หลังจากผ่านการวางแผนที่จะไปเที่ยวดีซีก่อนนอนกับ Nicole เกือบทุกคืน ก็ค่อนข้างมั่นใจว่า
เราจะรอด
เพราะจากการหาข้อมูลเกี่ยวกับดีซี มันก็ดูไม่มีอันตรายอะไร
ดีซีเป็นเมืองหลวงของอเมริกา มีตึกสูงสง่างามมากมาย
ถนนหนทางดูดี สะอาด
มีแหล่งสถานที่สำคัญทางการเมืองและประวัติศาสตร์ของอเมริกาอย่างทำเนียบขาวและตึกรัฐสภา
เมืองที่มีระบบขนส่งมวลชนดี
เมืองที่มีมหาลัยที่มีชื่อเสียงหลายแห่งตั้งอยู่
เมืองที่มีพิพิธภัณฑ์ในเครือ Smithsonian น่าสนใจหลายที่และที่สำคัญคือ มันฟรี
เมืองที่เป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์บอกเล่าความทรงจำและความเป็นมาของชาติสหรัฐ
ทุกอย่างก็ดูดีไปหมด ไม่น่าจะติดขัดอะไร
แต่มันมาติดขัดที่เราไปวันที่ 4th of July เนี่ยสิ
มันทำให้แม่เราเป็นห่วงกลัวว่าจะมีการก่อการร้ายบ้าง ประท้วงบ้าง คนเยอะบ้าง
แต่เรากลับไม่ได้คิดถึงจุดนั้นเลย คิดแต่ว่า
' โชคดีซะอีก ที่ได้มีโอกาสไปวันชาติอเมริกา '
เราก็พยายามพูดโน้มน้าวแม่ซึ่งเป็นงานถนัดเรา ว่า
" แม่ มันไม่มีไรหรอก มันปลอดภัยจะตายไป เนี่ยปลอดภัยกว่าไทยอีก วันงานเค้ามีตำรวจเยอะแยะ อีกอย่างบ้านพ่อแม่โฮส กับเพื่อนพ่อก็อยู่ที่นั่น มีไรเค้าคงช่วยเราได้ "
จนแม่เรายอมใจอ่อนให้ไป
Washington D.C. เมืองหลวงอเมริกาอยู่ระหว่างรัฐเวอร์จิเนียและรัฐแมริแลนด์ เป็นเขตปกครองพิเศษ ไม่ได้มีสภาพเป็นรัฐเหมือนรัฐอื่นๆ
โดย Washington คือชื่อประธานาธิบดีคนแรก
ส่วน D.C. ย่อมาจาก District of Columbiaมาจาก Christopher Columbus ผู้ที่ได้เดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกและทำให้ชาวยุโรปรู้จักทวีปอเมริกา
คนส่วนใหญ่ก็เรียกแค่ดีซี
เพราะถ้าเรียกแค่ Washington จะหมายถึงรัฐ Washington รัฐเพื่อนบ้าน Oregon ทันที
เศษกระดาษกับการวางแผนเที่ยว
โดยจากการศึกษาพบว่า วอชิงตันดีซีสามารถเดินเที่ยวได้ทั้งวัน เที่ยวง่าย เพราะสถานที่สำคัญต่างๆส่วนใหญ่อยู่ใกล้กันอย่าง Washington Monument, Capitol hill และ Lincoln Memorial
ดูได้จากรูปนี้
ถึงวันเดินทาง
เราขึ้นเครื่องประมาณทุ่มนึงแต่เรามาถึงสนามบินเร็วมาก ตั้งแต่ 4 โมง คือเรามาคนเดียวไง เลยรีบมาเร็วก่อนดีกว่า เผื่อพลาด
เราเช็คอินผ่านเครื่อง self check in โดยใช้บัครเดบิตที่เราใช้จ่าย ที่มีชื่อเรารูดเข้าไปในเครื่อง check in
เป็นหลักฐานยืนยันว่าเป็นเรา
อย่างที่บอก เรามาถึงสนามบินเร็วมาก มารอที่เกทตั้งแต่ผู้โดยสารไฟล์ทที่จะบินก่อนหน้าเรายังอยู่อะ
เดินทางไปเที่ยวคนเดียวครั้งแรก รู้สึกตื่นเต้นดี ดูมี energy แปลกๆ ไม่รู้จะคุยกับใคร ก็นั่งวางแผนเรื่องเที่ยวในหัวไป จะได้ไม่เหงา
เราเดินทางประมาณ 7 ชม. รวมเปลี่ยนเครื่องที่ seattle โดยเวลาที่ดีซี เร็วกว่า Portland อยู่ 3 ชั่วโมง ก็คือเราจะไปถึงที่ดีซีประมาณ 6 โมงเช้า
เวลา 6.00 am เครื่องลงมาถึงสนามบิน Dulles เรารีบเดินไปทางออก
ขณะที่เดินได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แม่ของ Nicole โทรมาบอกว่า
" รออยู่ตรง baggage claim หมายเลข 7 นะ "
เราก็ถามทางคนแถวนั้น ในใจก็ตื่นเต้นที่จะได้เจอหน้าพ่อแม่ Nicole
พอไปถึงเราก็พยายามมองหาผู้หญิงใส่เสื้อสีฟ้าตามที่ Nicole ส่งรูปมาให้ดูก่อนหน้านี้เพื่อจะได้หาเจอง่ายขึ้น
เจอแล้ว แม่ของ Nicole ชื่อ Marita วินาทีแรกที่เราเจอ
Marita เดินเข้ามากอดเรา ทำให้เรารู้สึกอบอุ่น ไม่ awkward
พอหันไปมองคนข้างๆ ก็เห็นพ่อของ Nicole ชื่อ Ken
Ken เดินมาจับมือทักทาย พร้อมพูดประโยคแรกกับเราว่า
" You are so brave doing this "
เราก็เขินๆ ตอบกลับไปว่า
" I can't believe myself too this is my first time travelling alone "
เดินออกไปนอกสนามบิน อากาศข้างนอกยังไม่ถึงกับร้อนมาก Marita หันมาแล้วบอกว่า
" พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเท่าไหร่ รอขึ้นก่อนสิ ร้อนจนเธอต้องถอดเสื้อ jacket ออกแน่ๆ haha "
เข้าไปในรถ Marita ก็ยื่นน้ำมาให้ 1 ขวด " this is your water I bring it for you "
ระหว่างทางนั่งรถ Kenกับ Marita ก็คอยอธิบายสถานที่เที่ยวต่างๆให้ฟัง
พร้อมกับยื่น map ที่เตรียมไว้มาให้เรา เป็น map เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวและการใช้
metro
Ken และ Marita จะไปส่งเราที่ Smithsonian station
ก่อนลง Ken ก็บอกว่า
" วันนี้เป็นวัน 4th of July วันชาติอเมริกา ทำให้ถนนบางเส้นมีการปิดและตอนกลางคืนคนจะเยอะมาก "
Ken เลยแนะนำเรื่องตอนขากลับว่า
" ถ้าเราอยากดูดอกไม้ไฟมันเลิกประมาณสามทุ่มครึ่ง ก็สามารถดูได้นะ ตอนกลับแค่ให้เรานั่ง Metro มาลงที่สถานี Springfield ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง แล้วเดี๋ยวเค้าจะมารับที่นี่เพื่อความสะดวก "
( พอพูดถึง Springfield ก็ทำให้เรานึกถึงที่ Nicole เคยเล่าว่า เป็นสถานที่แรกที่เค้ากับ Michael เจอกัน )
ตกลงเสร็จเรียบร้อย เรากำลังจะลงจากรถ Marita ก็ย้ำเรื่อง jacket อีกทีว่า
" เอา Jacket ฝากไว้ในรถไหม มันร้อนนะ "
ด้วยความที่เราอยากใส่เป็นพร็อพถ่ายรูปไงเลยบอกไม่เป็นไรแล้วเราก็ลงจากรถไป
เอาล่ะเราเริ่มฉายเดี่ยวเที่ยวเองแล้ว ตอนนี้เวลา 7 โมง บรรยากาศยังเงียบๆ ผู้คนไม่มากนัก
เราไปซื้อบัตร Metro ก่อนเลย
นี่เป็นบัตร smart trip บัตรโดยสาร metro ที่เป็นลายเกี่ยวกับวันชาติอเมริกา ซึ่งมีจำกัด เฉพาะคนที่ซื้อบัตรวันนี้เท่านั้น ดีเหมือนกัน เหมือนได้ของที่ระลึกกลับไป
สภาพเมืองตอนเช้า ประมาณ 7 โมง ยังเงียบๆอยู่ แทบจะไม่มีคนเลย
เรายังไม่ได้กินอะไร แถวนี้หาร้านของกินยาก มีแต่ food truck ที่แต่ละร้านก็ขายของเหมือนกัน ราคาเดียวกัน
เราเหลือบไปเห็น food truck ใกล้ๆ เลยซื้อ Beef sausage ราคาประมาณ 3 เหรียญ
เราเริ่มจากการเดินไปแถว Washington Monument
เป็นอนุเสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของเมกา เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในวอชิงตันดีซี (169เมตร) โดยหินแต่ละก้อนจะถูกนำมาจากทุกรัฐของอเมริกาและต่างประเทศ สื่อถึงการรวมชาติอเมริกา ถึงแม้จะไม่ได้มีลวดลายหรือรูปทรงแปลกตาแบบหอไอเฟล แต่ก็ให้ความรู้สึกอีกแบบคือเรียบง่าย สูงใหญ่ อลังการมาก
ตรงนั้นจะมีพวกทหารและวงดุริยางค์ มาเตรียมความพร้อมเพื่อเดินพาเหรดในช่วงสายๆ
ในขณะที่เรากำลังพยายามเซลฟี่ถ่ายรูปตัวเอง ก็ได้ยินเสียงคนถามว่า
" ถ่ายรูปให้ไหม "
เราก็ยิ้มและรีบตอบตกลงทันที ถ่ายเสร็จ พอเค้ารู้ว่าเรามาจากไทยแลนด์ เค้าก็ถามเกี่ยวกับเรื่องข่าวถ้ำหลวงทันที
เราก็ตอบไปว่าตอนนี้รอดแล้ว ตอนนั้นข่าวเรื่องนี้ดังมาก ดังไปทั่วโลกเลย ใครรู้ว่าเรามาจากไทย ก็จะถามเรื่องนี้ตลอด
อันนี้เป็นรถไกด์สามล้อนำเที่ยว เป็นเหมือนทัวร์เล็กๆ
Capital hill
หรือ US Capitol เป็นอาคารรัฐสภาที่ถือว่าสวยเป็นอันดับ 1 ของโลก เป็นสัญลักษณ์ของกรุงวอชิงตัน ดีซี เวลามีประชุมของฝ่ายสภานิติบัญญัติก็จะมาประชุมกันที่นี่
น่าเสียดายที่วันนั้นที่ Capital hill มีก่อสร้างปรับปรุงอยู่
เดินดูได้สักพัก ก็รู้สึกว่าอากาศมันร้อนมาก เหงื่อเต็มตัวเลย เก็บ jacket ที่เอามาใส่กระเป๋าดีกว่า รู้งี้ฝาก Marita ไว้ที่รถตั้งแต่แรกก็ดี
นึกถึงคำที่ Marita บอกเลยว่า
' ร้อนจนเธอต้องถอด jacket ออกแน่ๆ '
เรานั่งพักเปิด map ว่าจะไปไหนดี
พยายามจะหาทางนั่งบัสไปที่จุดอื่นๆ เพราะไม่อยากเดินมันเหนื่อย
ก็พบว่า
วันนี้ เวลานี้ถนนบางเส้นปิด และไม่มีบัสวิ่ง
เราเลยเข้าไปนั่งพักตากแอร์ที่
Smithsonian castle
ข้างในเป็น visitor center
เราซื้อน้ำอัดลม กับเค้กมากิน เค้กก็ตกแต่งเป็นสีธงชาติอเมริกา
พอกินเสร็จก็หยิบบัตร atm จะไปกดเงิน
เราเก็บขยะแล้วเอาไปทิ้ง ก่อนจะพบว่า
อ่าว บัตร atm อยู่ไหนวะ
เห้ย ในเป๋ากางเกงก็ไม่ใช่
นี่มันบัตร metro
พยายามหาก็ไม่เจอ
นึกขึ้นได้
หรือว่าเผลอทิ้งลงไปในถังขยะวะ
เลยไปคุ้ยถังขยะดู เออเจอบัตรจริงด้วย เกือบไปแล้วไหมละ
ตอนนี้กลับมาแล้วยังนึกขำอยู่เลยว่า ครั้งนึงเราเคยไปคุ้ยถังขยะที่ Smithsonian visitor center
เดินออกมาข้างหลังเป็นสวนเล็กๆ
อย่างที่บอกวันนี้วันชาติอเมริกา
วันชาติอเมริกา 4th of July หรือที่คนที่นี่เรียกกันว่า Independence day
เป็นวันที่ ทอมัส เจฟเฟอร์สัน ซึ่งต่อมาได้เป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ร่าง "คำประกาศอิสระภาพ" หรือ "คำประกาศเอกราชจากสหราชอาณาจักร" ส่งให้แก่อังกฤษ ก่อให้เกิดประเทศใหม่ชื่อว่า "สหรัฐอเมริกา"
ดังนั้นในวันที่ 4 กรกฎาคมของทุกปี ชาวอเมริกันจะประดับประดาธงชาติของตนด้วยความภาคภูมิใจในการเฉลิมฉลอง เสรีภาพและประชาธิปไตย
โดยในปีนี้ (พ.ศ. 2561) จะถือว่าประเทศสหรัฐอเมริกามีอายุครบ 242 ปีแล้ว
และที่เมืองหลวงอย่างวอชิงตันดีซีที่เรามาในวันนี้ก็มีงาน 2 งานหลักๆที่เราตั้งใจมาดูก็คือ
พาเหรด กับดอกไม้ไฟ โดยพาเหรดจะเริ่มในเวลาใกล้ๆนี้คือ 11.45 am
ส่วน ดอกไม้ไฟเริ่ม 9.00 pm
พาเหรดจะเริ่มตั้งแต่ constitution Ave 7-17 เรารีบไปจองที่นั่งก่อนพาเหรดเริ่มสักชั่วโมงนึง
เราเดินผ่านตรงจุดแรกที่ขบวนพาเหรดจะเริ่ม บรรยากาศมีแต่ชาวเมกัน เราแทบจะไม่เห็นคนเอเชียเลย
คนเยอะมาก ตำรวจรักษาความปลอดภัยก็แน่น มีนักข่าวจากหลายสำนักมาทำข่าว หรือไม่ก็มาสัมภาษณ์คนที่มาชมพาเหรดบ้าง
ตอนนั้นมีการพูดปราศรัยด้วย ข้างๆตึกนั้นมี Protest ไรสักอย่างเราไม่ได้ถ่ายมา
ตอนแรกเรากะจะยืนฟังเค้าพูดตรงนี้ก่อน มันเหมือนเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก แต่ก็แอบกลัวว่าถ้ามีก่อการร้าย
จะหนีทันไหม
เลยเปลี่ยนใจเดินไปนั่งให้ห่างๆจากจุดนั้นดีกว่า
แดดมันร้อนมากเวลานั้น เราเลือกที่นั่งใต้ร่มต้นไม้ ซึ่งก็ยังร้อนอยู่ดี
เวลา 11.45 am ขบวนพาเหรดเริ่มแล้ว
เปิดด้วยมอเตอร์ไซด์สามคัน
เราถ่ายรูปไว้พอสมควร
ภายในขบวนพาเหรดไม่ได้มีแค่ชาวเมกันเท่านั้นยังมีพาเหรดของคนจีน เวียดนาม แขก อีกด้วย
เด็กๆที่มาเชียร์ขบวนพาเหรด ที่นั่งข้างๆเรา
ขบวนพาเหรดที่นี่ยิ่งใหญ่มาก บางทีก็จะมีเหล่า celebrity มาร่วมเดินด้วย
ตอนเราก็มี Miss USA แต่เราถ่ายไว้ไม่ทัน
พอพาเหรดจบเวลา 2.00 pm ทุกคนก็ทยอยออกจากสถานที่
อย่างที่บอกวันนี้วันชาติเมกา ถือเป็นวันครอบครัววันนึงเลยมีคนมา picnic กันด้วย
ตอนเวลาบ่ายๆนี่ โอ้โห อากาศมันร้อนแบบน่าเกลียดมาก
เราจะเป็นลมอยู่ละ
เลยตัดสินใจเข้าไปเดินตากแอร์ใน museum แถวนั้น
ก่อนหน้านี้เรานัดไว้กับเพื่อนพ่อที่ทำงานที่สถานฑูต เค้าจะพาเราเดินใน Smithsonian แต่เราไม่อยากรบกวนเค้า มันก็ดูปลอดภัย เราว่าเราเที่ยวเองได้ เลยโทรไปบอกเค้าว่าไม่ต้องมาแล้ว เค้าก็บอกให้เราระวังตัวดีๆ เมื่อกี้มีข่าวส่งมาในไลน์ว่า
อาจจะมีก่อการร้าย
ตอนนั้นเราใจนิ่งมาก แบบไม่ได้ตกใจอะไรเลย รู้สึกว่าจะยังไงก็ไม่ถอยกลับแน่
พิพิธภัณฑ์ที่นี่มีเยอะมาก เดินวันเดียวไม่ไหวหรอก เราเลยเลือกแค่สองที่คือ Air and space และ American History
เครื่องบินพี่น้องตระกูลไรท์
เข้าไปเจอแอร์ข้างในทำให้พอหายเหนื่อยบ้าง เราก็เดินเล่นๆข้างใน เราไม่ได้ถ่ายรูปใน museum มาก เพราะจะเก็บแบตไว้ถ่ายดอกไม้ไฟตอนกลางคืน
ตอนนั้นรู้สึกง่วงมาก เดินไปหาวไปตลอดทาง เพราะเหนื่อยและยังไม่ได้นอนตั้งแต่ขึ้นเครื่อง
เลยตัดสินใจนั่งพัก และเอาแบตพาวเวอร์แบงก์กับแบตกล้องไปชาร์จที่ปลั๊กหน้สลิฟต์ ซึ่งเราถามเค้าแล้ว เค้าบอกชาร์จได้
ว่าจะงีบหลับสักชั่วโมง แต่ก็นั่นแหละ หลับๆตื่นๆ
เพราะมาคนเดียว มันต้องคอยระแวง
พอพักเสร็จ ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 5 โมงครึ่ง เราหวังว่าออกไปข้างนอกแล้วอากาศจะเย็นขึ้น แต่ไม่เลย
ยังร้อนเหมือนเดิม
ร้อนจนมีรถดับเพลิงมาฉีดน้ำให้คนแถวนั้น
เราจะเดินไปดูแถวที่เค้าให้ชมดอกไม้ไฟ ซึ่งปีนี้เค้าจุดที่ National wwII ซึ่งอยู่ระหว่าง Lincoln Memorial และ Washington Monument
ตอนนั้นก็เริ่มมีผู้คนมาจับจองที่นั่งบ้างแล้ว โดยก่อนเข้าต้องผ่าน Security check ก่อน
ในระหว่างที่กำลังถ่ายรูป Washington Monument ก็มีผู้หญิงคนนึง เค้ามาจาก Virginia อายุ 35 แต่ดูเด็กมาก ทั้งหน้าตาและน้ำเสียงการพูด เค้าเดินมาขอให้เราถ่ายรูปให้
" Hi can you do me a favor "
เราก็ตอบ
" yes,sure "
แล้วเค้าก็บอกว่าเดี๋ยวเค้าจะถ่ายรูปให้เราเหมือนกันนะ เราเลยตอบว่า
" Ok it's a good deal haha "
หลังจากผลัดกันถ่ายรูปเสร็จเค้าก็ถามเราว่า
" ตอนเย็นรอดูดอกไม้ไฟด้วยกันไหม ไหนๆก็มาคนเดียวแล้ว จะได้ไม่เหงาด้วย "
เราก็ตอบตกลง ก็ดีเหมือนกันมีเพื่อนคุยไม่เหงา
ระหว่างรอเวลา พวกเราก็เดินไปที่ Lincoln Monument ซึ่งไกลพอสมควร พอไปถึงก็เห็นคนเยอะมากๆ มาจับจองที่นั่งดูดอกไม้ไฟ
Lincoln memorial
สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่อับราฮัม ลินคอร์น ประธานาธิบดีเมกาคนที่ 16 ผู้ริเริ่มให้เกิดการเลิกทาส โดยเสาดอริกแบบมีร่องทั้งหมดเป็นตัวแทนของรัฐต่างๆ ในช่วงที่ลินคอร์นเป็นประธานาธิบดี
อาคารแห่งนี้ถือเป็นสถานที่สำคัญเวลามีการชุมนุมทางด้านประวัติศาสตร์ รวมถึงเป็นสถานที่ในการกล่าวสุนทรพจน์ครั้งสำคัญ
เรากับเค้าก็ผลัดกันถ่ายรูป ตอนนั้นต่างคนต่างเหนื่อยมากเพราะอากาศร้อนและเดินมาไกล
เค้าก็ถามว่า
" อยากขึ้นไปดู Lincoln ไหม "
เราบอกไม่ต้องก็ได้ดูข้างล่างก็ได้ เค้าก็โอเคแล้วแต่เรา เพราะเค้าเคยมาที่นี่หลายครั้งแล้ว
แต่พอผ่านไปสักพักเค้าก็หันมาบอกเราใหม่ว่า
" ขึ้นไปดูเถอะ ไหนๆเราก็มาแล้ว มาทั้งที มันสวยนะ follow me follow me "
เราก็นึกในใจ เออหวะมาถึงทั้งทีจะไม่ขึ้นไปดู กลับไปคงเสียดายแย่
เราเดินขึ้นไปผ่านคนที่นั่งตามขั้นบันได พอขึ้นไปถึงก็เห็นรูปปั้น Lincoln ของจริงสวยงามมาก ยิ่งใหญ่ กว่าในรูป
รูปปั้นนี้มีความสูง 5.8 เมตรตั้งอยู่ด้วยความสงบแต่เวลามองไปที่รูปปั้นจริงๆแล้วดูมี
อำนาจมากๆ
เราเดินออกจากข้างในหันไปเห็นวิว Washington Monument
เค้าเลยอาสาถ่ายรูปให้
พอเราดูรูปที่ถ่ายออกมาละสวยดี เราเลยบอกเค้าว่าชอบมาก เค้าก็บอก
" You know what I try hahaha I am a photographer ของ military "
เราอึ้งไปสักพักละก็บอกว่า
" cool มากเลย "
โดยสระน้ำนี้เป็นฉากในหนังเรื่อง Forrest Gump ฉากที่เจนนี่กับฟอร์เรสต์วิ่งมากอดกันกลางสระ ท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้คนนับแสนคนที่ออกมาต่อต้านสงคราม
เราสามารถเลือกวิวที่จะดูดอกไม้ไฟได้เช่น Lincoln Memorial, Washington Monument หรือไม่ก็ Capital hill ซึ่งแต่ละจุดจะให้วิวที่สวยงามต่างกัน
ส่วนเราเลือกที่จะดูตรง Washington Monument เพราะเราคิดว่าตอนดอกไม้ไฟจบ คนต้องเยอะมากแน่ๆ เราเลยจะอยู่ที่ที่มันใกล้สถานี metro ที่สุด
ระหว่างทางเดินกลับไปที่ Washington Monument ก็คุยกันว่าทำไมถึงมาคนเดียวกันล่ะ เราก็ตอบไปว่า
"I want to spend time travelling as much as I can because I don't know when the next time i will be in USA "
เค้าก็ตอบกลับมาว่า
" yes you know what life is too short and you don't know when you will die, sometimes i can't find someone who comes with me i just go alone you can make a new friend anywhere you go "
เราฟังเค้าเสร็จก็รู้สึกมีกำลังใจในการเที่ยวคนเดียวเพิ่มขึ้นไปอีก ว่าเอ้อ
' เราไม่ใช่คนเดียวที่เที่ยวคนเดียวนะ '
ระหว่างทางเดินไป Washington Monument ก็ผ่าน
Viernam Veterans Memorial
เป็นอนุสรณ์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารอเมริกันที่สูญเสียชีวิตในสงครามเวียดนาม
เราเลือกนั่งกันตรงนี้เลย ใกล้ Washington Monument สุดๆ จะเห็นว่าของจริงอนุสรณ์นี้ใหญ่มากๆ
บรรยากาศก่อนโชว์จะเริ่ม
เวลา 3 ทุ่ม แล้วแต่พลุยังไม่เริ่มจุด มันเลทไปประมาณ 10 นาที ในใจก็อยากให้มันรีบจุด เพราะเราจะได้กลับบ้านไม่ดึกมาก เกรงใจ Ken และ Marita
เวลาตอนมืดๆนี่ เพิ่งรู้ว่าแถวนี้มียุงเยอะเหมือนกัน อย่างที่ Nicole เคยบอกเราก่อนมา
โชคดีที่เพื่อนเราเตรียมยากันยุงมา เค้าก็แบ่งเราใช้
ในที่สุดพลุก็เริ่ม
พลุสวยงาม อลังการมาก คนที่นั่นก็เฮลั่นตลอดโชว์เลย
โดยรูปที่เราได้จะมี Washington Monument ติดมาด้วย เราชอบวิวนี้นะ
โชว์มีประมาณ 15 นาทีก็จบแล้ว พอโชว์จบเรากับเพื่อนก็รีบมุ่งตรงออกไปทันที
ตรงทางออกจะมีตำรวจคอยช่วยเหลือบอกเส้นทาง น่ารักมาก เราก็ไปถามเค้าให้ชัวร์ว่าทางไป metro ทางนี้ใช่ไหม
ตอนนั้นคนเยอะมาก เราบอกลาเพื่อนที่เพิ่งเจอวันนี้
" nice to meet you goodbye "
เค้าก็ตอบกลับมา
" nice to meet you too, take care "
โชคดีที่ได้มาเจอเค้านะ เค้าก็มาคนเดียวเหมือนกับเรา ทำให้มีเรื่องคุยกัน มีคนถ่ายรูปให้ ตอนแรกนึกว่าจะต้องนั่งดูดอกไม้ไฟคนเดียวแบบเหงาๆซะและ ก่อนแยกย้ายเราก็มีการแลก contact facebook กัน
และเราก็รีบเดินไปสถานี metro
เราหันหลังกลับไปมอง Washington Monument ในยามค่ำคืน
มันสวยงามมาก พร้อมกับมีเสียงเพลงจากกลุ่ม chorus เพลงเพราะ ได้บรรยากาศมาก
รู้สึกใครมากันเป็นคู่นี่น่าจะโรแมนติกสุดๆ
ตอนนั้นพอไปถึงสถานี metro จำได้ว่ามันแทบจะระเบิดแล้วอะ
คือคนมันเยอะมากๆ
โชคดีที่เรามาคนเดียว ไม่ต้องรอใครเลยทำให้ไปถึงเกทเร็วหน่อย
ถ้าขบวนไหนว่างคนจะเฮลั่น
ขบวนไหนคนเยอะคนจะโห่
ฟีลลิ่งเมกันโคตร
และเราก็ได้ขึ้น metro นั่งเกือบ 50 นาทีเพราะ Springfield มันอยู่สุดสาย
คนที่นั่งข้างๆก็ชวนคุยนู่นนี่บ้าง พอเห็นว่าเรามาคนเดียวเค้าก็ชม
พอถึง Springfield ก็โทรบอก Marita และ Ken เราออกไปจากสถานี เจอทั้งคู่ยืนรออยู่แล้ว ระหว่างทางก็เล่าให้เค้าฟังว่าวันนี้เจออะไรมาบ้าง
Ken ก็แซวว่า
" Nest, you did it you survive haha "
จากสถานี Springfield ขับไปบ้านแค่ 10 นาที
กลับไปถึงบ้านในเวลาประมาณห้าทุ่ม พอเข้าไปรู้สึกตะลึงนิดหน่อยเพราะบ้านสวย หรู มีการออกแบบที่ดีมากๆ
ตามผนังก็มีรูป Nicole ติดไว้ด้วย
ทางเดินลงไปห้องใต้ดิน
ห้องน้ำเหมือนโรงแรมเลย
ห้องนอนก็น่ารักมากๆ
ที่ชอบมากๆก็สวนหลังบ้านเนี่ยแหละ โคตรสวยเลย
ส่วนนี่เป็นภาพตัวบ้านจากด้านนอก
พอเข้ามาถึงในบ้านMarita ก็หาของให้กิน ถามว่าหิวไหม เค้าเลยทำแซนด์วิชให้
พร้อมพูดถึงว่า " พรุ่งนี้เราอยากจะไปไหน ชั้นว่างชั้นไปส่งได้นะ "
เราเลยบอกโปรแกรมเราว่า
" พรุ่งนี้ตอนเช้าอยากไปแถว white house แล้วเดี๋ยวช่วงบ่ายจะไปเมือง Alexandria เป็นโปรแกรมทัวร์ที่จองไว้ ชื่อ D.C.by foot เป็น walking tour 2 hours "
พอเราบอกโปรแกรมเสร็จ Ken ก็บอกว่า
" Tomorrow, I will drop you off around the Whithe house and I will pick you up at Springfield in the evening "
ในขณะที่กินอาหารตอนเกือบๆเที่ยงคืนในใจก็พลางคิดไปว่า
วันนี้ยังแทบไม่ได้กินอะไรเลย แถมไม่รู้สึกหิวด้วย เหมือนในใจคิดแต่จะต้องเที่ยวให้ครบจนลืมไปเลยว่าตัวเองต้องกินข้าวนะ
นึกแล้วก็ขำตัวเอง
ระหว่างที่นั่งคิดเรื่องราวที่ผ่านมาในวันนี้ ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แม่โทรมาบอก
" อยากจะขอบคุณพ่อแม่โฮสที่ช่วยเหลือเรา "
เราเลยยื่นโทรศัพท์ไปให้ Marita พร้อมเปิดลำโพง แม่ก็บอก
" Thank you for helping my daughter if you go to Thailand, you can stay in our house "
Ken ก็ได้ยินหันมายิ้มให้
หลังจากกินแซนด์วิชเสร็จ ก็กลับเข้าห้องเรา
ตอนนั้นเวลาเกือบตีหนึ่งแล้ว เราเหนื่อยนะยังไม่ได้นอนตั้งแต่มาจาก Portland
แต่ไม่ยอมนอนสักทีมัวแต่นอนดูรูปที่ถ่ายมาวันนี้ พร้อมกับคิดว่าเราทำมันได้จริงๆหรอ
ประมาณว่ารอดตายมาได้นะ ไม่คิดเลยว่าจะทำได้ เป็นความภูมิใจตัวเองนิดๆ
เล่นไปเล่นมาเกือบจะตีสองแล้วคงต้องนอนแล้วหละ พรุ่งนี้ต้องใช้พลังงานเยอะอีก
ตื่นเช้ามาวันนี้รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่นิดๆ หมายถึงร่างกายนะ
แต่จิตใจนี่ พร้อมเที่ยวมาก
กินข้าวเช้า มองออกไปที่วิวนอกหน้าต่าง ได้บรรยากาศมาก
เราออกจากบ้านเวลาเก้าโมงครึ่งระหว่างทางเราถาม Ken เกี่ยวกับเรื่องบ้านเค้าว่าทำไมสวยจัง Ken ก็บอก
" Marita เป็นคนออกแบบเองไรเอง เลือกสีเอง ส่วนชั้นเองเป็นคนลงมือทำ I did it by myself ก่อนหน้านี้บ้านนี้ดูรกร้างมากเหมือน ghost house เลย แต่เพราะพวกเราช่วยกันทำ renovate บ้านหลังนี้ขึ้นมาใหม่ มันถึงได้ออกมาดูดีอย่างที่เห็นตอนนี้ "
เราเลยถามเค้าว่า
" ได้ hire any worker ไหม "
Ken ก็บอก
"No, it's my home I can do it by myself, there is no need to hire a worker"
เราฟังเสร็จก็รู้สึก โหว ชื่นชมในความคิดเค้ามากๆ ที่พึ่งตัวเอง และช่วยกัน renovate บ้านเอง
นั่งรถออกจากบ้านไปได้ประมาณ 20 นาทีกว่าๆ ก็ถึง แถว white house
ช่วงนั้นยังมีถนนบางเส้นที่ปิดอยู่ มีตำรวจยืนประจำในบางจุด เราต้องเดินไป white house เอง
เดินไปสักพักก็ถึงแล้ว
The White house
รู้จักกันดีเพราะเป็นที่ทำงานและที่พักอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีเมกา
โดยผู้ออกแบบได้แรงบันดาลใจจาก Leinster House เมืองดับลิน ประเทศไอร์แลนด์
เราสามารถชมได้บริเวณข้างนอกเท่านั้น เค้ามีรั้วกั้นเอาไว้ ของจริงดูขาวสะอาดมาก สวยงาม
มุมนี้เป็นทำเนียบขาวฝั่งทิศเหนือ
บรรยากาศแถวๆนั้น บ้านเมืองดูสะอาด ตึกสวย ยิ่งใหญ่สมกับเป็นเมืองหลวงเมกาจริงๆ
เดินออกมาจาก white house ได้ไม่นานก็เห็นร้าน white house gift shop ตอนแรกกะแวะเข้าไปตากแอร์ดูของเล่นๆ แป้บนึงละออกมา ที่ไหนได้อยู่ไป 45 นาที ดูของฝากให้คนรู้จัก ของในนั้นสวยดี เช่น มีตุ๊กตาประธานาธิบดีทุกคน น่ารักดี
พออกมาจากร้าน ก็ดูนาฬิกา เหลือเวลาเดินเที่ยวแถวนี้ประมาณชั่วโมงนึงก่อนเดินทางไป Alexandria
เราเลยเปิด map ดูว่าไปไหนดี ไปสะดุดที่คำว่า Christmas national tree เราเลยตัดสินใจไปที่นี่ละกัน เดินไปประมาณ 10 นาที
เสร็จแล้ว เริ่มรู้สึกอยากเข้าห้องน้ำล้างหน้าหน่อย เพราะอากาศร้อนมาก เดินไปจะเข้าห้องน้ำแถวนั้น เค้าก็ติดป้ายว่าปิด
ให้ไปเข้าที่ white house visitor center แทน
เราเลยเดินไปที่นั่นแค่ 3 นาทีก็ถึง ก่อนเข้าก็มีเครื่องเอ็กซเรย์ตรวจก่อน เรากะว่าจะไปเข้าห้องน้ำเฉยๆ แต่พอเข้าไปข้างในเห็นว่าทุกอย่างถูกจัดให้มีระเบียบ สะอาดตา สวยดี เราเดินเล่นตากแอร์ข้างในนิดหน่อย
แม้กระทั่งทางเข้าห้องน้ำยังสวยขนาดนี้
ทางเข้าห้องน้ำ
พอออกจาก white house visitor center เราก็รีบมุ่งหน้าไปสถานี metro เพื่อไป Alexandria
อย่างวันนี้บัตร metro ก็เปลี่ยนลายไปแล้ว ไม่ใช่ลายวันชาติอเมริกาอย่างเมื่อวาน
(ติดตามเรื่องราวการเที่ยวที่Alexandria และ Georgetown ได้ในรีวิวhttps://th.readme.me/p/19465)
Nali
วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.03 น.