'คะน้าน้อย' สวัสดีค่าาา ^O^

ประโยคทักทาย original ขนาดนี้ ตัวจริงเสียงจริงแน่นอนนะฮะ 55555

ดีใจที่สุดในโลก ในที่สุดคะน้าก็เขียน Blog นี้เสร็จจนได้ เพราะทริปนี้เดินเยอะมากจริงๆ

ถ่ายรูปมาครึ่งหมื่น กว่าจะเลือกรูป กว่าจะเรียง Time line เล่าเรื่อง โอโหหห!!

แต่ในที่สุดคะน้าก็พร้อมที่จะมาพาทุกคนไปเที่ยวด้วยกันแล้วจ้าาาา~


Backpack กันเหมือนเดิม แพลนเดินทาง 4 วัน 3 คืนกรุบกริบ

ซึ่งทริปนี้เราจะบินกันไปที่...

"ประเทศสิงคโปร์"

ทริปนี้ดีต่อใจคะน้ามากๆๆๆ ตรงที่คะน้าตั้งใจแพลนทริปเอง

เพื่อไปเที่ยวพักผ่อน เป็นของขวัญวันเกิดให้ตัวเองกับเพื่อนสนิทค่ะ

[ Remark : ตอนแรกคะน้าตั้งใจจะเขียนแยก Blog ออกเป็นตอนๆ

แต่สุดท้ายก็ Final จบใน Blog เดียวนี่แหละ พาเที่ยวกันไปยาวๆ จุกๆ เลยจ้าาา ]



Day 1



เจ็ดโมงเช้า ที่สนามบินดอนเมือง สนามบินคู่ใจชาวแบคแพคทั้งหลาย

เพราะสายการบิน Low cost สถิตย์อยู่ที่นี่ 5555

เอ๊ะ! นี่ใคร หน้าคุ้นๆ "ขิมไหม" เพื่อนสนิท ผู้จะไปร่วมชะตากรรมดีๆ กับคะน้าเอง

เราสองคนเกิดเดือนเดียวกัน ปีเดียวกัน ห่างกันแค่สองวันค่ะ ทริปนี้เลยถือเป็น

Happy Birthday Trip ของเราสองคน ^_^ + ^_^



สู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้นนน~ // Toy Story 4 กำลังอินๆ ก็เอาซะหน่อยนะฮะ

คะน้าชอบนั่งเครื่องบินมากๆๆ มีความสุขทุกครั้งที่นั่งเครื่องบิน

จิตสำนึกลึกๆ ที่ชอบเที่ยวไกลๆ คงเพราะว่าชอบนั่งเครื่องบินนี่แหละ พอจะรู้ตัว 5555



3 ชั่วโมงต่อมา...

คะน้ากับขิมไหม ก็เป็นต่างด้าวเรียบร้อยแล้วจ่ะ ถึงแล้ววว สนามบิน Changi



เมื่อเราเดินเข้ามาถึงภายในสนามบิน คะน้าก็หันมาเจอกับตู้นี้ค่ะ

Changi WiFi เป็นตู้ที่ให้เราใช้พาสปอร์ต Scan เข้าไปเพื่อขอรหัส WiFi

สำหรับใช้ในสนามบิน ชอบมากกก เน็ตเร็ว ใช้ระหว่างที่ยังไม่มี Sim 4G สะดวกมาก



ระหว่างขิมไปกดรหัส WiFi คะน้าก็นั่งเขียนใบตม.อยู่นี่ ดูจากหน้านี่รู้เลยนะฮะว่างงๆ อยู่



หลังจากผ่านตม.มาแล้ว คะน้าก็เดินหาร้านนี้แบบแทบจะพลิกสนามบิน

หาไม่เจอก็เลยเดินไปถามทางกับเจ้าหน้าที่ Information ซึ่งดีต่อใจเรามาก

พูดช้าๆ ชัดๆ และทวนซ้ำให้ จนในที่สุดเราก็หาร้านนี้เจอจนได้



คะน้านั่ง Monorail จาก T3 มาที่ T2 ค่ะ เพื่อมาหาร้าน Cheers นี่แหละ



ร้าน Cheers เป็นร้านที่คะน้าจะต้องมารับ Sim 4G Singapore ตามใบจอง

ที่คะน้าซื้อไว้จาก Klook ล่วงหน้ามาตั้งแต่ประเทศไทย ในราคา 287 บาท

เน็ต 100GB ใช้ได้ 7 วัน โทรภายในประเทศ 500 นาที โทรกลับไทยได้ 20 นาที

เมื่อมาถึง คะน้าก็เอาใบ Booking ให้พนักงานร้าน เขาจะติดตั้งซิมให้เราจบเลย



และแล้วเราก็มี 4G อันแรงกล้าอยู่ในมือ เดินออกจากร้านอย่างอารมณ์ดี

มองหาป้ายบอกทางไปสถานีรถไฟฟ้ากันต่อโลดดด



ป้ายบอกทางเยอะและละเอียดยิบเหมือนเดินอยู่ใน Google Map

เราหาสถานีรถไฟฟ้าได้ไม่ยาก ลงบันไดเลื่อนมาก็เจอตู้จำหน่ายตั๋วรถไฟฟ้าแล้วค่ะ

คนไม่เยอะ รอคิวไม่นาน ราคาตั๋วจากสนามบิน ไป China Town $5 ถ้วน



เอ่อ! ที่นี่ที่ไหนคะ 55555

อะไรคือการโผล่ขึ้นมาจาก MRT China Town แล้วเจอสี่แยก



คะน้าเปิด Google Map ไม่รอแล้วจ้าาา พิกัดปลายทางคือโฮสเทลที่เราจองไว้ค่ะ



จากสถานีเมื่อครู่เดินมาไม่นานนัก เราก็เจอโฮสเทลของเราแล้ว



คะน้าจอง Wink Capsule Hostel ไว้จาก Traveloka ล่วงหน้ามาเช่นกัน

จองไว้ทั้งหมด 4 วัน 3 คืน Paid ไปทั้งสิ้น 1,736 บาท หรือ 434 บาท/วัน เท่านั้นเอง



หลังจาก Check in เรียบร้อยแล้ว เราต้องจ่ายค่ามัดจำ Key card $20

// เราจะได้คืนวันที่ Check out อันเป็นธรรมเนียมปกติอยู่แล้ว

พนักงานพาเราเดินแนะนำจุดต่างๆ ภายในโฮสเทล ซึ่งที่นี่จะเป็นแคปซูลแบบเตียงคู่

หัวเตียงมีปลั๊กสองข้าง มีโคมไฟเล็กสองข้าง ไฟแสงสว่างรวม และห้องน้ำรวม

พร้อมผ้าม่านปิดปลายเตียง ด้านล่างเตียงจะเป็นช่องเก็บของพร้อมกุญแจค่ะ



เก็บของเรียบร้อยแล้ว คะน้ากับขิมไหมก็คว้ากล้องคู่ใจคล้องคอ

เตรียมพร้อมออกเดินลุยกันต่อสำหรับวันแรกของทริปแล้วจ้าาา



บรรยากาศระหว่างเดินออกมาจากโฮสเทล



ระหว่างทางที่คะน้ากับขิมไหมเดินอยู่ในย่าน China Town เราจะผ่านวัด

วัดศรีมาริอัมมันต์ (Sri Mariamman Temple)

เป็นวัดฮินดูเก่าแก่ที่สุดของสิงคโปร์ สร้างเมื่อปีค.ศ.1827

ถ่ายรูปสถาปัตยกรรมของวัดนี้มาเยอะเลย เป็นความขลังที่สวยสะดุดตามากๆ



เดินผ่านวัดศรีมาริอัมมันต์ เราจะไปต่อกันที่ วัดพระเขี้ยวแก้ว ค่ะ

เดินมาเรื่อยๆ ชิลๆ เลยนะ อากาศที่นี่ดีมาก รถน้อยมากกก ทำให้ไม่มีฝุ่นควันใดๆ

เหมือนตอนเดินเที่ยวที่ญี่ปุ่นเลย สิงคโปร์สะอาดมาก ถนนสวย ตึกสวย

ป้ายบอกทางละเอียดทุกหัวถนน เป็นประเทศที่เที่ยวง่ายถึงง่ายมากถึงง่ายที่สุดอ่ะ



Buddha Tooth Relic Temple

มาถึงคะน้ากับขิมไหม ขอไหว้พระก่อนแล้วกัน

แต่เห็นคนที่นี่เขาไหว้พระแบบหันหลังให้องค์พระ หันหน้าออกถนนค่ะ

ธูปที่ใช้แค่ 1 ดอกเท่านั้น คะน้าเกือบหยิบ 3 ดอกแล้วดีว่าสังเกตุเห็นซะก่อน

แต่คะน้ายังคงไหว้ด้วยการหันหน้าเข้าหาองค์พระเหมือนเวลาไหว้พระที่ประเทศไทย




หลังจากไหว้พระขอพรแล้ว คะน้ากับขิมไหมก็เข้ามาเดินดูภายในวัดกันค่ะ

วันนี้คนเยอะมาก และด้านในกำลังพิธีทางศาสนา (อีกแล้ว)

คะน้าเลยบอกขิมว่า...วันนี้เราจะเดินดูแค่ชั้นล่างไปก่อนแล้วกัน

วันหลังเราค่อยขึ้นไปดูพิพิธภัณฑ์และกราบสักการะพระเขี้ยวแก้ว กันอีกที

[สำหรับพิพิธภัณฑ์ และพระเขี้ยวแก้ว คะน้าจะพามาอีกทีในวันที่ 4 ของทริปนะคะ]

เป็นไงบ้าง ตะลึงความสวยในวัดนี้เหมือนคะน้ากันมั้ย สวยมาก งานประณีตที่แท้



เดินชมวัดเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินออกมาจากวัด เพื่อไปเดินต่อกันที่ถนนคนเดินค่ะ

เป็นถนนคนเดินย่านไชน่าทาวน์ ตรอกเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก แต่มีหลายซอยนะคะ

ถ้าเดินแบบไม่จำทางก็จะหลงซอยเอาได้ เพราะคะน้ากับขิมไหมก็ไม่รอด 5555555

และเนื่องจากตอนนี้เป็นตอนกลางวัน ร้านรวงต่างๆ ยังไม่เปิด (จะเปิดกลางคืน)

ทำให้คนไม่เยอะมาก ร้านค้าไม่หนาตาเท่าไหร่นัก แต่เพราะโฮสเทลเราอยู่ที่นี่

ตอนกลางคืนเป็นยังไง เดี๋ยวค่อยมาเดินเที่ยวใหม่กันอีกทีก็ย่อมได้



เดินในตลาดอยู่ดีๆ เห็นป้ายบอกทางไป MRT แบบบังเอิญ

คือเป็นทางเข้าสถานี MRT China Town ใจกลางตลาดพอดีเลยค่ะ

มาถึงตรงนี้คะน้าเลยได้รู้ว่า ตอนมาจากสนามบินคือขึ้นผิดประตู!

ถึงว่าโผล่ขึ้นมาจาก MRT แทนที่จะเจอไชน่าทาวน์ กลับเป็นสี่แยกซะอย่างนั้น

ขิมไหมผู้มีสกิลในการจำทางมากกว่าคะน้า เลยรับผิดชอบจำทิศทางไว้ค่ะ

ขากลับมาตอนเย็น เราจะได้ไม่ต้องเดินกลับโฮสเทลไกลๆ อีก



เดินเข้ามาภายในสถานี เห็นป้ายกระดาษมีลายเส้นยุบยิบ อดไม่ได้ขอเดินเข้าไปดูหน่อย

อ่อ! เป็นบอร์ดเอาไว้ลงลายมือชื่อว่าเคยมาที่นี่แล้วนะเหวยยย~ // เขียนสิรอไร 55555



คะน้าพาขิมไหมมาเสียเงินขึ้นรถไฟฟ้า อีก $4

ปลายทางคือสถานี Dhoby Ghaut



เมื่อออกมาจากลง Dhoby Ghaut มองหาทางออก Exit B เราจะเจอวงเวียนนี้ค่ะ

คะน้าจะพาขิมไปถ่ายรูปที่อุโมงค์ต้นไม้ที่ Fort Canning Park

จากวงเวียนต้องข้ามถนนไปอีกฝั่ง แล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปตามทางเรื่อยๆ

แต่ทว่า!! คะน้าจำทางผิด เลี้ยวขวาเฉ๊ยยยย~



เลี้ยวขวามาแล้วเหมือน Google Map จะกลั่นแกล้ง จู่ๆ ก็ไม่มีสัญญาณขึ้นมาซะอย่างนั้น

คะน้าเลยลองเสี่ยงไปก่อน เดินไปเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าไกลเกินไปแล้วรึเปล่า??

จนมาเจอสวนสาธารณะแห่งนี้โดยบังเอิญ อ่ะไหนๆ ก็ไหนๆ ถ่ายรูปเล่นก่อนก็ได้



Google Map กลับมาทำงานอีกครั้ง และบอกว่า "เดินย้อนกลับไปยาวๆ เลยแกรรร!"

คราวนี้ขิมไหมเป็นคนนำทาง คือเดินย้อนกลับมาที่วงเวียนสถานีเมื่อครู่

จากนั้นข้ามถนนตรงป้ายรถเมล์อีกฝั่งหนึ่ง แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆๆๆ (มีป้ายบอกทาง)

จนกระทั่งเจอทางเข้าอุโมงค์แบบนี้ ถึงแล้วจ้าาา // ยืนหอบอยู่พักนึงอ่ะ 55555



เมื่อเดินเข้ามาถึงด้านในตรงจุดที่นักท่องเที่ยวชอบมาถ่ายรูปกัน

เราต้องต่อคิวกันนิดนึงค่ะ และนี่คือกำลังพยายามนั่งหามุมกล้องอยู่ 5555

ต้องนั่งถ่าย ถ้านอนได้นอนแล้วนะ เพราะต้องกดกล้องต่ำแล้วซูมขึ้นไปค่ะ ถึงจะเก็บหมด



Fort Canning Park เป็นสวนสาธารณะ ที่มีประวัติยาวนานมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14

ภายในสวนแห่งนี้นอกจากจะมีอุโมงค์ต้นไม้ ซึ่งเป็น Landmark ของบรรดานักท่องเที่ยว

ยังมีจุดอื่นๆ อีกมากมายที่ยังคงอยู่จากสงครามโลกครั้งที่ 2 ให้เราได้ไปชมกันค่ะ

ไม่ว่าจะเป็น The Gate of Fort Canning (ป้อมปราการ), Raffles House

Underground Far East Command Centre, ศูนย์ศิลปะ Fort Canning

Sally Port (ประตูหลบหนีออกจากป้อม) และอีกหลายๆ จุดที่น่าไปค่ะ

ซึ่งในส่วนนี้คะน้าไม่ได้เข้าไปดูนะคะ เอาไว้แพลนไปสิงคโปร์รอบหน้า จะมาซ่อมแน่นอน!



ถ่ายรูปอยู่พักใหญ่ คะน้าก็ร้องหิวข้าว ขิมไหมบอก "เราก็หิว" 555555

พอเราเดินกลับมายังสถานี มี Food court พอดี เลยฟาดกันที่นี่เลย



หลังจากทานมื้อสายรวมเที่ยง ในราคา $7 (สองจาน) เสร็จเรียบร้อย

คะน้าจะพาขิมไปต่อที่ Bugis Street เป็นย่านการค้า มีห้างฯ มีร้านค้าถนนคนเดิน

จริงๆ เราสองคนไม่ใช่ขาช้อปค่ะ แต่ที่จะไป เพราะอยากไปดู ไปให้รู้เฉยๆ ว่าเป็นยังไง



คะน้าถามขิมว่าเดินไหวมั้ย หรือจะนั่งรถไฟฟ้าไป ขิมสายลุยตอบไม่คิดเลยจ่ะ "เดิน"

เราสองคนนิสัยคล้ายกัน คือชอบเดินเที่ยว ชอบเดินดูไปเรื่อยๆ ว่าตรงไหนเป็นยังไง

เดินไปถ่ายรูปไป สนุกดี ดูตึก ดูต้นไม้ ที่สำคัญที่นี่เดินง่ายและปลอดภัยค่ะ

คนไม่เยอะ รถก็ไม่เยอะ ดูสบายๆ ไปหมด



เดินแวะถ่ายรูปเล่นมาตลอดทาง ตอนนี้ก็มาถึงย่าน Bugis Street แล้วค่ะ

ที่นี่รวมๆ คล้ายแถวสยามที่กรุงเทพฯ ค่ะ มีห้างใหญ่ๆ มีของขายจิปาถะเต็มไปหมด

คะน้าเพิ่งจะเห็นคนเยอะสุดๆ ก็ที่นี่แหละ 5555



แก้วนี้มีเรื่องเล่า...

ระหว่างทางที่เดินมาอากาศก็ร้อนไม่ต่างจากที่ไทย เราก็หิวน้ำ อยากกินน้ำผลไม้เย็นๆ

คะน้าชอบกินเสาวรสมากกก เหลือบเห็นแก้วนี้ก็บอกขิมว่าอยากกิน

สั่งซื้อเรียบร้อย ตอนกินอึกแรกเท่านั้นแหละ นี่มัน...แก้วมังกร!! 555555

คือดูจากรูปก็รู้แหละว่านี่มันแก้วมังกร แต่ ณ ตอนนั้นเหมือนเราสองคนเมาแดดอ่ะ

มันเบลอ มันเห็นความเป็นเม็ดๆ ลอยในแก้วก็ทึกทักว่าเสาวรสไว้ก่อน

โดยที่ไม่คิดเลยว่า แก้วมังกรมันก็มีเม็ด และนี่คือเม็ดของแก้วมังกร ทำไมลืมมม!?

เอา $1.50 คืนมาาาาา T_T



พอได้น้ำแก้วมังกรมา เดินมาอีกสามก้าว หนุ่มตี๋หน้าตาดี๊ดี

ยื่นแก้วน้ำผลไม้ให้ชิมฟรี และมันอร่อยกว่าน้ำแก้วมังกรมาก คนขายก็หล่อมาก แงงง้~



เดินเล่นจนสมใจ และนี่ก็เริ่มจะเย็นมากแล้ว เราเลยรีบไปต่อกัน

เพราะแพลนวันนี้ยังเหลืออีกที่หนึ่งที่อยากไป เรารีบเดินมาที่สถานี Bugis

ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับถนนคนเดิน เห็นง่าย มีป้ายบอกทางค่ะ ไม่หลงแน่นอน!



จากสถานี Bugis ปลายทางสุดท้ายของวันนี้คือ Little India // นั่งรอรถไฟอยู่ 5555

กดซื้อตั๋วลงที่สถานี Little India ได้เลยค่ะ สนนราคาตั๋วที่ $1.40

(จริงๆ เราจ่ายไป $1.30 เพราะได้ Refund เงินคืนในบัตรมา $0.10 ด้วย)




ไม่นานรถไฟก็จอดที่สถานี Little India เมื่อมาถึงและขึ้นมาจากสถานีใต้ดิน

โอโหหห! เหมือนวาร์ปมาอินเดียจริงๆ แหละ ความตึกสูง ถนนสี่เลน ไม่มีเลย

กลายเป็นย่านภารตะที่แท้ เพราะมองไปทางไหนก็มีความเป็นอินเดียไปหมดเลยค่ะ




ย่านนี้เราจะเจอคนอินเดียแทบจะล้วนๆ ค่ะ ตึกอาคารสีสันแสบตาสุดฤทธิ์

ถ่ายรูปสนุกมากกกก เพราะสีสันเยอะๆ นี่แหละ ร้านค้าที่นี่เด่นๆ คือร้านทองค่ะ

รองลงมาคือร้านขายโทรศัพท์มือถือ ร้านอาหารไม่เยอะเท่าไหร่ และมีตลาดสดด้วย



คะน้าพาขิมเดินเล่นกันจนพลบค่ำ ถึงเวลาที่จะต้องกลับไปไชน่าทาวน์กันแล้วล่ะ

เราเดินกลับไปยังสถานี Little India ซื้อตั๋วปลายทางสถานี China Town $1.40

คราวนี้มั่นใจว่าเราจะไม่ขึ้นผิดประตู 5555555



ออกจากสถานีรถไฟมาโผล่ใจกลางตลาดไชน่าทาวน์จริงๆ ด้วยค่ะ

ใจกลางแบบกลางจริงๆ อ่ะ คือโผล่มาแล้วโต๊ะกินข้าวตั้งอยู่ข้างๆ บันไดเลื่อนเลย

ตลาดกลางคืนคนพลุกพล่าน ผิดไปจากเมื่อตอนกลางวันมากๆ เลยทีเดียว

ยามค่ำมีร้านอาหาร ร้านของหวาน และร้านขายของที่ระลึก ค้าขายกันสนั่นหวั่นไหว



ก่อนเดินกลับโฮสเทล แน่นอนว่าเราอยากได้ภาพบรรยากาศตอนกลางคืน

เราเลยเดินเล่นกันอยู่พักใหญ่ๆ ค่ะ ตอนกลางคืนที่นี่เปิดไฟเยอะมาก

คนเดินเยอะมากด้วย อาจเพราะว่าผู้คนเลิกงานกันแล้ว บนถนนรถก็หนาตาขึ้นเช่นกัน



เดินเล่นสักพัก คะน้าอยากกินนม ได้ลองเข้าไปใน 7-11 ด้วย

ขิมเห็นนม M&M อยากจะลอง คะน้าดูจากสีหน้ารสชาติไม่น่ารอด 55555555

คะน้าเลยลองเอามาชิมดู คือฟิลเหมือนกินน้ำถั่วลิสงที่มีรสช๊อคโกแลตอ่อนๆ อ่ะค่ะ

ขิมถามว่า "กินได้มั้ย" คะน้าตอบว่า "ก็กินได้นะ ไหวอยู่"

ขิมบอก "งั้นเอ็งก็กินไปให้หมดเลย" 555555 ดูมันนนน!!!



และระหว่างทางที่เดินกลับเราต้องเดินผ่าน วัดศรีมาริอัมมันต์ กันอีกครั้ง

ตอนนี้ที่วัดเปิดไฟก็ดูสวยไปอีกค่ะ จริงๆ คือคะน้าชอบรูปปั้นบนยอดประตูนี้มากๆ นะ

ต้องค่อยๆ ดูทีละจุดถึงจะเห็นชัดว่าคือรูปปั้นอะไร หรือดูรวมๆ ก็เป็นศิลปะที่สะดุดตามากๆ



เอาล่ะวันนี้เดินไกลมาก แอบเปิด App ดูก็ตกใจไม่น้อย

คะน้าขอกินนมนอนก่อนแล้วนะคะ พรุ่งนี้เช้าเราจะได้ไปเที่ยวต่อ ลุยยยย~




Day 2



เช้าวันนี้อากาศดีมาก แดดออกหน่อยๆ แต่ไม่ร้อน เดินสบาย

เราแต่งตัวเสร็จก็ออกมาหาอะไรรองท้องที่ห้องอาหาร

ที่โฮสเทลมี ซีเรียล นม เนย ขนมปัง น้ำผลไม้ ไว้ให้แขกทานเป็นมื้อเช้า

พออิ่มแล้วเราก็สะพายกล้อง เตรียมออกไปเที่ยวกันเลย



เปิดดูจาก Google Map โฮสเทลของเราอยู่ไม่ไกลจาก Marina Bay

คะน้าเลยบอกขิมว่า เราจะเดินกันไปนะ จะได้ถ่ายรูประหว่างทางไปด้วย เผื่อเจออะไรสวยๆ

เราออกจากโฮสเทลมา ถ้าเลี้ยวขวาคือไป China Town แต่วันนี้เราต้องเลี้ยวซ้ายค่ะ



เราเดินเรื่อยๆ ไม่เร่งรีบ เจออะไรอยากถ่ายก็ถ่าย

บางทีเรียกกันให้หันมาถ่ายรูปเล่นๆ ไปพลาง



เราได้เห็นความสวยงามของสิงคโปร์ไปตลอดสองข้างทางอย่างละเลียด

ต้นไม้ที่นี่ใหญ่โต เขียวชะอุ่ม และแผ่กิ่งก้านสวยทุกต้น สวนสาธารณะสวยน่านั่งมาก

ไม่มีฝุ่นควันรถ อากาศร้อน แต่มีเงาจากตึกสูงสวยบังได้เยอะอยู่ ตึกสวยๆ ทั้งนั้นเลย



เดินมาตาม Google Map สักพักเราก็เจอ Sculpture ชิ้นนี้ ตั้งเด่นอยู่ริมถนน

สาย Battery Road เป็นผลงานของปฏิมากรชาวไต้หวัน ชื่อ Yang Ying Feng

สร้างขึ้นในปีคศ.1998 ความหมายของผลงานชิ้นนี้ คือการแสดงถึงความก้าวหน้า

ทางธุรกิจและภาคการเงินของสิงคโปร์ ในย่าน Raffles Place ริมแม่น้ำสิงคโปร์ค่ะ



คะน้าพาขิมไหมข้ามถนนมาอีกฝั่งหนึ่ง เพราะเห็นแม่น้ำสิงคโปร์ที่พูดถึงแล้ว




ข้ามถนนมาเจอบรรยากาศริมแม่น้ำสิงคโปร์ มีเรือข้ามฟาก มีสะพานสวยๆ

คราวนี้เลือกไม่ถูกเลยว่าจะถ่ายรูปตรงไหนก่อนดี สวยไปหมดเลยค่าาาา ^_^



จากมุมนี้เรามองเห็น Esplanade Theatres ด้วย กรี๊ดดดด!! ใกล้แล้วสินะ



คะน้ากับยูนิคอร์นของเธอ // เดี๋ยววว~



ยืนถ่ายรูปเล่นริมแม่น้ำอยู่นานมาก มากจริงๆ เพราะอากาศดี และมุมสวยๆ เยอะ

พอมาถึงตรงนี้เราก็ไม่สนใจ Google Map แล้วค่ะ เราใช้เซ้นท์เดินล้วนๆ

เพราะเราเห็น Esplanade Theatres อยู่ลิบๆ ไม่นานก็น่าจะถึงสิงโตทะเลกันแล้ว



ใกล้ความจริงแล้วค่ะ เราเห็น Marina Bay Sand ก่อนใครเลย เด่นอลังการมากกก!

ก่อนจะหันไปทางซ้าย แล้วเราจะเห็นเจ้าสิงโตทะเลพ่นน้ำอยู่ค่ะ

เคยเห็นแต่ในรูปอ่ะเนอะ พอมาเจอของจริงก็อดตื่นเต้นไม่ได้ อยากเข้าไปถ่ายรูป



ระหว่างที่คะน้ากำลังพุ่งตัวไปหา Merlion นั้น ขิมก็เบรกเอี๊ยดขึ้นมาแบบหน้าตาเฉย

"รอแป็บนึง ขอทาครีมกันแดดก่อน" โอ้ยยย อินางงง

ดูจากท่าทาครีมแล้ว สปอนเซอร์ครีมกันแดดจะเข้า ติดต่อคะน้าเลยนะฮะ 555555

ก็ไม่แปลกที่นางจะกลัวแดดเอาตอนนี้ เพราะเรายืนอยู่ริมอ่าวมาริน่าเบย์ค่ะ

แดดก็แรงมากขึ้นมาซะอย่างนั้น ร้อนจนตาหยี แว่นก็ไม่ได้เอามา ถ่ายรูปตาตี่แน่เด้อ



ในที่สุดดดด! Merion จ๋าาา คะน้ามาแล้ววว

สิงโตทะเลในภาพที่เคยเห็น ของจริงตัวใหญ่มากเลย พ่นน้ำแรงมากด้วย แงงง้~

“Mer” แปลว่า “ทะเล” และ “lion” แปลว่า “สิงโต”



ตอนนี้เป็นช่วงสายๆ แล้วค่ะ คนเริ่มเยอะพอสมควร หามุมถ่ายยากมากๆ เด้อ

เดินวนอยู่นานแหละ ด้วยแดดที่เริ่มร้อนและคนเริ่มเยอะ เลยคิดว่าไปต่อดีกว่า



เดินถัดมาจากเมอร์ไลออน จะเป็นสะพาน Singapore Golden Jubilee

เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างฝั่งนี้กับฝั่งโน้นค่ะ // อิหยังวะ 555555

เอาเป็นว่าสวยค่ะ มาเถอะ เอาร่มมาด้วย เอาแว่นกันแดดมาด้วยนะ




เมื่อข้ามสะพานจากฝั่งโน้นมาถึงฝั่งนี้แล้ว // ยังนะ...ยังไม่หยุด =_=;

เราจะเจอกับ Esplanade Theatres หรือที่เรียกกันว่า โดมทุเรียน นั่นเอง

ที่นี่เป็น Centre สำหรับงานแสดงต่างๆ ของประเทศสิงคโปร์ค่ะ

ด้านในแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ Theatre, Concert Hall และโซนร้านค้า ห้องสมุด คาเฟ่ต์ต่างๆ

คะน้าไม่ได้เข้าไปนะคะ ถ่ายรูปอยู่แค่ที่เท่าที่เห็นนี่แหละค่ะ

มีป้ายด้วยนะ "Share your photos #MyDurian" 5555



อากาศมันร้อนต้องการของเย็นๆ หันไปเห็นตู้ขายไอศกรีมเมลอน

คะน้าเลยเดินไปซื้อมาลองชิมดู แก้ร้อน ระหว่างที่นั่งพักเหนื่อยกัน

แก้วนี่ฟาดไป $8 ขุ่นพระ!~



นั่งพักจนมีแรงไปต่อ มองดูเวลาก็สายมากแล้ว น่าจะใกล้ๆ 11 โมง

ซึ่งคะน้าแพลนจะไป Fountain of Wealth (น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง) ให้ทันรอบเที่ยง

เปิด Google Map แล้วหาทางเดินไป (จริงๆ นั่งรถไฟฟ้าไปได้นะคะ แต่เราเดิน)

ถ้าจะนั่งรถไฟฟ้าไป ให้ลงสถานี Esplanade Station ออกทางออก A

แล้วเดินต่ออีกประมาณ 400 เมตร ตามป้ายบอกทางไป ตึกซันเทคซิตี้ ค่ะ



แต่ครั้งนี้เลือกเดินไป โดยเดินตามจาก Google Map ล้วนๆ แน่นอนว่า...หลง!



เราสองคนใช้เวลาเดินหาเยอะมาก แถมต้องทำเวลาอีกด้วย เพราะกลัวจะไม่ทันรอบเที่ยง

และในที่สุดเราก็มาถึงค่ะ ว่าแต่...เราจะเดินไปตรงน้ำพุยังไง ทำไมเป็นวงเวียน??

คะน้าพาขิมไหมข้ามถนนแบบคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ไปกลางวงเวียนเลยจ้าาา!! 5555

ผลคือ พอชะโงกหน้าลงไป เราก็เห็นว่าชั้นล่างของน้ำพุมีประตูทางเข้าอยู่ด้านล่าง



ซึ่งเราจะต้องเข้าไปในตัวตึกซันเทคก่อน (ซึ่งมีทั้งหมด 5 ตึกล้อมรอบอยู่ค่ะ)

คะน้าจับมือขิมข้ามถนนกลับมา และเข้าไปในอาคาร TWO (อาคารที่ 2)

พอเข้ามาแล้วเราจะเห็นห้องกระจก และมีเจ้าหน้าคุมอยู่ทางเข้าคอยให้บริการ



แต่ทว่า...พอเราไปถึงคือเวลาเที่ยงตรงพอดี น้ำพุที่พวยพุ่งกำลังจะปิดรอบค่ะ

เจ้าหน้าที่บอกว่าเรามาไม่ทันรอบนี้ สามารถรอรอบต่อไปได้ แต่เรารอไม่ได้

เพราะเรายังต้องไปเที่ยวที่อื่นตามแพลนอีก เราเลยทำตาวิ้งๆ ขอเข้าไปในนาทีสุดท้าย

เจ้าหน้าที่เห็นใจกระมัง เปิดประตูให้เราสองคนเข้าไปค่ะ ไหนๆ เราก็มาแล้วอ่ะเนอะ

ไม่ได้ขอพร แต่ขอมาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกลับบ้านไปซะหน่อยก็ยังดี ^_^



สำหรับกลุ่มอาคาร Suntec city ที่ตั้งของน้ำพุแห่งความมั่งคั่งแห่งนี้

กลุ่มอาคารมีทั้งหมด 5 อาคาร ล้อมรอบวงเวียนน้ำพุเลยค่ะ สูงและใหญ่มาก

โดยอาคารทั้งหมดรวมถึงน้ำพุนี้ สร้างขึ้นตามหลักฮวงจุ้ยทุกประการ

ทำให้น้ำพุแห่งนี้ได้ชื่อว่า "น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง" นั่นเองค่ะ

ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจึงอยากจะมาขอพร ขอความมั่งคั่งกลับไป

โดยน้ำพุจะเปิดแสดงน้ำตามรอบเวลาดังนี้ค่ะ

10.00-12.00 น., 14.00-16.00 น. และ 18.00-19.30 น.

วิธีการขอพรคือ เจ้าหน้าที่จะให้เราใช้มือขวาสัมผัสน้ำพุ ระหว่างสัมผัสให้อธิษฐานขอพร

จากนั้นเดินวนรอบน้ำพุตามลูกศร 3 รอบ เป็นอันจบพิธี

และนอกจากความเชื่อในเรื่องของฮวงจุ้ยแล้ว น้ำพุความสูง 13.8 เมตรแห่งนี้

ยังได้รับการบันทึกใน Guinness Book ว่าใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งแต่ปี 1988 อีกด้วย



ไปชมน้ำพุแห่งความมั่งคั่งเรียบร้อย เราก็เดินเท้ากันต่อ กดใน Google Map

ปลายทางคือ Singapore Flyer ชิงช้าสวรรค์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย

เดินมาเรื่อยๆ จนเราเห็น Singapore Flyer แล้วค่ะ มหึมามากกกกก!!

มีแคปซูลให้ขึ้นไปนั่งได้ทั้งหมด 28 แคปซูล นั่งชมวิวเวลา 30 นาที

แต่คะน้าไม่ได้ขึ้นค่ะ มันแพง 5555 ขอมาดูเฉยๆ พอแล้ว



เก็บภาพชิงช้าสวรรค์มาเยอะแยะเต็มไปหมด ถึงเวลาไปต่อค่ะ

ช่วงบ่ายนี้คะน้าจะเข้าไปชม Garden by The Bay ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ

Singapore Flyer นี่แหละค่ะ แต่เป็นฝั่งตรงข้ามที่มี เขื่อนมารีน่า กั้น 5555

เราจะว่ายน้ำกันไปก็กลัวจะตายก่อน เราเลยต้องเดินขึ้นสะพานกลับไป



ความฮามันอยู่ตรงนี้แหละคุณผู้โช้มมมม!

จากทางเข้าของ Singapore Flyer (อยู่ริมถนน) เราเดินเลี้ยวซ้ายมาค่ะ

เดินมาเรื่อยๆ ด้วยเซ้นท์ล้วนๆ เรามองเห็น Garden by The Bay แล้ว

เราแค่เดินไปหานั่นแหละ เดี๋ยวก็ถึง ก็คิดง่ายๆ แบบนี้ และความคิดนั้น...




ก็พาเรามาอยู่บนนี้ค่ะ แงงง้!

2 ต่างด้าวไทยบนสะพานข้ามอ่าวมาริน่าเบย์ โล่งเชีย! ไม่มีใครมาเดินเป็นเพื่อนเลยเหรอ

แดดก็ร้อนสุด รถวิ่งกันไปมาสนั่นหวั่นไหว 2 ต่างด้าวเดินถ่ายรูปเล่นหน้าตาเฉย

ไปเอาความชิลนี้มาจากไหนกันอ่ะ 5555

ขิมถามว่า "ถ้ามา Garden by the Bay ต้องเดินกันทางนี้จริงๆ เหรอ" 5555



และแทนที่จะรีบเดินก็หามีไม่ ยืนถ่ายรูปกันทุกมุมนั่นแหละ

เราชอบมุมนี้มากๆ มากๆ เลยจริงๆ ค่ะ เป็นมุม Panorama ที่ได้เห็น Landmarks

ในมุมที่เราไม่คิดมาก่อน มองไปจะเห็นเขื่อนมาริน่าอยู่ลิบๆ มีคนแล่นเรืออีกต่างหาก

แดดร้อนมากในตอนนั้น แต่เพราะวิวสวยมาก เราลืมร้อนเลยค่ะ



ในที่สุดเราก็ลงสะพานมาเรียบร้อยแล้ว ลงมาถึงก็เจอทางเข้า Garden by The Bay

ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง Landmark ที่ทำให้คะน้าตื่นเต้น เมื่อได้มาเห็นของจริงค่ะ

เป็นสวนกว้างที่มีต้นไม้ใหญ่สวยๆ เยอะแยะไปหมด คะน้ากับขิมถ่ายรูปกันเพลินอีกตามเคย



ในส่วนของ Super Tree Grove หรือเจ้าโครงสร้างสูงๆ รูปต้นไม้ที่เป็นเอกลักษณ์

ของจริงสูงมากกกกก!! สูงถึง 25-50 เมตร มีอยู่ทั้งหมด 18 ต้นค่ะ ดูเป็นต้นไม้ปลอม

แต่ทว่าทุกต้นจัดสวนแบบ Vertical Garden ค่ะ หรือสวนแนวตั้งนั่นเอง

โดยปลูกต้นไม้ประดับไปตามโครงเสาค่ะ มีทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ และเฟิร์น



ที่นี่มีทางเดินลอยฟ้า เรียกว่า OCBC Skyway ต้องเสียค่าบัตรขึ้นไป

แต่คะน้าไม่ขึ้นค่ะ ได้มองมุมสูงมาจากบนสะพานเมื่อกี้นี้...คุ้มแล้ว 5555



นี่เป็นประติมากรรม Dragonfly and Kingfisher Lakes

อยู่ภายในสวนโซน South Garden ค่ะ คือเดินมาเรื่อยๆ ตามทางก็เจอเอง



เดินเล่นผ่านสวนเข้ามาด้านในก็จะถึงทางเข้าของ Cloud Forest

ซึ่งด้านในเป็นที่ตั้งของน้ำตกจำลองขนาดใหญ่อันโด่งดังนั่นเอง

ที่นี่ต้องเสียบัตรค่าเข้าชมเช่นกัน ต้องเปย์นะฮะ เพราะมองจากข้างนอกไม่เห็น

คะน้าจองบัตรค่าเข้ามาจาก Klook ในราคา 275 บาท ซึ่งถูกกว่ามาซื้อที่นี่

และที่สำคัญไม่ต้องต่อคิวยาวๆ ด้วยค่ะ เพียงแค่ Scan QR Code ก็เข้าไปได้เลย

พอมาถึงอลังการจนตาค้าง และเย็นสบายมากกก ผิดกับข้างนอกที่ร้อนจะเป็นลม

นี่คือ Cloud Mountain ค่ะ สูง 35 เมตร เป็นน้ำตกจำลองในอาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ปกคลุมด้วยกล้วยไม้ เฟิร์น สับปะรดสี และพืชนานาชนิด ที่นี่เจ้าหน้าที่จะนำทาง

พาเราเดินขึ้นไปชั้นบนเพื่อเดินดูมุมสูงไปรอบๆ อีกด้วย ระหว่างทางเดินอากาศเย็นสบายมาก

ถ่ายรูปสวยทุกมุม ไม่รู้จะถ่ายตรงไหนก่อนเลยค่ะ ชอบที่นี่มากๆ จริงๆ



บรรยากาศระหว่างทางที่เดินชมไปรอบๆ ชั้นบนค่ะ ถ้ามองออกไปด้านนอก

เราจะเห็นวิวของ Marina Bay Sand กับ Super Tree Grove ด้วยนะคะ

ว่าแต่อะไรเอ่ยไม่เข้าพวก?? ดอกหม้อข้าวหม้อแกงลิง Lego ก็มาาาา 555555



ระหว่างทางเดิน ขิมดูประหม่าแปลกๆ คะน้าก็ยังไม่เอะใจ จนคะน้าชวนให้มาถ่ายรูปมุมนี้

ขิมก็ไม่ยอมเข้ามาถ่ายด้วย "เรากลัวความสูง" เฉลยมาจนได้

แต่คะน้าอยากให้ขิมถ่ายรูปมุมสวยๆ นี่นา คะน้าเลยต้องกอดนางเอาไว้ซะแน่น

ให้นางมั่นใจว่า "ถ้าจะตก ก็ตกไปด้วยกันนี่แหละ" 5555555



และเมื่อเดินกลับลงมาถึงชั้นล่าง โซนดอกกล้วยไม้ เรานั่งผลัดกันถ่ายรูป

แล้วเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่ง น่ารักม๊ากกกก ก็เข้ามาอาสาถ่ายรูปคู่ให้เราค่ะ

เป็นรูปคู่รูปแรกของทริปนี้ ที่ถูกถ่ายออกมาได้สวยสุดละจริงๆ



และเมื่อเราออกจาก Cloud Forest เดินลงบันไดเลื่อนมาจะมีจุดแสดงหินธรรมชาติด้วยค่ะ

ก้อนเบ้อเร่อเลย ประเด็นคือถ่ายมาหลายรูป แต่ชัดสุดเหลือรูปนี้แหละ 555555



หลังจากเดินชมจนทั่ว Cloud Forest เราก็ไปต่อกันที่โดมที่ 2 ค่ะ

ที่นี่คือ Flower Dome ราคาบัตรเข้าเท่ากับที่ Cloud Forest เลยค่ะ



Flower Dome เป็นโดมแสดงดอกไม้ ต้นไม้ และพันธุ์พืชกว่า 160 ชนิด

ที่นี่จัดแสดงต้นไม้กว่า 32,000 ต้น คือเข้ามาแล้วงงมากแม่!

ต้นไม้เยอะมากกก โดมกระจกทำให้แสงแดดส่องเข้ามาเลี้ยงต้นไม้ได้นั่นเอง

ส่วนภายในเปิดแอร์ฯ เย็นฉ่ำ เดินสบายค่ะ เป็นชีวิตดีๆ ในสวนดอกไม้ที่แท้ทรู









ที่นี่จำลองภูมิอากาศแบบแห้งและเย็น อากาศเย็นจะเป็นตามลักษณะในแถบแอฟริกาใต้

ต้นไม้ ดอกไม้หน้าตาแปลกๆ ให้ชม ให้ได้ศึกษาเยอะมากกกก ดอกไม้พากันบานสะพรั่ง

มีรูปปั้นบอกเล่าเรื่องไปแต่ละโซนต่างๆ ได้อย่างน่ารัก หมูพูห์ก็มากับเค้าด้วย เอ็นดู~



อีกฝั่งหนึ่งจะเป็นสวนตามลักษณะของแถบแคลิฟอร์เนีย คือจะเป็นป่าแห้ง

เช่น ตะบองเพชร และพวกต้นไม้ใหญ่คล้ายๆ Joshua Tree ค่ะ เพิ่งเคยเห็นของจริง

คะน้าชอบโซนนี้มากกว่าโซนป่าชื้นนะ เพราะต้นไม้หน้าตาแปลกๆ เยอะ น่าสนใจดี



ที่ Flower Dome ต้องใช้เวลาเดินนานพอสมควรนะคะ ถ้าชอบถ่ายรูปด้วยแล้ว

ยิ่งต้องให้เวลากับที่นี่มากสักหน่อย เพราะว่าเดินไปทางไหนก็สวย น่าถ่ายรูปไปหมดเลย

ที่นี่กว้างมากด้วย มีหลายโซนมากๆ ให้เราเดินชมค่ะ สวยตื่นตาตื่นใจทุกโซน

ไม่มีมุมไหนเลยที่เดินไปแล้วจะไม่หยิบกล้องมาถ่าย คือเราวางกล้องกันไม่ได้เลย ^_^






มีโซนที่แสดงพันธุ์ไม้ขนาดเล็กในตู้กระจกด้วยนะคะ ต้องมองผ่านแว่นขยาย

คะน้านี่ดูไม่ทั่วค่ะ ตาลายก่อน 55555 แต่ภาพรวมคือจัดสวยอลังการ น่าสนใจมากๆ ค่ะ




เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ ในที่สุดเราก็เดินจนทั่ว และไปต่อค่ะ

เที่ยวเพลินจนลืมกินข้าว ตอนนี้ท้องร้องประท้วงกันยกใหญ่แล้ว

เราสองคนก็เลยเดินข้ามสะพานเป็น Sky walk จากฝั่ง Garden by the Bay

ข้ามกลับมายังฝั่ง Marina Bay Sands หรือตึกรูปเรือสุดอลังการนั่นเอง

ทางเดินเชื่อมมีป้ายบอกทางนะคะ สังเกตหรือเปิด Google Map เอาก็ได้ค่ะ

มีคนเดินไปกลับเยอะมากตลอดทั้งวัน เดินตามๆ กันไปก็ง่ายอยู่ค่ะ

ทางเชื่อมจะตรงกับประตูทางเข้า Marina Bay Sands พอดีเลย



พอเข้ามาก็จะได้เห็นบรรยากาศในส่วนของห้างสรรพสินค้า The Shoppes

เรามาพร้อมกับความหิว ดังนั้นเราก็จะหาอะไรทานกันในห้างนี่แหละนะ



มองหาป้ายโซนอาหารอยู่นาน ในที่สุดเราก็เจอค่ะ เป็นโซนอาหารที่อยู่ด้านใน

ต้องเดินมาไกลพอสมควร (ห้างใหญ่อ่ะเนอะ) พอมาถึง...ไม่มีโต๊ะนั่ง แงงง้!!

เรายืนรอ และเดินวนๆ อยู่นานในที่สุดก็มีคนลุกให้เรานั่งค่ะ เมื่อได้ที่นั่งแล้ว

เราก็ผลัดกันไปซื้ออาหาร เพราะอีกคนต้องนั่งจองโต๊ะไว้ก่อน เดี๋ยวเสียที่อีก

และนี่คือหน้าตาอาหารของเราาา หมดไปทั้งสิ้น $23 (รวมทั้งหมด)

อาหารโอเคดีนะคะ น้ำแข็งไสนี่ก็เย็นๆ หวานๆ ตามท้องเรื่อง แก้ร้อนไปพลางๆ ค่ะ



หลังจากอิ่มแล้ว พลังของเราก็ได้รับการฟื้นฟูอย่างเต็มที่ เราเลยเดินเล่นกันต่อ

เดินมาเรื่อยๆ ก็เจอนี่ค่ะ The Rain Oculus อ่างน้ำวนชื่อดังของห้าง The Shoppes

จริงๆ คือลืมไปว่านี่ก็คือ Landmark ที่เคยอยากมาดู ไม่รู้ทำไมถึงลืมไป

แต่ก็มาเจอในที่สุด ได้เจอแล้วก็ตื่นเต้นด้วยนะ ยืนดูอยู่นานเลยค่ะ เพลินเชียว 55555



เมื่อแสงอาทิตย์เริ่มตก บอกเวลาใกล้มืด แพลนในวันนี้คือคะน้าจะไปนั่งดู

Spectra Water Show หรือโชว์น้ำพุแสงสีเสียงชื่อดังใจกลางอ่าวมาริน่า

คะน้าเลยพาขิมไหมออกมานั่งเล่นที่ ลาน Promenade เป็นลาน Deck ไม้

ที่กว้างขวางมากๆ ตลอดริมอ่าวมาริน่าเบย์ คนเดินเล่นเยอะ มีปั่นจักรยานไปอีก



ระหว่างที่นั่งอยู่จะเห็นว่า The Art Science Museum อยู่ใกล้ๆ

จริงๆ เด่นคู่กันมากับ Marina Bay Sand เลยนะ ที่นี่เป็นแกลลอรี่ค่ะ

ภายในกลีบของดอกบัวถูกตกแต่งให้เป็นจุดแสดงแกลลอรี่



การแสดง Spectra Water Show จะเริ่มเวลาสองทุ่มค่ะ

แปลว่าเราสองคนจะนั่งกันอยู่ตรงนี้ไปยาวๆ ตอนนี้บรรยากาศรอบๆ

เริ่มเปิดไฟกันแล้ว ที่นี่ตอนกลางวันก็สวย ตอนกลางคืนก็สวยมากไปอีก



เริ่มแล้วค่ะ Spectra Water Show เป็นการแสดงแสง สี เสียงและน้ำ

ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้!

การแสดงทั้งหมดจะโชว์ในเวลา 15 นาทีค่ะ นั่งดูกันเพลินๆ ไปยาวๆ เลยจ้าาา

สำหรับรอบการแสดง จัดเป็น วันอาทิตย์–พฤหัสบดี 20:00 กับ 21:30pm. ค่ะ

และ วันศุกร์-เสาร์ 20:00 กับ 21:30 และ 23:00pm. อยากให้มาดูกันน้าาา



15 นาทีผ่านไป...การแสดงจบลงท่ามกลางความประทับใจของผู้ชมนับพันคน

คะน้ามีเวลาอีก 30 นาทีที่จะต้องวิ่งกลับไปยัง Garden by the Bay ค่ะ

เพราะตอน 20:45pm. บริเวณ Super Tree ก็มีโชว์แสงสีเสียงเหมือนกันจ้าาา



ระหว่างเดินกลับมาบนทางเชื่อม วิวกลางคืนก็สวยซะขนาดนี้อ่ะ

ไม่แวะถ่ายรูปได้ยังไงไหว // เวลาเหลือน้อยเต็มทีก็ยังเถลไถล 55555



ระหว่างเดินหาทางเข้าไปยังสวน Super Tree คือบรรยากาศตอนกลางคืน

ทำให้เราจำทางไม่ได้ว่าตอนกลางวันเราเดินกันมาจากทางไหน 5555

แต่อย่างที่บอกว่า ขิมไหมเป็นผู้ที่มีสกิลในการจำทางมากกว่าคะน้า

นางพาคะน้าวิ่งสี่คูณร้อยห้าสิบเลยค่ะ เพราะกลัวว่าจะไม่ทันไปดูโชว์

และมันก็วิ่งหายไป เพราะคะน้าวิ่งตามไม่ทัน คะน้าเหนื่อย 555555



แต่จนแล้วจนรอด คะน้าก็พากายหยาบมาถึงลานแสดงโชว์ค่ะ

OCBC Light and Sound Show คือการโชว์ไฟจากต้น Super Tree

ด้วยความสูงเทียบเท่าตึก 16 ชั้น ทำให้โชว์นี้ดูยิ่งใหญ่อลังการมากๆ เลยทีเดียว

เวลาโชว์มีสองรอบนะคะ คือ รอบ 19:45 และ 20:45 pm. รอบละ 15 นาที

รอบที่คะน้ามาดูคือ 20:45 pm. ค่ะ



ดูอยู่นาน สวยและดูเพลินมาก จนลืมเวลาไปเลยค่ะ ในที่สุดการแสดงก็จบลง

ผู้คนเริ่มทยอยกลับออกไป แต่คะน้ากับขิมไหมยังอยู่ 5555

พอไม่มีคน ที่แห่งนี้ก็เป็นของเรา ก็ถ่ายรูปเล่นกันไม่อั้นไปเลยค่ะ



ได้รูปสวยๆ กลับมาเป็นที่ระลึกจนเมมจะเต็ม ถึงเวลาต้องกลับอีกแล้ว

เราขึ้นรถไฟฟ้าสถานี Bay Front กลับไปสถานี China Town ราคา $2.80

ซึ่งสถานีนี้จะอยู่ตรงทางออกของสวน Super Tree นี่เองค่ะ สะดวกมากๆ

เดินไม่ไกล มีป้ายบอกทางเช่นเคย แต่เราเดินกลับพร้อมกับคนอื่นๆ ด้วย ง่ายเลยทีนี้



กลับมาถึง China Town พอมาถึงห้องพักคะน้าก็อดที่จะเปิดดูไม่ได้

ว่าวันนี้เราเดินกันเยอะและไกลมาก นับได้กี่ก้าวกันนะ และก็ช็อคกว่าเมื่อวาน 5555

วันนี้สนุกมาก แต่ก็เหนื่อยเอาเรื่องเหมือนกันนะคะ นอนก่อนเนอะ พรุ่งนี้เที่ยวต่อ zzZ




Day 3



เช้าวันที่สามทำเอาเราสองคนใจหายใจคว่ำ เพราะระหว่างที่นั่งทานมื้อเช้ากันอยู่นั้น

จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝนตกลงมาซ่าใหญ่ แงงง้!!

คะน้ากับขิมไหมเลยนั่งทานมื้อเช้ากันไปแบบเฉื่อยๆ เลยจ่ะ



แต่แล้ว...ฟ้าฝนก็แค่หยอกเย้าเราเล่นๆ

พอเราทานกันเสร็จ ฝนก็หยุดตกพอดี คะน้ากับขิมไหมไม่รอช้า

คว้ากล้องคล้องคอ ออกเดินทางกันเดี๋ยวนั้นเลยค่ะ



เราออกเดินทางจากสถานี China Town มายังสถานี Habourfront ค่าตั๋ว $3

จากนั้นเดินเข้ามายังห้าง Vivocity ซึ่งเรามาเช้าไปห้างยังไม่เปิด 55555

แต่เราไม่ได้มาเดินห้างค่ะ วันนี้คะน้าตั้งใจพาขิมไหมมาเที่ยวเกาะ Sentosa

ซึ่งเราจะข้ามไปยังเกาะ Sentosa ด้วยการเดินผ่าน Sentosa Boardway เข้าไปค่ะ

โดยทางออกไปยัง Sentosa Boardway ต้องเดินทะลุห้างออกไป มีป้ายบอกทางนะคะ



ออกจากตัวห้างมา เราจะเห็น Sentosa Boardway เป็นทางเดินยาว

ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเป็นระยะทาง 700 เมตรค่ะ และเพราะเรามาเช้าม๊ากกกก

Sentosa Boardway ก็เหมือนเราเหมามาเดินกันแค่สองคนอ่ะค่ะ เหงาเด้อ!



อย่างที่บอกค่ะว่าเช้านี้ฝนตก เราจึงได้เห็นรุ้งกินน้ำขึ้นเป็นโค้งอยู่ฉากหลังด้วย

เป็นการเดิน 700 เมตรที่ฟินมากจริงๆ อากาศเย็นสบาย เดินไป ถ่ายรูปเล่นไปตลอดทาง



เมื่อเดินมาถึงปลายทาง ที่ไม่รู้เหมือนกันว่าใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะเดินมาถึง

เพราะมัวแต่ถ่ายรูปเล่นกันอยู่นั่นแหละ แต่ในที่สุดเราก็มาถึงทางเข้ากันแล้ว...

เงียบกริ๊บ! เราคงจะมาเช้าเกินไปเนอะ



ณ เกาะ Sentosa เราเดินกันมาสองคนตลอดทางตั้งแต่ฝั่ง Vivocity

จนมาถึงนี่แล้วยังไม่เจอใครเลยค่ะ ร้านรวงยังปิดอยู่ คะน้าเลยพาขิมไหมเดินเล่น

เพื่อเป็นการ Survey ว่าเกาะนี้มีอะไรบ้าง เป็นยังไง และก็ถ่ายรูปเล่นกันไปอีกตามเคย



เดินไปเรื่อยๆ แบบไม่โฟกัสทิศทาง เราก็เริ่มเจอร้านค้าต่างๆ

ลานกว้างมี Sculpture ที่เป็นเอกลักษณ์มากมายโชว์เต็มไปหมดเลย

ตรงบันไดเลื่อนจริงๆ มีน้ำพุนะคะ เรามาเช้าไปหน่อยเค้ายังไม่เปิดเลย



เดินเข้ามาลึกอีกหน่อย ก็ได้เจอกับ Merlion ตัวเบ้อเร่อ!

ซึ่งภายในสามารถเข้าไปได้นะคะ ด้านล่างเป็นคาเฟต์ค่ะ (แต่ไม่ได้เข้า)

ตรงปากของสิงโตทะเลเป็นจุดออกมาชมวิวได้

ใหญ่แค่ไหนดูสิคะ เทียบกับคะน้าเหลือตัวนิดนึง ^^



เดินผ่านมาเรื่อยๆ เจอป้ายบอกทางไปยังชายหาด คะน้าเลือกมายัง Siloso Beach ค่ะ

เพราะจำได้ว่า Palawan Beach เดินไปอีกไกล เลยมาถ่ายรูปเล่นแค่ใกล้ๆ นี้ก็พอ



นี่คือตึกของ Sentosa Resort World ค่ะ

บนเกาะ Sentosa เป็นศูนย์รวมความเถิดเทิงทุกสิ่งอย่างไว้ครบมากจริงๆ

มีทั้งรีสอร์ท สวนสนุก สวนน้ำ Aquarim ร้านอาหาร ห้างฯ และ Casino



พอเดินกลับเข้ามาด้านในอีกครั้ง ส่วนนี้จะเป็นบริเวณชั้นสองค่ะ ร้านอาหารเต็มไปหมดเลย

ขิมไหมไม่รอคะน้าแล้ว วิ่งปรี่ไปเลยจ่ะ "เราอยากกินชาบู" 5555555

เดินแวะดูเมนูมาหลายร้าน ก็มาจบที่ร้านนี้ค่ะ Coca Restuarant

เป็นร้าน Buffet ชาบู ราคาหัวละ $37.20 เลือกร้านนี้แหละ ตรงโจทย์สุด

น้ำจิ้มอร่อยค่ะ รสชาติผ่านเลย พนักงานบริการเอาใจใส่ดีมากเลยค่ะ



อิ่มจนจุก ขิมไหมหน้าตาเบิกบานสุดๆ เพราะได้กินของอร่อย

ตอนนี้พลังงานเหลือล้น มองดูเวลาประมาณสิบโมงเช้าแล้ว

ได้เวลาที่ S.E.A Aquarium เปิดบริการพอดี

คะน้าซื้อบัตรเข้าชมจาก Klook มาในราคา 580 บาทค่ะ

เรามาเช้ามาก แทบจะเป็นคิวแรกๆ ที่เข้าชม เพราะงั้นไม่ต้องต่อคิวเลย




เข้ามาด้านในที่นี่จะแบ่งเป็นโซนค่ะ โซนแรกคือฟอสซิลปลาฉลาม

ถัดไปคือตู้ปลาตัวเล็กๆ และปลาไหลสายพันธุ์ต่างๆ เดินเข้าไปอีกหน่อย

จะพบกับตู้ปลาขนาดใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เดินผ่านอุโมงค์ที่ปลาฉลามโชว์ตัวเก่งมาก

ขิมไหมชอบปลากระเบน มาที่นี่เห็นปลากระเบนจนเมื่อยคอเลยค่ะ 55555



มีโซนแมงกระพรุนที่คะน้าชอบ สวยมาก ฟินมากกกก~

มีร้านคาเฟ่ต์เล็กๆ บริการด้านในด้วยนะคะ แล้วเดินไปเรื่อยๆ ก็จะมีโซนที่ให้สัมผัส

กับสัตว์น้ำขนาดเล็กได้ด้วย เช่น ปลาดาว ปลิงทะเล ไรงี้

คะน้าก็ไปต่อแถวจับมาเหมือนกันค่ะ ปลาดาวไม่เท่าไหร่ แต่ปลิงนี่ดิ 555555




เดินอยู่นานเชียวค่ะ แอร์เย็นสบาย ปลาก็เยอะมาก

ด้วยความที่ตู้ปลาใหญ่อลังการ และปลาก็หรรษากันมาก เราเลยมองเพลินไปหมด

พอจะดูฉลาม ปลากระเบนก็มาด้วย ดึงดูดให้เรามองได้ตลอดเลย ประทับใจ



เวลาล่วงมาเกือบใกล้เที่ยง เราออกจาก Aquarium และตรงดิ่งมาที่

Universal Studios กรี๊ดดด~

เราจะไม่พลาด ซื้อบัตรเรียบร้อยจาก Klook ในราคา 1,630 บาท

เราจะอยู่ที่นี่กันไปตลอดทั้งวัน เดินให้คุ้ม เล่นให้หมด สู้เค้าาา~




เข้ามาแล้ววว ^o^ สวนสนุกเพิ่งเปิด คนเลยยังไม่เยอะเท่าไหร่ โล่งเหมือนเหมามาเอง

เดินเข้ามาจะเป็นโซนแรกเลยค่ะ Hollywood เป็นโซนที่ตั้งของร้านค้าต่างๆ

มีทั้งร้านคาเฟต์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกค่ะ ถ่ายรูปวนๆ อยู่พักใหญ่

เพราะอาคารตรงนี้ มองไปทางไหนก็อยากถ่ายรูปเล่นไปซะหมด



เดินเข้ามาไม่นานนัก จะเข้าสู่โซนที่ Madagascar ที่นี่เป็นเครื่องเล่นค่ะ

คะน้ากับขิมไหมต่อคิวกันไม่นานเท่าไหร่ ก็ได้เข้าไปเล่นแล้ว เครื่องเล่นแรกของวันนี้เลยนะ

Madagascar เป็นการล่องเรือเข้าไปในป่า พบกับบรรดาเหล่าสัตว์ที่น่ารัก

ใน Madagascar นั่นเอง และระหว่างที่เรือล่องไปนั้น คะน้าก็ปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อ

คือจะมีม่านน้ำตกที่ดูยังไงก็เปียกแน่ๆ คะน้าเลยรีบเอากล้องซุกหลบ

เอาตัวเองมุด ยกเสื้อคลุมฝนมาห่อตัวเป็นมัมมี่ จนเรือเข้าใกล้ม่านน้ำตก

ม่านมันกางออกค่ะคุณผู้ชมมม!! เรือก็ล่องผ่านออกมาแบบแห้งๆ อ่ะ

ละคืออินี่ก็เล่นซะใหญ่ หลบน้ำเหมือนหลบกระสุนอ่ะ 55555

พีคสุดคือ พอเงยหน้ามา ทั้งเรือก็มีคะน้าคนเดียวแหละที่หลบ คนอื่นนั่งเฉ๊ย อายเด้อ T^T



เดินออกมาจากความอายเมื่อครู่ คะน้าก็สู้ต่อค่ะ 55555

เดินตรงมาเรื่อยๆ ตามทางก็จะเห็นทางเข้าเด่นตระหง่าน สวยเหมือนอยู่ในโลกนวนิยาย

นี่คือโซน Far Far Away ค่ะ มีปราสาทจากเรื่อง Shrek ตั้งเด่นมากกกก

คะน้ากับขิมไหม เลยเลือกที่จะเดินเล่นถ่ายรูปกันไปก่อน เพราะอดใจไม่ไหวแล้ว



ถ่ายรูปด้านนอกจนหนำใจ เราก็ต่อคิวเข้ามาเล่นด้านในกันค่ะ

ปราสาท Shrek ด้านในก็ประดับและตกแต่งเหมือนเราทะลุมิติมาอ่ะ

ช่วงนี้นักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามาเยอะแล้ว เราต้องต่อคิวกันสักพักค่ะ

แต่ไม่นานนัก เราก็ได้เข้ามาสู่ด้านใน ที่นี่ออกแบบให้นั่งแบบ Theatres

เข้าได้ทีละเยอะๆ เหมือนโรงหนังเลยค่ะ เครื่องเล่นนี้ชื่อว่า Shrek 4D Advanture

เหมือนจะแค่ให้เรามาใส่แว่น 4D แล้วนั่งดูการ์ตูน แต่ที่ไหนได้!!!

เล่นเอากรี๊ดกร๊าดอยู่เด้อ 55555 ทั้งสนุก ทั้งตลก ใช้เวลาพอสมควรค่ะ

ทำเอาเราอินไปกับ Shrek ได้ง่ายๆ เลย พอออกมายังขำค้างอยู่เลยค่ะ



เดินมาตรงทางออก จะมีร้านขายของที่ระลึกด้วย

ของน่ารักๆ เยอะจนเงินในมือสั่นไปหมดเลยจ่ะ



เดินออกมาเห็นเขียวๆ อยู่ลิบๆ เป็นเครื่องเล่นจากภาพยนต์เรื่อง

Puss in Boots เงยหน้ามองขึ้นไปเห็นรางรถไฟก็ไม่ต้องสืบ

เข้ามาด้านใน ที่นั่งไม่ใช่รถไฟจ้า เป็นรองเท้าบูธ 555555

ความสนุกอยู่ที่มันจะหลอกให้เราตายใจค่ะ ก่อนจะทรยศเราจนกรี๊ดลั่น ฮรือออ~



เดินจนทั่ว Far Far Away แล้ว เข้าสู่โซนต่อมาคือ The Lost World

มีสองส่วนด้วยกัน คือโซนเครื่องเล่น กับโซนการแสดงค่ะ

ส่วนของโซนการแสดง คะน้าเดินมาไม่ทันรอบที่เพิ่งจะแสดงจบไปค่ะ

ส่วนรถไฟเหาะมังกรแดงนี่ไม่ได้เล่นนะคะ รู้สึกเฉยๆ แล้ว 55555



เราเลยมาต่อที่โซนเครื่องเล่น เป็นเครื่องเล่น Water World

ที่นี่คิวยาวม๊ากกก~ รอนานมากๆ กว่าจะได้เล่น ที่นี่ต้องฝากของมีค่าไว้ที่จุดฝากนะคะ

ชื่อก็บอกแล้วว่า Water World ถ้าไม่เปียกก็หาย ประมาณนี้ 55555

เครื่องเล่นนี้มีชื่อเต็มๆ ว่า Jurassic Park Rapids Adventure

รอนานก็จริง แต่พอใกล้จะถึงคิวก็อดตื่นเต้นไม่ได้เหมือนกัน

ที่นี่เราจะนั่งเรือยางแบบวงกลม นั่งได้ 6 คน มีที่จับ ล็อคเอว ล็อคเท้าแน่นหนา

เรือยางจะถูกส่งลงไปล่องในน้ำที่ไหลเชี่ยวเหมือนล่องแก่งนครนายก

สองข้างทางมีไดโนเสาร์ทุกสายพันธุ์ จากเรื่อง Jurassic ทำท่าเหมือนหิวมาก

พร้อมจะลงมาขย้ำเราในน้ำเหมือนไก่สดทุกวินาที บางช่วงล่องช้าาาา

บางช่วงก็ซัดซะกรี๊ดแทบไม่ทัน คิดว่าจะต้องเปียกแน่ๆ แน่ๆ เลย แต่ก็ไม่ค่ะ

หลังจากเรือกลับมาเทียบท่า ขากางเกงได้เปียกนิดๆ ไม่ถึงกับชุ่มแฉะ สนุกกกก



เดินขากางเกงเปียกออกมาจาก The Lost world ไม่กี่ก้าว

คะน้าก็ตาค้างกับความยิ่งใหญ่ของโซน Ancient Egypt ตรงหน้า

โซนนี้จำลองดินแดนอียิปต์มาได้ดีงามมาก แต่ด้วยความที่คนอยู่โซนนี้เยอะ

คะน้าเลยไม่รู้จะถ่ายรูปยังไงดี ตัดใจเอามันส์เข้าไปเล่นเลยดีกว่า 555555



เครื่องเล่นที่นี่ชื่อ Revenge of the Mummy ค่ะ เราต้องเข้าไปภายในปราสาท

ที่นี่เราจะต้องเช่า Locker coin ด้วยค่ะ ห้ามเอาอะไรเข้าไปทั้งนั้น แม้แต่มือถือ!

ค่าตู้ล็อคเกอร์ $4 ค่ะ เก็บทุกอย่างไว้ในนั้น พกไปแค่ตัวและหัวใจ พร้อมสติก็พอ



เมื่อเราเข้ามาด้านใน เป็นการจำลองปิรามิดที่ดีม๊ากกกกก เหมือนเราเข้ามาเดิน

ในเขาวงกตค่ะ (มีเชือกกั้นบอกทาง ต้องสังเกตุเชือกดีๆ นะคะ) คะน้าไม่ทันมอง

เลี้ยวผิดไปเจอทางตันก็มี 55555 ใช้เวลาเดินชมภายในไปเรื่อยๆ

ก็เข้ามาถึงแถวต่อคิวเครื่องเล่นแล้วค่ะ เป็นรถไฟเหาะที่ขึ้นชื่อที่สุดที่นี่!

พอถึงคิวของเรา เข้าไปนั่งประจำที่ คาดสายรัดให้เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะเข้ามาช่วย

Re-check ให้อีกทีค่ะว่าแน่นดีแล้วหรือยัง จากนั้นคะน้าก็ไม่รู้ ไม่เห็นอะไรอีกเลย

กรี๊ดดดดดดดดดดดดด!!! อย่างเดียวเลยจ่ะ 555555

ความกระชาก ความดิ่ง ความสาดโค้ง มาทุกกระบวนท่า เหมือนกำลังผจญกับ

ด่านสวรรค์ เพื่ออัพเลเวลไปเป็นเทพเซียน โหดสมคำร่ำลือจริงๆ เดี๋ยวไปซ้ำแน่นอน!!

พอออกมาคะน้าถามขิมว่า..."เป็นไงมั่ง เราหลับตาตลอดเลย"

ขิมไหมตอบมาว่า..."เราลืมตาตลอดทาง เราเห็นรางมันดิ่งอย่างเงี้ยๆ" // มีการทำมือประกอบ

อิบ้าาาา!! ไปเอาจิตใจที่แข็งแกร่งแบบนี้มาจากไหนนนน!!!





หลังจากรวบรวมวิญญาณที่กระเด็นกระดอนไปคนละทิศละทางกลับมาได้

เดินต่อมาอีกนิดก็เข้าสู่โซน Sci-Fi City ค่ะ เมืองแห่งหุ่นยนต์

สาวก Bumblebee ต้องมาแล้วนะ ณ จุดนี้ 55555

ที่นี่มีรถไฟเหาะ (อีกแล้ว) แต่เพราะเพิ่งจะรวบรวมวิญญาณมาได้หมาดๆ เลยพอก่อน

ในโซนนี้คะน้าเลือกเข้าไปเล่น Transformers The Ride เป็นเครื่องเล่น 4D ค่ะ

เข้ามาด้านใน ที่นั่งเครื่องเล่นจะเป็นรถค่ะ เราเข้าไปในนั่งรถ ใส่แว่น 4D ให้พร้อม

คาดเข็มขัดให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเราก็จะได้พบกับ Bumblebee ตัวเป็นๆ

มาช่วยเราจากเงื้อมมือเหล่า Decepticons สมจริงมาก เอี้ยวหลบกันสุดฤทธิ์

ซึ่งก็แน่ล่ะ...เหวี่ยงกันสุดๆ ไปเลยพี่ เต็มที่ไปเลยเธออออ~



หลังจากได้รับการปกป้องจาก Bumblebee และผองเพื่อน ทำให้เรารอดชีวิต

ออกมาได้อย่างปลอดภัย เราก็เดินทางเข้าสู่โซน New York ค่ะ

เป็นการจำลองมหานครนิวยอร์คขนาดย่อมๆ มาได้สวยงาม ประทับใจ

มองไปทางไหนก็ตื่นตา ถ่ายรูปเล่นเต็มที่ค่ะ เดินไปเถอะ สวยทุกมุมแหละ



เดี๋ยวนะ!! นี่กิน Betty Boop เข้าไปใช่มั้ย คายออกม๊าาาา!!

เหมือนเกิ๊น! แสดงจริตท่าทางเลียนแบบ Betty Boop ได้น่ารักมากจริงๆ



ถัดมาใกล้ๆ กัน ตรงมุมถนน คะน้าเห็นคนกำลังนั่งรอการแสดงอะไรสักอย่าง

ขิมไหมชวนคะน้ารอดู ไม่นานนักการแสดง Sesame Street Stage Show

ก็ปรากฏตรงหน้า เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี หุ่นสปอร์ตแมน มาเต้น B-Boys ให้เราชมกัน

โชว์สนุกนะคะ คนดูสนุกตาม ปรบมือให้ตลอดเลย เรานั่งดูจนจบเลยค่ะ



หลังจากแสดงจบ นักแสดงก็กล่าวทักทายและขอบคุณ ก่อนจะส่งท้ายด้วยการ

เรียกชื่อประเทศ ถามว่าในกลุ่มคนดู มีใครมาจากประเทศไหนกันบ้าง

ไล่มาตั้งแต่ สิงคโปร์ ชาวสิงคโปร์ก็จะกรี๊ดขานรับ โบกไม้โบกมือทักทาย

นักแสดงก็จะกล่าวสวัสดีกลับไป ต่อด้วย อินเดีย เวียดนาม

เกาหลี ญี่ปุ่น บลาๆ คะน้าถามขิมว่า "เขาจะเรียกชื่อประเทศไทยมั้ยนะ"

ไม่นานก็เฉลยค่ะ นักแสดงตะโกน "Thailand" คะน้ากับขิมไหมกรี๊ดดดดด!!!

และก็กรี๊ดกันอยู่สองคน 5555555 คือไม่มีคนไทยอื่นแล้ว มีกันอยู่แค่นี้

คนเป็นร้อยหันมามองเราเป็นตาเดียว แงงง้~ ตอนนั้นเหมือนเป็นตัวแทนประเทศ

ไปคว้ามงกุฏอ่ะ จบที่นักแสดงยกมือไหว้สวยๆ และกล่าว "สวัสดีครับ" กับเราค่ะ



หลังจากมงลงกันมาเรียบร้อยแล้ว ใกล้ๆ กันจะเป็นเครื่องเล่นน่ารักๆ เหมาะกับเด็กๆ

ชื่อ Sesame Street Spaghetti Space Chase เป็นเครื่องเล่นที่ Cute ที่สุดในวันนี้



เข้ามาเราจะได้นั่งในรถราง ท่องไปในดินแดน Sesame Street มีเสียงดนตรีคลอ

เราโตจนป่านนี้เอาจริงๆ เรายังเพลินเลย คือด้วยความที่เซตฉากมาสวยค่ะ

เราเลยโฟกัสที่ความน่ารักของตัวการ์ตูน โฟกัสที่แสงสีเสียงที่เรานั่งชมไปตลอดทาง

เพลินจนแบบ...อ้าวจบแล้วเหรอ! คือยังดูต่อได้อีกนะ ใครพาเด็กๆ มาต้องถูกใจแน่ๆ ค่ะ



ไปต่อกันที่มุมถ่ายรูปเจ๋งๆ อย่าง Lake Hollywood Spectacular

ทะเลสาปแห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของโซน Hollywood โซนแรกที่เราเข้ามานั่นเองค่ะ

ที่นี่จำลองมาจาก อ่างเก็บน้ำฮอลลีวูด หรือที่เรียกว่า ทะเลสาบฮอลลีวูด

เป็นอ่างเก็บน้ำที่ตั้งอยู่บนเนินเขาฮอลลีวูด ที่เทือกเขาซานตาโมนิกา

ทางตอนเหนือของย่านฮอลลีวูดในลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย สุดยอดไปเลย!!



ทะเลสาปแห่งนี้จริงๆ คือจุดชมโชว์ Fireworks Spectacular แต่ครั้งนี้คะน้าไม่ได้ชม

เพราะเวลาแสดงตรงกับ The Crane Dance ที่คะน้าตั้งใจมาดู ก็เลยต้องเลือกเอาสักทาง

และอย่างที่บอกว่าคะน้ามีแพลนจะกลับมาใหม่ เดี๋ยวคะน้ามาชมใหม่ก็ได้ 555555



ริมทะเลสาปด้านหลังขิมไหม เป็นเครื่องเล่นสำหรับเด็ก มาจากเรื่อง Madagascar

แต่เป็นม้าหมุนค่ะ ไม่ได้เล่นนะ มาถ่ายรูปด้วยเฉยๆ ไม่กล้าเล่น เขินนนน~



หลังจากเล่นเครื่องเล่นต่างๆ ครบแล้ว คะน้าก็เดินถ่ายรูปเล่นกับขิมไหมไปเรื่อยๆ ค่ะ

เดินจนทั่วเลย ที่นี่ไม่ใหญ่เท่าที่ญี่ปุ่นค่ะ (จิ้มอ่านรีวิว USJ ของคะน้าได้นะคะ // ขายของเก่งงง)

จนกระทั่งใกล้ถึงเวลา 20:00pm. คะน้าก็พาขิมไหมออกมาจาก USS ค่ะ เพื่อไปที่ริมทะเล



เวลา 20:00pm. เป็นเวลาของโชว์ The Crane Dance

หรือ โชว์นกกระเรียนคู่รัก ชื่อดังแห่งเกาะเซนโตซานั่นเองค่ะ

คะน้ามายืนรอ จับจองที่เหมาะๆ สำหรับดูโชว์ ผู้คนทยอยมาจนเต็มลาน

จากนั้นเครนขนาดใหญ่ก็เริ่มการแสดงแสง สี เสียง เป็นเรื่องเล่าของคู่นกกระเรียน

ตั้งแต่ First sight ไปจนถึง In Love กันค่ะ ตอนจบมีพลุฟู่ฟ่า สวยมากๆ ประทับใจอีกแล้ว



หลังจากการแสดงจบ ท้องร้องแล้วสิทีนี้ ผ่านมาครึ่งค่อนวันมัวแต่เล่นล้วนๆ

คะน้าพาขิมเข้าร้าน Slappy Cakes เป็นร้านแพนเค้ก D.I.Y ที่เราต้องปรุงเอง

อยู่บ้านทอดไข่ยังเบี้ยว แต่มาทำแพนเค้กที่สิงคโปร์ โถถถถ!!

เห็นว่าเป็นร้านดัง คะน้าเลยอยากลองดู ราคาเอาเรื่องอยู่นะ แต่เทียบกับปริมาณ

คุณภาพ รสชาติ และความสนุก ความเพลิน ก็ถือว่าดีงาม ได้มาอีกก็จะมาจ่ะ 5555




อิ่มท้องแล้วพลังงานมาทุกทีแหละ เรามา Sentosa กันตั้งแต่เช้า ตั้งแต่ไม่มีคน

จนคนเยอะ และตอนนี้คนจะหมดอีกรอบแล้วค่ะ เราเดินเที่ยวเล่น ดูบรรยากาศ

Sentosa Night กันอีกพักใหญ่ๆ ก่อนจะขึ้น Monorail กลับไปยังห้าง Vivo ค่ะ

// ขามาเดิน ขากลับขอขึ้น Monorail ก็แล้วกัน รูปรถไฟตอนกลางคืนไม่ได้ถ่ายมาน้าาา

สถานี Monorail เด่นอยู่ใจกลางเกาะเลยค่ะ ส่วนราคา คะน้าจำได้ว่าคะน้าขึ้นมาฟรีนะ

พอมาถึงห้าง Vivo ในห้างสว่างวาบ ผิดกับตอนมาเมื่อเช้านี้ แต่ไม่มีแรงจะเดินห้างฯ แล้วค่ะ

เราเลยตรงไปที่สถานี Habourfront กลับ China Town ในราคา $3 เท่ากับตอนมา



อืมมม~ นี่ขนาดเดินอยู่ในสวนสนุกแท้ๆ ยังนับก้าวอลังการขนาดนี้เลย 5555

เที่ยวมา 3 วันแล้ว ทุกคนคงอยากถามว่าคะน้าจะนับก้าวทำไม คืออยากให้โฟกัสว่า

ถ้ามาเที่ยวที่นี่ต้องเดินเยอะขนาดนี้นะ อาจจะน้อยหรือมากกว่า 20% จากนี้ก็ได้

เผื่อใครสนใจ กำลังวางแผนมาเที่ยวสิงคโปร์อยู่ จะได้เตรียมพร้อมไงคะ สู้ซ่า!!



Day 4



อะไรคือการเปิดทริปวันที่ 4 ด้วย "ข้าวมันไก่" 55555555

ที่นี่คือร้าน Tian Tian Hainanese ค่ะ ร่ำลือว่าเป็นร้านชื่อดังของที่นี่

พอมาถึง ยืนดูจากป้ายที่โชว์หน้าร้านแล้ว โอโหหหห~~

จริงๆ เราเสิร์ชหาร้านข้าวมันที่ใกล้กับโฮสเทลมากที่สุดใน Google Map

แล้ว Google Map ก็พาเรามาโผล่ที่นี่ จริงๆ มีหลายร้านแหละ

แต่เราอ่านรีวิวแล้วก็แบบ อ้าว! ร้านดังพอดีเลย แถมใกล้มากกก จึงมิพลาด!

ก็สิงคโปร์ดังเรื่องข้าวมันไก่ วันนี้เราจะกลับไทยกันแล้ว ยังไม่ได้ลองกินเลย

เช้าวันนี้เลยพาขิมมา เดี๋ยวหาว่าพามาเที่ยวไม่ครบสูตรงี้

// คือเราไม่ใช่สายกินอ่ะเนอะ เราสายบู๊ 5555555

และดูจากหน้าเรากับขิมไหมค่ะ ขอการันตีอีกเสียงแล้วกันว่า "อร่อยจริง!"

สนนราคามื้อนี้ $24 (ไก่ 1 จาน ข้าวมัน 2 จาน) น้ำผลไม้ $5 (สองแก้ว)

(อย่าถามทาง คะน้าจำไม่ได้ คะน้าก็เปิด Map มาแบบปุบปับ โดยตั้งหลักที่โฮสเทล)




อิ่มข้าวมันไก่แล้ว คะน้าก็พากลับมาที่ Buddha Tooth Relic Temple อีกครั้ง

ตามสัญญาเลยค่ะ เพราะว่าวันแรกเราเดินชมชั้นล่างไปทั่วแล้ว

วันนี้เราจะขึ้นชั้น 3 4 กันค่ะ ไปค่ะ! ขึ้นลิฟต์



เรากดลิฟต์มายังชั้นที่ 3 ของวัด ซึ่งชั้นนี้จะเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมทางพุทธศาสนา

จัดแสดงพระพุทธรูปและสิ่งของโบราณล้ำค่าต่าง ๆ ทางพุทธศาสนา เยอะมากๆ เลยค่ะ

มีจอ Touch screen เพื่อให้เราดูประวัติพระแต่ละองค์ หรือสิ่งของแต่ละชิ้นได้ด้วย



จากนั้นเราก็มาที่ชั้น 4 เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ "พระเขี้ยวแก้ว" นั่นเองค่ะ



หลังจากไหว้พระเสร็จ เราก็เดินกลับไปยังโฮสเททล เพื่อเอากระเป๋าที่ฝากไว้ (หลัง Check out)

จากนั้นก็ขึ้นรถไฟฟ้า มาลงที่สถานี Ang mo kio ค่าตั๋ว $4.40

เมื่อมาถึงให้มองหาทางออก Exit C เพื่อไปยัง Bus Station ค่ะ

ขึ้นรถบัสสาย 138 ที่ Terminal B1 ไปหยอดเหรียญจ่ายค่ารถบัสบนรถตอนขึ้นรถเลยค่ะ

// คะน้าจำราคาไม่ได้แล้ว เหมือนตอนนั้นจะรีบๆ เลยลืมโน๊ตเอาไว้



นานราวๆ 40 นาทีค่ะ กว่าเราจะมาถึง วันนี้คะน้าพาขิมไหมมาเที่ยว Singapore Zoo

ซื้อบัตรเข้าจาก Klook เหมือนเคย ในราคา 789 บาท

แต่ที่นี่ไม่เหมือนที่ไหนๆ ถึงจะมี Booking ก็ต้องเอา QR Code มาแลกตั๋วเข้าก่อนค่ะ

จากนั้นสัมภาระที่ลากมา ก็เอาไปฝากไว้ที่ Locker coin ฟาดไปอีก $10



ที่พามาวันนี้ เป็นโซน River Safari ค่ะ คือการแสดงสัตว์น้ำจากแม่น้ำสายสำคัญต่างๆ

เช่น แม่น้ำไนล์ แม่น้ำโขง แม่น้ำแยงซีเกียง แม่น้ำมิสซิสซิปปี้ แม่น้ำอเมซอน เป็นต้น

ซึ่งแต่ละแม่น้ำที่เราเดินดู พันธุ์ปลาก็จะหน้าตาแปลกๆ เข้าไปเรื่อยๆ 555555

จะสวยก็สวย จะน่ากลัวก็ว่าน่ากลัวค่ะ น่าสนใจดี คือยิ่งเดินยิ่งอยากดูค่ะ สนุกดี



และนี่คือเฉลยของการตั้งใจนั่งรถมาตั้งไกล 555555555

อยากมาดูแพนด้าค่าาาา อยู่ที่ไทยไม่เคยไปดู ต้องมาดูถึงสิงคโปร์ แงงง้

น้องตัวเบ้อเร่อเลย กินไม่หยุด กินตรงนี้ กลิ้งไปตรงโน้น โอ้ยน้องงง~~

// บริเวณนี้ห้ามเปิดแฟลช ห้ามเสียงดังค่ะ เป็นห้องแอร์นะคะ ไม่ร้อน



พอนั่งดูน้องกินใบไผ่ไปประมาณครึ่งไร่ เราก็หิวตามน้องค่ะ

เดินมานิดเดียว มีร้าน Mama Panda Kitchen ร้านน่ารักน่านั่งมาก

วันที่คะน้ามาคนไม่เยอะค่ะ ไม่ต้องรอคิวนาน คะน้าสั่งซาลาเปาแพนด้า ใส้ช็อคโกแลต

กับอะไรสักอย่างคล้ายขนมเอแคลร์ ใส้ช็อคโกแลตเหมือนกัน ซาลาเปาราคา $2.90

ส่วนเอแคลร์ราคา $3 ค่ะ อร่อยแต่ไม่ว้าว แป้งอร่อย แต่ใส้น้อยไปนิดนึงค่ะ



จาก River Safari คะน้าพาขิมไหมเดินข้ามสะพาน เพื่อมาต่อกันที่รายการเที่ยวสุดท้ายของทริป

ซึ่งจะบอกว่า พีคมาก!! นั่นคือ Amazon River Quest ค่ะ

เป็นการนั่งเรือล่องไปชมสัตว์ต่างๆ ใช้เวลาราวๆ 20 นาทีน่าจะได้นะ ถ้าจำไม่ผิด

และตลอด 20 นาทีนั้น...ไม่เห็นอะไรเลยจ้าาาาา!!! 555555555

ป้ายบอก "เสือจากัวส์" ก็ชะเง้อไปเถอะ คือบอกตัวอะไรไปตลอดทาง ไม่เห็นสักตัว

น้องๆ คงนอนหลับ ไม่ก็ขี้อายอ่ะค่ะ เอาเป็นว่าเป็น 20 นาทีสุดท้ายของทริปที่ไม่ได้อะไรเลย

โชคดีตอนเดินออกมา มีน้องๆ ปิรันย่า ออกมา Say goodbye อยู่บ้าง เง้อออ~



สุดท้าย มีร้านขายของที่ระลึกตามธรรมเนียม

เราก็เดินหยิบๆ จับๆ พอเป็นพิธีเช่นกัน 555555



ขากลับคะน้านั่งรถบัสออกจากสวนสัตว์ ไปที่สถานี Choa chu kang

เป็นสถานีที่ไม่ได้อยู่ในแพลน แค่คะน้านั่งดูสายรถไฟที่ใกล้ที่สุด ก็คือสายนี้

เลยนั่งรถบัสมาลงที่นี่แบบสดๆ จาก สถานี Choa chu kang มาที่ Changi Airport

ค่าตั๋วรถไฟ $4.80 ค่ะ นั่งยาวๆ เลย นั่งเกือบชั่วโมงแน่ะ พอมาถึงหิวข้าว

ก็เลยเดินหาร้านอาหารในสนามบิน ระหว่างรอขึ้นเครื่องกลับไทย...



จบแล้ววว! มาถึงตรงนี้อยากบอกว่า "ขอบคุณค่า"

ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาเจอกันนะคะ สำหรับทริปหน้าคะน้าจะพาไปที่ไหนต่อ

ฝาก Blog ของคะน้าไปเรื่อยๆ นะคะ จะอ่านเฉยๆ หรือช่วย Share ให้ด้วย ก็น่ารักทั้งนั้น ^^

จริงๆ ทริปนี้ตั้งใจจะเขียน Blog แยกเป็น Chapter ให้ แต่คะน้ากลัวว่าจะไม่ต่อเนื่องค่ะ

คะน้าเลยไม่เน้นบรรยายเหมือนกับ Blog ที่ผ่านๆ มา คะน้าอยากเล่าช่วงที่สำคัญมากกว่า

สำหรับทริปหน้า มาเจอคะน้าใหม่นะคะ เร็วๆ นี้คะน้าจะพาไปเที่ยวไทยเท่ค่ะ สนุกแน่นอน!!

Soon!!

เพจ >> https://web.facebook.com/TheLocationKana จิ้มๆ เลย >///<


ความคิดเห็น