......เมื่อมาถึง "เชียงราย" จะไปเที่ยวที่ไหนกันบ้าง......

ทริปนี้เรามากันแบบมีที่พักและมีรถขับ เพราะมาส่งพี่รับราชการที่จังหวัดนี้ ... จึงไม่ต้องคิดมาก
สิ่งที่ต้องค้นหาก็มีเพียงสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของจังหวัดเชียงราย
ซึ่งเราจะใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดเชียงรายเป็นเวลา 5 วัน 4 คืน
บ้านพักอยู่ในตัวเมืองเชียงราย ถนนธนาลัย มาถึงก็เก็บของเข้าบ้านไหว้พระไหว้เจ้าเรียบร้อย
นอนพักผ่อนรอเช้าวันต่อไป


วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2561

ตื่นเช้าวันแรก......การใช้ชีวิตของพวกเราก็เริ่มจากการหาอาหารเช้า ด้วยการ... เดิน....

เดินไปเรื่อยๆ บนถนนสุขสถิต จะเจอหอนาฬิกาที่งดงาม (ฝีมือดีแต๊ๆ นะเจ้า)

บรรยากาศร้านค้าสองฝั่งถนนเป็นร้านค้าทั่วๆ ไป ส่วนมากเป็นร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้า
บรรยากาศดูเงียบๆ

ร้านขายของฝากก็มีนะเจ้า!!!!

เดินผ่านหอนาฬิกาไปก็สะดุดตากับร้านนี้ .......

....... "กาแฟรถเจ้าแรกของนครเชียงราย" ......

ไม่รีรอใดๆ ทั้งสิ้น แค่ชื่อร้านก็น่าสนใจแล้ว เช้าแรกของพวกเราจึงจบลงที่ร้านนี้ค่ะ
ร้านมีที่นั่ง ชากาแฟชงจากบนรถกะบะสีเหลือง และมีเมนูโจ๊กหมูเด้งกับไข่กะทะ

ขอบอกว่า "ไข่กะทะ" ของที่นี่ทำได้อย่างน่าประทับใจมาก ... ไข่ข้างนอกกรอบข้างในนุ่มไม่แข็งกระด้าง

อร่อย แต๊ๆ นะเจ้า!!! โจ๊กนี่ยอมเลย (เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปไว้) รสชาติถูกใจมากๆ เชคบิลราคาก็ถูกใจ
ถ้าใครมาเที่ยวเชียงราย...เช้าวันแรกก็มาลองกันได้นะคะ


อิ่มหนำสำราญแล้วก็เดินกลับที่พักกัน แต่พอจะเลี้ยวเข้าบ้านแอบเห็นหอนาฬิกาอันเล็กๆ น่าสนใจ
ก็ตัดสินใจเดินไปทางนั้นก่อนเข้าบ้าน ซึ่งพอถามคนแถวนั่น เขาเรียกว่า "หอนาฬิกาเก่า"

ก่อนจะถึงหอนาฬิกาเก่า ก็จะผ่าน "ตลาดเทศบาล 1" ที่นี่ตอบโจทย์แฟชั่นทั้งเด็ก วัยรุ่น และสูงวัย
มีครบทุกอย่างที่ต้องการ ทั้งอาหารสด ของฝาก อาหารเช้า....
สายๆ ก็เริ่มเก็บแล้ว .... แต่พอบ่าย 2 โมงเย็น ก็จะตั้งอีกรอบแต่เป็นตลาดกับข้าว แคปหมู ไส้อั่ว
ใครมีเวลาก็ไปเดินชอปปิ้งกันเน้อ ออเจ้า!!!!




หลังจากเดินชมสินค้าในตลาดเทศบาล 1 เสร็จก็กลับเข้าบ้าน วางแผนหาสถานที่ท่องเที่ยวต่อไป......



หยิบมือถือเปิด Google Map ว่า แถวๆนี้ มีที่ไหนขึ้นชื่อบ้าง.....เจออยู่ 2 สถานที่ คือ......


............"วัดพระแก้ว" ....... และ......... "วัดพระสิงห์" ......

รีบอาบน้ำแต่งตัวออกเดินทางไปท่องเที่ยวเมืองเชียงรายด้วยสองเท้าของพวกเรา ลุย!!! ....
เดินตามเส้นทางในมือถือ เม้ามอยกันไปผ่านหอนาฬิกาเก่า เข้าถนน ภักดีณรง ก็......


ถึงแล้ว .... "วัดพระสิงห์"

รูปทรงเป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนา แตกต่างจากทางอีสานที่ฉันเคยคุ้นตา
หลังคาเป็นแบบจั่วเฉียงลงพื้นยาวๆ งดงามแต๊ๆ เจ้า!!
พระประธานในพระอุโบสถเป็นพระพุทธปฏิมาศิลปะล้านนาไทย พุทธศตวรรษที่ 21
ปางมารวิชัย ชนิดสำริดปิดทอง




ภายในวัดสงบ เงียบ คนไม่ค่อยเยอะ มีบูชาเทียนประจำวันเกิด


ด้านหลังพระอุโบสถเป็น "พระเจดีย์" เป็นพุทธศิลป์แบบล้านนาไทย


และมี "ต้นสาละลังกา" อยู่ข้างๆ พระเจดีย์ สวยเหลือเกิน


ส่วนด้านข้างของพระอุโบสถ เป็นที่เข้าไปกราบนมัสการ พระสิงห์



จากนั้นเราก็เดินเท้ากันต่อ พิกัดต่อไป คือ "วัดพระแก้ว"

นำทางโดย Google Map ระยะทางไม่ไกลเลยค่ะ



เดินเม้ามอยกันไปเรื่อย แปบเดียวก็ถึงแล้ว ....วัดพระแก้ว....

ที่นี่...เรียกว่า "หอพระหยก"



ก่อนขึ้นหอพระหยก สักการะบูชา "พ่อขุนเม็งรายมหาราช"



อธิษฐานขอพรกับพระเจ้าทันใจ

ขึ้นไปกราบสักการะ "พระหยก"

ที่หอพระหยก เป็นที่ประดิษฐาน "พระพุทธรตนากร นวุติวัสสานุสรณ์มงคล" ซึ่งก็คือ พระแก้วมรกต
ที่ประดิษฐานอยู่ ณ วัดศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) กรุงเทพฯ ในปัจจุบันนั่นเอง
แต่ปัจจุบัน วัดพระแก้วเชียงราย เป็นที่ประดิษฐาน "พระหยก" หรือ "พระหยกเชียงราย" ซึ่งสร้างขึ้นมาใหม่



จากนั้นก็เดินมาข้างๆ จะเป็น "พิพิธภัณฑ์โฮงหลวงแสงแก้ว" ด้านใน ทรงคุณค่า มากๆ
สิ่งของหลายสิ่งที่เราไม่เคยเห็น ที่นี่ได้เก็บไว้และจัดแสดงให้เราได้รู้จัก และได้เรียนรู้



ก่อนจะลา ก็เข้าไปกราบสักการะ พระประทานในอุโบสถ (พระเจ้าล้านทอง) เป็นพระพุทธรูปสำริด ปางมารวิชัย



ภายในวัดยังมีพระเจดีย์ด้วย แต่ไม่ได้เข้าไปเก็บภาพ ซึ่งเล่าขานกันว่า พระเจดีย์นี้ถูกฟ้าผ่าลง ทำให้พบกับพระแก้วมรกตที่ซ่อนไว้ในพระเจดีย์ (พอจะกลับแล้วจึงรู้)




เราเดินออกจากวัด โดยจุดมุ่งหมายต่อไปคือ ต้องเติมพลัง ค้นหาร้านใน Google Map เจอเยอะมาก แต่ละร้านก็อยู่ไกล เดินกันไม่ไหวแน่นอน พอเดินมาฝั่งตรงข้ามกับวัดก็พบกับรถสองแถวสีฟ้า (รถกะป้อ) ทันใดนั่นก็ลืมเรื่องร้านอาหารไปเลย คิดแต่ว่าอยากได้ฟิลลิ่ง นั่งรถโดยสารของเมืองเจียงฮาย ก็ขอใช้บริการพาเฮาไปส่งที่หอนาฬิกาสวยๆ นั่นหน่อยด้อเจ้า!!! คนขับจัดไป ค่ารถคนละ 20 ...

(วันต่อมาหวยออก 85 จ้าาาาา) คนไม่มีดวงอ่ะเนอะ....

ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ทั้งคันมี 3 คน ... คุณลุงน่ารักค่ะ


ลงรถปุ๊บก็หาร้านทานข้าว ก็ไปสะดุดตากับร้านนี้ ... ชอบสไตล์การตกแต่งร้าน...
อ่านเมนูแล้ว มีทั้งกาแฟและอาหารพื้นเมืองของเหนือ ก็จัดไปเลยจ้าาาา....

ชื่อร้าน "Home Cafe - ครัวบ้านฉัน" อยู่แถวหอนาฬิกา

กาแฟที่ทางร้านแนะนำ



เครื่องดื่มชื่นใจ

ข้าวซอยทำให้สบายใจ

ข้าวผัดหมูดูดีนะจ้ะ...

มื้อเที่ยงของพวกเรา ไม่สิ....... (น่าจะเป็นมื้อบ่ายแก่ๆ)

บรรยากาศร้านดี อาหารอร่อย ราคากลางๆ ถ้าต้องการพักผ่อนชิวๆ ก็ได้เลยล่ะค่ะ



ท้องอิ่มเราก็บินกลับบ้าน เดินอีกเช่นเคย.... ระหว่างทางก็พบกับการตั้งร้านอยู่ด้านหน้าที่พักของเรา....
ว้าวๆๆๆๆ ที่นี่จะมีตลาดหรือนี่.... หยุดถามแม่ค้าว่าจะมีตลาดเหรอค่ะ... และแม่ค้าก็ตอบเราว่า
ใช่ค่ะ...เป็น "ถนนคนเดินนครเชียงราย" มีทุกวันเสาร์ค่ะ ..... ตาลุกวาว...... รีบกลับบ้านพัก แล้วเก็บแรงไว้เดินเย็นนี้ดีก่า


ที่พักของเราเดินออกมาคือถนนคนเดินเลยจ้าาา..... ชวนกันออกมาเดินตั้งแต่ 5 โมงเย็น....
ตลาดตั้งยาวไปทั้งถนนธนาลัย... ยาวมากๆ

สินค้าที่ขายในนี้ มีสินค้าหลายอย่างที่เป็นของพื้นเมือง เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ ผักผลไม้
สินค้า hand made ยิ่งเยอะ ... ทำให้พวกเราตื่นตาตื่นใจกันเป็นพิเศษ เดินลากยาวไปจนถึง 4 ทุ่ม





มาดูโซนอาหารกันบ้าง

แบบเปิดท้ายนั่งชิวก็มีนาจาาาาา....



อะโวคาโด ปั่นจ้าาา...


งานนวดนี่ ท่าทางจะขึ้นชื่อนะคะ .... ลูกค้าเพียบ...


ไม่ต้องห่วงเรื่องการเดินทาง....เพราะพี่เขาพร้อมกันจริงๆ


ได้ภาพประทับใจมาด้วย.....


และนี่คือบรรยากาศของถนนคนเดินนครเชียงราย ในคืนวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2561
สินค้าเยอะมาก ผู้คนพูดเพราะ ... บรรยากาศดีมาก มีทุกอย่างครบคัน...


เมื่อช๊อปกันเเยอะก็ย่อมหมดเยอะ....เป็นธรรมดา ...


สำหรับคืนนี้ ปิ๊กบ้านกันด้วยรอยยิ้มเจ้าา...


1 เมษายน 2561 (วันหวยออก)


พวกเราก็ออกเดินทางเช่นกัน...

เช้าวันนี้ไม่ได้เร่งรีบอะไร มีภารกิจคือไปเดินชอปปิ้ง Big C ซื้อของเข้าบ้านให้กับพี่อาหารก็ฟู๊ดคอทนั่นล่ะจ้าเสร็จภารกิจเที่ยง....

ดำเนินการไปตามที่วางแผนไว้ ซึ่งแผนการมี 2 ที่ ที่มาถึงเชียงรายแล้ว ต้องไป!!! นั่นคือ

........"วัดร่องขุ่น".........&........"ไร่บุญรอด"........

ตัดสินใจขับไปไร่บุญรอดก่อน เพราะอยากกินกาแฟมากๆ ตั้งแต่เช้า ยังไม่ได้กินกาแฟเลย

กาแฟที่ไร่คงจะหอม....ชื่นใจ ระยะทางจากตัวเมืองเชียงราย มาที่ไร่บุญรอด ประมาณ 10 กว่ากิโล
ขับรถมาง่ายๆ ตั้ง GPS แล้วขับตามได้เลย ไม่หลงแน่นอน

มาถึงก็ยิ่งใหญ่สมกับเป็นสัญลักษณ์ประจำไร่ที่ตั้งเด่นเห็นเป็นสง่าอยู่หน้าไร่....

มุ่งตรงไปชิมชากาแฟ...

ในส่วนของเมนูนั่น....... ก็แล้วแต่จะเลือกล่ะจ๊ะ... (คูปองรถรางชมไร่ มีส่วนลดนำคูปองมาลดได้)

ในส่วนของเค้กนั่น.....ก็แล้วแต่จะเลือกสรรนาจาาาาา...

สมดั่งใจออเจ้ากันมั๊ยล่ะ....

บรรยากาศภายในร้าน


โดยรวมแล้วก็ถือว่า เหมาะสมกับราคา .... อยากรู้ก็ต้องลอง (ห้ามเชื่อรีวิว...อิอิ)

กินกาแฟเสร็จก็เข้าไปสอบถามรายละเอียดการเข้าชมไร่ที่จุดประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นที่ขายตั๋ว...
ถามเสร็จก็ซื้อเลยเพราะไหนๆ ก็มาแล้ว...ก็เข้าไปชมไร่กันหน่อย...เดี๋ยวเขาจะว่ามาไม่ถึง ราคาตั๋วคนละ 100 ได้รอบรถรางเวลา 14.30 น.

รายละเอียดจุดเข้าชม ตามนี้เลยจ้า เอาจริงๆ จำรายละเอียดแทบไม่ได้ ตอนซื้อตั๋วคือรถรางรอบ 14.30 น. กำลังจะออกแล้ว ....

ไกด์เริ่มนำชมไร่.... รถจะจอดจุดละ 10 นาที ทุกที่ที่จอดจะมีผลไม้ที่ปลูกในแต่ละจุดให้ชิมและเลือกซื้อได้




ระหว่างทาง


จุดที่ 1 ------ ไร่ชา







ไม่คิดเลยว่าจะเจอชาเขียว สวยแบบนี้ การแต่งกายและการโพสก็จะแปลกๆหน่อย
อยู่จุดนี้ 10 นาที เร็วมาก ชานั่นเหรอ?...ไม่ได้ชิมไง...แค่ถ่ายรูปก็ไม่เพียงพอสำหรับพวกเราแล้ว...

------------

จุดที่ 2 .... โรงเพาะเห็ด



ชิมจ้า.....

และหลังจากชิมเสร็จ.... หาวิวสวยๆ กันจ๊ะ

10 นาทีเช่นเดิม....จากนั้นไปกันต่อ

------------

จุดที่ 3 ----- ไร่มะเขือเทศ

------------


จุดที่ 4 ----- สวนสัตว์



------------

จุดที่ 5 ------ บ้านแดง

จุดนี้มีกิจกรรมให้เล่นเยอะนะจ๊ะ แต่ต้องมาด้วยรถส่วนตัว หากมาชมไร่ตามตั๋วรถรางไม่สามารถเล่นได้...กิจกรรมมีตามภาพ ซูมเอาเด้อ ...

บรรยากาศดีมากจุดนี้... แต่ก็แค่ 10 นาที เตรียมตัวไปยังจุดต่อไป

------------

จุดที่ 6 ----- ไร่เมลอน... (จุดสุดท้าย)

ใช้เวลาทั้งหมดในการชมไร่ ประมาณชั่วโมงครึ่ง ... คุ้มแล้วกับค่าตั๋ว ...


ก่อนจะกลับก็เก็บภาพกับสัญลักษณ์ของไร่ ไว้เป็นที่ระลึก

Good Bye .... ไร่บุญรอด


ดูเวลาจะห้าโมงเย็นแล้ว ไปต่อกันที่ "วัดร่องขุ่น"
ระยะทางจาก "ไร่บุญรอด" กับ "วัดร่องขุ่น" ห่างกันประมาณ 7-8 กม.
ใช้เวลาขับรถประมาณ 5-10 นาทีก็ถึงแล้วล่ะจ้าาา

(คำเตือน!!! การเข้าวัด ห้ามใส่ขาสั้นเหนือเข่า หากลืมต้องเช่าผ้าขาวผืนละ 20 ใส่ ซึ่งอาจจะทำให้ภาพถ่ายของคุณ ไม่สวยเลย.....)

ถึงแล้ว.... "วัดร่องขุ่น"

งดงามพร้อมไปด้วยคติธรรม


บ่อน้ำอธิษฐานจิต


ฉันก็อธิษฐานด้วยนะ... อธิษฐานเสร็จแล้วสะบัดข้อมือ.... ดีใจมากๆ เพราะเหรียญตกที่ช่อดอกบัว...



อีกหนึ่งอย่างที่ทำให้เห็นถึงความศรัทธา.... คือ "ใบโพธิ์ ถวายพระ"

ดูความงดงามของ ห้องน้ำ ที่นี่ กันค่ะ

ที่นี่...ยังมีตู้เก็บของที่นักท่องเที่ยวลืมไว้.... แค่ตู้ใบเดียวก็สอนให้เรารู้จัก ... ความซื่อสัตย์

เราอยู่ที่นี่จนถึง 6 โมงเย็น กว่าจะออกจากวัดได้ก็ หกโมงครึ่ง ....

สุดท้ายก็เก็บภาพเป็นระลึกกันไป ....







ระหว่างทางที่กำลังกลับที่พัก....ก็นึกหามื้อเย็น สรุปความกันได้ว่า เรามาถึงเชียงราย ก็คงขาดไม่ได้ที่จะลอง "ขันโตก" เริ่มหารีวิว .... ก็ได้มาหนึ่งร้าน ชื่อร้านว่า "สบันงา" ซึ่งเป็นทั้งร้านอาหารและโรงแรม
ได้รายละเอียดมาแล้วก็โทรไปจอง.... ทางร้านก็แจ้งรายละเอียดว่า ... คิดเป็นหัวนะคะ หัวละ 350 เติมให้เรื่อยๆ จนร้านปิด.... ส่วนตัวคิดว่า ก็แพงนะ แต่มาแล้วไม่ลองก็คงมาไม่ถึง.... ก็ตอบตกลงจองไป 3 ที่
ทางร้านแจ้งต่ออีกว่า วันนี้มีตลาด "ถนนคนม่วน" นะคะ ร้านติดกับถนนคนม่วนเลยค่ะ ถ้าจะมาร้านต้องใช้เส้นทางอีกเส้นทางหนึ่ง.... ก็หลงกันไปพักหนึ่ง อาศัยถามคนในพื้นที่ ... แต่ก็มาถึงจุดหมาย

มาถึงร้านก็ซักถามพนักงานเป็นชุด... ไม่ว่าจะเรื่อง ขันโตกเมนูวันนี้ รวมถึง สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เพราะพรุ่งนี้ก็จะเที่ยวกันอีก.... ทั้งอาหารขึ้นชื่อของเชียงราย .... ร้านของฝากที่ขึ้นชื่อ.... ครบจ้าาาา พนักงานก็น่ารัก พูดเพราะ ตอบครบทุกประเด็น....

และแล้ว สิ่งที่พวกออเจ้าทั้งหลายอยากลอง....ก็มาถึง... สมใจกันมั๊ยล่ะ "ขันโตก"






"เมี่ยงคำ" ของต้อนรับแขกบ้านแขกเรือน





กินอย่างหนำใจ... พนักงานเติมนับรอบไม่ถ้วน .... น้ำพริกหนุ่มอร่อยมากๆ

นั่งลากยาวไปจนเกือบ 4 ทุ่ม... พร้อมกับวางแผนสถานที่เที่ยวของวันพรุ่งนี้.... เมื่อได้ที่เที่ยวครบแล้ว....
พวกเราก็เชคบิล....ปิ๊กบ้านนอนล่ะเจ้า!!!! แล้วพบกันพรุ่งนี้นะเจ้า.....




วันจันทร์ที่ 2 เมษายน 2561

แผนวันนี้ คือ


--- "ไร่ชาฉุยฟง" ---

--- "ดอยตุง" ---

---"พระธาตุดอยเวา" ---

---"สามเหลี่ยมทองคำ" ---

---"อนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช" ---

--- "บัวลอยป้าอ้วน" ---


เริ่มเดินทาง 8 โมงครึ่ง ขับรถมุ่งหน้า "ไร่ชาฉุยฟง" มันชื่นตาชื่นใจข้ามากนะ ออเจ้า

มุมนี้ต้องใจข้ายิ่ง...




ตั้งใจจะมานั่งกินกาแฟที่นี่ แบบชิลๆ ยาวๆ ไป แล้วสัก 10 โมงค่อยไปต่อ



พอเข้ามาใน shop มีแต่ชาจ้าาาา... No กาแฟ... ชาก็ชา ไว้กาแฟที่ต่อไปก็ได้

ก็จัดชาเขียว กับเค้ก ฉุยฟงชีสเค้ก มาลิ้มรส ผลที่ได้คือ อร่อยมากๆ เค้กนี่สุดๆ

ใบชาจากเค้ก...

เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึก ก่อนจะเดินทางต่อ

วิวยอดฮิต... Unseen ของที่นี่


ไปล่ะเด้อ....ขอบคุณวิวสวยๆ Good Bye ไร่ชาฉุยฟง



ไปต่อกันที่ "ดอยตุง"

เส้นทางขึ้นเขานิดหน่อย แต่ไม่หนักมาก...
ระหว่างทางไปยังจุดจำหน่ายตั๋วจะเป็น "กาดดอยตุง" ให้เลือกซื้อสินค้า

รายละเอียด ณ จุดจำหน่ายตั๋ว

ตั้งใจมาเพื่อชมพระตำหนักดอยตุง.... แต่มาถึงดอยตุงก็เกือบ 11.00 น. จึงมาไม่ทัน เพราะปิด 11.00 น.
ก็ได้แต่ มากินกาแฟ ดอยตุง เท่านั้นเองล่ะจ้าาาา

แก้วเดียวยาวได้ทั้งวัน....

ตังหมด...กดได้...ครบทุกค่ายเลยล่ะครัช

มาแบบเพื่อกาแฟแก้วเดียว ... เซ็งนิดหน่อย ... ก็เก็บภาพ ดอกไม้แทนล่ะกัน

Good Bye ดอยตุง


ลงจากดอยมุ่งหน้าสู่ อำเภอแม่สาย กันเต๊อะเจ้า!!

พิกัดต่อไป "วัดพระธาตุดอยเวา"

ขับถนนพหลโยธินมาจนเกือบจะสุดถนน เห็นป้ายข้ามแดนฝั่งประเทศเมียนมาร์ นิดๆ ก็ให้ขับช้าๆ สังเกตง่ายๆ ว่า รถจะติดมาก... รถจอดข้างถนนเยอะๆ... จะมีตรอกเล็กๆ ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไป ทางเข้าวัดจะเต็มไปด้วยร้านค้าทั้งสองฝั่งถนน

ทางขึ้นก็เหนื่อยหน่อยนะสาวๆ นับได้ทั้งหมด 226 ขั้นจ๊ะ

พอขึ้นมาบนสุดก็เจอ พระเจดีย์....


นมัสการแล้วก็เดินไปด้านข้างของเจดีย์ จะเจอทางขึ้นไปชมรูปปั้นของพระนเรศวรมหาราช พระเอกาทศรถ และพระสุพรรณกัลยา ที่หันหน้าเข้าหาประเทศเมียนมาร์ ซึ่งทางประเทศเมียนมาร์เองก็มีรูปปั้นของพระเจ้าบุเรงนองจากฝั่งเมียนมาร์ ที่หันหน้าเข้ามาฝั่งไทย อันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความสัมพันธ์อันดีของสองประเทศ

ทิวทัศน์ฝั่งไทยที่ทอดไกลออกไปถึงฝั่งเมียนมาร์เลยนะเจ้า


หลังจากชมวิวเสร็จก็เริ่มหิวกันแล้ว ตอนเดินลงมาจากจุดชมวิว ก็เห็นคนมุงซื้อของร้านป้า เราก็ไม่รีรอที่จะเข้าไปดูว่าป้าขายอะไร คำตอบที่ได้คือ.... ข้าวฟืน ...... งงสิค่ะ คืออะไร ... เพื่อคลายความงงก็ต้อง ลอง ... จัดไปทุกเมนูที่ป้ามี

เมนูแรกที่สั่งมา มีชื่อว่า "เส้นหมี่ยำ"


เมนูต่อมา...เป็นแผ่นแป้งบางๆ ป้านำมาตัดเป็นเส้นๆ แล้วก็ปรุงน้ำจิ้มให้ เมนูนี้มีชื่อว่า "เส้นจิ้ม"


และเมนูสุดท้าย มีชื่อว่า "ข้าวฟืน" ... ก้อนที่ป้ากำลังหั่นนั่นคือ ก้อนข้าว นะคะ ... ถามป้ามา

ครบทุกเมนู รสชาติแปลกแต๊ๆ เลยล่ะเจ้า.... ใครมาที่นี่ก็แวะมาชิมได้นะจ๊ะ.....

อิ่มแล้วก็ลงมาเดินชอปปิ้ง....แหล่งชอปปิ้งที่นี่ถ้าให้นึกภาพก็คงคล้ายๆกันกับ สำเพ็ง นั่นล่ะจ้าา...

เดินท่ามกลางอากาศร้อน...แม่นางทั้งสองนางไปเดินด้วยกัน...เราไม่ใช่ขาช็อปก็เดินเล่นรอไป...ไม่ได้ซื้ออะไรเลย.... แม่นางทั้งสองนางก็ได้พวกแอลมอนล์อบเนย สตรอเบอรี่อบแห้ง แมคคาเดเมีย ผ้าห่ม ประมาณนี้ล่ะจ๊ะ... ที่เห็นมีเยอะก็จะเป็นสินค้าพวกเงินหรือพลอย...ถ้าใครได้มาเที่ยวทางนี้ก็อย่าลืมเตรียมสตางค์มาเยอะๆ นะจ๊ะ... Good Bye แม่สาย


ขับรถมุ่งหน้าสู่อ.เชียงแสน
พิกัดคือ "สามเหลี่ยมทองคำ"

ระยะทางจากแม่สายไปประมาณ 30 กว่าๆ กิโล.
ถนนดีมาก ขับสบายๆ ขับตาม Google Map ไป จนไปถึงองค์พระพุทธรูปที่ใหญ่และตั้งเป็นสง่า

ก็ถึงแล้ว "สามเหลี่ยมทองคำ"

ขึ้นมาด้านบนเป็นลักษณะเหมือนอยู่บนเรือ...เห็นแม่น้ำเป็นสองสีชัดเจน

มีบริการนำชมรอบเกาะ


สำหรับวิวสามเหลี่ยมทองคำที่ชัดเจน จะต้องขึ้นไปดูที่วัดพระธาตุภูเข้า หรือ พระธาตุปูเข้า ... ซึ่งทางขึ้นวัดจะอยู่ตรงข้ามกับเซเว่น นะจ๊ะ


สีของแม่น้ำสองสีชัดเจน ... มหัศจรรย์จริงๆ มาถึงแล้วก็เก็บภาพเป็นที่ระลึก


อย่าลืมขึ้นไปกราบนมัสการพระธาตุปูเข้า... บรรยากาศภายในวัด สงบ เงียบมากๆ เหมาะกับการทำสมาธิอย่างยิ่ง


คุ้กกี้เสี่ยงทาย อาจจะไม่สมหวัง ต้องมาลอง พระพุทธรูปเสี่ยงทาย นะคะ ... เราไปเสี่ยงทายมาแล้ว... สมหวังนะคร่าาาาา

อยู่ที่นี่จนถึง ห้าโมงเย็น กายสบาย จิตสงบ ก็ยกทัพกันเข้านครเชียงราย กันและเจ้า....

Good Bye สามเหลี่ยมทองคำ


ขับรถกลับเข้าเมืองเชียงราย

พิกัดต่อไป คือ "อนุเสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช"

ให้ Google Map นำทาง ไม่หลงแน่นอน
ตามประวัติศาสตร์แล้ว พ่อขุนเม็งรายมหาราช เป็นผู้สถาปนาเมืองเชียงรายเป็นราชธานีแห่งแรก
ดังนั้นถ้ามาถึงเชียงรายไม่มาที่นี่...ก็คงมาไม่ถึง...





กราบไหว้ขอพรเสร็จแล้ว ก็มุ่งหาของอร่อยที่ขึ้นชื่อกิน... พนักงานร้าน สบันงา บอกว่า ขนมบัวลอยป้าอ้วน อร่อยและขึ้นชื่อมาก ระดับขึ้นโต๊ะเสวย สมเด็จพระเทพฯ เชียวล่ะ.... พูดขนาดก็ต้องลองสิค่ะ.... ร้านบัวลอยป้าอ้วน ตั้งอยู่ในไนท์บาซ่า

จัดมา 3 แบบ

อร่อยจริง... ถ้าใครสนใจก็มุ่งไปได้เลยนะคะ ที่ ไนท์บาซ่า จ้าาา


แล้วอาหารเย็นเราล่ะ คืออะไร..... ก็เดินหาแถวหอนาฬิกาอีกล่ะจ้าาา... แล้วก็พบกับร้านนี้ที่เห็นแล้วชอบในบรรยากาศ

มีชื่อร้านว่า "ผัดไทยหอนาฬิกา" ....

อยู่ฝั่งเดียวกันกับถนนเจ็ดยอด... ที่นั่งมีทั้งนั่งพื้นวางแคร่ และโต๊ะ

กินไป....ได้บรรยากาศชมวิวหอนาฬิกาไป ใครที่มองหาอาหาศเย็นในเมืองเชียงราย แนะนำเลยนะเจ้า!!
จบทริปวันนี้จ้าา... พรุ่งนี้ก็เตรียมเก็บกระเป๋า ปิ๊กกรุงเทพฯ กัน



วันอังคารที่ 3 เมษายน 2561


วันนี้เก็บของเตรียมกับบ้าน... ไฟท์บินตอนเย็น...ช่วงเช้าก็ขอไปแช่น้ำพุร้อนสักที่ก่อนกลับ

เลือกพิกัดที่ "น้ำพุร้อนโป่งพระบาท"

เพราะไม่ไกลมากจากตัวเมือง ระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลจ้าตั้งพิกัดแล้ว Google Map นำทางเลยเจ้า


ที่นี่มีทั้งแบบแช่เท้า และแช่ตัว...แต่ตอนนี้ที่เรามาเขากำลังปรับปรุงห้องแช่ตัว ใช้เวลาประมาณ เดือนถึงสองเดือน ... หากใครมาหลังจากนี้ก็คงได้แช่ตัวไปด้วยล่ะจ้า... จะบอกว่า น้ำร้อนมาก

บ่อแช่เท้า

น้ำพุร้อน

ร้อนแค่ไหนถามใจเธอดู

เพื่อภาพที่สวย...เรายอม!!!

ส่วนเราไม่ขอแช่...ขอแช๊ะสักภาพก็พอ...

แต่เธอผู้นี้ แทบจะลงไปอาบ

มาลองพิสูจน์ความร้อนกันดู

เริ่มจากแช่มือแค่ครึ่งมือ

30 วินาที ... เห็นผลแน่นอน

ถือว่าเป็นสถานที่ที่มาเหนือแล้วจะต้องมาสัมผัส... วันนี้ก็ประทับใจมากที่ได้มาเที่ยวก่อนกลับกรุงเทพ

Good Bye นะจ๊ะ น้ำพุร้อนโป่งพระบาท


ความรู้สึกของการมาอยู่ เชียงราย เป็นเวลา 5 วัน 4 คืนนี้ ... แม้ว่าจะไม่ได้ขึ้นดอยไปสัมผัสอากาศหนาว เพราะมาหน้าร้อน...แต่สถานที่แต่ละที่ก็ทำให้รู้จักจังหวัดเชียงรายมากยิ่งขึ้น ... ผู้คนที่นี่น่ารัก ภาษาของทางเหนือเพราะนะคะ น่าตาผิวพรรณขาวใสกันมาก... อาหารที่นี่แม้ว่าบางเมนูจะไม่รู้จัก แต่พอได้มาสัมผัส ถือว่าภูมิปัญญาอาหารทางนี้มีไว้เพื่อป้องกันความเหน็บหนาวจริงๆ สถาปัตยกรรมแต่ละที่ก็แปลกตามากๆ อาจจะเป็นเพราะทางนี้อากาศหนาวมากกว่าภาคอื่นๆ ดังนั้นการออกแบบต่างๆ ก็จะเป็นลักษณะหลังคายาวๆ ลงพื้น เพื่อป้องกันอากาศหนาวจึงต้องทำให้รู้สึกอบอุ่น ซึ่งแตกต่างจากอีสานบ้านเกิดฉันมาก...ทางอีสานจะออกแบบมาเพื่อให้อากาศผ่าน โล่ง โปร่ง เข้าไปรู้สึกเย็นลมโชยๆ แต่ทางเหนือทำให้รู้สึกอบอุ่น แม้ว่าจะโล่งโปร่ง แต่อบอุ่น ... สุดท้ายนี้ที่ขาดไม่ได้ที่จะนำกลับไปเป็นของฝาก ก็คงไม่พ้น แคปหมู ไส้อั่ว น้ำพริกหนุ่ม และแหนม ที่ขึ้นชื่อของเชียงราย ... ไว้โอกาสหน้าได้มีโอกาสมาฤดูหนาว ก็จะขอไปนอนบนดอยสักคืนสองคืนนะคะ ....

บลอคนี้ เป็นบลอคที่ยาวที่สุดตั้งแต่ทำมา เพราะอยู่นานที่สุด.... หากแต่ต้องทำไว้เพื่อเก็บบันทึกความทรงจำและแนะนำผู้ที่ชอบเที่ยวไปเรื่อย อย่างเรา ... ขอบคุณที่ติดตาม....

จ๋า..........


ความคิดเห็น