โจทย์ในการเดินทางของเราในครั้งนี้คือ..
ประเทศใกล้บ้านที่จะสนุกแบบลุยๆครบทุกรสชาติ
แล้วก็สรุปกันคือที่นี่เลย!! ‘เวียดนามใต้’
ครั้งนี้เรามีโอกาสได้ไปตะลุยกันมาถึง3เมือง
โฮจิมินห์ : เที่ยวชมสถาปัตยกรรมเก่าแก่สไตล์ยุโรป
เรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเมืองผ่านพิพิธภัณฑ์ต่าง ๆ
ดาลัด : เมืองแห่งดอกไม้ และสายลมหนาว
และที่สุดท้ายที่ไม่ควรพลาดคือมุยเน่ : ที่มี
ชายหาดและทะเลทรายที่ใหญ่เป็นอันดับต้น ๆ
ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งหมดนี้กับทริป
5 วัน 4 คืน จะสนุกครบรสขนาดไหนไปดูกันน:)
เพจ>>https://www.facebook.com/wejourneys
Instagram>> https://www.instagram.com/ou.wejourney
เราเดินทางถึงสนามบินโฮจิมินห์ซิตี้ เตินเซินเญิ้ต (Ho Chi Minh City Tan Son Nhat International Airport)ประมาณ 17.00น. ทริปนี้เราไปกันสองคนค่ะ ที่นี่ไม่ต้องกรอกใบตม.สามารถยื่นพาสปอร์ตได้เลย เราแลกเงินดอลลาร์มาจากไทยแล้วไปแลกเป็นเงินเวียดนามที่บูธที่สนามบินค่ะ
หลังจากแลกเงินเรียบร้อยแล้วก็เดินหาซื้อซิมกันที่สนามบินเลย ที่นี่มีร้านขายซิมอยู่หลายร้านอยู่เหมือนกัน ร้านที่เราซื้อคือ Vianaphone เราซื้อซิม5gb ราคา105.000vnd
จากนั้นก็เดินมาขึ้นรถเมล์เขียวเพื่อเข้าเมืองกัน เดินตรงมาทางออกสนามบินแล้วเลี้ยวขวา จะเจอรถเมล์สาย152 จอดอยู่ ค่ารถคนละ5000vnd แต่ถ้าใครมีกระเป๋าใบใหญ่ที่ต้องวางพื้นเค้าจะเก็บเพิ่มค่ากระเป๋าอีก5000vndนะคะ
เรานั่งรถไปลงแถวถนน De tham ใช้วิธีดูGpsเอา พอใกล้ถึงแล้วก็ไปยืนรอที่ประตูหลังรถเค้าจะจอดให้เราลงเอง
จากนั้นก็เดินไปซื้อตั๋วไปดาลัดกันที่บริษัท Phuong Trang(Futa bus) เราซื้อตั๋วรอบ23.25น. เพราะคิดว่าจะได้ไม่ถึงเช้าเกินไป ค่าตั๋ว 210.000vndต่อคน และร้านข้างๆที่ขายตั๋วจะมีบริการฝากกระเป๋า ค่าฝาก20.000vnd ค่ะ
ตอนนี้ตัวเบาแระ^^เราก็เดินไปหาอะไรกินกันที่ The Cafe Apartment พอไปถึงสิ่งที่เห็นคือ!ไฟดับทั้งตึกจ้า555 กะว่าจะถ่ายด้านหน้าตึกสักหน่อยแต่ก็คิดว่ารอกันสักพักดีกว่าไหนๆก็เดินมาแล้วโชคดีที่มีช่างไฟกำลังแก้ไขอยู่
เรายืนรอกันไม่นานไฟก็มาแต่ก็มืดพอดี จากนั้นก็ขึ้นไปด้านบนดื่มน้ำชากันที่ร้าน Partea-English tearoom ร้านนี้มีคอนเซปต์ร้านน่ารักมากๆ
เข้าไปจะมีชาให้เลือกมากกว่า20ชนิด หอมทุกกลิ่นเลยค่า
พอเลือกกลิ่นชาที่ชอบแล้วหันกลับมาอีกมุมนึง ก็สามารถเลือกชุดแก้วกาแฟที่ชอบได้ด้วย! มีแบบให้เลือกเยอะมากๆ สวยน่าใช้ทุกชุดเลย หยิบได้ตามใจชอบแล้วเดินมาเลือกที่นั่ง
ทุกมุมของร้านน่ารักจริงๆ มีทั้งโซน Indoorและ Outdoor
หลังจากที่จิบชาหอมๆกันแล้ว ก็เดินไปถ่ายรูปที่ Opera houseกัน ระหว่างทางเราเดินผ่าน ศาลากลาง (City Hall) วันนี้เค้ามีงานกีฬาอะไรสักอย่างผู้คนคีกคักมาก
บริเวณนี้จะเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คนและในเวลากลางคืนจะมีจัดแสดงน้ำพลุดนตรีด้วยค่ะ
จาก City hall เราเดินไปอีกหน่อยจะเจอ โรงละครโอเปร่าโฮจิมินห์ (Opera House Ho Chi Minh) เป็นโรงละครเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อ 100กว่าปีก่อน มีความสวยงามแบบสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส โรงละครแห่งนี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าโรงละครแห่งเมืองโฮจิมินห์ (Municipal Theatre of Ho Chi Minh City) ปัจจุบันยังคงใช้เป็นสถานที่สำหรับชมการแสดงและคอนเสิร์ตต่างๆ ที่นี่จะมีลานน้ำพุที่เป็นจุดพักผ่อนสำหรับชาวเมืองและนักท่องเที่ยว และยังเป็นจุดถ่ายรูปโรงละครที่สวยงามอีกด้วยนะคะ
ถัดจากโรงละครเราเดินกลับมาหาอะไรกินใกล้ๆจุดที่เราจะขึ้นรถ ชื่อร้านว่า Sa Sa Cafe มีอาหารหลากหลายทั้งอิตาเลี่ยนและเวียดนาม เราสั่งอาหารเวียดนามมากินเพราะไหนๆมาถึงที่นี่แล้วก็ต้องชิมอาหารเวียดนามแหละเนอะ อาหารรสชาติใช้ได้เลย
นั่งเล่นกันสักพักใกล้เวลาออกเดินทางแล้ว เราเดินไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้แล้วไปรอขึ้นรถที่ฝั่งตรงข้ามกับที่เราซื้อตั๋วค่ะ
พอถึงเวลา 23.25น. ก็จะมีรถตู้มารับเราเพื่อไปขึ้นรถนอนอีกจุดนึง
นั่งรถมาไม่นานก็ถึงจุดจอดรถนอนที่เราต้องนั่งไปดาลัดคืนนี้ค่ะ ก่อนขึ้นรถพนักงานจะแจกถุงคนละใบเพื่อให้เราใส่รองเท้าจากนั้นก็นั่งตามที่นั่งที่จองไว้
จากโฮจิมินห์ไปดาลัดใช้เวลาประมาณ 6ชั่วโมงค่ะ
Day2
เราถึงดาลัดตอนตีห้าครึ่ง อากาศหนาวมากประมาณ15องศาทุกคนลงรถสั่นกันหมด^^
จากนั้นก็จะมีรถของบริษัทไปส่งเราที่โรงแรม เราจองที่พักผ่านAgodaไว้ ชื่อTulip Hotel Dalat ราคาคืนละ 646฿
พอถึงโรงแรมเราก็ติดต่อเช็คอินที่พักกันเลย แต่พอดียังเช็คอินไม่ได้เพราะยังมีลูกค้าอยู่ แต่พนักงานแจ้งเราว่าสามารถพักผ่อนและอาบน้ำได้ที่ห้องด้านล่างก่อนได้เลย ที่นี่บริการดีมากค่ะยิ้มแย้มแจ่มใสกันทุกคน
หลังจากที่เราอาบน้ำกินข้าวกันเรียบร้อยแล้วเพื่อไม่ให้เสียเวลา เราจองตั๋วที่จะไปมุ่ยเน่พรุ่งนี้กับทางโรงแรมเลย ค่าตั๋วคนละ 120.000vnd และก็เช่ามอเตอร์ไซต์เที่ยวดาลัดด้วย ค่าเช่ามอเตอร์ไซต์ราคา 150.000vndต่อคัน ส่วนกระเป๋าเดินทางเราสามารถฝากไว้กับที่โรงแรมได้เลยค่ะ
ที่แรกที่เราไปกันคือ น้ำตกฟงกัว(Pongour waterfall) ใช้เวลาเดินทางประมาณ1ชั่วโมงกว่า ถึงแม้จะไกลแต่ระหว่างทางได้ดูวิวข้างทางและอากาศก็ดีมากไม่ร้อนเลยถือว่าคุ้มมากค่ะ เดินทางสักพักเราก็มาถึงน้ำตก ที่นี่มีค่าเข้าคนละ10.000vnd
น้ำตกฟงกัว (Pongour waterfall) ขึ้นชื่อว่าเป็นน้ำตกที่สวยงามที่สุดในดาลัดค่ะ มีความสูง 20 เมตร และกว้าง 100 เมตร เป็นน้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเวียดนาม
ตัวน้ำตกจะมีสายน้ำไหลลงมาจากหน้าผาสวยงามมาก ที่นี่มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมความงามกันอยู่ตลอดเลย
ที่ต่อไปที่เราไปกันคือ วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda) จากน้ำตกใช้เวลาเดินทาง 1ชั่วโมงค่ะ ก็คือขี่กลับเข้าเมืองอีกครั้ง ที่วัดไม่มีค่าเข้านะคะ วัดตั๊กลัม (Truc Lam Pagoda)เป็นวัดพุทธในนิกายเซนแบบญี่ปุ่น ที่ผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมเวียดนาม
จากตัววัดเราสามารถมองวิวทิวทัศน์ของทะเลสาบตังแลม Tuyen Lam Lake ได้อีกด้วย
หลังจากเดินชมวัดแล้ว เราไปนั่ง Cable Car เพื่อชมวิวเมืองดาลัดกัน จุดซื้อตั๋ว Cable Car จะอยู่ชั้นล่างของร้านอาหารตรงข้ามลานจอดรถทางเข้าวัดค่ะ ค่าตั๋วจะมีให้เลือกสองแบบคือ แบบ one way กับ return เราเลือกแบบไปกลับค่ะ คนละ 80.000vnd
ใช้เวลาในการนั่งชมวิวประมาณ 30 นาที (ไป 15นาที กลับ 15นาที) วิวสวยและเพลินมาก ๆ ค่ะ
นั่งมาสักพักก็จะมาถึงอีกฝั่งนึง ฝั่งนี้จะมีร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์และร้านกาแฟให้นั่งเล่นชิลๆอีกด้วยนะ
ก่อนกลับออกมาจากวัดเราแวะกินข้าวกันที่ร้านอาหารตรงที่เราขึ้น cable car กันก่อน รสชาติอาหารใช้ได้ค่ะราคาไม่แพงมาก
ที่ต่อไปที่เราไปกันคือ น้ำตกดาตันลา (Datanla waterfall) อยู่ไม่ไกลจากวัดตั๊กลัมค่ะขี่รถมาแค่ 7นาทีเอง
มาที่นี่สิ่งที่ไม่ควรพลาดคือการได้มาเล่น Roller Coaster เราซื้อแบบตั๋วไป-กลับราคา 80.000vnd ต่อคน หรือถ้าใครไม่อยากเล่นจะเดินลงไปเองชิลๆก็ได้นะคะ
ลงไปถึงด้านล่างจะมีน้ำตก เป็นน้ำตกที่ไม่ใหญ่มากแต่มีความสวยงามและมีหลายชั้นค่ะ ที่นี่มีนักท่องเที่ยวมาทำกิจกรรมต่างๆกันเยอะแยะเลย
เรานั่งเล่นสักพักก็ไปเที่ยวต่อกันที่ Garden hydrangeas จากน้ำตกขี่มาที่นี่ประมาณ 30นาทีค่ะ ที่นี่มีค่าเข้าคนละ 15.000vnd
ด้านในจะเป็นสวนไฮเดรนเยียสวยงามมากๆมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะเลย ถ้าใครที่ชอบถ่ายรูปดอกไม้รับรองว่าไม่ผิดหวังค่ะ และที่นี่ยังมีเครื่องดื่มขายด้วยนะคะ
เสียดายว่าเรามีเวลาที่นี่แค่ครึ่งชั่วโมงเพราะใกล้ค่ำแล้ว เราไปกันต่อที่ เครซี่เฮ้าส์ (Crazy house) ที่มีค่าเข้าคนละ50.000vnd เป็นบ้านที่ออกแบบมาได้สวยงาม เหมือนหลงเข้าไปในดินแดนเทพนิยาย เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ชอบมุมแปลกๆ
ด้านในจะมีทางเชื่อมทางวนต่อกันไป ถ้าไปจุดด้านบนสุดจะเห็นวิวเมืองดาลัดด้วยค่ะ
ออกจาก Crazy house เราก็มาแวะกันที่นี่ค่ะ Lam Vien Square (Quảng Trường Lâm Viên) ที่นี่จะมีอาคารที่สร้างเป็นเอกลักษณ์และดูเก๋มากๆด้านในจะมีทั้งร้านกาแฟและห้างสรรพสินค้า
ส่วนรอบๆก็จะเป็นเหมือนส่วนสาธารณะขนาดใหญ่และยังอยู่ติดกับทะเลสาบXuan Huongด้วยนะในเวลาเย็นจะมีผู้คนออกมาทำกิจกรรมและพักผ่อนหย่อนใจกันเป็นจำนวนมาก
หลังจากที่เราถ่ายรูปและนั่งเล่นชิลๆกันแล้วเราก็กลับที่พักไปเช็คอินเก็บของเข้าห้องกันก่อนค่ะ
หลังจากนั้นก็ออกมาเดินเล่นต่อที่ ตลาดดาลัด(Dalat Night Market) กันค่ะ
ตลาดอยู่ไม่ไกลจากที่พักสามารถเดินมาได้เลย ตอนกลางคืนคนเยอะมาก มีของกินขายเพียบส่วนใหญ่จะเป็นอาหารท้องถิ่น
พิซซ่าเวียดนามอร่อยจริงง ต้องลอง!!
เราชอบอันนี้มากเลย 'น้ำเต้าหู้' รสชาติไม่หวานมากดื่มตอนอากาศเย็นๆฟินสุดๆ
Day3
วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ตีห้าครึ่ง อาบน้ำแต่งตัวแล้วมาหาอะไรกินกันแถวหน้าโรงแรมจะมีร้านขายขนมปังอยู่ค่ะ
กินเสร็จ7.00ก็จะมีรถมินิบัสมารับเราไปขึ้นรถทัวร์อีกจุดหนึ่ง
ระหว่างทางไปมุยเน่รถจะจอดให้พัก1ครั้ง มีของกินขายแล้วก็มีเปลให้นอนพักผ่อนด้วย จากดาลัดใช้เวลาประมาณ5ชั่วโมงก็ถึงมุยเน่ค่ะ
พอถึงที่จุดจอดรถที่มุยเน่จะมีแท็กซี่จอดรอผู้โดยสารอยู่เราดูจากGps โรงแรมที่เราจะไปพักอยู่ห่างออกไปประมาณ2กิโลกว่า ก็เลยตัดสินใจเดินกัน แต่เดินไปสักพักก็ไม่ไหวเพราะอากาศร้อนมาก เลยเปลี่ยนใจเรียกแท็กซี่^^55 ค่าแท็กซี่ 30.000vnd ค่ะ เรานั่งมาลงที่โรงแรม Mui Ne Sports Hotel ราคาคืนละ 698฿ จองผ่านอโกด้า และก็เหมือนเดิมค่ะหลังจากเช็คอินแล้วก็จองตั๋วกลับโฮจิมินห์พรุ่งนี้กับทางโรงแรมเลย ค่าตั๋วคนละ160.000vnd จะเป็นรถนอนเหมือนตอนเรานั่งมาจากโฮจิมินห์ และก็เช่ามอเตอร์ไซต์เที่ยวมุยเน่ด้วย ค่าเช่า160.000vnd
ก่อนเราจะไปสำรวจมุยเน่กัน เราแวะกินข้าวที่ร้านอาหารด้านหลังโรงแรมกันก่อนชื่อร้าน Le Miracle-Chill & Grill เป็นร้านอาหารบรรยากาศดีติดริมทะเลค่ะแต่เสียดายว่าทำอาหารนานไปหน่อย
กินข้าวกันเสร็จก็บ่ายสองแล้วที่แรกที่เราไปกันคือ ซุยเตียน(Fairy Stream) พอไปถึงทัวร์กำลังลงพอดีคนเยอะมากก
ที่นี่จะมีลักษณะเป็นเนินทรายที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำและลมจึงก่อเกิดเป็นรอยกัดเซาะที่สวยงามคล้ายๆกับแพะเมืองผีของบ้านเรา เดินเข้าไปข้างในค่อนข้างลึกเหมือนกันระหว่างทางเป็นธารน้ำไหล ใครจะถือรองเท้าเดินลุยน้ำเย็นๆ หรือจะถอดรองเท้าฝากไว้หน้าทางเข้าก็ได้ค่ะ
ตามข้างทางจะมีร้านขายของกินของที่ระลึก ที่นี่ลมแรงมากยังไงควรเตรียมแว่นมาด้วย
ที่ต่อไปที่เราไปกันคือ หมู่บ้านชาวประมง(Fishing village) มาที่นี่เราพบกับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมของชาวบ้าน ซึ่งจะได้ภาพการตากปลา ตากกุ้ง หรือเรือที่ใช้ออกทะเลมีทั้งแบบทั่วไปและแบบเรือกระด้งที่ดูแปลกตาดี
มีคุณลุงชาวเวียดนามคนนึงถามเราว่าจะลองนั่งเรือเล่นมั้ยแต่พอดีเรามีเวลาไม่มาก เลยปฏิเสธไปแอบเสียดายเหมือนกัน^^
เราอยู่ที่นี่ไม่นานค่ะประมาณ30นาที จากนั้นเราก็ไปต่อกันเลย ระหว่างทางที่เราขี่รถไปลมแรงมากๆแทบปลิวต้องค่อยๆไป ใช้เวลาประมาณ40นาทีก็ถึง ทะเลทรายขาว(white sand Dunes Muine)
ที่นี่มีค่าเข้าคนละ15.000vnd และด้านหน้าทางเข้าจะมี ATV ให้เช่าขับขึ้นไปด้านบนทะเลทราย ค่าเช่า600.000vnd นั่งได้2คน เค้าจะให้เราเลือกว่าจะขับเองหรือจะให้เค้าขับพาขึ้นไปก็ได้ ตอนแรกเราก็ขอขับเองแต่หลังๆไม่ไหวเพราะทรายสูงขึ้นเรื่อยๆเลยให้พี่เค้าขับแทนแต่เป็นอะไรที่มันส์มากจริงๆ หรือว่าถ้าใครไม่อยากเช่ารถจะเดินเข้าไปก็ได้ค่ะอาจจะไกลหน่อยแต่ก็เพลินดีเหมือนกันเพราะที่นี่สวยทุกมุมจริงๆ
ตะวันเริ่มตกดินแล้ว เราต้องรีบมุ่งหน้าไปที่ต่อไปกัน ใช้เวลาประมาณ 30นาทีก็มาถึง ทะเลทรายแดง(Red sand Dunes Mune)ที่นี่เราไม่ต้องนั่งรถเข้าไปเพราะเดินข้ามถนนก็ถึงเลย
กว่าจะมาถึงทะเลทรายแดง ตะวันก็ลับขอบฟ้าไปบ้างแล้ว บรรยากาศทะเลทรายแดงจะสลัวๆหน่อยๆ
ทะเลทรายแดงอาจจะเล็กกว่าทะเลทรายขาวแต่ก็สวยไม่แพ้กันยิ่งตอนช่วงพระอาทิตย์ตกดินโรแมนติกมากๆค่ะและกิจกรรมยอดฮิตที่นี่คือการเล่นแผ่นสไลเดอร์บนทะเลทรายจะมีเด็กๆคอยเดินตามตื้อให้ซื้อไปเล่นกันอยู่ตลอดแต่เราไม่ได้เล่นค่ะเพราะเริ่มหิวกันแล้ว^^
หลังจากกลับออกมาจากทะเลทรายแดง เราก็ขี่รถวนดูร้านอาหารทะเลกินกัน เลือกไม่ถูกเลยเพราะมีอยู่ตลอดทางกลับที่พัก สุดท้ายมาจบที่ร้านนี้ค่ะ Bo Ke Lucky เห็นว่าอยู่ไม่ไกลจากที่พักเรามากนักและก็ดูเงียบสงบบรรยากาศติดริมทะเลอีกด้วย เมนูที่เราสั่งก็จะมี lobster และก็ต้มยำทะเลรวม อาหารทะเลที่นี่สดดีและราคาก็ไม่แพงมากนัก
Day4
วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่ตีห้าครึ่งมื้อเช้านี้เรากินมาม่ากันค่ะ^^เพราะที่นี่ตอนเช้ายังไม่มีร้านอาหารเปิดกันสักเท่าไหร่ กินเสร็จเรียบร้อย เราก็ออกมาเช็คเอาท์และนั่งรอรถกันที่โรงแรมเลย พอถึง8.00ก็จะมีรถมารับค่ะ
ใช้เวลาเดินทางจากมุยเน่ประมาณ 5 ชั่วโมงก็ถึงโฮจิมินห์ พอถึงจุดจอดรถที่โฮจิมินห์แล้วเราเดินไปโรงแรมกันเลยประมาณ 1.1กมค่ะ เราจองโรงแรมชื่อว่า Yellow house saigon hotel ราคา596฿ต่อคืน(รวมอาหารเช้า) จองผ่านอโกด้า ห้องที่นี่อาจจะไม่ใหญ่มากแต่ดูสะอาดปลอดภัยดีและพี่เจ้าของที่นี่ยังให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งท่องเที่ยวให้เราอย่างเป็นกันเองอีกด้วยนะคะ
หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินกันเลย วันนี้น่าจะเป็นวันที่เดินสำรวจโฮจิมินห์แบบจริงจังกว่าวันแรกทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่มันส์กว่าการเล่น roller coster ที่ดาลัด ก็คือการข้ามถนนที่โฮจิมินห์เนี่ยแหละ555
เพราะรถเยอะมากและก็วิ่งไปทุกจุดจริงๆแม้แต่บนทางเท้า แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับเราแต่อย่างใดเพราะสักพักก็เริ่มชินสนุกดีเหมือนกัน^^
ที่แรกที่เรามากันคือ ทำเนียบอิสระภาพ (Independent Palace)
มีค่าเข้าชมคนละ 40.000vnd เป็นสถานที่ตั้งของทำเนียบอดีตประธานาธิบดีเวียดนามใต้ สร้างขึ้นในปีค.ศ.1868 เป็นตึกที่มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม
ด้านในมีการตกแต่งอย่างสวยหรู มีการแบ่งเป็นห้องต่าง ๆ อย่างชัดเจน เช่น ห้องของประธานาธิบดี, ห้องรับรองแขก, ห้องประชุมของรัฐมนตรี ฯลฯ และมียังข้อมูลของแต่ละห้องให้เราได้อ่านเพื่อเป็นความรู้ด้วยนะ
และก่อนที่เราจะไปต่อเราแวะกินกาแฟกันที่ร้าน Highlands Coffee ที่ตั้งอยู่หน้าทำเนียบกันก่อนค่ะเพราะอากาศเริ่มร้อนต้องหาอะไรเย็นๆดื่มกันสักหน่อย
ร้านกาแฟร้านนี้มีหลายสาขาทั่วโฮจิมินห์เลยและรสชาติก็อร่อยอีกด้วยนะ
หลังจากพักเหนื่อยแล้ว เราเดินต่อไปที่ พิพิธภัณฑ์สงคราม (War Remnant Museum)ด้านหน้าทางเข้ามีคนต่อคิวเยอะมากก ค่าเข้าคนละ 40.000vnd
ที่นี่เป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งสงครามเวียดนาม เมื่อเข้าไปด้านในพิพิธภัณฑ์ จะมีการจัดแสดงอาวุธยุทโธปกรณ์ไว้ด้านหน้าอาคาร เช่น เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ รถถัง ฯลฯ
พอเดินเข้าไปด้านในจะมีการจัดแสดงภาพถ่ายมากมาย ที่สะท้อนเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดี และยังมีร้านขายของที่ระลึกให้เราเลือกซื้อกันอีกด้วย
ที่ต่อมาที่เรามากันคือ ไปรษณีย์กลางโฮจิมินห์(Saigon Post office) ที่นี่ถือได้ว่าเป็นที่ทำการไปรษณีย์ที่สวยงามและใหญ่ที่สุดในเวียดนาม ตัวอาคารมีสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล
ที่นี่มีบริการทั้งการส่งจดหมาย แสตมป์เพื่อการสะสม โปสการ์ดน่ารักๆแบบต่างๆ และครั้งนี้เรายังมีโอกาสได้ส่งโปสการ์ดให้กับเพื่อนที่ประเทศไทยอีกด้วยนะ
ที่ต่อมาเดินไม่ไกลมากแค่ข้ามถนนมาอีกฝั่งก็ถึงโบสถ์นอร์ทเธอดาม(Notre-Dame Cathedral Basilica of Saigon) โบสถ์แห่งนี้ได้รับการยกย่องว่ามีความงดงามที่สุดแห่งหนึ่งในเวียดนามเลยนะ
โดยในแต่ละวันที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากมาย เสียดายว่าวันที่เราไปโบสถ์ไม่เปิดให้เข้าไปด้านในแต่แค่ได้เดินเล่นถ่ายรูปรอบๆโบสถ์ก็เพลินแล้วค่ะ
หลังจากเดินชมรอบๆกันสักพักก็ถึงเวลาอาหารเย็น วันนี้เราแพลนกันว่าจะกลับไปที่The cafe Apartment อีกครั้งเพื่อถ่ายรูปที่ตึกแล้วก็หาอะไรกินที่นั่นด้วยค่ะ
ตึกนี้จะเป็นอพาร์ทเม้นท์เก่าๆที่สูงถึง 9 ชั้น ได้ถูกรีโนเวทให้กลายเป็นศูนย์รวมของคาเฟ่ซึ่งที่นี่มีร้านค้าอยู่เกือบ 30 ร้าน
มีทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านขนม ร้านเสริมสวย ร้านเสื้อผ้า หรือแม้กระทั่งร้านหนังสือก็อยู่ในอาคารเดียวกันทั้งหมด
หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว เราก็ไปหาอะไรกินข้างบนตึกกัน การขึ้นมาข้างบนมีสองวิธีค่ะจะเดินขึ้นบันไดหรือจะขึ้นลิฟท์มาก็ได้แต่ถ้าขึ้นลิฟท์จะเสียเงินคนละ 3000vndค่ะ วันนี้เราตั้งใจมากินกัน 2ร้านเลยร้านแรกคือ Hiroshima ร้านนี้จะอยู่ชั้น7
เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นบรรยากาศดีมากเราได้ที่นั่งริมระเบียงลมพัดชิลๆและยังได้เห็นวิวสวยๆอีกด้วย รสชาติอาหารก็อร่อยตามแบบฉบับของต้นตำรับเลยค่ะ
อิ่มแล้วก็ไปร้านต่อไปกันเลยเราเดินลงบันไดมาเรื่อยๆจนถึงชั้น4 ก็จะเจอกับร้าน Thinker & Dreamer ชื่อร้านน่ารักดี
ร้านนี้จะเป็นคาเฟ่เล็กๆประดับด้วยต้นไม้หลากหลายชนิด ทำให้บรรยากาศดูร่มรื่นสบายตา ภายในร้านเป็นสีขาว ตกแต่งอย่างเรียบง่ายสไตล์มินิมอล
ในส่วนของเครื่องดื่มก็จะมีเมนูชากาแฟให้ได้ลองชิมกันค่ะ
หลังจากนั่งชิลกันสักพักแล้วเราก็ไปชมสีสันยามค่ำคืนกันแถวถนน ฟามงูเหลากัน(Pham Ngu Lao) จาก Cafe apartment เดินมา 20นาทีค่ะ
ย่านนี้จะคล้ายๆถนนข้าวสารบ้านเราจะมีร้านอาหารอร่อยๆและแหล่งท่องเที่ยวกลางคืน
เราเดินเล่นหาอะไรดื่มนิดหน่อยก็กลับที่พักค่ะเพราะพรุ่งนี้ต้องตื่นเช็คเอาท์กันแต่เช้า
Day5
วันนี้เราตื่นกันตั้งแต่6โมงเก็บของเสร็จลงมาเช็คเอาท์พร้อมกับกินอาหารเช้าที่โรงแรมกันค่ะ
เสร็จเรียบร้อยแล้วเช้านี้เรามีแพลนที่จะไปช้อปกันที่ตลาดเบนถัน(Cho Ben Than Market)กันก่อนกลับค่ะ จากที่พักเดินมาประมาณ 15นาทีค่ะ
ที่นี่มีของให้เลือกซื้อมากมายไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ขนม งานฝีมือ ของใช้ ของที่ระลึกฯลฯและที่พลาดไม่ได้ คืออาหารเวียดนามที่มีให้เลือกชิมกันในราคาย่อมเยา
ซื้อของเสร็จแล้วเราก็มาขึ้นรถเมล์สาย152หน้าตลาด เพื่อไปสนามบินค่ะ
::::ขอบคุณทุกคนที่ติดตามการเดินทางและภาพถ่ายของเรานะคะ◡̈แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าค่ะ:::
we journey
วันอาทิตย์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2561 เวลา 14.46 น.