หลายต่อหลายครั้งที่ฉันก้าวเท้าออกไปท่องเที่ยวตามรีวิว สิ่งที่ฉันพบเจออยู่เป็นประจำคือ ความพลุกพล่านของผู้คน การแย่งกันกิน แย่งกันเที่ยว และในทุกครั้งที่ฉันออกไปเที่ยว เมื่อกลับมาฉันมักจะเกิดคำถามกับตัวเองว่า "มันคือการพักผ่อนใช่ไหม?" ฉันตอบตัวเองว่า "ใช่ มันคือการพักผ่อน"
ทุกๆครั้งที่ฉันออกเดินทาง ฉันสามารถคลายรู้สึกที่เรียกว่า "ความเบื่อ"ของฉันลงได้เสมอ
การเดินทางในครั้งนี้ ฉันออกเดินทางไปหาคำตอบให้กับตัวเอง
"ความสงบอยู่ตรงไหน?" และ "การพักผ่อนที่แท้จริงของเราคืออะไร?" คำถามที่ฉันตั้งให้กับตัวเอง
จุดเริ่มต้นเลย 3 วันก่อนหน้า....
ฉันเปิดโซเชียลเล่น เป็นปกติของทุกๆวันก่อนนอน สายตาเหลือบมองไปเห็นโพทย์นึงของเพื่อนในโซเชียล มันเป็นรูปภาพ ใช่ มันคือรูปภาพที่มีแต่ความเขียวขจีของภูเขา ต้นไม้ เห็นแล้วมันสบายตา
"เห้ย! มันคือที่ไหน?" ฉันหาข้อมูลหมู่บ้านนี้ทันที ฉันค้นพบประโยคหนึ่งมีคนเขียนไว้ว่า "ถ้าไม่มีพระราช ก็ไม่มีบ้านผาหมี"
ฉันตัดสินใจทันทีว่า "ฉันจะไปที่นี่แหละ"
2 วันถัดมา.
"วันนี้วันศุกร์ เอาไงดี ไปเลยไหมพี่" ประโยคที่ฉันสนทนากับพี่คนนึง
"เอาแบบนี้แหละพี่ ไปเลยพี่ เอาไงเอากัน เจอกันเย็นนี้นะ" ฉันกล่าว
การเดินทางของเราเริ่มขึ้นแล้ว.... (ฉันกับพี่เขา)
เราออกเดินทางในคืนวันศุกร์ด้วยรถทัวร์ของ สมบัติทัวร์ มายังสถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงราย
ความโชคดีของเราคือ พี่คนที่มาด้วยกันเขารู้จักกับพี่ที่อยู่ที่เชียงราย พี่เขาก็เลยขับรถไปรับเราจากสถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงราย จากนั้นพาเรามุ่งหน้าไปที่ "ทุ่งเคียงดอย" ร้านกาแฟกลางทุ่งนาที่ห่างจากตัวเมืองเพียง 10 กว่านาที
ที่นี่ "ทุ่งเคียงดอย"
บรรยากาศที่นี่ดีมาก เรามาถึงประมาณเที่ยงกว่าๆ แต่ไม่ร้อนเลย ลมเย็นสบาย แถมคนไม่เยอะด้วย
"ฉันกำลังจะไปหาแกแล้วนะ ธรรมชาติ" ฟ้าครึ้มมาเลย ดีซิพรุ่งนี้ฉันจะได้เจอหมอกเยอะๆ ^^
ซึ่งระหว่างทางก่อนถึงทุ่งเคียงดอยเราจะผ่าน "พิพิธภัณฑ์บ้านดำ" เราก็แวะเที่ยวค่ะ
ที่นี่ . . . "พิพิธภัณฑ์บ้านดำ" สร้างขึ้นโดย อ.ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ ตั้งอยู่ที่ ต.นางแล อ.เมือง จ.เชียงราย ด้านหน้าพิพิธภัณฑ์คือจุดไฮไลท์ที่ทุกคนมาจะต้องถ่ายรูปตรงนี้
บ้านทุกหลังในนี้ถูกทาสีด้วยสีดำ เป็นศิลปะแบบล้านนา ซึ่งบ้านแต่ละหลังจะประดับด้วยไ
จากนั้นเราก็เดินทางต่อมาเรื่อยๆ ซึ่งจุดหมายของความตั้งใจในทริปนี้ของเราคือ "ดอยผาหมี"
"ฉันใช้เวลาเดินทางเพียงไม่ถึง 1 ชั่วโมงจากเมืองเชียงรายมาที่นี่ ถ้ามาจากแม่สายใช้เวลาเพียง 20 นาที มันง่ายมากแก่การเดินทาง"
ถึงแล้ว "ดอยผาหมี" อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ที่นี่เป็นหมู่บ้านของชาวอาข่า โฮมสเตย์ของที่นี่ จะมีอยู่ 2 ที่ คือ ภูฟ้าซาเจ๊ะ และ บูซอ โฮมสเตย์ ซึ่งดอยผาหมีเพิ่งเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2559
นี่คือจุดชมวิวของ "ภูฟ้าซาเจ๊ะ" เราเดินทางขึ้นมาจะพบภูฟ้าซาเจ๊ะก่อน แต่เรายังไม่พักกันที่นี่นะ
เราขึ้นไปอีกกิโลกว่าๆเพื่อไปพักที่ "บูซอ โฮมสเตย์" ตลอดทางที่ขึ้นมาทางค่อนข้างชัน แต่รถเก๋งรถกระบะสามารถขึ้นไปได้ ต้องใช้ความชำนาญพอควร ทางขึ้นที่นี่แคบ รถแทบจะสวนกันไม่ได้เลย
และนี่คือ "บูซอโฮมสเตย์" ที่พักของเราคืนนี้
ช่วงเวลาที่เรามาถึงก็ประมาณเกือบ 5 โมงเย็น อากาศที่นี่ฝนเพิ่งตกปรอยๆไป เย็นสบายมาก เงียบสงบไร้ผู้คน "ดีซินะ มีแค่เราที่เป็นนักท่องเที่ยวแค่นั้น ชอบจัง" ^^
ด้านนอกคือร้านกาแฟ ด้านในคือห้องพัก มีโต๊ะให้นั่งเล่น มิชิงช้าให้โยกไปมาพร้อมกับชมวิวทิวทัศน์ด้านหน้า
ห้องนอนของเรา นอนได้ 2 คน ราคาที่พักช่วงโลซีซั่น 900 บาท แต่ช่วงไฮซีซั่นจะราคา 1200 บาท ที่นี่ไม่มีแอร์นะค่ะ มีแต่พัดลม แค่พัดลมก็ไม่อยากจะเปิดแล้ว
มีระเบียงให้เราได้นั่งเล่น นั่งพักผ่อน เซลฟี่ ดีไปอีก แถมตรงนี้อะมีปลั๊กด้วยนะ เผื่อมือถือแบตหมดไง 555
ช่วงเวลาประมาณ 6 โมงเย็น หมอกเริ่มมาแล้วซินะ ฟ้าเริ่มมืดพร้อมหมอกที่เริ่มเยอะขึ้นเรื่อยๆ
มื้อเย็นนี้เราทานอาการพื้นเมืองกัน ขอแนะนำเมนูนี้เลยค่ะ "ยำแซ่บยูนาน" อร่อยมากขอบอก
เราเข้านอนกันด้วยบรรยากาศที่เย็นสบาย ไม่ต้องเปิดพัดลมกันเลยทีเดียว ถ้าได้อาบน้ำเย็นๆแล้วนะ มันจะสดชื่นมาก ที่นี่มีเครื่องทำน้ำอุ่นให้นะค่ะ ไม่ต้องห่วงถ้าใครกลัวหนาว เขาใช้เครื่องทำน้ำอุ่นแบบแก๊ส รู้ไหมเพราะอะไร "เพราะยิ่งสูงน้ำก็ยิ่งเย็นและต้องใช้เวลานานกว่าจะถึงจุดเดือด เขาเลยใช้แก๊สช่วยยังไงหล่ะ" ^^
ปล. ที่เราสนใจเพราะเปิดเครื่องทำน้ำอุ่นอาบน้ำแล้วได้กลิ่นแปลกๆเหมือนกลิ่นแก๊สเลยเกิดความสงสัย ใช่ มันกลิ่นแก๊สเลยหล่ะ :)
บรรยากาศยามเช้า เวลาประมาณ 6 โมง พระอาทิตย์เริ่มทอแสงสีส้มเฉิดฉายอยู่เหนือหุบเขา พร้อมหมอกจางๆที่ลอยเข้าพัดผ่านสักพักฟ้าเริ่มสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ หมอกเริ่มหนาขึ้น หนาขึ้น ล่องลอยท่ามกลางหุบเขา
ภาพเบื้องหน้าเป็นภาพที่ถ่ายออกมาจากประตูห้องนอน
โอวัลตินร้อนๆพร้อมกับขนมปังทาเนย เราขึ้นมาบนดาดฟ้าของที่นี่ มองออกไปเห็นวิวสายหมอกที่ปกคลุมภูเขาอยู่ ความรู้สึกตอนนี้มันสดชื่นมาก
"เจ้าแมวเหมียวเพื่อนซี้ เจ้าคงอยากกินกับเราด้วยซินะ"
ด้านบนนี้มีเปลผูกอยู่ นอนเล่นชมวิวทะเลหมอกมันโคตรฟิน
อาหารเช้าของเรามีข้าวต้ม ยำผักกาดดอง ยำถั่วผสมปลากรอบ ไข่ดาว
ร้านกาแฟยามเช้า เปิดแล้วจ้า
เมนูแนะนำ "กาแฟบูซอ"
"แมคคาเดเมีย ถั่วที่มีประโยชน์เพื่อสุขภาพ" เรามาช่วงที่แมคคาเดเมียเหลือล๊อตสุดท้ายพอดี ปกติเขาจะมีวางขายด้วยนะ และก็ให้ชิมฟรีด้วย แมคคาเดเมียเป็นพีชเศรษฐกิจที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ทรงพระราชทานให้กับชาวอาข่า
น้องน่ารักมาก เป็นลูกสาวเจ้าของโฮมสเตย์ที่นี่ น้องเป็นคนขับรถเก๋งลงไปรับเราจาก ภูฟ้าซาเจ๊ะ ขึ้นมา และกระเทาะเปลือกแมคคาเดเมียให้เราชิมอีก
ห่างจากโฮมสเตย์ออกมานิดเดียวจะเป็นลานกว้างๆ เรียกว่า "ลานวัฒนธรรม" บริเวณนี้จะมีชิงช้าแบบชาวเขาให้เราได้ลองเล่น ซึ่งชาวอาข่าจะมีประเพณีหรืองานเทศกาลปีใหม่ที่เรียกว่า "ประเพณีโล้ชิงช้า" จัดขึ้นเพื่อเป็นการฉลองพืชพรรณที่จะเก็บเกี่ยวไว้บริโภค ซึ่งต้นกำเนิดประเพณีนี้มาจาก “จาแดลอง” ประเทศจีน ชาวอาข่าได้สืบทอดประเพณีนี้มาเป็นเวลา 2,700 กว่าปี
ด้านบนจะเป็นพื้นที่ที่จัดแสดงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
เที่ยงวันนี้เราออกเดินทางไปยัง "ดอยผาฮี้" เพื่อไปยังร้านกาแฟภูผาฮี้ ร้านกาแฟห้อยขา เราเดินทางมาประมาณ 7 กิโลเมตรจากดอยผาหมี ทางค่อนข้างชัน แต่โชคดีของเราที่มีคนพื้นที่ขับรถพามา
นี่ไงทางเข้าหมู่บ้านมีป้ายเขียนว่า "บ้านลาหู่ผาฮี้ ยินดีต้อนรับ"
ผาฮี้เป็นหมู่บ้านที่อยู่แนวตะเข็บชายแดนพม่า ที่นี่ดังเรื่องการผลิตกาแฟที่มีคุณภาพและส่งขายระดับโลก แต่เดิมแล้วชาวขาอ่าที่นี่นิยมปลูกฝิ่นกัน แต่ต่อมาเมื่อมีโครงการพัฒนาดอยตุงเข้ามาในหมู่บ้าน ชาวอาข่าจึงหันมาปลูกกาแฟแทนการปลูกฝิ่นตามพระราชปณิธานของ “สมเด็จย่า” ที่ทรงต้องการพลิกฟื้นผืนป่าเสื่อมโทรม และแก้ปัญหาการปลูกฝิ่น
บรรยากาศระหว่างทาง จะเห็นว่ามีต้นกาแฟที่ปลูกอยู่ตามทาง
ถึงแล้วที่นี่ . . . ร้านกาแฟภูผาฮี้ (Phuphahee Coffee)
ที่ตรงนี้ใครมาก็ต้องมาถ่ายรูปกันค่ะ จุดเด่นของที่นี่คือ การนั่งดื่มกาแฟห้อยขาชมวิวธรรมชาติ ภูเขา
มีชุดพื้นเมืองของชาวไทยภูเขาอาข่าให้เราสวมใส่ถ่ายรูปด้วยนะ
มีเมล็ดกาแฟแต่ละชนิดให้เราดูและสัมผัส
นี่เป็นเมล็กกาแฟที่คั่วแล้ว
ภาพถ่ายนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาเยี่ยมชมที่นี่
ก่อนบอกลาที่นี่ ขอถ่ายรูปคู่น้องไว้เป็นที่ระลึกหน่อยนะ
เราเดินทางต่อมายัง "จุดชมวิวฐานปฏิบัติการดอยช้างมูบ"
"ดอยช้างมูบ" เป็นดอยที่ตั้งอยู่บนแนวสันเขาแบ่งเขตแดนไทย-พม่า จุดชมวิวที่เราเห็นข้างหน้าคือหมู่บ้านและวิวทิวทัศน์ของประเทศพม่า บริเวณด้านบนที่เป็นสีดำ ห้ามนักท่องเที่ยวขึ้นไปเหยียบนะ สามารถเดินได้ตามรอยทางเดินเท่านั้น ก่อนเราเข้ามาจะต้องแลกบัตรประชาชนกับคุณพี่ทหารเขาและอ่านกฎระเบียบให้เรียบร้อยด้วยนะค่ะ
ดอยช้างมูบเป็นดอยที่สูงที่สุดบนแนวเทือกเขาดอยนางนอน มีความสูง 1,485 เมตรจากระดับน้ำทะเลตั้งอยู่ห่างจากพระตำหนักดอยตุงประมาณ 12 กิโลเมตร
วิวทิวทัศน์มองไปไกลๆจะเห็นหมู่บ้านของชาวพม่าที่อาศัยอยู่
ที่นี่มีร้านกาแฟของทหารด้วย สามารถซื้อและนั่งดื่มได้
หลังจากนั้นเราเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านผาหมีเพื่อไปพักที่นั้นอีก 1 คืน
ถึงแล้ว . . . คืนนี้เราจะพักกันที่นี่ "ภูฟ้าซาเจ๊ะ"
เข้ามาด้านในดูบรรยากาศของที่นี่ มีมุมให้นั่งดื่มกาแฟ ชมวิวทิวทัศน์ของธรรมชาติอยู่หลายมุม สามารถสั่งอาหารพื้นบ้านเป็นขันโตกทานได้ด้วยค่ะ
ห้องพักของเราคืนนี้ 2 คนในราคา 900 บาทพร้อมอาหารเช้า ซึ่งห้องนี้เตียงนอนกว้างมาก มีพัดลมตั้งให้ 1 ตัวตัวใหญ่นะค่ะ
บรรยากาศด้านนอก ซึ่งชั้นที่เรานอนจะอยู่ด้านล่างของร้านกาแฟ
ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ในหลวง ร.9 ท่านทรงเสด็จมาประทับ
"ที่ประทับเสวยพระสุธารสชาของพ่อหลวง ร.9" ชาวอาข่าที่นี่เรียกพระองค์ว่า "พ่อหลวง ร.9"
พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่พระองค์เคยเสด็จมาประทับดื่มน้ำชา มีการจำลองภาพให้เห็นเมื่อครั้งพระองค์เสด็จมาเยือน
ด้านบนนี้มีภาพอริยาบทต่างๆของในหลวง ร.9 เมื่อครั้งพระองค์เสด็จมาเยือนที่นี่ให้ได้ชมอยู่หลายภาพ
ภาพนี้สะท้อนให้เห็นถึงการเดินทางเมื่อครั้งที่พ่อหลวง ร.9 เสด็จ ในตอนนั้นยังไม่มีถนน การเดินทางค่อนข้างลำบาก เดินทางเท้าได้อย่างเดียว
ภาพนี้คือสถานที่แห่งนี้ที่ในหลวงทรงประทับดื่มน้ำชา
ภาพนี้เป็นภาพที่พ่อหลวงซาเจ๊ะจูงม้าพาพระองค์ท่านเสด็จขึ้นไปยังดอยผาหมี
พระราชินีทรงเสด็จมาสอนหนังสือ ณ ที่แห่งนี้ด้วย "ดอยผาหมี"
พื้นที่ที่เป็นลานโล่งๆเป็นพื้นที่ที่พระองค์เสด็จมาในครั้งแรกด้วยเฮลิคอปเตอร์ พ่อหลวงซาเจ๊ะ (คำว่าพ่อหลวง คือ ผู้ใหญ่บ้าน) ไปรับเสด็จพระองค์และจูงม้าพาพระองค์ท่านขึ้นมายังบนดอยผาหมี
อาหารเย็นของเราในวันนี้ เราเลือกเป็นเมนูอาหารพื้นบ้าน มื้อนี้ 400 บาท ทาน 2 คน น้ำพริกอร่อยมาก
เช้าวันต่อมา . . . เมนูอาหารเช้า ขนมปังทาแยม ข้าวต้ม พร้อมด้วยน้ำเต้าหู้ร้อนๆ น้ำผลไม้เย็นๆ
ก่อนเดินทางกลับ เราขอถ่ายรูปกับพี่เจ้าของร้านกาแฟและโฮมสเตย์ที่นี่หน่อยไว้เป็นที่ระลึก
"กาแฟ ดอยผาหมี" ร้านกาแฟนี้อยู่ห่างจากภูฟ้าซาเจ๊ะเพียงนิดเดียว เราเดินลงมาไม่ถึง 5 นาที
วิวด้านในของร้านกาแฟร้านนี้
คำตอบของเราสำหรับการเดินทางในครั้งนี้คือ การที่เราได้เดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆที่เราไม่คุ้นเคย ออกเดินทางเพื่อไปหาคำว่า "แรงบันดาลใจ" แล้วกลับมาทำงานใหม่ นี่แหละมันคือการ "พักผ่อน" ที่แท้จริงของเรา
G-jee Jiraprapa
วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เวลา 21.23 น.