"น่าน"ไง ว่าแล้ว ต้องหลงรัก

เวลาน้อย แต่อยากมา เมืองเก่าน่าน เมืองเล็ก น่ารัก วัฒนธรรมเด่นชัด บรรยากาศดี๊ดี รักแรกพบที่ตราตรึงในใจ

มาน่านครั้งแรกไม่ใช่เพื่อเที่ยวแต่มาธุระ แต่ไหนๆมาแล้วก็ต้องแวะบ้าง ที่แรกเลยมาสักการะพระธาตุแช่แห้ง อายุกว่า 600 ปี พระธาตุเลื่องชื่อแห่งเมืองน่านใครมาก็ต้องแวะ อยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณ 3 กิโลเมตร

พระอารามหลวงแห่งนี้เป็นอนุสรณ์ของความรักและความสัมพันธ์ ระหว่างเมืองน่านกับเมืองสุโขทัยในอดีต และยังเป็นพระธาตุประจำปีเกิดของคนที่เกิดปีเถาะ (กระต่าย) อีกด้วย

ต่อมาเราเลือกที่จะมาพระธาตุเขาน้อยเพื่อชมวิวเมืองก่อนแล้วจะได้ตะล่อนเมือง เดินถนนคนเดินต่อได้อย่างสบายใจเชิบๆ

จุดเด่นที่ทำให้ที่นี่เป็นที่ must go มาน่านแล้วต้องมานะ คือ พระพุทธมหาอุดมมงคลนันทบุรีศรีน่าน ประดิษฐานคู่กับวิวเมืองน่าน บนดอยเขาน้อย แต่โชคร้ายหน่อยที่วันนี้ฟ้าไม่เป็นใจ ตอนขึ้นไปที่วัดฝนตก ทำให้เห็นเมืองไม่ชัดมากนัก

สักการะพระธาตุเขาน้อย ถ่ายวิวเมืองจนพอใจแล้วก็แล้วเราก็รีบกลับเข้าเมืองน่านเก็บของที่พัก ครั้งนี้เราเลือกพักที่คุ้มเมืองมินทร์ ซึ่งสามารถเดินไปตลาดถนนคนเดิน วัดภูมินทร์ วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร วัดมิ่งเมือง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ได้ชิวๆ

แต่ถ้าใครที่ไม่อยากเดินก็ไปปั่นจักรยานชมเมือง ทางที่พักเค้าก็มีให้ยืม

บรรยากาศที่พักก็จะวินเทจประมาณนึง เป็นบ้านไทยสไตล์โคโลเนีย 2 ชั้นที่นำมารีโนเวทใหม่ได้อย่างสวยงามและคงกลิ่นอายย่อนยุคไว้ได้อย่างลงตัว ถ้าจากผ่าน agoda , booking.com ก็อาจจะโชคดีเจอราคาไม่เกิน 800 บาท รวมอาหารเช้าแล้วด้วย พนักงานน่ารัก ให้คำแนะนำเรื่องที่พัก สถานที่โดยรอบเป็นอย่างดี

ภายในห้องพักแบ่งโซนจัดมุมไว้ลงตัว ตกแต่งด้วยของย้อนยุค แต่ดูหรูหรา มี Free Wifi ให้บริการ ห้องน้ำสะอาด อุปกรณ์ครบครั้น

บริเวณชั้นล่างก็จะมีที่นั่งชิวๆในสวนด้วย ปะ.....เก็บของเรียบร้อยก็ลุยยย!!!!

เราเลยจากซอยออกมาวัดพระธาตุช้างค้ำ

ต่อด้วยข้ามมาถ่ายรูปซุ้มต้นลีลาวดี หน้าพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่าน ไม่ว่าจะมาช่วงพลัดใบเห็นแต่กิ่งหรือช่วงออกดอกก็สวยงามมากๆ

ถ่ายรูปเสร็จเราเดินข้ามไปวัดภูมินทร์ต่อ

จุดเด่นของวัดนี้คือ "พระอุโบสถจตุรมุข”สถาปัตยกรรมอันโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์เฉพาะ ที่รวมเอาโบสถ์ วิหาร และเจดีย์ ไว้ในอาคารเดียวกัน มีพระประธานจตุรทิศปางมารวิชัย 4 องค์ หันหน้าออกสู่ประตูทั้ง 4 ทิศ ประดิษฐ์ฐานอยู่ภายใน

มีเรื่องเล่ากันว่า หากใครจะไปกราบขอพรพระจตุรทิศ ให้พยายามสังเกตหน้าองค์พระ 1 ในทั้งสี่ทิศ ซึ่งจะมีอยู่เพียงทิศเดียวเท่านั้น ที่หน้าองค์พระประธานจะมีลักษณะยิ้มแย้มมากกว่าทั้ง 3 ทิศที่เหลือ ก็ให้กราบขอพรยังทิศนั้นแล้วจะได้สมปรารถนาตามที่ตั้งใจ

อีกหนึ่งจุดเด่นของที่นี่ คือ ภาพจิตกรรมฝาผนังที่โดดเด่นเป็นพิเศษในวัดภูมินทร์แห่งนี้ก็คือ ภาพ “กระซิบบันลือโลก” หรือภาพ “ปู่ม่าน ย่าม่าน” ซึ่งเป็นคำเรียกผู้ชายผู้หญิงชาวไทลื้อสมัยโบราณ ในลักษณะกระซิบสนทนากัน

คำกลอนภาษาคำเมือง ที่แต่งขึ้นมาสำหรับภาพนี้ ว่าไว้ว่า…

"กำฮักน้องกูปี้จั๊กเอาไว้ในน้ำก็กั๋วหนาว

จั๊กเอาไว้ปื้นอากาศกลางหาว

ก็กั๋วหมอกเหมยซ่อนดาวลงมาขะลุ้ม

จั๊กเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม

ก็กั๋วเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป

ก็เลยเอาไว้ในอกในใจ๋ตัวจายปี้นี้

จั๊กหื้อมันไห้ อะฮิ อะฮี้

ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา"

คำแปล “ความรักของน้องนั้น พี่จะเอาฝากไว้ในน้ำก็กลัวเหน็บหนาว จะฝากไว้กลางท้องฟ้าอากาศกลางหาว ก็กลัวเมฆหมอกมาปกคลุมรักของพี่ไปเสีย หากเอาไว้ในวังในคุ้ม เจ้าเมืองมาเจอก็จะเอาความรักของพี่ไป เลยขอฝากเอาไว้ในอกในใจของพี่ จะให้มันร้องไห้รำพี้รำพันถึงน้อง ไม่ว่ายามพี่นอนหลับหรือสะดุ้งตื่น”

เสร็จจากถ่ายบรรยากาศรอบๆวัดแล้วเราก็มาแวะนั่งพักท่านกาแฟที่ร้าน Amazon ที่อยู่ข้างๆวัดภูมินทร์ระหว่างรอร้านค้าในตลาดถนนคนเดินตั้ง เมฆฝนเองก็เหมือนจะตั้งเคามาลางๆ นั่งชิวๆที่นี่ก่อนละกัน

ในพื้นที่เดียวของร้าน Amazon เราจะเห็นบ้านไม้โบราณอายุกว่า 104 ปี (พี่เจ้าหน้าที่รปภ.ที่คอยดูแลอยู่บอกมา) หน้าบ้านจะปลูกหญ้าและต้นลีลาวดีไว้อย่างสวยงาม อย่าเผลอเข้าไปเชียวละ เค้าไม่อนุญาตินะจร้า แต่ถ่ายตรงริมรัวได้

มืดละ ได้เวลาตะล่อนหาของกินในตลาดถนนคนเดินกันจักหน่อย ที่นี่อาหารเหนืออย่าง อ่อม น้ำเงี้ยว ข้าวซอย จะเยอะมาก กับข้าว ยำขนมจีน หรือของกินอื่นๆก็ราคาไม่แพงเท่าไร

เดินไปกินไป เที่ยวเพลินอิ่มท้อง ก็เดินกลับโรงแรมอาบน้ำนอนก่อนจะที่เช้าจะต้องเดินทางกลับกรุงเทพกันต่อ

เช้าก่อนกลับเราตื่นมาทานอาหารเช้า ซึ่งทางโรงอรมเตรียมไว้ให้ มีทั้งข้าวต้ม สลัด อาหารเช้าแบบอเมริกัน ขนมปัง ชา กาแฟ น้ำผลไม้ ไว้รับรองตั้งแต่ 7.00-10.00