สวัสดีค่ะ นี่เป็นการเขียนรีวิวครั้งแรก
เมื่อเดือนที่แล้วได้มีโอกาสไปเที่ยวเมืองหลวงของ Denmark มาค่ะ นั่นก็คือเมือง Copenhagen นั่นเอง เหตุผลที่ว่าทำไมถึงไปเมืองนี้หรอค่ะ อืมมม ก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่แต่ที่รู้ๆคือ เราต้องไปลองอาหารเค้าค่ะ
จุดมุ่งหมายจริงๆของทริปนี้คือ การไปชิม กิน ชิม และก็กินค่ะ ตลกใช่ไหมค่ะ ทำไมไม่ไปชอปปิ้งแทน เอิ่มเอาไงดีละ คือสำหรับเราแล้วการไปเที่ยวในต่างประเทศ คือการได้ไปดูวัฒนธรรมของอาหารค่ะ การผสมผสานอาหารของประเทศนั้นๆ อาจจะเป็นความสุขอีกอย่างก็ได้ค่ะ สิ่งที่ทำให้เบลชอบการชิม การกิน มากกว่าชอปปิ้งคือ การเป็นเชฟค่ะ ลืมแนะนำตัวเลยค่ะ เบลชื่อเบล สกากาญจน์ วงจันทร์ศิลป์ค่ะ เบลเพิ่งเรียนจบ pastry จาก Paris ค่ะ นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลที่เบลไป Copenhagen ก็ได้ค่ะ หนึ่งคือ การเดินทางนั้นแสนง่ายมาก แค่ 2 ชั่วโมงนิดๆโดยเครื่องบิน ข้อสองคือ ราคา ราคานี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ ราคาเหมือนไปกลับเชียงใหม่เลยค่ะ ในยุโรปการบินไปไหนจะใกล้หรือไกลราคาก็พอๆกันค่ะ ถ้าเพื่อนไปเที่ยวยุโรปลองบินไปในโซนยุโรปด้วยซิค่ะ Copenhagen นั้นขึ้นชื่อว่ามีความปลอดภัยระดับๆต้นๆของโลก อันนี้เบลคอนเฟิร์มค่ะ ปลอดภัยจริงๆเพราะประตูบ้านที่ให้เช่าที่เบลเช่าเค้าล็อคไม่ได้ เจ้าของบ้านยังบอกว่าไม่เป็นไรปลอดภัยจริงๆ แต่ใจเราก็ไม่ดีเอาโต๊ะไปปิดไว้ตอนนอนไม่มีโจรเลยค่ะ ปลอดภัยจริงๆ เมือง Copenhagen เนี่ยไปทางไหนไม่ต้องตกใจน่ะค่ะ เพราะมีแต่จักรยาน รถยนต์น้อยมากจริงๆ เหมือนเป็นชีวิตแบบ Slow Life เลย แบบเดินออกจากบ้านก็ปั่นจักรยานไปทำงาน ส่วนเรื่องการปั่นจักรยานใน Copenhagen ถือว่าปลอดภัยมากๆค่ะ เมืองเค้าทำถนนสำหรับจักรยานจริงๆ เดินไปทางไหนก็มีแต่จักรยาน ร้านจักรยาน มีที่จอดจักรยาน
เกริ่นตัวเองมานานแล้ว อย่าเพิ่งเบื่อเบลน่ะค่ะ เอาเป็นว่าเราไปอ่านรีวิวร้านต่อในบรรทัดถัดไปดีกว่า
สำหรับร้านอาหารวันนี้ที่เบลพาไปรับรองว่าถูกใจแน่ๆเลยค่ะ เริ่มต้นเลย เบลจองโต๊ะจากเวปไซส์ของร้านค่ะ ที่ http://www.restaurant-relae.dk/ ก็เค้ามีให้เลือกวันที่ เวลา จำนวนแขก กด send แล้วรอการตอบรับจากทางร้านค่ะ พูดๆแล้วร้านนี้อาจจะไม่ดังมากถ้าเทียบกับ Noma แต่เชฟทั้งคู่เค้าเคยร่วมงานกันในร้าน Noma ถ้าพูดถึงส่วนของเรื่องอาหารเนี่ย ไม่ต้องบอกเลยค่ะ เค้าค่อนข้างจะเป็นคอนเซปที่เหมือนๆกันด้วยกันค่ะ คือ Farm to Table แปลว่าทุกอย่างที่อยู่บนจานวันนี้คือสิ่งที่เชฟและทีมปลูกกันเองใน Farm หรือ Garden ของเค้า ส่วนเนื้อสัตว์เค้าอาจจะไม่ได้เลี้ยงเองแต่ว่าเค้ามี Deal กับ Local Fisher and Bucher ค่ะ จริง Farm to Table ค่อนข้างจะฮิตมากในร้านอาหารระดับ Michelin แต่ก็มีหลายๆร้านที่ทำคอนเซปแบบนี้เหมือนกัน แต่ทำไมเค้าไม่ได้ Michelin ละ การจัดอันดับของ Michelin เนี่ยไม่ได้วัดที่อาหารอย่างเดียว มีการวัดหลายๆอย่างค่ะ เช่น การบริการ การตกแต่ง ความสะอาด อาหาร รสชาติ การตกแต่งดีเทลต่างๆของอาหาร เอาเป็นว่า ร้าน RELAE เนี่ยเค้าได้ 1 ดาวจาก Michelin โดยปกติเบลชอบทานอาหารกับชิมอาหารร้าน 1 หรือ 2 ดาวค่ะ เบลคิดว่าราคากับอาหารสมเหตุสมผลกัน แต่มี 3 ดาวด้วยไว้ครั้งหน้ามารีวิวค่ะ
เริ่มต้นเลยค่ะ เมนูสำหรับร้านนี้มีให้เลือก 2 แบบค่ะ มี 4 Courses Menu หรือ 7 Courses Menu ถ้า Paired with wine เพิ่มอีกตามราคาด้านล่างค่ะ Wine ที่เค้าเสริฟ ไม่ใช่มา 1 แก้ว ราคา 395 kr. หรือ 685 kr. น่ะค่ะ เค้ามาตาม Courses ที่เราเลือกค่ะ ถ้าเราสั่ง 4 courses menu ไวน์จะมาทั้งหมด 5 แก้ว ส่วน 7 courses menu มีไวน์ 9 แก้วค่ะ ร้านนี้เป็น Closed Menu คือ เราไม่สามารถเลือกได้ค่ะว่าเราจะทานอะไรวันนี้ ทุกจานจะเป็นสิ่งที่เชฟจัดมาให้หมด อาจจะยากซักนิดสำหรับคนที่ทานยากค่ะ แต่ไม่ต้องกลัวว่าเราจะทานไม่ได้ ถ้าเราแพ้อาหารอะไร ไม่ชอบอะไรเราสามารถบอกเค้าได้เลยค่ะ เค้าไม่บังคับให้เราทานค่ะ
เริ่มต้นของ Set Menu
จานนี้เป็น Complimentary จาก kitchen ค่ะ เป็นแตงกวา คล้ายแตงกวาญี่ปุ่น หมักใน Olive Oil จาก Italy พนักงานบอกต่อว่าเป็น Homemade oile oil ค่ะ มาคู่กับซอสคล้าย Anchovy ซอสอันนี้เน้นว่าอร่อยมากกกกกกก
ต่อมา เป็น Sour Bread เบลอยากจะเข้าไปแอบดูเลยว่าทำยังไง คือมันดีมากๆค่ะ เค้า Fermented ได้ดีมากๆ เค้าหมักขนมปังได้ดีมาก ขนมปัง Sour Bread คือการนำแป้ง ยีสต์มาผสมกันให้เป็นก้อนหลังจากนั้นก็ต้องทิ้งไว้ให้ยีสต์ทำงานจนถึงเวลาก็นำก้อนยีสต์มาผสมกับตัวขนมปังอีกที ซึ่งบอกเลยว่าดีมาก หอมมาก ส่วน Texture ของขนมปังอันนี้ต้องบอกเลยว่า ให้ 9 จาก 10 ค่ะ ขนาดเบลเรียนเชฟ ชิมขนมปังมาเยอะ ยังไม่มีอันไหนเท่าชิ้นนี้จริงๆค่ะ
เริ่มต้นจานแรก ของ Set Menu เป็นปลา Mackerel Fish ที่สดมากกกก คือทานเค้าไปละลายเลยค่ะ มาพร้อมกับ Side Dish เป็น Cauliflower หรือ ดอกกระหล่ำนั่นเอง
อันนี้เหมือนซุ้มผักกาดเลย มาแบบไม่เห็นข้างในเลย เป็นผักกาดซึ่งเค้าไปสไลด์จนเป็นเส้นบางๆอย่างที่เห็นค่ะ
ข้างในคล้ายๆกับผักกาดดองผสมครีมค่ะ แปลกๆค่ะ แต่รวมๆใช้ได้ค่ะ
ถัดมาคล้ายๆ zuchini แต่มาในรูปแบบลูกเล็กๆ เค้าดอง Olive Oil ไว้ 1 คืน ด้านบนเป็นเหมือนผงๆเหมือนสาหร่าย มากับผักสลัดคลุกเลมอน
จานหลักของวันนี้เป็นเมนู Slow Cook Chicken Brest ซึ่งอร่อยมากกกกก อยากจะเน้นว่าอร่อยมากจริงๆค่ะ เค้านำไก่ไปต้มผ่านเครื่อง Sous-vide คือต้มในถุงสูญญากาศ หรือเรียกว่า Vacumm Bag ส่วนสีน้ำตาลๆที่โรยตรงไก่ที่ไม่ใช่กระเทียมน่ะค่ะ แต่เป็นหนังไก่เอาไปผัดกับ Hazelnut Butter จนกรอบและหอมมากๆจริงค่ะ คือเชฟทำได้ดีมากๆ อยากจะปรบมือรัวๆว่ามันอร่อยมาก
ต่อมาคือ Gougère อ่านว่า กูว-แจรร เป็น Choux ผสม กับชีส ส่วนสีน้ำตาลด้านบนนี่คือชีสค่ะ ทางร้านบอกว่าเป็น Local Chesse จาก Farm ใน Denmark ค่ะ ส่วนตัวเบลชอบทาน Gougère อยู่แล้ว พอทานอันนี้คือชีสละมุนลิ้นมาก ไม่เลียนเลย แบบเค็มๆนิดๆ
จากสุดท้ายของวันนี้แล้ว เป็นจานที่เบลรอตั้งแต่จานแรกเลย ก็เราเป็นเชฟขนมหวานนี่เนอะ
จานนี้เป็นไอศครีมนม ข้างบนเป็นงาดำและขาวป่น ตัดกับราสเบอร์รี่ เนื้อไอศครีมนุ่มเนียมมากค่ะ แต่เบลว่าขาดหวานไปนิดคือเชฟอยากให้รู้รสชาติของนม แต่โดยส่วนตัวน่าจะเพิ่มความหวานจากน้ำผึ้งหรือน้ำตาลธรรมชาติซักนิดจะอร่อยมากเลย แต่ถ้าตัดเรื่องความออกไป เบลว่าจากนี้ก็เฉยๆค่ะ ได้ Texture อย่างเดียวค่ะ
สรุป
ราคา 8/10
รสชาติอาหาร 8/10
ความสดใหม่ 8.7/10
รวมๆแล้วเบลชอบความสดใหม่ของวัตถุดิบและการนำอาหารจากธรรมชาติมาปรุงแต่งซึ่งไม่ต้องเน้นการปรุงมาก เบลถือว่าเป็นร้านที่แนะนำอีกร้านเลย สำหรับกระทู้นี้ของวันนี้ ขอจบไว้แค่นี้ก่อนน่ะค่ะ อาจจะเขียนไม่เก่งหรือใช้คำผิดไปต้องขออภัย แต่ครั้งหน้าเบลจะกลับไปปารีสแล้วค่ะ จะพาลุยตะเวนร้านอาหารทั่วฝรั่งเศษแน่นอนค่ะ เจอกันโอกาสหน้าค่ะ
Sakaokarn Vongchansilp
วันพฤหัสที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2558 เวลา 13.20 น.