๆ ชะลอความเร็วลงให้พวกเราได้ดื่มด่ำบรรยากาศได้อย่างเต็มที่ อยากแวะถ่ายรูปตรงมุมไหนจอดแวะให้ได้หมดเลย


12.30 น. ถึงแล้ว!! ..แพพันวารีย์ รีสอร์ท(Classic Zone)

เรือลดความเร็วลง.. เตรียมไปเทียบกับแพที่พัก..

ความรู้สึกแรกที่เห็น คือ.. ที่นี่ทำเลดีแฮะ! อาจเพราะด้วยบรรยากาศที่ดูสงบเงียบ อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และ จุดเด่น ตรงหน้าผาหินปูนที่ตั้งตระหง่านเหมือนเป็นฉากหลังของที่นี่ ทำให้โดยรวมแล้วสวยงาม น่ามาพักผ่อนดีครับ

ผมได้ทำความรู้จักกับ พี่กุ้ง ผู้จัดการของ แพพันวารีย์ รีสอร์ท ที่ออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง พร้อมด้วย เวลคัม ดริ้ง เย็นๆ ให้คลายร้อนกันเสียก่อน

บริเวณตรงนี้ เหมือนเป็น พื้นที่ส่วนกลาง ที่มีห้องสำหรับรับประทานอาหาร มุมนั่งเล่น ท่าน้ำสำหรับลงเล่นน้ำ

พื้นที่ที่เป็นแพหญ้าเทียมสีเขียวๆ เป็นเหมือนพื้นที่ไว้สำหรับทำกิจกรรมทางน้ำต่างๆ หรือ จะมานั่งเล่นชมบรรยากาศก็ได้ โดยเบื้องหน้าของที่นี่ก็วิวสวยมากๆ เป็นวิวผืนน้ำ ที่รายล้อมด้วยภูเขาหินปูน

นั่งให้หายเหนื่อยอยู่สักพัก พี่กุ้ง ก็พาเข้าไปยังห้องพัก ซึ่งห้องพักจะมีอยู่ทั้งหมด 5 หลัง เรียงกัน โดยมีทางเดินเล็กๆ ด้านหลังเชื่อมไปแต่ละห้อง

แค่ทางเดินด้านหลัง ก็เห็นสีสันของน้ำที่นี่แล้ว ว่าสวย และ ใส แค่ไหน?

สำหรับห้องพักของเราจะอยู่หลังแรกเลยครับ ไม่ต้องเดินไกล ซึ่งแต่ละหลังจะมีห้องอยู่ 2 ห้อง ห้องนึงก็อยู่ได้ 4 คน ด้านหน้าที่พัก เปิดประตูมาก็มานั่งเล่นริมน้ำชิลๆ ได้เลย ช่วงที่แสงแดดจัดๆ สีน้ำก็ดูสวยใสขึ้นมามาก


บริเวณหน้าที่พัก สามารถมานั่งห้อยขาลงน้ำได้อย่างสบายๆ และ ก็สามารถพบเห็นฝูงปลา ฝูงใหญ่ที่แหวกว่ายวนไปมาอยู่ใต้ผืนน้ำได้

บรรยากาศภายในห้องพัก ภายในดูใหม่ และสะอาดตาดี มีเครื่องอำนวยความสะดวก อย่างเช่น ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ พัดลม เป็นต้น แต่ที่นี่ จะมีไฟฟ้าให้ใช้แค่บางช่วงเวลาเท่านั้น(18.00 น. – 09.00 น.)

ภายในที่พักหลังเดียวกัน พอดีห้องที่เราเข้าพัก สัมภาระ และของกินที่ขนมากันเยอะไปหน่อย ห้องเลยดูไม่ค่อยเรียบร้อย ก็เลย ขอแอบมาเก็บภาพบรรยากาศของห้องข้างๆ ให้ได้ชมแทน ซึ่งทุกอย่างในห้องก็คล้ายๆ กันครับ..

ในห้องจะมีชั้นลอยอยู่ด้วย ซึ่งด้านบนสามารถเดินขึ้นบันได ไปนอนได้อีก 2 คน และ สำหรับพวกเราเอง ก็ต้องมีคนใดคนหนึ่งที่ต้องปีนขึ้นไปนอนข้างบนชั้นลอยเช่นกัน

ตู้เสื้อผ้ามีหมอน ไว้เผื่อไม่พอใช้ หรือ ต้องการเพิ่ม

มาดูในส่วนของ ห้องน้ำ กันบ้าง ซึ่งจะอยู่ด้านหลังของห้องพักแต่ละห้อง ภายในห้องน้ำจะ มีที่สำหรับอาบน้ำ โดยมีฝักบัวที่ต่อกับเครื่องทำน้ำอุ่นแบบใช้แก๊ส มีสบู่เหลว แชมพู ไว้ให้พร้อม


13.00 น. มื้อเที่ยง.. อาหารมื้อแรกบนแพ

ได้เวลาอาหารเที่ยง.. แล้ว หิวมากๆ..

พี่กุ้ง ได้เรียกให้พวกเราเข้าไปจัดการอาหารเที่ยงได้ หลังจากจัดเตรียมอาหารไว้พร้อมบนโต๊ะอาหารแล้ว ซึ่งอาหารแต่ละอย่างก็ดูหน้าตาน่ากินดี เมนูบางอย่างไม่อิ่มก็มีเพิ่มได้ด้วยนะ..

เมนูอาหาร ก็เป็นเมนูง่ายๆ ครับ อย่างเช่น ต้มจืด แกงเหลือง ผัดผักรวมมิตร ไข่เจียว และ ตบท้ายด้วยผลไม้

หลังจากอิ่มมื้อเที่ยง.. ก็เป็นเวลาพักผ่อนครับ บรรยากาศยามบ่ายอย่างนี้ ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการเอนกายนอน..

ภายในห้องอาหารมี บริการน้ำดื่ม ชา กาแฟ ด้วยนะครับ สามารถมาดื่มได้ทุกเวลา

สำหรับคนที่อยากได้ น้ำแข็ง ไว้ไปใส่เครื่องดื่มให้เย็นชื่นใจ ก็มีบริการ กระติกใหญ่ 100 บาท

บรรยากาศบริเวณหน้าที่พักยามบ่ายแก่ๆ แสงแดดเริ่มลับไปหลังเขาแล้ว..


16.00 น. นั่งเรือไปเขาสามเกลอ.. (กุ้ยหลินเมืองไทย)

นอนงีบหลับไปคนละหน่อย ตื่นมา.. ก็ได้เวลาออกเรือไปชมเขาสามเกลอพอดี ซึ่งออกไปช่วงเย็นๆ แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะแดดก็ไม่ได้แรงมาก

เรือจะออกจากที่พักไปไม่ไกล เพื่อไปยัง เขาสามเกลอ ใช้เวลาไปวนเที่ยวไม่ถึงชั่วโมง ก็น่าจะได้กลับมายังที่พักแล้วครับ

ออกเรือมาครั้งนี้ พี่กุ้ง ก็ได้ลงเรือมาด้วย มาคอยแนะนำ และคอยเล่าประวัติความเป็นมาต่างๆ ของสถานที่แห่งนี้

ใช้เวลานั่งเรือไม่นานก็มาถึง เขาสามเกลอ หรือ ที่เรียกกันว่า กุ้ยหลินเมืองไทย แล้วครับ.. ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กของที่นี่ที่ห้ามพลาด ซึ่งตรงนี้เรือจะจอดให้ถ่ายภาพตามอัธยาศัยเลยครับ..

ชม เขาสามเกลอ ได้สักพักก็ได้เวลามุ่งหน้ากลับแพที่พัก ซึ่งระหว่างทางก็จะได้ชมความสวยงามของขุนเขาที่โอบล้อมอยู่รอบด้านไปในตัว


17.30 น. แดดร่มลมตก ก็ได้.. เวลาลงเล่นน้ำ!

แสงแดดเริ่มอ่อนแรงลง.. ถึงช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับลงเล่นน้ำแล้ว สามารถลงเล่นได้ที่หน้าที่พักได้เลย

เอาให้ชุ่มฉ่ำกันเต็มที่! 55+

แต่ละห้องพักจะมี เบาะลอยน้ำ กับ เก้าอี้ลอยน้ำ ให้ด้วย.. เอามานอนเล่นให้สบายอารมณ์..

และ ก็มี เรือคายัค ให้ยืมพายเล่นด้วย

บรรยากาศในช่วงเย็นแบบนี้.. พายเรือคายัคเล่นได้อย่างชิลจริงๆ ครับ


18.00 น. จัดเต็ม.. อาหารมื้อเย็น

อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินมากิน มื้อเย็น กัน ซึ่งอาหารมื้อเย็นก็ได้จัดเตรียมเรียบร้อยไว้บนโต๊ะแล้ว

มื้อนี้.. มี ปลาทอด ด้วย กำลังอยากกินเมนูปลาพอดี

ที่เด็ดสุด.. คงต้องยกให้เมนูนี้แล้วล่ะ แกงปลา รสชาติจัดจ้านแบบปักษ์ใต้

ใบเหลียงผัดไข่

ต้มจืดกระดูกหมู

ผักต้ม และ น้ำพริก .. อันนี้ก็อร่อยเหมือนกัน

เมนูอาหารทั้งหมดก็ถือว่าอร่อยใช้ได้เลยล่ะครับ กินกัน 3 คน อิ่มแน่นกันเลยทีเดียว! 55+


19.00 น. ลอยกระทงในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์

กิจกรรมวันนี้ยังไม่หมด..

ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน ยังเหลืออีกหนึ่งกิจกรรม นั่นก็คือ กิจกรรม ลอยกระทงในดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ โดยจะต้องนั่งเรือฝ่าความมืดออกไปประมาณ 10 นาที เพื่อไปลอยกระทงตรงบริเวณหน้า ศาลพ่อตาโจงโดง ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิที่คอยปกป้องคุ้มครองที่นี่

สำหรับกระทง ทางที่พักจะเตรียมเอาไว้ให้ ซึ่งสามารถหยอดตู้บริจาคได้ตามกำลังศรัทธา เมื่อได้กระทงเรียบร้อย ก็จะลงเรือออกไปยังจุดลอยกระทง ซึ่งการลอยกระทงนี้ ก็เพื่อเป็นการบูชา และขอขมาต่อ ศาลพ่อตาโจงโดง และ เพื่อเป็นการระลึกถึงหลายชีวิตที่เสียสละ ก่อนที่จะมาเป็นเขื่อนในปัจจุบันนี้


DAY #2

06.00 น. สวัสดียามเช้า!

ตื่นมากับเช้าวันใหม่..

เปิดประตูห้องพักออกมา เจอบรรยากาศที่ดีมากๆ แม้จะเสียดาย..ที่เช้าวันนี้มีสายหมอกน้อยไปสักนิด

เช้านี้.. ก็เลย มานั่งจิบกาแฟร้อนๆ ชมบรรยากาศ ถือว่าโอเคเลย..

มุมนี้.. สำหรับคนธุระเยอะ เพราะเป็นมุมที่สัญญาณโทรศัพท์ จะแรงที่สุด(AIS) แต่.. ก็แรงพอแค่สื่อสารได้บ้าง ไม่ได้บ้างนะ

บรรยากาศยามเช้า เห็นสายหมอกอยู่ไกลๆ


07.00 น. Morning Safari!

กิจกรรมสุดท้ายก่อนกลับ นั่งเรือไปชมสัตว์ และ ธรรมชาติ..

เวลาราวเจ็ดโมงเช้า พี่กุ้ง เรียกให้ขึ้นเรือ อีกรอบ โดยจะพาไปทำกิจกรรม Morning Safari ซึ่งเป็นกิจกรรมนั่งเรือไปชมชีวิตสัตว์ และธรรมชาติ ในแถบนี้ เป็นกิจกรรมสบายๆ ในยามเช้า ใช้ประมาณเวลา 1 ชั่วโมง

นั่งเรือเล่นๆ ออกมาไม่นาน ก็เป็นจุดที่ พี่กุ้ง บอกว่า เป็นจุดที่มีสายหมอกปกคลุมอยู่เยอะ แต่อาจเพราะ ด้วยสภาพอากาศ หรือ ออกกันมาสายเกินไป ก็เลยได้เห็นแค่สายหมอกจางๆ อยู่ไกลๆ แต่โดยรวมก็ถือว่าดีครับ.. ได้นั่งเรือออกมาสูดอากาศดีๆ ในยามเช้าแบบนี้ ก็ดีแล้วครับ

แวะมาไหว้ ศาลพ่อตาโจงโดง ที่มาลอยกระทงกันเมื่อคืน แต่ตอนนั้นนั้นมืดมองไม่เห็น เลยแวะมากันอีกรอบ ซึ่งศาลพ่อตาโจงโดง ก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่คนแถบนี้มีความเชื่อว่า.. พ่อตาโจงโดง จะคอยปกปักษ์รักษา คุ้มครอง พื้นที่แห่งนี้ครับ

ระหว่างนั่งเรือ ก็พบกับ นกนานาชนิด ที่บินเกาะตามกิ่งไม้ต่างๆ ซึ่งพี่กุ้งบอกว่าถ้าโชคดีก็จะได้เห็นนกเงือกด้วย

ในช่วงเช้า เรือที่วิ่งในเขื่อนยังมีอยู่ไม่มาก บรรยากาศจึงค่อนข้างสงบเงียบดี พวกเราก็เลยได้ดื่มดำกับธรรมชาติยามเช้าทิ้งทวนเป็นครั้งสุดท้าย


08.30 น. อาหารมื้อเช้า และ เตรียมตัวเดินทางกลับ!

เวลาเช็คเอาท์ของที่นี่ คือ เวลา 09.30 น.

พวกเรามีเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ในการจัดการอาหารเช้า และ อาบน้ำ ทำธุระส่วนตัวก่อนที่จะเดินทางกลับ ซึ่งเมื่อเดินทางกลับจากการไปทำกิจกรรม Morning Safari แล้ว บนโต๊ะอาหารก็มี อาหารมื้อเช้า รออยู่พอดี เป็นมื้อเช้าแบบง่ายๆ ขนมปัง แฮม เบค่อน ไข่ลวก และข้าวต้มหมูร้อนๆ

ช่วงเวลาที่รอเรือกลับ ก็ได้นั่งเล่น พักผ่อนให้อาหารได้ย่อยกันอีกสักหน่อย..

เมื่อได้เวลา 09.30 น. ก็ได้เวลาเช็คเอาท์ พวกเราช่วยกันขนสัมภาระลงเรือ พร้อมมุ่งหน้ากลับไปยังท่าเรือฯ

เมื่อถึงท่าเรือเขื่อนเชี่ยวหลาน ก็ได้โทรนัดให้รถตู้โดยสารแวะเข้ามารับที่ท่าเรือฯ ครับ สำหรับผมเวลาค่อนข้างเหลือเยอะก็เลยมาโทรนัดที่ท่าเรือฯ ตอนนี้ได้ ซึ่งถ้าหากใครรีบ ก็สามารถโทรนัดล่วงหน้าตั้งแต่ตอนอยู่ที่แพก่อนก็ได้.. เพราะต้องใช้เวลาในการรอรถตู้อยู่พอสมควรครับ ซึ่งผมก็ใช้เวลารออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง รถตู้ก็มาจอดรับ และมุ่งหน้าไป สนามบินสุราษฎร์ธานี ต่อทันที

ขากลับเกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ฉุกละหุก เช็คอินไม่ทัน.. ผมก็เลยทำ เช็คอินออนไลน์ มาก่อนล่วงหน้า.. เมื่อมาถึงสนามบินก็แค่มาพิมพ์บอร์ดดิ้งพาสที่ ตู้คีออสของแอร์เอเชีย สะดวกสบายดีครับ พิมพ์เสร็จก็เดินเข้า Gate เตรียมขึ้นเครื่องเดินทางกลับ กทม. ได้เลย

การเดินทางในทริปนี้.. ก็เป็นทริปสั้นๆ แบบหลบมาพักผ่อนชิลๆ 2 วัน 1 คืน ที่ เขื่อนเชี่ยวหลาน ซึ่งก็ถือว่า.. ได้มาพักผ่อนกันอย่างจริงๆ ทั้งนอน กิน เล่นน้ำ สบายใจกันไปเลย..

และ ถ้าใครสนใจ ก็ลองมาเที่ยว เขื่อนเชี่ยวหลาน กันได้นะครับ ..บรรยากาศดีๆ แบบนี้ ต้องมาเยือนกันสักครั้ง!


ติดต่อ และ สอบถามโปรโมชั่น เพิ่มเติม ได้ที่ :

สนใจติดต่อห้องพัก สอบถามข้อมูลได้ที่ 063-191-9282

กดลิ้งค์แอดไลน์ https://line.me/R/ti/p/%40panvaree



การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

Instagram : CHAILAIBACKPACKER

Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9

E-mail : [email protected]

Website : www.chailaibackpacker.com

ความคิดเห็น