เมื่อกระแส 'ท่านขุน' และ 'ออเจ้า' มันแรงเหลือเกิน ข้าพเจ้าก็อดเสียไม่ได้ที่จะต้องพาชมเมือง พระนครฯ เมื่องเก่าเมืองแก่ ที่สวยเหลือเกินเจ้าค่ะ แต่แท้จริงแล้วนั้น แต่กานรเดินทางมิได้เพิ่งเกิด ข้าพเจ้าไปพระนครตั้งแต่ กลางเดือน มกราคม แต่ต้องรอเพลากับการล้าง 'ฟิล์ม' เพื่อให้ได้อรรถรส อีกแบบในการรับชม รูปถ่าย ของข้าพเจ้า

นี้เป็นตัวอย่าง รูปฟิล์ม ที่ข้าพเจ้า ชักภาพมาได้

และนี่ก็เป็นพ่อหนุ่ม เชื้อชาติฝรั่งเศส ที่บังเอิญมาพบกับข้าทั้งหลายและทำให้เรื่องน่าประทับใจต่างๆ เกิดขึ้น

-- Camera : Cannon Eos55--

Film : Kodak Gold

:

ขอเริ่มเกริ่นกันที่การเดินทาง และสถานที่บางแห่งคร่าวๆ เน๊าะ

การเดินทาง รถไฟ > หัวลำโพง - อยุธยา > เรือข้ามฟาก

เดินทางชมเมือง : เช่ามอเตอร์ไซต์ 2 คัน (250 / คัน น้ำมันแยก รวมๆประมาณ 100 บาท /2คัน)

ที่พัก : Hostel 'Early Bird' 1 คืน สามคน 600 บาท + Breakfast

เรื่องสถานที่ที่เข้าชม เราไม่ได้ปักหมุด หรือเฉพาะเจาะจงมากนัก แค่มีวัดที่ต้องไปให้ได้ ยังไงก็ต้องไป จริงๆ แล้ววัดมันติด ๆ กัน ใครเคยเข้ามาพระนคร น่าจะรู้กันอยู่แล้ว แต่ครั้นจะเดิน หรือ ถีบจักรยาน เห็นที่ได้เป็นลมกลางถนนเป็นแน่ เราจึงได้เลือกจะเช่า มอเตอร์ไซต์มาเป็นพาหนะหลักของเราในการเที่ยวครั้งนี้....

:

อย่างที่บอกว่าเราเดินทางกันด้วย "รถไฟ" สถานีต้นทางก็ หัวลำโพง มีเวลาถ่ายรูปนิดๆ หน่อยๆ เอาเวลาไปกินข้าวมากกว่า

(รูปอารมณ์ Selfie มันมาจากกล้องเพื่อน ทั้งหมด Casio....เราได้พยายามแต่ง สี รูปมาไม่ให้มันฟรุ้งฟริ้งที่สุดละ ทำได้เพียงเท่านี้)

:

แต่ถ้ามีเวลาจริงๆ ไม่เสียเวลากับการนั่งเม้าท์ แล้วกินข้าว คงได้มีเวลา เดินเก็บรูปบางมุมในสถานีอีกเยอะ

ยังไงก็ เช็คตั๋วกันด้วยว่าตั๋วรอบกี่โมง คือมันตรงเวลามากนะ เรากับเพื่อก็แอบวิ่ง หอบขึ้น ขบวนเหมือน

ขึ้นขบวนทมากก็ไม่ได้ถ่าย บรรยากาศในขบวนมากนัก ได้เพื่อนใหม่ ก็มัวแต่ คุย อีกนั่นแหละ ได้มาแค่ไม่กี่รูปในช่วงระหว่างเดินทาง

คือรูป ระหว่างเดินทาง คือน้อยนิดมาก

พอถึงสถานี ต่างคนก็ต่างแยกย้าย ไอ่คนวิถีอย่าางเราๆ เช่าตุ๊กตุ๊ก มันก็ง่ายๆ ไป ออกจากสถานี เดินข้ามถนนไปอีกฟากถนน เพื่อไปลงเรือ ข้ามไปฝั่งตลาดเพื่อเดินไป ที่ที่พัก

สุดท้ายคือ นาง ก็มาลงเรือกับพวกเรา

หลังจาก เรือพาเราข้ามฟากมาแล้ว พวกเราเปิด GPS เพื่อจะเดินไปที่ที่พัก

ในส่วนนี้เราแนะนำว่า หากใครเดินไม่ไหวให้เรียก วิน หรือตุ๊กๆ

:

คือถ้าช่วงอากาศเย็นๆ เดินมันก็สบายๆ อยู่ แต่ถ้าร้อนๆ หน่อยอาจจะชวนหงุดหงิดได้

Finally we got here!!!!

ในที่สุดเราก็เดินๆ จนถึงที่พัก hostel early bird

แต่ขอประทานโทษอย่างแรงที่ไม่ได้ถ่ายหน้าที่พักเลย

ห้องพักเป็น พักรวมเน๊าะสำหรับที่นี่ Shared bathroom รู้สึกที่เราพักจะ 8 หรือ 10 เตียง นี่แหละ

หัวเตียงก็ประมาณนี้

ถ้าคชใครเคยพัก Hostel อยู่แล้ว ก็จะเข้าใจอารมณ์ ส่วนใครที่ยังไม่เคยนอนแบ MIx dorm , shared bathroom ที่นี่ก็เป็นอีกตัวเลือกให้ลองมาพักกันดู เจ้าหน้าที่ พูดคุย อัธยาศัยดี

-- แต่ที่นี่ไม่มี มอไซต์ ให้เช่าน่ะ ถ้าใครจะเช่าต้องไปอีกซอย สอบถามเจ้าหน้าที่ดูได้--

เช็คอิน เก็บสัมภาระ ล้างหน้าล้างตา ที่พักก็ให้ Map เรามา + แนะนำว่าไปไหนดี ไปไหนได้

โดยจุดหมายแรก เราปักไปที่ ร้านเช่ามอเตอร์ไซต์ก่อนเลย 555+ เช่าแล้วอยากไปไหนก็ไปได้

:

สรุปกันว่า

ที่แรกลงเอยกันที่ 'วัดโลกยสุธาราม'

วัดโลกยสุธาราม เป็นที่รู้จักกันดี เนื่องจากเป็นวันที่ประดิษฐาน พระพุทธไสยาสน์องค์ใหญ่ของ พระนคร

ขอแนะนำอีกอย่างคือ น้ำมะพร้าว ร้านหัวมุม แถวที่จอดรถมอเตอร์ไซต์ บริการดีมาก ลงรถปุ๊บ ซื้อน้ำมะพร้าวดื่ม ลืมร้อน เลย ดื่มมะพร้าวเสร็จก็ ซื้อดอกไม้ ธูปเทียน ไหว้ ขอพร ตามอัธยาศัย





// สิ่งหนึ่งที่เราเห็น จากนักท่องเที่ยวที่มาวัดนี้ คือ นักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่รู้ว่าการ นอนถ่าย ลงกับพระนอน แบบนี้เป็นกิริยา ที่ไม่น่ารัก และการมีไกด์มาด้วย ยิ่งดูเป็นเรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้น เหล่าพี่ๆ ที่ขายดอกไม้อยู่ต่างตะโกนเพื่อบอกไม่ให้ทำ แต่ ช้าก่อน ภาษาที่พี่ๆ แกตะโกนบอกเป็นภาษาของชาตินั้น เลิศ สุด พูดเลย แต่ยังดีที่นักท่องเที่ยวก็รีบลุก และหยุดถ่ายด้วยกิริยานั้นๆ แต่สิ่งที่เรารู้สึกว่า ไกด์ผู้เป็นคนพามา ควรห้าม หรือเตือนให้นักท่องรู้ถึงสิ่งที่ทำได้ หรือไม่ได้ ในแต่ละสถานที่ด้วย //

-- เหมือนจะบ่นยาวไปนิด--

มาค่ะไปต่อ สถานที่ต่อไป

'วัดพระศรีสรรเพชญ์'

วัดพระศรีสรรเพชญ์ อดีตเป็นถึงวัดหลวงประจำพระราชวังโบราณ จุดเด่นที่น่าสนใจของที่วัด คือ เจดีย์ทรงลังกา จำนวน 3 องค์ที่วางตัวเรียงยาว (พูดไปจะไม่นึกภาพกันไม่ออก รอดูซิ๊ว่าเราจะมีมาให้ดูมั้ย) จากที่เราอ่านมา วัดนี้เป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา และภายหลังกลายเป็นต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา


ที่แน่ๆ ที่เราสัมผัสได้คือ ใหญ่ มาก สมเป็นวัดหลวงประจำพระราชวังโบราณ


พอจะนึกภาพ ความกว้างใหญ่ และสมเป็นวัดหลวงกันออกมั้ยเอ่ย


ใกล้อีกนิด

ถึงจะลอง ถ่ายแค่ เจดีย์ องค์เดียว เรายังรู้สึกถึงความใหญ่ และศักดิ์สิทธิ์ ของสถานที่


นักท่องเที่ยวพากันเดินไปถ่ายรูปบริเวณเจดีย์ค่อนข้างเยอะเลย



เรียนกันนอกสถานที่สนุกดี


ตัดภาพกลับมาที่เรา

มุมนี้คนมันโล่งดี ซักหน่อยละกัน


เดินกันให้รอบๆ หาที่ที่ลงตัว แล้วกดชัตเตอร์รัวๆ



เหนื่อยก็พัก ไม่ว่ากัน เพราะแดด มันแสนจะแรง

เราเข้าอีกประตู - ออกอีกประตู


เอาจริงๆวันนั้นเดินกันเยอะมาก และร้อนมากเช่นกัน

ความหิว และกระหายก็ต้องทำให้เราต้องหันมามองที่เรื่องของกิน

ท้องไส้หิว อะไรก็หยุดไปหมด

คิอ งอแงกันเลยแหละ

เราเลย ปักหมุดไปที่ ร้าน 'SAY Cafe & Gallery'

จริงๆ ที่นี่เป็นอีกที่ที่ปักหมุดไว้ แต่ช่วงเวลาที่เราไป แสงแดด แสงอาทด และความเหนื่อยล้า มันทำให้เรา อ่อนเพลีย เวลานั้น ขอสั่งน้ำเย็นๆ แล้วก็ขออะไรมารับทานก่อนก็จะเป็นดีที่สุด


ร้านจะอยู่ตรงข้ามกับ 'วัดราชบูรณะ'

คือ รับทานเสร็จก็ไปวัดได้เลย

แล้วคือวิวมันก็เพลินๆ ดี แต่เสียดาย อากาศมันร้อนไปหน่อย

เนี่ย วิว มันดีดี๊ เหมือน ฝรั่ง คนนี้เค้าจะมาประจำ มาถึงสั่งละก็นั่ง Lecture บนสมุดอย่างเมามัน

ตัดกลับมาที่เรา

ก้มหน้า ก้มตา จิ้มโทสับมันเข้าไป ไหนมันบอกว่ามันหิวกันงัย

สั่ง สิ่ สั่ง


สุดตัด ตัดบทจบที่

น้ำเย็นๆ ชื่นใจ และขนม 1 จานใหญ่

ในระหว่างที่รอขนมนั้นขอเก็บภาพ นิดนึง



เราว่าการตกแต่งในร้าน เป็นสไตล์ Loft ผสม Minimal หน่อยๆ




Bakery ก็จะถูกจัดเรียง ได้น่ารับทานมาก


ในส่วนของเมนู ที่เราสั่งไปนั้น ในที่สุด ก็มาเสริ์ฟ


ในส่วนของเราานั้น จัดไปกับ น้ำตะไคร้ คือมันสดชื่นมาก

ตามด้วย


โอโห ยุเพื่อนให้สั่ง อะไรแปลกๆ ไม่ขึ้นเลยจริงๆ ชีวิตมันจะ กินน้ำอยู่แค่นี้จริงๆ

เดี่ยวมาดูสิ่งที่ สายเกาเราสั่ง


มันล่อมะพร้าวเป็นลูก ๆ โอโห เกินหน้าเกินตามาก

มาดูของหวานเรากันดีกว่า


จะดูมุมไหนดีน้าาาา

แพนเค้กของเรา น่ารัปทานเหลือเกินค่ะ ออเจ้า




จะมุมไหนๆ ก็น่ารับทานไปหมด

คือ ร้านนี้เราว่ามันโอเคเลย ไม่รู้เพราะช่วงที่เราไปคนน้อยรึเปล่า มันเป็นวันธรรมดา

สถานที่โอโถงดี พนักก็น่ารัก ยิ้มแย้ม ชั้นบนก็เป็น Gallery นะ แต่ ไม่ได้ขึ้นอ่ะ ทำไงดี สงสัยต้องกลับไปย้ำ

เราพูดเลยนะ วิวดีมาก ขนาดช่วงเวลาตอนเราไปแสงมันย้อนแย้งมาก เราว่ายังได้วิวดีเลย

ใครไปแถวนั้นลองแวะไปชิมอาหาร ขนม เครื่องดื่มที่นั่นดู


ในส่วนของ สถานที่ต้อมาจะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ นอกจาก

'วัดราชบูรณะ'

ปักหมุดมาที่นี่เพราะ พี่สาวบอก ต้องมานะๆ ไอ่เรายังไม่ได้หาข้อมูล อะไร ตอนนางบอก พอก่อนมาลองเข้าไปหาข้อมูล แหม่ะ มันน่าจะต้องไปซักหน่อยละ

วัดนี้เค้าบอกว่า เป็นวัดที่ใหญ่ และเก่าแก่มากใน พระนคร ส่วนเรื่องที่เราได้ยินมาก่อนหน้าคือ จากละครเรื่อง 'พิษสวาท' ที่วัดเป้นกรุเก็บสมบัติเก่าแก่ แล้วมีกลุ่มคนร้ายเข้าไปลักลอบขุดกรุภายในพระปรางค์ประธาน

(ส่วนหนึ่งจากที่หาข้อมูลมา เหมือนจะเดินลองไปสำรวจที่กรุได้ แต่เอาตริงไม่กล้า ละคือเวลาใกล้โพล้เพล้แล้ว) เราเลยขอเดินสำรวจรอบๆวัดดีกว่า



โถๆ พี่เกา ของเรา ตัวเหลือนิดนึง


นี่คือลืมตา หรือหลับตาอ่ะ

ในส่วนของเรานั้น ขอมีรูปบ้าง


และกว่าจะได้รูป ช็อตนี้มา ถ่ายประมาณ 10 ช็อต

ก็ สวย อยู่ นาจา


ขออีกซัก มุม เถอะ


นกน้อย คล้อยบินมาเดียวดายยยยยย


คือพระปรางค์ ใหญ่มาก เราเองทึ่งมาก กับความกว้างและเก่าแก่

คืออาณาบริเวณ กว้างมาก

คือบ่งบอกถึงความเจริญรุ่งเรือง ของพระนคร ในสมัยนั้นมาก


พอเพื่อนขาสั่น นางก็ไม่สามารถจะขึ้นที่สูงได้

นางก็เลยขอนั่ง สวยๆ รอด้านล่าง


อ๊ะๆๆๆๆ นี่ไงล่ะ ฝรั่ง ที่เราว่า

คือ ทำไมหาที่นั่งได้เหมาะเจาะเหลือเกิน

ทำไปทำมา เราสอง สาม สี่ คน เลยได้ยิงยาวไปเที่ยววัดสุดท้ายของวันกัน

เพราะเราไปบอกนางว่า วัดสุดท้ายที่เราจะไป ถ่ายพระอาทิตย์ตกเย็นสวยมาก


สาย ฝ backpack แบบนี้ ไม่มีที่จะปฏิเสธ

ไปไหนไปกัน

ไปค่ะ!!!


วัดที่เราจะไป เป็นวัดะไรไปไม่ได้

:

วัดไชยวัฒนาราม

วัดไชยวัฒนารา เป็นวัดหลวงที่บำเพ็ญพระราชกุศลของพระมหากษัตริย์สืบต่อมาหลังจากนั้นทุกพระองค์ จึงได้รับการปฏิสังขรณ์สืบต่อมาทุกรัชสมัย เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงศพพระบรมวงศานุวงศ์เกือบทุกพระองค์ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศสิ้นพระชนม์ก็ได้ถวายพระเพลิงที่วัดนี้

:

นี่รูปฟิล์มเน๊าะ


พระอุโบสถ อยู่ทางด้านทิศตะวันออกนอก ระเบียงคด มีซากพระประธานปางสมาธิ
ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชี สถาพปัจจุบันเหลือเพียงฐานเสาอุโบสถ และรอยฐานเสมา




มัวแต่ติดคุย พระอาทิตย์ก็คือ แทบลับขอบฟ้าละ


คือพูดจากใจเลยว่า พระอาทิตย์ได้ตกดินไปเรียบร้อยแล้วจ้า

เหลือเพียงแสงจากดวงอาทิตย์ ที่สาดส่องมา บางๆ ให้เราได้พอชักภาพ



เดินไปรอบๆ ก็จะได้ภาพ สวยๆ อยู่บ้าง เพราะพอใกล้ มึด เจ้าหน้าที่จะเปิด ไฟ ให้ ก็เพิ่มแสง สี ไปอีก


ยังไงเดี่ยวขอลงเป็นรูปฟิล์มเน๊าะ



มาตั้งกล้องรอกันเต็มเลย



ได้ภาพจากตรงนี้ แล้วเราก็ หิวโหย ตั้งใจกันว่าจะไปหาของกินที่ตลาดโต้รุ่ง


พอรับทานกันแล้ว ก็แว๊นไปส่ง ฝ ผู้นี้ที่ ที่พัก นัดแนะกันว่า พุ่งนี้เราจะไปด้วยกัน

ไปไหนก็ได้ ถ้า เราพาไปนางก็ไป

ดีเชียว

วัดแรกของวันสุดท้าย คือ

วัดมหาธาตุ

วัดมหาธาตุ ตั้งอยู่เชิงสะพานป่าถ่าน ทางทิศตะวันออกของวัดพระศรีสรรเพชญ์ มีสิ่งที่โดดเด่น คือ เศียรพระพุทธรูปกว่าร้อยปีใน รากไม้ โดยเศียรพระพุทธรูป เป็นพระพุทธรูปหินทรายเหลือแค่ส่วนเศียร สำหรับองค์พระนั้นหายไป และเป็นเศียรพระพุทธรูปเป็น ศิลปะอยุธยา วางอยู่ในรากโพธิ์ข้างวิหาร คาดว่าเศียรพระพุทธรูปนี้จะหล่นลงมาอยู่ที่โคนต้นไม้ในสมัยเสียกรุงจนรากไม้ขึ้นปกคลุม ทำให้มีความ งดงามแปลกตา จนเลื่องลือกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ทำให้วัดแห่งนี้กลายเป็นวัดที่มีชื่อเสียงและ เป็นที่รู้จักทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ



การจะถ่ายรูปกับ เศียรพระพุทธรูปนั้น ควรนั่งนะคะ



นี่ก็เก็บเกือบจะทุกมุม



สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ

สูงมากกกกก

เก็บภาพ พอหอมปากหอมคอ

ท้องก็ร้องแบบเบอร์แรง

ไปคะ ตลาดน้ำเถอะค่ะ

ตลาดน้ำอโยธยา เป้าหมายต่อไปของเรา

จอดรถราเรียบร้อย สาย ฝ สาย เกาเนี่ย เห็น ช้างไม่ได้


อร่อยมั้ยล่ะฝ , เกา

ข้ามสะพานไปเดินช๊อปปิ้งกันโลด

ของจะเยอะวัน เสา-ทิด เน๊าะ วันธรรมดาก็จะน้อยๆ หน่อย

เสร็จจากที่ตลาดน้ำแล้ว เราก็ต้องเอารถไปคืนเน๊าะ

แต่เวลา ส่วนที่เหลือ ระหว่างรอรถไฟ

ก็เช่าตุ๊กๆ ไปอีกซัก วัด สองวัดละกันเน๊าะ

ฝากกระเป๋าที่ สถานีรถไฟ ละเช่าตุ๊กๆคุณลุงยาวไป


วัดมหยงคณ์

ประวัติความเป็นมาของวัดมเหยงคณ์น่าสนใจ เพราะเป็นเครื่องชี้ถึงความเจริญด้านจิตใจ ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการก่อสร้าง ทะนุบำรุงพระอารามแห่งนี้สืบต่อกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ปัจจุบันนี้กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนใดมเหยงคณ์เป็นโบราณวัตถุ โบราณสถานของชาติ ตั้งแต่วันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ พงศาวดารเหนือได้จดไว้ว่า พระเจ้าธรรมราชา กษัตริย์องค์ที่ ๘ ของอโยธยา มีมเหสี ชื่อ พระนางกัลยาณี และพระนางเป็นผู้สร้างวัดมเหยงคณ์พระเจ้าธรรมราชา (พ.ศ. ๑๘๔๔ - ๑๘๕๓) เป็นพระราชบุตรเขยองค์แรกของพระเจ้าสุวรรณราชา พระองค์ทรงสร้างวัดกุฏีดาว ส่วนพระนางกัลยาณี พระอัครมเหสีทรงสร้าง วัดมเหยงคณ์ถ้าเชื่อพงศาวดารเหนือ ก็แสดงว่าวัดมเหยงคณ์สร้างในสมัยอโยธยา ก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยาอย่างน้อย ๔๐ ปี


บริเวณโคกโพธิ์
เป็นเนินดินตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพุทธาวาส ลักษณะเกือบเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส ยาว ๕๘ เมตร กว้าง ๕๐ เมตร อาจเป็นที่ตั้ง พลับพลาที่ประทับของพระเจ้าหงสาวดีตะเบ็งชะเวตี้ ต่อมาเมื่อพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทรงปฏิสังขรณ์วัดนี้ คงจะได้สร้างเจดีย์เล็ก ๆ หรือสิ่งก่อสร้างอื่น เพราะสังเกตเห็นเป็นมูลดินเตี้ย ๆ คล้ายเจดีย์อยู่หลายแห่ง ได้พบรากฐานอิฐและกระเบื้องอยู่มาก (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของ;ลานธรรมจักษุ)





สถานที่ต่อมา ของเราคือ

วัดกุฎีดาว

วัดกุฎีดาว ตั้งอยู่ใน ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา นอกเกาะเมืองทางด้านทิศตะวันออกของสถานีรถไฟพระนครศรีอยุธยา

มีลักษณะรูปแบบศิลปะคล้ายกับวัดหลวงในสมัยอยุธยาตอนต้นถึงอยุธยาตอนกลาง ปรากฏร่องรอยฝีมือการสร้างอย่างงดงามตามอย่างศิลปะสมัยอยุธยา เจดีย์ใหญ่กลางวัด เป็นเจดีย์ทรงกลม ฐานกว้าง 30 เมตร บางส่วนขององค์ระฆังหักโค่นลงมาจมดินโผล่ให้เห็นบางส่วนมีความใหญ่โตขององค์เจดีย์





เจดีย์ ขนาดใหญ่มากกกก



คริคริ

หลังชมวัดเรียบร้อย ท้องมันก็จะร้องๆ

กลับที่สถานีรถไฟ เรียนเชิญ รัปทายของหวาน ที่ร้าน

The Station Ayutthaya


ทั้งเกา ทั้งฝ เอร็ดอร่อย พลินเลย


ในส่วนของเราสั่ง Honey toast ฝ งง บ้านนางไม่มีใหญ่เบ้อเร่อขนาดนี้



ร้านนี้ ดีนะ ทำเลารอรถไฟใน้านนี้คือดีมาก

พนักงานก็ดี ดี๊ ดี บริการดีมากกกกก

รับทานไป คุยกันไป แลกเปลี่ยน ความคิด เรื่องต่างๆ นาๆ

ทริปสั้นๆ ใกล้กรุง แถมได้เจอ เพื่อนใหม่ สายฝ

สรุป แล้วไม่ได้พี่ขุน พี่หมื่นเลย เราได้ สายฝ นี่แหละ

แฮปปี้ ละ


เจอกันทริปหน้าเน๊าะ ดูซิเราจะได้ ฝ หรือ เกาเป็นเพื่อนใหม่เน๊าะ

Thank you for all information from https://th.wikipedia.org


ความคิดเห็น