เหตุผลของการออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง บางทีอาจจะไม่มีอะไรพิเศษมากมาย บางครั้งแค่ทำอย่างไรก็ได้ พาตัวเองออกไปจากตรงที่เราไม่สบายใจ ณ ตอนนั้นก็พอ.
ก่อนอื่นก็ต้องขอกล่าวคำว่า สวัสดีครับท่านผู้อ่านที่เคารพรักทุกๆท่าน นับเป็นระยะเวลาเกือบ7เดือน ที่ผู้เขียนห่างหายจากวงการ (ฮ่าๆ) ที่ว่าหายคือการออกผจญภัยนี้แระครับ ประกอบกับช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้เขียนเอาต้นไม้มาปลูกเพิ่ม วันหยุด2วันที่เหลือ ก็เลยหมดไปกับการปรับปรุงโน้นปรับปรุงนี้ในสวน แม้ไม่ได้ออกไปท่องโลกกว้าง แต่การอยู่กับต้นไม้ใบหญ้าทำอะไรเล็กๆน้อยๆในบ้าน ก็ดูจะเป็นความสุขอีกแบบหนึ่งเหมือนกัน ^ ^
จากทริปที่แล้วผู้เขียนได้พาท่านผู้อ่าน ไปตะลุยเนิน500 แล ะสามเหลี่ยมมรกต มาแล้ว มีหลายท่านสอบถามกันมาพอสมควรว่า อำเภอน้ำยืน ยังมีสถานที่ผักผ่อนหย่อนใจแนวธรรมชาติแบบนี้อีกหรือเปล่า เพราะพื้นที่เกือบ80% ปกคลุมไปด้วยภูเขา?
ตะลุยเนิน500 ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยครับ 🏁
https://th.readme.me/p/10959 Wildland Emerald Triangle " 1 วัน ลุยป่าหน้าฝน ที่ สามเหลี่ยมมรกต"
และทริปนี้จะพาผู้อ่านทุกๆท่าน มุ่งหน้าสู่ เทือกเขาพนมดงรัก สถานที่ ที่เปรียบเสมือน เป็นปอดใหญ่ของชาวอำเภอน้ำยืน พนมดงรัก หรือ "พนมดองแร็ก" (ជួរភ្នំដងរែក) มาจากภาษาเขมร แปลว่า "ภูเขาไม้คาน"
และทุกๆปี ราวต้นเดือนมีนาคม ชาวอำเภอน้ำยืนจะมีพิธีกรรมสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลามากกว่า10ปี นั้นคือ พิธีบวงสรวงนารายณ์บรรทมสินธุ์ และเป็นที่น่าอัศจรรย์ใจก็คือ รูปแกะสลักนูนต่ำนารายณ์บรรทมสินธุ์อยู่ใต้น้ำ
นารายณ์บรรทมสินธุ์ หรือ รูปแกะสลักนูนต่ำนารายณ์บรรทมสินธุ์
อาจจะบอกได้ว่า เป็นรูปแกะสลักนูนต่ำนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่จมอยู่ใต้น้ำ แห่งเดียวในประเทศไทย มีขนาดยาว 120 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร เป็นรูปนารายณ์บรรทมสินธุ์ ตะแคงขวา อยู่เหนือพญานาคเจ็ดเศียร ที่ปลายเท้าสลักเป็นรูปนางลักษมี บริเวณพระนาภี (สะดือ) สลักเป็นสายยกขึ้นพร้อมรูปวงรีที่ยังไม่ได้แกะสลักรายละเอียด เป็นรูปพระพรหมนั่งอยู่เหนือดอกบัว คาดว่าภาพแกะสลักนี้เกิดขึ้นราวพุทธศตวรรษที่ 16-17
มีเรื่องเล่าว่า ในปี พ.ศ. 2521 ได้มีชาวบ้านแข้ด่อน ได้แก่ พ่อสำรอง ,พ่อเดช, พ่อหนูสิน และพ่อตึ๋ง ชาวบ้านทั้ง 4 คน ได้ออกหาของป่า จับปลาในบริเวณวังมน ในขณะที่กำลังหาปลาอยู่นั่นเอง ได้พบเข้ากับ ภาพแกะสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ ที่อยู่บนแผ่นหิน ใต้น้ำด้านขวาของลำโดมใหญ่โดยบังเอิญ (ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่ของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ายอดโดม)
เล่าต่อกันมาอีกว่า หลังจากที่ทั้ง4คนได้เดินทางกลับจากการหาปลาและของป่า ในวันนั้น ตกดึกคืนนั้นเอง พ่อตึ๋ง หนึ่งใน 4 คน ที่ไปหาปลา ฝันเห็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวดำ มีผ้าสีแดงพาดไหล่ บอกให้ซื้อหวย วันหวยออก พ่อตึ๋งก็ถูกหวย 15 บาท จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านที่อยู่ในบ้านแข้ด่อน และใกล้เคียง ได้ทราบข่าวถึงการมีอยู่ของภาพแกะสลักนารายณ์บรรทมสินธุ์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
ข่าวการค้นพบภาพแกะสลักนารายบรรทมสินธุ์ ทำให้ทราบถึงสำนักพระราชวัง จนกระทั่งในปี พ.ศ.2534 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเพื่อทอดพระเนตรภาพแกะสลักนูนต่ำนารายณ์บรรทมสินธุ์ โดยการทรงเดินเท้า ระยะทางประมาณ 14 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ซึ่งการเสด็จในครั้งนั้น ยังความปลาบปลื้มมาสู่พสกนิกรชาวอำเภอน้ำยืนอย่างหาที่สุดมิได้ เป็นระยะเวลา27 ปี
หลังจากได้ทราบถึงประวัติความเป็นมา ของภาพแกะสลักนารายบรรทมสินธุ์ พอสังเขปแล้ว เรื่องราวหลังต่อจากนี้ ผู้เขียนจะขอเล่าในส่วนของการเดินทางครั้งนี้นะครับ เราออกเดินทางจากที่พัก (อำเภอทุ่งศรีอุดม) ตอน7โมงเช้า ใช้เวลาขับรถประมาณเกือบๆ 2ชั่วโมง ก็มาถึงจุดแรก วัดภูน้ำจั่น
บ้านแข้ด่อน ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี (ตามพิกัดนี้เลยครับ 14°24'34.8"N 105°06'35.4"E)
มาถึงที่วัดภูน้ำจั่น ทางส่วนราชการกำลังจัดพิธีเปิดงานพอดีเลยครับ ระหว่างรอ ผู้เขียนและเดอะแก๊งก็ใช้เวลาในการจัดเตรียมเสบียง สิ่งของที่จำเป็นลงในกระเป๋าสัมภาระ นอกเหนือจากสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีพในป่าแล้วเราได้นำ ขันหมากเบ็ง (พานพุ่มใส่ดอกไม้*) และผลไม้เล็กๆน้อยๆ มาด้วย เพื่อใช้เป็นเครื่องสักการะภาพแกะสลักนารายบรรทมสินธุ์ ในวันพรุ่งนี้
เอาล่ะครับ เครื่องร้อนแล้ว รัดสายรองเท้าของท่านให้แน่น! เพราะนี้คือการเดินทางไกลครั้งแรก ของผู้เขียนเลยก็ว่าได้ ฮ่าๆ
ในภาพด้านหลังของคณะเราคือ องค์หลวงพ่อโคตะมะ ประดิษฐานอยู่ ณ วัดภูน้ำจั่น
เราเดินมาได้สักพักก็จะพบกับ ป่าที่เขียวชอุ่มตอนหน้าฝน เวลานี้ถูกย้อมไปด้วยสีส้ม เนื่องจากไฟป่า
ผู้เขียนพึ่งได้รู้ซึ้งถึงคำที่เขาว่า "ไฟมาป่าหมด" ก็ครั้งนี้ล่ะครับ ในภาพเราจะเห็นไฟป่า กินบริเวณกว้างมาก นอกจากไม่มีร่มเงาให้เราแล้ว ยังส่งผลทำให้บริเวณนี้มีอุณหภูมิร้อนกว่าปกติอีกด้วยล่ะ
วังที่ 1 "วังเวิน" เซเว่นน้อย ในป่าใหญ่
จุดพักยก จุดแรกของเรา ห่างจากจุดที่เราเดินมาเมื่อตะกี๊ประมาณ 2 กิโล แต่ผู้เขียนรู้สึกว่า หนทางมันช่างยาวไกลเสียเหลือเกิน ประหนึ่งว่าเดินมาได้ครึ่งค่อนวันแล้ว (ฮ่าๆ) ที่ว่าเซเว่นน้อยในป่าใหญ่ เพราะจุดนี้เป็นจุดเดียวที่มีพ่อค้าแม่ขาย นำเครื่องดื่มเย็นๆ ขนมอร่อยๆ มาให้บริการนักท่องเที่ยว สินค้าที่ว่าก็จะมีตั้งแต่ น้ำดื่ม น้ำอัดลม ขนมปัง ของใช้จิปาถะ ลฯ (ส่วนมากจะเป็นอาหารแห้งครับ)
นอกจากจะมีร้านค้าแล้ว ที่วังเวิน ยังมีมุมสวยๆ ให้เรานั่งผักผ่อน รับลมเย็นๆ นักท่องหลายท่านจึงนิยมเลือกจุดนี้ เป็นที่พักรับประทานอาหาร หรืออาจจะนอนพักผ่อนชาร์จพลังเลยก็ได้ครับ ^ ^
แต่ด้วย จิตวิญญานนักเดินทางอันแรงกล้าของพวกเราที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ความเหนื่อยโฮ๊กขนาดนี้ ไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้หร๊อกกก!!! ขอเดินต่ออีกสัก 4-5กิโลนะฮ๊าบบ💪 (ขาจะลากอยู่แล้วครับ ฮ่าๆ)
จากนี้ไป หนทางของเรา จะเริ่มทวีคูณความหฤหรรษ์ ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น สะพานไม้ (เรียกว่าขอนไม้จะดีกว่านะครับ ฮ่าๆ) ไปจนถึง บันไดไม้ ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อ ทดสอบความแข็งแรงช่วงล่างของท่าน
ฟังดูเหมือนเส้นทาง ดูโหดร้ายมากเลยใช่ไหมครับ? แต่สำหรับน้องๆนักเรียนที่นี้ บอกเลยครับ ธรรมดามากๆ น้องๆบางคนเดินชิวมากครับ อย่างกับว่ามาเดินห้างอย่างไงอย่างงั้น เดินผ่านกลุ่มของเรา มีแอบแซวด้วย "พี่ครับ ไหวไหมครับ" (สมัยพี่อายุเท่าเองน่ะ! ทางแค่นี้นะไม่ได้รับประทานพี่หร๊อกก!!)
จากคำบอกเล่าของผู้ที่เคยเดินทางมายังที่นี่ เมื่อ10กว่าปีที่แล้ว บอกว่าเส้นที่เราเห็นทุกวันนี้ ถือว่าดีกว่าแต่ก่อนมากๆ เพราะสมัยก่อนต้องเตรียมมีด เตรียมพร้ามาด้วย เพื่อถางป่า "บันดงบันได สะพงสะพาน นี้ไม่มีหรอกหลานเอ้ย " อารมณ์ก็จะประมาณในหนัง Indiana Jone ล่ะครับ ฮ่าๆ
วังที่ 2 วังเดื่อ
ห่างจาก วังเวิน ราวๆเกือบ4กิโลเมตร (หากผู้เขียนจำไม่ผิด) เป็นอีกจุดพักยก อีดจุดหนึ่งที่ผู้เขียนแนะนำ หากท่านจะเลือกที่นี่ เป็นจุดแวะรับประทานอาหาร หรือจะนั่ง check in เอาเท้าแช่น้ำชิวๆก็ได้ครับ
เรื่องวิว ที่วังเดือ ก็สวยใช่เล่นไม่แพ้ วังเวินเลยครับ น้ำใสๆ ทำให้มองเห็นปลา ปลาที่พบในแถบนี้ก็จะมีจำพวก ปลาเสือ ปลาขาว 🐟 ครับ
นอกจากนั้น วังเดือ ยังเป็นเหมือน ขุมทอง ขุมทองที่ผู้เขียนหมายถึงก็คือ น้ำ ครับ น้ำที่ดื่มได้จริงๆ ^ ^
ตามความเชื่อ เชื่อว่าน้ำที่ออกมาจากตรงนี้ หรือตามวังต่างๆ คือ น้ำที่พระนารายณ์ประทานมาให้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ วังเดือ จะคึกคักไปด้วยผู้คน ที่ต่อคิวยาว เพื่อรอดื่มน้ำ และเติมน้ำ
ในภาพ แม้ว่าเราจะเดินมาครึ่งทางแล้ว ผู้เขียนยังรู้สึกว่า "เหมือนเดินในสวนหลังบ้าน" (จริงอย่างที่น้องๆบอก) คงเพราะถนนหนทาง สามารถเดินได้ค่อนข้างสะดวก แต่ก็มีบางจุด อาจจะต้องใช้กำลังแขน และ กำลังขา เข้าช่วยนิดหน่อย ^ ^
ต้นไม้ ที่พบตลอดทางเดิน ส่วนมากที่พบก็จะมีจำพวก ไผ่ ลองลงมาก็จะเป็น ยางแดง ยางนา มะค่าโมง ตะแบกใหญ่ กระบก และพืชจำพวกไม้พุ่ม หรือ ไม้พุ่มกึ่งยืนต้น เช่น ชิงชี้ สภาพภูมิอากาศของป่า ในเขตเทือกเขาพนมดงรัก จัดอยู่ใน ระบบกึ่งเขตร้อน ครับ
แต่อากาศวันที่เราออกเดินทาง ถือว่าพอดีครับ ไม่ร้อนมาก พอได้เหงื่อ ฮ่าๆ ^ ^
✎ นอกจากการเตรียมสัมภาระสำหรับเดินป่า สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่านั้นคือ การสวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับสถานที่นั้นๆ นะครับ เพราะบางจุด ท่านอาจจะถูกหวยโดยบังเอิญ ไปจ๊ะเอ๋เข้ากับ รังของเจ้าแมงแดง หรือ โรคสครับไทฟัส
แมงแดง มีลักษณะคล้ายๆกับ ตัวเห็บ ตัวไร ตามบ้านเรานี่ล่ะครับ หากเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ มี ลักษณะค่อนข้างบาง หรือไม่มิดชิด แมงแดงอาจจะกัดเราได้ครับ เพราะฉะนั้น ถ้าหลีกเลี่ยงได้ พยายามอย่าเข้าไปในพุ่มไม้ หรือ ต้นไผ่ที่รกๆ ถ้าจำเป็นจริงๆก็เช็คให้ดีๆก่อนนั่งนะครับ ^ ^
นอกจากเราจะได้ ความอดทนของทุกๆคนแล้ว เรายังได้เห็นภาพของการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในระหว่างทางอีกด้วยนะครับ ^ ^
น้ำที่ให้ไม่มีวันหมด ก็คือ น้ำใจ นี่ล่ะครับ ^ ^
ทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญของการเดินทาง
ขอบคุณทุกๆรอยยิ้ม ทุกๆน้ำใจที่มอบให้พวกเราในวันนั้นด้วยนะครับ ^ ^
ท่านผู้อ่านเคยเป็นเหมือนกันไหมครับ เวลาเดินผ่านหนองน้ำทีไร ผมนี้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาทันที ในภาพผู้เขียนไม่ได้ลงไปแช่น้ำนะครับ (ถึงแม้ว่าในใจ นี่อยากจะไปลอยแวกว่ายเต็มที) ฮ่าๆ
และในที่สุด เราก็ใกล้จะถึงจุดหมายของเราแล้วครับ ฮู ย่า!!!!
ในช่วงที่ผมกำลังเหนื่อยหอบ อยู่นั้นเอง ก็มีเสียงสวรรค์เสียงหนึ่งดังขึ้น "นี่! วิดป่ากล้วยไป กะฮอดแล้ว" เลยป่ากล้วยนี้ไปก็ถึงแล้ว ได้ยินอย่างนั้นแล้ว มีกำลัวใจขึ้นมาทันทีเลยครับ ฮ่าๆ
หากท่านใดที่ไปเจอ สถานที่สวยๆ หรือดอกไม้งามๆ แมลงน่ารักๆ ผู้เขียนขอแนะนำว่าอย่าพึ่งโพสต์ นะครับ 🤳 ไม่ได้ห้ามนะครับ แต่เพราะว่า คลื่นโทรศัพท์📴📶 ม๊ายยมี เลยครับ
เดินต่อมาสักพักมาเจอ หนุ่มน้อย กำลังตักน้ำอยู่พอดี ด้วยความสงสัยเลยถามน้องเค้าไปว่า อืม...พี่ครับ น้ำกินได้ไหมครับ? มองเห็นดาบอันเบ้อเร่อข้างเอวของแก ผมเองก็หวั่นใจเหมือนกันฮ่าๆ
"น้ำกินได้ครับ น้องบอก ^ ^"
ได้เสียงหัวเราะของผู้คนจำนวนมาก ดังมาแต่ไกลๆ นั้นแสดงว่า เราใกล้จะถึงจุดหมายของเราแล้วครับ ^ ^
มาถึงจุดนี้ ตลอดสองข้างทาง จะปกคลุมไปด้วยต้นไม้นานาพันธุ์ ส่วนด้านขวามือของเราก็จะเป็นลำน้ำโดม ณ ตอนนี้ได้ยินแม้กระทั้งเสียงท้องร้องโจ๊กๆ ฮ่าๆ
เดินต่อมาอีกนิดหนึ่ง เราจะก็พบกำแพงยาวเหยียด มองเผินๆดูเหมือนกำแพงที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่จริงๆแล้วเป็นกำแพงที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติครับ
บนกำแพงมีการเขียนข้อความ บันทึกเหตุการณ์บางอย่างไว้ด้วยครับ ผมจ้องมองอยู่พักใหญ่ พยายามทำความเข้าใจ ว่าใจความในกำแพงหมายถึงสิ่งใด? นึกขึ้นได้ว่า เดอะแก๊งที่มาด้วยกันเดินล่วงหน้าไปไกลแล้ว เลยไม่ทันได้สอบถามคนที่เดินผ่านไปผ่านมาว่า ที่มาของข้อความบนกำแพง เกิดขึ้นได้อย่างไร และ หมายความว่าอย่างไร
วังที่ 3 วังมนต์ จุดพักแรม 🏕️
วังมนต์ ในภาพที่ท่านผู้อ่านเห็นอยู่ในขณะนี้ อีกฝั่งของลำโดม คือสถานที่จัด พิธีบวงสรวงนารายณ์บรรทมสินธุ์ ในวันพรุ่งนี้ครับ
และนี้คือบ้านหลังใหญ่ของพวกเราคืนนี้ครับ ตรงจุดที่นายแบบของเรายืนหล่อๆตอนนี้ ประมาณสักห้าหกโมงเย็น จะเต็มไปด้วย เต็นท์ และผู้คนมากมาย "ด้านล่างโขดหินนี้ มีน้ำใสๆ ที่สามารถรับประทานได้ หรือ จะนำไปประกอบอาหารก็ได้นะครับ"
หากท่านใด มีความประสงค์จะเดินทางมาในปีหน้า ผมแนะนำว่า ถ้ามาถึงจุดนี้ให้รีบหาที่พัก ก่อนเป็นอันดับแรกนะครับ
ถึงแม้ว่าพื้นที่บริเวณนี้ จะกว้างขวาง แต่ส่วนมากจะเป็นหินก้อนโตๆ วางกระจัดกระจาย หรือหากท่านโชคดี เจอพลาญหินกว้างๆ แล้วล่ะก็ แม่จ๊าวว จะเป็นอะไรที่ amazing มากๆ
นอกจากกางเต็นท์ แล้ว การผูกเปล ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งครับ หรือบางท่านอาจจะชอบแนวพาดโพนหน่อย ตามแนวตีนเขา ก็มีที่สำหรับกางเต็นท์ หรือผูกเปลได้เช่นกันครับ ^ ^
ในภาพคือทีมงาน คุณลุงคุณป้า ที่เดินทางมาก่อนพวกเราเพื่อ ทำถนนหนทาง ให้เราได้เดินสบายๆ ในนามผู้เขียน และนักเดินทางทุกท่าน ขอขอบพระคุณทุกๆท่านมากๆครับ ^ ^
ผมเองก็ได้ที่เหมาะๆแล้วครับ ^ ^
พอได้ที่พักแล้ว ก็ได้เวลาประกอบอาหาร ที่นี้ล่ะครับ ได้เวลานำวิชาลูกเสือมาปัดฝุ่นกัน!
แต่ดูเหมือนว่า วิชาลูกเสือของเรา สังสัยจะเก็บเข้ากรุนานเกินไปหน่อย ฮ่าๆ ขอบคุณเพื่อนบ้านที่ดีของเรา ที่ให้ยืมเชื้อเพลิงชั้นดี ในการก่อไฟด้วยนะครับ ^ ^
อาหารแห้งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีครับ
แต่อย่างว่าล่ะครับ มาป่าทั้งที ไม่ได้ ก่อไฟ ต้มน้ำ ก็เหมือนมาไม่ถึงป่า ครับ อิอิ
บางท่านจัดชุดใหญ่เลย ประมาณว่า ยกครัวที่บ้านมาเลย ฮ่าๆ
หลังจากที่วิ่งวุ่น กับการหาฝืนและหาอาหาร อยู่พักใหญ่ ก็ถึงเวลาที่พวกเรา รอคอยมาตั้งแต่ ตอนกลางวันล่ะครับ นั้นคือ นอนแช่น้ำเย็นๆ ใช้ฉ่ำไปเลย แม๊ะ! ไปกันเลยดีกว่าครับ ^ ^
มีหนุ่มๆด้วยแระ อิอิ
นอกจาก เล่นน้ำ กระโดดน้ำ ตีลังกาในน้ำ หรือแม้กระทั้ง โหนเถาวัลย์ในน้ำ เอ้ย! จะบร๊าา!!มันมีที่ไหนล่ะ ยังมีกิจกรรมนันทนาการ อีกอย่างหนึ่งก็คือ ล่องแพ ที่ดูเหมือนจะเป็น กิจกรรม ที่หลายๆท่าน ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
เยอะจนต้อง ต่อคิวกันขึ้นเลยทีเดียว ดีไปกว่านั้นก็คือ (ขึ้นฟรีครับ ไม่เสียตังค์ ^ ^)
ส่วนท่านที่ชอบ แนวปลีกวิเวก อยากจะล่องแพ พายชิวๆ... ชมทิวทัศน์ ของลำน้ำโดม ก็ได้เหมือนกันครับ
ในครั้งนี้ผู้เขียนต้องขอ ขอบพระคุณท่านนายอำเภอน้ำยืน ที่กรุณามาเป็นกัปตันพายเรือ ให้พวกเราได้นั่งชมชมทิวทัศน์สวยๆ ของลำน้ำโดม ขอบพระคุณท่านนายอำเภอมากๆครับ
สายลมเอือยๆ ตอนเย็นๆ ทำให้จิตใจของเรารู้สึกผ่อนคลาย
แพไม้ไผ่ มีหลายขนาดนะครับ ขนาดเล็ก และ ขนาดใหญ่ ^ ^
อาบน้ำสบายตัวแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องเตรียมตัว ไปร่วมกิจกรรมรอบกองไฟ ในตอนค่ำ เพื่อเรื่องเล่าประวัติ ความเป็นมาของภาพแกะสลักนารายบรรทมสินธุ์ ซึ่งเป็นอีกไฮไลท์หนึ่งที่น่าสนใจของงานเลยครับ
เรื่องเล่ารอบกองไฟ 🔥
"เรื่องเล่ารอบกองไฟ" เป็นกิจกรรมที่สำคัญ อีกหนึ่งกิจกรรมหนึ่ง เปรียบเสมือนเป็นการ meeting ให้กับผู้ที่เดินทางมาที่นี้ ได้ทราบถึงประวัติ ความเป็นมาของบ้านแข้ด่อน และ ภาพแกะสลักนารายบรรทมสินธุ์ ชาวบ้านจะเรียกกิจกรรมนี้ว่า "ตุ้มโฮม" หมายถึงการที่เรามารวมกลุ่มกันเยอะๆเพื่อทำกิจกรรมบางอย่าง
โดยจะมี พ่อจ้ำ หรือ พ่อใหญ่จ้ำ เป็นผู้ถ่ายถอดเรื่องราวต่างๆ ให้พวกเราได้ฟังกัน
ในบางที่ "พ่อจ้ำ คือ ผู้ที่มีความรู้ในด้านหมอพราหมณ์ หรืออีกในหนึ่งก็คือ เป็นผู้นำในการประกอบพิธีต่างๆ ในหมู่บ้าน "
นับเป็นกิจกรรมที่ดีมากๆครับ ทำให้ชวนนึกถึง สมัยผมยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยก เคยนอนผิงไฟ ฟังคุณตาคุณยาย เล่าเรื่องราวสมัยแกยังเป็นสาว ให้ฟัง ^ ^
เป็นช่วงเวลาที่แสนพิเศษ ที่พวกเราในกลุ่มจะได้คุยกันตามประสาเดอะแก๊ง ก่อนจะแยกย้ายกันเข้าที่พัก (ย่างปลาหมึก แล้วนั่งคุยกันไปด้วย ก็เพลินไปอีกแบบนะครับ )
เช้านี้ ที่ ลำโดม
มันคนล่ะอารมณ์กันจริงๆครับ ระหว่าง แปลงฟันอยู่บ้าน กับ นั่งแปลงฟันท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร แบบนี้ ^ ^
ไหนๆก็ไหนๆล่ะ ลงอาบมันเลยละกัน ฮ่าๆ
อาบน้ำเสร็จแล้ว ก็มานั่งจิบกาแฟร้อนๆ บางท่านอาจจะใช้เวลาในช่วงนี้ เตรียมเสบียงไว้ตอนเดินทางกลับหรือเก็บเต็นท์ เก็บสัมภาระ ก็ได้ครับ
เราจะมีเวลาเตรียมตัวประมาณ1-2ชั่วโมงครับ (เว้นแต่ท่านจะตื่นสาย) ก่อนที่เราจะไปร่วม พิธีบวงสรวงฯ พิธีสำคัญ ที่ทุกท่านๆ ตั้งใจมาในวันนั้น และก่อนจะถึงเวลานั้น ขอสูดอากาศบริสุทธิ์ ในตอนเช้าๆ ให้เต็มๆปอดเลยละกัน ^ ^
บางท่านอาจจะใช้เวลาช่วงนี้ ในการเก็บภาพความทรงดีๆ ก็ได้ครับ ^ ^ 📸
นี้ถ้ามี หงษ์ ลอยอยู่ในน้ำ ผมนึกว่า ไปแอ่วภาคเหนือ เลยล่ะครับ ^ ^
และแล้ว ก็ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยแล้วครับ ^ ^
เมื่อพ่อพราหมณ์ ได้กล่าวคำ สวัสดีชาวบ้าน และนักเดินทางทุกๆท่าน และ อธิบายถึงขั้นตอนและพิธีการ
ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ทุกคนต้องอยู่ในอาการเงียบสงบนะครับ เพื่อความเป็นศิริมงคลของเราครับ
หลังจากนั้นพ่อพราหมณ์ ก็จะเริ่มทำพิธีบวงสรวงครับ หากตั้งใจฟังดีๆ คำที่พ่อพราหมณ์ สวด(พูด)ออกมา ก็เป็นภาษาไทยอีสาน บ้านเรานั้นเองครับ หากจะให้ผู้เขียนแปล คำที่พ่อพราหมณ์ ตอนทำพิธี เนื้อหาบทสวดก็ หมายถึงการกล่าวคำ บูชาสักการะองค์นารายณ์ฯ และเทพยดา พระภูมิเจ้าที่ รวมไปถึง วิญญานเหล่าบรรพชนทหารกล้า (ที่เสียชีวิตในสงครามช่องบก) และดวงวิญญาณทุกดวงที่สิงสถิตอยู่ ณ เขาพนมดงรักแห่งนี้ นั้นเองครับ
เครื่องบวงสรวงจะมีตั้งแต่ ดอกไม้ธูปเทียน พวงมาลัย ขันหมากเบ็ง หัวหมู สุรา อาหารคาวหวาน ผลไม้ ลฯ
หลังจากเสร็จพิธีทางศาสนาพราหมณ์ เราจึงได้ชมความงดงามของ ภาพแกะสลักนูนต่ำนารายบรรทมสินธุ์
ผมเป็นคนอำเภอน้ำยืนโดยกำเนิดครับ แต่ไม่เคยได้มาสักที ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็น รูปแกะสลักนูนต่ำนารายบรรทมสินธุ์ ที่อยู่ใต้น้ำของจริง
ในขณะที่พวกเรากำลังเก็บภาพอยู่ คุณลุงเสื้อเขียว ก็จะคอยวิดน้ำออกเรื่อยๆครับ ไม่อย่างนั้นแล้ว น้ำก็จะท่วมรูปแกะสลักฯ เป็นเหตผลว่าทำไม? พิธีบวงสรวงฯ จึงต้องจัดขึ้นในช่วงเข้าหน้าแล้ง หากสังเกตจะเห็นว่ามีกระสอบทรายที่ทำเป็นคันกั่นน้ำอีกทีครับ
ผมต้องขอขอบพระคุณคุณลุงด้วยนะครับ ที่ทำให้พวกเราได้เห็นภาพภาพแกะสลักฯได้อย่างชัดเจนและสวยงาม ขอบคุณครับ
พี่น้องประชาชนในวันนั้นมากันเยอะมากครับ ทุกคนต่างรอที่จะเข้าไปสักการะ ภาพแกะสลักฯ
หนุ่มน้อยคนนี้ กำลังพยายามจุดธูปกับคุณแม่
หลังจากที่เก็บภาพความประทับใจเสร็จแล้ว ก่อนเดินทางกลับ เราขอพรกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฯ ขอให้ทุกท่านที่เดินทางมายังที่แห่งนี้มีความสุขความเจริญทุกๆท่าน และ ขอให้การเดินทางของพวกเราครั้งนี้ สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ^ ^
ในด้านพิธีทางศาสนาพราหมณ์ ในช่วงเช้า ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีครับ โดยจะใช้เวลาประมาณ 1 ซม. ครับ
ขณะเดียวกัน ก็ยังมีผู้คนเดินทางเข้ามาชมภาพแกะสลักนูนต่ำนารายบรรทมสินธุ์ อย่างไม่ขาดสาย บางท่านเดินทางมาจากบ้าน ตั้งแต่เช้าตู่วันนี้ก็มีครับ
ได้เวลา วอร์มร่างกายให้พร้อม สูดลมหายใจเข้าลึกลื๊กกกก!!
แต่ถ้าหากว่าท่าน ยังหลงเสน่ห์บรรยากาศของที่นี่ จะนั่งพักจิบกาแฟร้อนๆ ทานข้าวให้อิ่มๆ ก่อนก็ได้นะครับ
ผู้เขียนรู้สึกว่า เครื่องกำลังร้อนได้ที่ ขอเดินรอ ล่ะกันนะครับ 😍
แวะทักทาย คุณลุงคุณป้า ระหว่างทางครับ ^ ^
น้องบางคนอายุยังน้อยๆ อยู่เลยครับ แต่เดินเก่งมากๆ (ยกนิ้วให้เลยครับ)
น้ำหนักกระเป๋าของเรา รู้สึกว่าจะลดลงกว่าเมื่อวานนิดๆ
ผักคอนแคน หรือ ค้อนหมาขาว เป็นผักที่เริ่มหายากแล้วในแถบนี้ ทางพี่ๆ เจ้าหน้าที่ จึงขอให้เราอนุรักษ์ไว้ให้ลูกๆ หลานๆได้ดูครับ
สรรพคุณ ของ ผักคอนแคน มีคุณสมบัติเย็นและหวาน ช่วยแก้ร้อนใน ลดไข้ ทำให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า บรรเทาอาการไอ มีเสมหะ ชุ่มคอ ผู้ป่วยโรคเบาหวานจะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดลงลงได้ หรือ จะนำไปประกอบอาหารก็ได้ครับ ยอดอ่อน มีรสหวาน ใช้ลวก ต้ม รับประทานเป็นผักจิ้มกับน้ำพริก แกงเลียง แกงส้ม ลฯ
นอกจากนี้ ก็ยังมีพืชตระกูลเฟิร์น และเห็ดบางชนิด ที่แอบถ่ายติดกล้องมานิดหน่อย
อาจารย์เคยบอกว่า ถ้าเราอยากรู้ว่า ระบบนิเวศของป่าไม้บริเวณนั้นเป็นอย่างไร ให้ลองสังเกต ที่สีของเปลือกต้นไม้ครับ ในภาพ สีของเปลือกเป็นด่างๆ แสดงว่าระบบนิเวศที่นี่ยังอุดมสมบูรณ์ครับ
เดินมาได้สักพัก นึกถามตัวเองอยู่ในใจ เฮ้ย! นี่เราเดินมาทางเดียวกัน กับเมื่อวานใช่ไหม? มองซ้ายมองขวาเอ้าเฮ้ย! เดอะแก๊งหายไปไหนหมดเนี๊ย มารู้อีกทีว่าตัวเองเริ่มจะหิวข้าวแล้วครับ ฮ่าๆ
โชคดีที่เราออกเดินทางแต่เช้า อากาศยังไม่ค่อยร้อนมาก ประกอบกับยังมีต้นไม้ใหญ่ๆ คอยให้ร่มเงาตลอดทาง
หากไม่นับว่า เราต้องเดินทางไกลๆหลายๆกิโล อดทนเก็บตังค์ ที่แบ่งจากค่าขนมของเรา ลฯ เพื่อไปในที่เงียบๆ หรือจุดหมายที่เราต้องการจะไป นี้ก็เป็นอีกโมเม้นดีๆ ในชีวิตหนึ่งของเราได้เหมือนกัน
เพราะบางครั้ง เหตุผลของการออกเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง บางทีอาจจะไม่มีอะไรพิเศษมากมาย บางครั้งแค่ทำอย่างไรก็ได้ พาตัวเองออกไปจากตรงที่เราไม่สบายใจ ณ ตอนนั้นก็พอ
แต่ตอนนี้รู้สึกว่า คอแห้งและหิวน้ำมากๆ ล้วงเข้าไปในกระเป๋า แม่จ้าววว!!! จะถึงที่หมายไหมเนี๊ย
ก็เล่นยก กระดกๆ ตลอดทางแบบนั้น "เหลือแค่เนี๊ย"
พลันสายตาก็เเหลือบไปเห็น หนองน้ำใส ใจนี้อยากจะกระโจนเข้า ยกซดๆ เหมือนในละคร แต่พอคิดถึงความปลอดภัยแล้ว เฮ่อ!!!!!!
ก่อนจะออกเดินทาง ก็มีไปอ่านหนังสือเดินป่า และหาข้อมูลในอากู๋นะ เรื่องน้ำนี้แระครับ ไปเจอตรงข้อความหนึ่งที่ว่า กฎของการดื่มน้ำในป่า คือ ดื่มน้ำไหลเท่านั้น อย่าดื่มน้ำนิ่ง ถึงแม้ว่าจะต้มแล้วก็ตาม
💧เขร้!!!!! แล้วไอ้น้ำ ที่อยู่ตรงหน้านี่ มันนิ่ง หรือมันไหล ฟ่ะ (นึกแล้วก็ตลกตัวเอง ฮ่าๆ) 💧
สรุปคือ เดินต่อไปครับ ไปหาที่เติมน้ำตรงมีผู้คนเยอะๆ เผื่อจะได้ถามเค้าด้วยอันไหนกินได้ อันไหนกินไม่ได้
เรี่ยวแรงตอนนี้ ถ้าเทียบกับนักมวย ก็ตอนยก4ล่ะครับ😰 (เหลือแค่ใจ) ในใจก็นึกถึงเพลง เพลงหนึ่งที่วัยรุ่นเค้ากำลังฮิตกัน
🎵"ถ้าเราเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องพบเจอ คนใจร้าย
ผมว่าบางที ถ้าโดนใครเค้าหักอกมา การนอนนิ่งๆ อยู่บ้าน ก็ไม่เลวเหมือนกันนะครับ ^ ^
แม๊ะ ชีวิตคนเรา ก็ไม่โชคร้ายตลอดหรอกเน๊อะ!!! เมื่อพี่ชายของเรา (กัปตันทีม) บอกว่า ได้ทำการ ซ่อนน้ำดื่มขวดเบ้อเริ่ม ไว้อีกข้างหน้าไม่ไกล เท่านั้นล่ะครับ รู้สึกว่ามีเรี่ยวแรงมหาศาลมาแต่ไหนก็ไม่รู้ อยากจะวิ่งไปให้ถึงไวๆ ถ้าไม่ติดว่า "ขาเจ้ากรรมมันไม่เอาด้วย" ฮ่าๆ
ในที่สุดเราก็มาถึง จุดซ่อนน้ำดื่ม ของเราแล้ว ขอนั่งพักเอาแรงสักหน่อย ละกัน
2 วันนี้ น้ำ เป็นอะไรที่ อร่อยมากๆ
หากไม่นับชีวิตเราแล้ว ก็มีอยู่ไม่กี่อย่างในกระเป๋าผมตอนนี้ ที่จำเป็นจริงๆ
ระหว่างทางเราได้พบกับพระคุณเจ้า 3 รูป ท่านกำลังเดินทางไปธุดงค์ในป่า
พักชาร์จพลังจนเต็มแล้ว ก็ลุยต่อเลยครับ ราวบันไดในภาพ ตอนขามาผมไม่แตะเลยนะครับจะบอกให้ ขากลับนี้แถบจะกอดราวบันไดขึ้นครับ ฮ่าๆ
เราใช้เวลาไม่นานนัก ก็มาถึงวังเดื่อ นี้เป็นจุดหนึ่งที่ท่านสามารถเติมน้ำดื่มได้ครับ
น้ำใส และเย็นมาก ๆ หลายคนยอมแบกขวกน้ำเปล่ามาหลายกิโล ก็เพื่อสิ่งนี้ล่ะครับ ^ ^
มองดูเวลาแล้ว นึกว่าตัวเองเดินมาครึ่งค่อนวันที่ไหนได้ พึ่งจะ4โมงเช้า สงสัยหิวข้าวจนเบลอไปหมดแล้ว
นี่ถ้าไม่ติดว่าท้องผมเริ่มก่อม็อบประท้วงแล้ว จะนอนพักสักงีบซะหน่อย บรรยากาศน่านอนกลางวันมากๆ
ถ้าเดือนหนึ่ง เรามีช่วงเวลาแบบนี้ สักวัน2วัน ก็คงจะดีเน๊อะ อย่างน้อยๆก็เป็นการชาร์จแบตให้ตัวเอง
ได้อยู่กับตัวเองเงียบๆ บางที ก็ทำให้เราเห็นสัจธรรมในชีวิตหลายๆอย่าง🍂
✎ ในที่สุด เราก็เดินทางมาถึงช่วงท้ายของทริปแล้ว สรุประยะทางที่เราเดินมาทั้งขาไปและขากลับ ประมาณ 28 กิโลเมตร ผ่านจุดพักหลักๆ 3 จุด คือ วังเวิน วังเดือ และวังมนต์
หากจะพูดจริงๆแล้ว ยังมีอีกหลายจุด หลายวัง มากครับ ไม่ว่าจะเป็น วังห้วยไห(ก่อนจะถึงวังเดือ) หรือ วังป้ออ้อ วังชะโหงก ที่เราต้องเดินเท้า เข้าไปอีก 10 กว่ากิโล ที่ผู้เขียนไม่ได้นำเสนอ เพราะหากจะไป ต้องใช้เวลาเดินเท้าเป็นวัน และจำเป็นต้องมีเจ้าหน้าที่ฯเดินทางไปด้วย เนื่องจากเส้นทางจะอันตรายกว่านี้มากครับ
สำหรับท่านที่มาถึงจุดสตาร์ทแล้ว ก็อย่าพึ่งรีบกลับนะครับ พักแวะกินน้ำหวานเย็นๆให้ชื่นใจก่อน และ ขอขอบพระคุณแม่ๆ ที่ทำน้ำหวานอร่อยๆ ไว้รอพวกเรานะครับ 😘
นอกจากนั้นยังมี กิจกรรมน่ารักๆ คือ ผูกแขน รับขวัญ รับพร จากผู้เฒ่าผู้แก่ ก่อนจะกลับบ้านอีกด้วยนะครับ ^ ^
สุดท้ายนี้ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย บารมีหลวงพ่อโคตะมะ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในเทือกเขาพนมดงรักแห่งนี้ จงดลบันดาลให้ท่านผู้อ่านทุกๆท่าน ประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์ ปลอดภัย คิดสิ่งใดสมดังปรารถนา พบเจอแต่สิ่งดีๆ ด้วยเทอญ.
♥♥ .•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•*´¨`*•.¸¸.•♥
ทริปลุยป่าหน้าร้อนของเรา ก็ขอจบตอนเอาไว้แค่ก่อน เหนือสิ่งอื่นใดผู้เขียนขอขอบพระคุณ ท่านผู้อ่าน ทุกๆท่านที่ อดทนอ่านมาจนถึงตอนนี้ ขอบคุณมากๆครับ 。◕‿◕。
。 ✿*゚แล้วพบกันใหม่ทริปหน้านะครับ * *.:。✿
📤หากมีข้อสงสัยในการเดินทาง : สามารถ inbox มาที่ผมได้ตลอดเวลาเลยนะครับ
https://www.facebook.com/Suiy.Kee.King
Fan Page Facebook @ที่นี่น้ำยืน : https://www.facebook.com/teeneenamyuen
📡 พิกัดจุดสตาร์ท : 14.407323, 105.110904 14°24'26.4"N 105°06'39.3"E
💰 : ค่าใช้จ่ายในการทาง เฉลี่ยต่อคนแล้ว ไม่ถึง 500บาทครับ (ค่าสถานที่ ฟรี ครับ💸)
🚘 : ยานพาหนะที่แนะนำ 🏍️บิ๊กอัพ , 4WD, มอเตอร์ไซค์ (ไม่นำรถเก๋งนะครับ)
DanOnTour
วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 22.15 น.