Granada
เนื่องจากครั้งนี้เป็นการมาเที่ยวสเปนครั้งที่สองของเรา และหากว่าการมาเยือนสเปนครั้งที่แล้ว เซบีย่าคือเมืองในแคว้นอันดาลูเซียที่เราประทับใจอย่างมาก ครั้งนี้ กรานาดา อีกหนึ่งเมืองในแคว้นอันดาลูซียก็ทำให้เรามีความทรงจำที่ดีให้กับแคว้นนี้ไม่แพ้กัน
เราออกเดินทางจากสถานีรถไฟ Atocha รอบ 7.24 น. ใช้เวลาเดินทางประมาณสามชั่วโมงกว่าๆ ซึ่งถือเป็นการนั่งรถไฟความเร็วสูงที่ยาวนานที่สุดในการเที่ยวครั้งนี้เลย
รถไฟพาเรามาถึงเมืองกรานาดาเวลา 10.54 น. ตอนแรกลังเลว่าจะกลับรอบบ่ายสามหรือทุ่มนึงดี
ถ้ากลับดึกก็กลัวอันตราย ถ้ากลับเร็วก็กลัวได้เที่ยวน้อย สุดท้ายก็เลือกกลับรอบทุ่มนึง ซึ่งจะกลับมาถึงมาริดห้าทุ่มเนี่ยแหละ เอาหน่า มาเที่ยวทั้งทีกลับดึกก็ดึกวะ!
กรานาดา เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใกล้เทือกเขา Sierra Nevada เมืองกรานาดาเริ่มเจริญตอนที่ชาวมุสลิมมาพิชิตสเปนในสมัยก่อน เมื่อครั้งที่ชาวคริสต์เชื้อสายสเปนตีเมืองกอร์โดบา เมืองหลวงของอาณาจักรมุสลิมในสเปนแตก ทำให้ย้ายมาที่กรานาดาแทน แต่ในตอนหลัง กราดาไม่สามารถต้านชาวสเปนไหว ต้องยอมแพ้ ชาวเมืองกรานาดาที่ไม่ใช่ชาวคริสต์หลายคนเลือกที่ย้ายออกแทนการที่ต้องเปลี่ยนศาสนา นับจากนั้นเป็นต้นมา ภายใต้การปกครองของอาณาจักรสเปนกรานาดาถูกเปลี่ยนกลับป็นเมืองคริสต์หลังจากที่เป็นมุสลิมมานาน สิ่งหนึ่งที่บ่งบอกได้คือการที่โบสถ์ต่างๆ เริ่มเข้ามาแทนที่มัสยิด
เราเดินออกมาจากสถานีรถไฟ เพื่อไปขึ้นบัสไป Alhambra สถานที่ชื่อดังที่ต้องติดอยู่ในลิสต์ที่ที่ห้ามพลาดเมื่อมาถึงกรานาด้า
รถบัสมาจอดที่โบสถ์ เพื่อให้ลงไปเปลี่ยนขึ้นบัสอีกคัน แต่เราสังเกตเห็นว่าทำไมตรงจุดนี้มีคนเยอะจัง หันมองเข้าไป เอ๊ะนี่มันโบสถ์ นี่นา ไม่ได้แพลนมา เราเลยเดินลงไปชมสักหน่อย ถือว่าได้ที่เที่ยวเพิ่มแล้วกัน
Cathedral de Granada เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิก สไตล์ Renaissance, Baroque ที่เพิ่งถูกสร้างในศตวรรษที่ 16 ถูกสร้างขึ้นในเขตที่เคยเป็นมัสยิดเก่าแก่ เมื่อตอนที่พวกชาวมุสลิมเคยมาปกครองพื้นที่แถวนี้
เราไม่ได้เข้าไปชมข้างใน เพียงเดินชมวิหารภายนอกที่มีเสาใหญ่อลังการ เราเงยหน้ามองขึ้นไปเห็นส่วนบนของวิหารที่ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเห็นวิหารที่เซบีย่า รู้สึกมันมีความอันดาลูเซีย 100 เปอร์เซ็นต์มาก แถมตอนนั้นท้องฟ้าก็มีก้อนเมฆสีขาวลอยผ่าน แถมมีเส้นขาวๆ พาดผ่านลงมา ให้ความรู้สึกขลัง
หลังจากเดินชมภายนอกของโบสถ์เสร็จ เราก็เดินไปขึ้นบัสเพื่อไป Alhambra มันจะเป็นรถสาย C จอมอนิเตอร์หน้ารถเขียนว่าไป Alhambra มีคนมายืนต่อคิวประมาณหนึ่ง เรายืนรอสักพักให้ถึงเวลารถออก สูดกลิ่นบุหรี่แรงๆ ของคนข้างๆ ไปประมาณสองนาที ประตูรถบัสก็เปิดออกให้เราขึ้น ที่จริงมันเป็นมินิบัสคันเล็กๆ มีที่นั่งไม่เยอะมาก
รถขับขึ้นเนิน วกวนเลี้ยวลัดเลาะไปตามระดับความชันที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ระหว่างข้างทางก็เป็นบ้านคน ตึก ต่างๆ สวยงาม และเริ่มเห็นวิวมากเรื่อยๆ เมื่อขึ้นมาสูงขึ้น เราพยายามจะถ่ายรูปผ่านกระจกรถบัสแต่ก็ไม่ทัน
รถไปจอดหน้า Alhambra เราไปถามพนักงานว่าซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้ามาแล้วให้ไปทางไหน เขาชี้ให้เราไปตรงคนเยอะๆ ตรงจุดนี้จะมีแถวแยกว่ามาเดี่ยวหรือมากรุ๊ป พอถึงคิวพนักงานก็ตรวจพาสปอร์ต
พระราชวัง Alhambra เป็นสถานที่ที่ยืนยันความยิ่งใหญ่ เจริญรุ่งเรืองของชาวมุสลิมที่เคยปกครองได้อย่างชัดเจน อย่างราชววงศ์ Nasrid ที่ปกครองมายาวนานกว่า 250 ปี
พระราชวังแห่งนี้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ Alcazaba, Nasrid palce, Palace of Charles V, Genaralife
เข้าไปถึงข้างในเป็นทางเดินต้นสนสูงใหญ่เป็นระเบียบ เราว่าจะเริ่มจาก Nasrid palce ก่อน เพราะจองไว้รอบ 13.00 น. เราเดินไปกลับไปถาม พนักงานบอกว่า ให้เดินตรงไปแล้วเลี้ยวซ้าย เราทำตาม ก็เจอป้ายชี้ไป Nasrid palce
ตอนแรกๆ เหมือนคนจะเดินตามแถวไปเรื่อยๆ ตามๆ กัน พอหลังๆ แต่ละคนเริ่มกระจัดกระจายถ่ายรูปแต่ละมุมที่ตัวเองชอบ
เราเดินไปเจอที่ให้รอคิวเข้าปราสาท เราจองมารอบบ่ายโมง ตอนนั้นเที่ยงครึ่ง พนักงานเลยไล่ให้กลับไปก่อนแล้วค่อยมาต่อใหม่ ระหว่างนั้นก็ไปถ่ายรูปวิวเมืองข้างๆ
การเข้าชมต้องจ่ายค่าเข้าเพิ่มเติม และจองรอบด้วย เพราะเขาจำกัดจำนวนคนเข้าในแต่ละครั้ง
เมื่อถึงเวลาใกล้บ่ายโมง เราก็เข้าไปในปราสาท พนักงานทำท่าแล้วชี้มาที่กระเป๋าหลังเรา เราก็งง สรุปคือเขาให้เอามาสะพายข้างหน้า เดี๋ยวมันโดนภายในปราสาท
ในความรู้สึกเราถ้ามองจากภายนอกแล้ว ตัว palace ไม่ได้หวือหวามาก แต่เมื่อได้ลองก้าวขาเข้ามาข้า
ในแล้ว หันมองไปทางไหน ทุกอย่างก็สวยงามไปหมด
.…นี่เป็นสถานที่ที่กษัตริย์ชาวมัวร์เคยพำนัก
ภายในแบ่งเป็นสามโซนหลักๆ คือ
1.The Mexuar เพื่อการบริหารงานยุติธรรมและกิจการของรัฐ
2.Palacio de Comares เป็นที่ประทับของกษัตริย์ อย่างเป็นทางการ
3.Palacio de los Leones เป็นพื้นที่ส่วนตัวของทางพระราชวัง
โซนต่างๆ นั้นไม่ได้แตกต่างกันแค่เพียงว่าใช้สำหรับทำอะไรเท่านั้นแต่ศิลปะก็ไม่เหมือนกันอีกด้วย อย่าง Palacio de Comares ก็ตกแต่งแบบมุสลิมปกติ ในขณะที่ Palacio de Comares ได้รับอิทธิพลจากทางคริสเตียน
เดินออกมาทะลุที่ไหนไม่รู้เลยนั่งพัก หยิบกล้องมาตั้งถ่ายรูป ตรงนี้คนไม่แน่นดี มีคนเดินผ่านไปมา เป็นระยะๆ เห็นว่ามีคนสองคนนั่งอยู่ที่ม้านั่งถัดไป รู้สึกอุ่นใจ เลยถ่ายรูปและนั่งพักนานหน่อย ก่อนจะเดินไปอีกฝั่ง
เมื่อขึ้นมาเรื่อยๆ จะเห็นวิวพระราชวังที่สวยงาม ถ่ายรูปยังงภาพก็สวยไปหมด
มาถึงสวน Generalife ตอนเราเดินถึงแม้จะเหนื่อยแต่ก็รู้สึกสงบ อาจเพราะได้เห็นสวนที่มีน้ำพุหินที่สวยงาม พุ่มไม้และช่องทางน้ำที่ถูกสร้างไว้อย่างลงตัว
ความจริงมีอีกส่วนคือ Alcazaba เป็นส่วนที่เก่าแก่ที่สุดของป้อมปราการและมีตำแหน่งที่ดีที่สุดบนเนินเขาที่สามารถมองเห็นเมืองได้ ระหว่างเดินทางไปอัลคาซาบา ถ้าเดินไปบนยอดหอคอยเพื่อชมปลาซา นูวา, อัลเบซิน และภูเขาเซียร์ราเนวาดาที่อยู่ไกลออกไป แต่เนื่องจากตอนนั้นเราเหนื่อยและหมดแรงมากแล้ว เลยเดินหาทางออก
เราอยากเจอป้าย salida (ทางออก) มาก เพราะเหนื่อยเดินไม่ไหว
ตอนเจอดีใจมาก ที่การเดินทางในเขาวงกตได้จบลง
เห็นป้ายชี้ next visit กับ salida ฉันไม่ไหวกับ next visit แล้ว ฮ่าๆ
จากการได้มาเยือน Alhambra เพียงสามชั่วโมงในวันนี้ ก็ทึ่งกับสถาปัตยกรรม ไม่ใช่แค่พระราชวัง แต่เป็นอาคารที่ถูกออกแบบอย่างซับซ้อน มีป้อมปราการ แนวเสา กระเบื้องทาสี จารึกภาษาอาหรับ สระน้ำที่สะท้อนแสงแดดที่จ้าตอนกลางวัน มีน้ำพุในสวน และยังมีสถาปัตยกรรมทางมัวร์ อย่างซุ้มเกือกม้าหน้าต่างและช่องละหมาดสไตล์อิสลาม
บอกเลยว่าถึงแม้แทบจะเดินจนหมดแรง แต่ก็คุ้มค่าถือว่าได้มาเห็นสถาปัตยกรรมสไตล์อิสลามแท้ๆ ที่แม้จะตั้งอยู่ในสเปน เป็นการอยู่ร่วมกันของตะวันตกและออกอย่างลงตัว
เดินออกมาข้างนอกเห็นมีร้านอาหารแต่ไม่ได้ซื้อ คิดว่าเดี๋ยวค่อยลงไปซื้อในเมือง
ที่เหลือของวันนี้ เราว่าจะไป albacin ตามที่พี่หนอนส่งลิงก์มา
เรารอรถบัสข้างหน้า ตอนที่บัสรอบแรกมา เราขึ้นไม่ทัน เลยนั่งรอไปเกือบยี่สิบนาที ถือว่าได้นั่งพักด้วย
ก่อนที่จะมีกลุ่มชาวยุโรปมายืนรอ พอบัสมาเราก็กำลังจะขึ้น ผู้ชายคนหนึ่งก็ชี้ให้เราไปต่อคิว “go que”
เราก็บอกว่าเรามารอตรงนี้ก่อนพวกคุณอีกนะ จนเพื่อนผู้หญิงที่มาด้วยก็บอกว่าใช่ๆ ฉันเห็นเธอมาก่อนพวกเราอีก ผู้ชายอีกคนก็ยิ้มให้และทำท่าหลบให้เราไปก่อน
จอมอนิเตอร์ข้างหน้ารถบัสเขียนว่าไป albacin ตอนอยู่ในรถได้ยินคนพูด albacin ไม่รู้ได้ยินผิดไหม แต่ก็งงทำไมต้องลงป้ายแล้วเดินต่อตั้ง 12 นาที ตามแมพที่พี่หนอนส่งมา ทำไมไม่นั่งให้สุดสายไปเลย แต่ก็เชื่อพี่หนอน เลยลงรถไป คือคิดว่า Albacin น่าจะเป็นชื่อย่าน ที่มีตึกขาวๆ แบบรูปที่เห็นจากอินเตอร์เน็ต ตอนนี้ก็เห็นตึกขาวๆ แล้วนะ ทำไมต้องเดินไปอีก 12 นาที ไม่รู้ว่าจะไปเจออะไร เดินไปเรื่อยๆ ทางเริ่มไม่มีคน แต่ยังดีที่มันเป็นช่วงกลางวันแสกๆ ได้เดินเจอร้านอาหารบ้าง
เดินไปบางตอนก็ได้ยินเสียงดังๆ มองเข้าไปน่าจะเป็นบาร์ เห็นคนแน่นๆ มีเสียงเพลง
เมื่อเดินมาเจอทางแยก เราลังเลว่าจะไปทางไหนดี
เลยเดินตามผู้หญิงคนหนึ่งไป จนเจออีกแยก เธอค่อยๆ เดินจากไป
เหลือเราเดินต่อคนเดียว
ทำไมยังไม่เจอ ไอ้ 12 นาทีที่ว่านี่ มันจะพาเราไปเจออะไรกันแน่
เดินไปจนถึงทางที่เป็นเนิน โล่งๆ เห็นไกลๆ มองขึ้นไปไกลๆ เห็นว่ามีคนนั่งห้อยขาชมวิว คิดว่าอาจจะเป็นกรุ๊ปคนยุโรปเมื่อกี๊เห็นว่าจะไป Albacin พลางนึกในใจ ทำไมไม่นั่งบัสไปต่อกับพวกเขา จะรีบลงทำไม แต่ก็นะ ไหนๆ แล้ว เดินต่อไปเรื่อยๆ แล้วกัน
แดดก็ร้อน ของที่แบกมาก็หนัก ดันใส่เสื้อแจ็กเก็ตหนังมาให้ลำบากอีก นี่กำลังทำอะไรอยู่วะ
เริ่มมองลงไปเห็นวิว รู้สึกตัวเองขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ แม้จะทำให้เห็นวิวที่สวยงามแต่มันก็แฝงไปด้วยความกลัว อาจเพราะมาคนเดียวและมันก็ค่อนข้างเปลี่วยว โชคดีที่เห็นฝรั่งสองคนเดินอยู่่ข้างหน้าทำให้รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
ตอนเป็นทางเนินทรายเราเดินแทบไม่ไหว เลยเบี่ยงไปเดินตรงหญ้าให้มีที่เกาะ กลัวลื่น มือเริ่มก้มไปโดนหญ้าบ้าง ข้างหลังมีกลุ่มผู้ชายวัยรุ่นตามมา แอบเขินนิดหน่อย เพราะเขาดูเดินอย่างชิลล์ ส่วนเราเก้ กังๆ เลยหลีกทางให้เขาไปกันก่อน
และในที่สุดก็ขึ่นไปถึงจุดชมวิว ไม่ใช่คนกรุ๊ปทัวร์ เห็นแต่คนมาสเก็ตภาพโคตรเท่
สักพักมีแทกซี่วิ่งมาจอด คนเอากล้องมาถ่ายรูปแบบโปรๆ มีขาตั้งกล้องด้วย
เรานั่งห้อยขาอยู่ไม่นาน เพราะลึกๆ แอบพะวง เหมือนตอนนี้มาอยู่ส่วนไหนของกรานาด้าก็ไม่รู้ แต่ก็ตะลึงกับวิวตรงหน้า มองลงไปเห็นสองคนเริ่มเดินกลับ เลยอยากเริ่มบ้าง พอมองลงไปทางซ้ายเห็นภูเขา เลยลงไปตรงนั้น มีกำแพงกั้น
เราตั้งกล้องถ่ายตัวเองไม่นานมาก เห็นคนแอบมองจากข้างบน อายๆ
และนี่คือวิวที่ได้เห็นหลังจากอุตส่าห์เดินขึ้นมาตั้งไกล มันดูเป็นจุดที่ไม่ได้มีนักท่องเที่ยวมาก วิวที่เห็นก็กว้างใหญ่ เห็น Alcazar จากไกลๆ ก็งดงามไปอีกแบบ พลางคิดว่าเมื่อกี้เราก็เพิ่งได้ไปเดินอยู่ใน Alcazar นี่นา
แถมยังได้เห็นฉากภูเขาข้างหลังกำแพง แต่พอกลับมาที่ไทยก็แอบหงุดหงิดตัวเองที่ทำไมไม่ข้ามกำแพงไปถ่ายรูปดีๆ วะ
หลังจากนั้นก็ว่าจะกลับไปแถวสถานีรถไฟ ไปหาอะไรกิน แต่จากแมพส์ไม่มีบัสจากตรงนี้ ทำให้ต้องเดินกลับทางเดิม ตอนนี้สี่โมงแล้ว เอาวะ เดินก็เดิน เราเดินกลับทางเดิมด้วยความรู้สึกงงๆ ว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ ทางเดินมันเหมือนมีพื้นให้เดินง่ายๆ กว่าขามา ผ่านซอย ออกไปเจอถนน ดันเลี้ยวซ้ายผิดอีก ต้องเลี้ยวขวา แล้วค่อยมาเจอกับถนนใหญ่ไปนั่งรอบัส ในใจดีใจที่จะรอดแล้ว
มีตอนนึงรถวิ่งผ่านจุด view point ที่เป็น Alhambra มี ภูเขา เป็นฉากหลัง เสียดายมันควรมาถ่ายตรงนี้ป่าววะ
แต่ก็นะ อย่างน้อยระหว่างทางก็ได้เจอประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครดี หมายถึงลำบากดีน่ะ ฮือๆ
สุดท้ายพอกลับมาหาข้อมูล จริงๆ แล้ว Albacin เป็นชื่อ ‘ย่าน’ เป็นย่านที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองกรานาดา ชาวมุสลิมเคยปกครองและสมัยก่อนชาวอาหรับก็เคยอยู่
และจุดที่เราไปชื่อ
แต่ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่มักจะมาถ่ายรูปที่จุดนี้ มากกว่า
ลงบัสเจอร้านช็อกโกแลตใก้ลๆ สั่งไวท์ช็อกร้อนไป แต่พนักงานบอกหมดแล้ว เลยสั่งช็อกโกแลตมินต์แทน สี่ยูโรกว่า เสร็จแล้วก็แวะเข้าห้องน้ำเรียบร้อยก่อนเดินไปหาร้านอาหาร เราเดินไปกลับผ่านร้านช็อกโกแลตสามรอบ
แล้วก็พยายามเดินไปถ่ายวิวภูเขา แต่แปลก ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งไม่เห็น
เราแวะเดินสวนสาธารณะแล้วออกมา ตอนกำลังถ่ายรูป อยู่ๆ กระเป๋าเป้ที่แบกมาก็ส่งสัญญาณว่าไม่ไหวแล้ว ซิปค่อยๆ แหก บ่งบอกว่าห้าวันที่ผ่านมาใช้งานอย่างหนักสินะ เลยต้องเดินอุ้มประเป๋ากลับสถานีรถไฟใจหนึ่งอยากเดินกลับไปถ่ายวิวภูเขาหลังเมือง แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีข้าวตกถึงท้อง เลยเดินไปแถวสถานีรถไฟเพื่อความอุ่นใจ ที่เดินผ่านมา ส่วนใหญ่ร้านอาหารเย็นยังไม่เปิด บางร้านราคาก็แรง เห็นร้านอาหารญี่ปุ่น ตรงหน้าสถานี เดินไปใกล้ก็ปิด
ตอนสุดท้ายเลยตัดสินใจเดินเข้าร้านคาเฟ่ขายคุกกี้กาแฟ เดินเข้าไปก็ได้วะ ไม่รู้จะกินไรแล้ว
เราทำหน้าน่าสงสารบอกว่า ร้านอาหารยังไม่เปิด แล้วถามว่ามีอาหารไหม พนักงานเปิดตู้เย็นให้เลือก มีแซลมอน คามอน ให้เราชี้เลือกเองเลยว่าอยากกินอะไร ตอนสุดท้ายก็ให้เราชี้เลือกชนิดขนมปังด้วย เราเลือกน้ำโซดาแอปเปิล ทังหมดสี่ยูกว่าเค้าคิดถูกมาก ประทับใจพนักงานสาวคนนี้เสียจริง
ไปสถานีรถไฟ แวะถ่ายรูปภูเขานิดหน่อย แอบกลัวเพราะเมื่อบาเลนเซียเกือบตกรถไฟ
เดินทางนานมากสามชั่วโมงกว่า ห้าทุ่มยังอยู่บนรถไฟกลับมาดริด เหนื่อยมาก
แต่ก็ถือว่าใช้เวลาได้คุ้มค่า เป็นอีกครั้งที่เมืองในแคว้นอันดาลูเซีย นอกจากเซบีย่าแล้ว กรานาด้าก็ทำให้เราประทับใจมากเช่นกัน
Nali
วันอาทิตย์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 13.55 น.