สำหรับคนที่มาเที่ยวบาร์เซโลน่าแล้ว อยากจะหลบหนีความวุ่นวายจากเมืองไปสูดอากาศธรรมชาติสักหน่อย
ถ้าอย่างนั้นแล้วภูเขา Montserrat น่าจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก อาจจะใช้เวลาเที่ยวรวมเดินทางไปกลับสัก 4-5 ชั่วโมง ก็ประมาณครึ่งวันสบายๆ แล้วค่อยกลับมาเก็บที่เที่ยวในบาร์เซโลน่าต่อ
การเดินทางสามารถไปขึ้นเมโทรได้ที่สถานี Plaza de Espana ใจกลางเมืองบาร์เซโลน่า เมื่อลงไปแล้วจะเห็นป้ายชี้ไป Montserrat แบบนี้ เราก็เดินตามไป
ลงบันไดเลื่อนไปจะเจอตู้ซื้อตั๋ว ตอนนั้นพนักงานเห็นว่าเรางมอยู่นาน เลยเดินมาช่วย
เลเธอบอกว่าวิธีการเดินทางหลักๆ มีสองวิธี
-นั่งเมโทร สาย R5 ไปลงสถานี Aeri de Montserrat แล้วต่อกระเช้า (cable car)
-นั่งเมโทร สาย R5 ไปลงสถานี Mnistrol de Montserrat และต่อรถราง
ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเลือกวิธีแรกเพราะจะได้เห็นวิวตอนขึ้นกระเช้าด้วย
แน่นอนเราก็เลือกวิธีแรกเช่นกัน เราเลยบอกพนักงาน และขอซื้อตั๋วแบบไปกลับเลย ราคาทั้งหมด 23.5 ยูโร
นั่งเมโทร ประมาณ 50 นาทีก็ไปถึงสถานี Aeri de Montserrat เราก็เดินตามป้ายที่บอกว่าไป cable ตอนนั้นคนไม่มากนัก เราต่อคิวไม่นาน คนตรวจตั๋วขอดูบัตรที่เราซื้อมาแล้วปั๊มตรา
แต่ถ้าใครไม่ได้ซื้อมาก็สามารถไปซื้อได้ที่เคาน์เตอร์ข้างใน
กระเช้ามาแล้ว จะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลและตามเข้าไปคุมความเรียบร้อยในนั้นด้วยหนึ่งคน
ถ่ายภาพวิวและกระเช้าที่เคลื่อนสวนกับเราด้วย
ประมาณ 5 นาทีก็มาถึงฝั่งหุบเขาแล้ว เราเดินตามทางไปเลย
ระหว่างที่กระเช้าจะพาเราไปถึงหุบเขา Montserrat ก็ขอเล่าถึงข้อมูลของ Montserrat ให้ฟังกันเล็กน้อย
El Monasterio de Montserrat (อารามมอนท์เซรัท) เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธ์ สวยงาม และเต็มไปด้วยความพิเศษ เนื่องจากมีพระแม่มาเรีย La Moreneta ผิวสีดำที่หาชมได้ยากถูกซ่อนไว้ในซอกถ้ำของยอดเขา คือปกติพระแม่มาเรียปกติผิวจะเป็นสีขาว ทำให้เป็นหนึ่งในจุดหมายสำคัญของเหล่านักเดินแสวงบุญที่ครั้งหนึ่งในชีวิตอยากได้มาสักการะ ซึ่งรูปแกะสลักนี้ถูกคนพบจากคนเลี้ยงแกะที่ว่ากันว่าเกิดจากแสงนำทางที่ส่องมาตรงที่ท่านถูกซ่อน (เพื่อไม่ให้ถูกขโมยจากชาวอาหรับ) อยู่พอดี
วิวระหว่างทาง เป็นหุบเขาที่ยิ่งใหญ่ และสวยงามมาก แถมมีลมพัดตลอดเวลา เรียกว่ารู้สึกเย็นสบายกว่าตอนเดินสู้แดดที่บาร์เซโลน่าอย่างมาก
เนื่องจากเราค่อนข้างหิวมากเพราะนี่บ่ายโมงแล้วยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่ตอนเช้า เลยไปต่อคิวซื้ออาหารในร้านแถวนั้น เข้าไปก็พบว่าในตู้มีแต่แซนด์วิช ที่เราค่อนข้างจะเบื่อแล้วเนื่องจากกินมาแทบทุกวัน ณ โมเมนต์นั้นคือหยิบขนมคล้ายๆ เลย์ แต่มันขึ้นว่าใช้น้ำมันมะกอกทอด เห็นคนที่ต่อคิวอยู่ข้างหน้าซื้อกันใหญ่ เราเลยตัดสินใจยอมซื้อขนมมันฝรั่งมากินแทนแซนด์วิช
ความอลังการของอารามมอนท์เซรัท ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าหน้าผาที่มีรูปร่างแปลกตา
เราเดินผ่านตลาดขนม แล้วเห็นทางเดินชี้ไป เลยเดินตามไปนึกว่าเป็นทางไปโบสถ์ มันเป็นเหมือนทางเดินรอบภูเขาไปเรื่อยๆ เราเดินประมาณครึ่งชั่วโมงก็ไม่เจอโบสถ์อะไรเลย คนที่กำลังเดินนำอยู่ก็แต่งตัวเหมือนจะไปเดิน trek และแอบเห็นว่ามีบางคนก็เดินย้อนกลับมา
เราเลยหยุดและถ่ายรูปแถวนี้สักนิดนึง เราชอบบรรยกาศแบบที่สงบ ได้ยินเสียงนกร้อง ท่ามกลางอากาศที่มีลมเย็นๆ พัดมาปะทะหน้าให้ชื่นใจอีกด้วย
เราตัดสินใจเดินกลับออกมา แล้วเดินไปตรงลานกว้าง เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิว
จอนนั้นจำได้ว่ารุ่นพี่ที่เคยมาแนะนำให้ลองขึ้นรถรางไปบนยอดเขา จะได้เห็นวิวสวยๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งมันจะมีทางต่อรถรางไปบนยอดเขาอีก ให้เราเดินไปที่อาคารที่เขียนว่า Funiculars Saint Joan Santa เดินเข้าไปจะเจอลิฟต์ก็กดขึนไปเลย พอประตูลิฟต์เปิด เราก็พบว่า อ้าวเราก็ขึ้นบันไดมาได้นี่หว่า
เราเดินขึ้นเนินอีกเล็กน้อย เข้าไปถามราคารถรางขึ้นไป Saint Joan Santa ราคาไปกลับ 14 ยูโร
เราเลยไม่ได้ตัดสินใจขึ้นไป เนื่องจากมันใกล้วันท้ายๆ แล้ว เงินมันเกือบจะหมดแล้ว ฮ่าๆ
ขึ้นรถรางกลับ
สุดท้ายเราเพิ่งรู้ตัวว่าไม่ได้เข้าไปโบสถ์ไฮไลต์ของที่นี่เลย ทั้งที่เราก็เดินผ่านไปมาตลอดแต่ไม่รู้ว่านี่คือโบสถ์
แถมมัวแต่ไปเดินทางป่าที่เงียบๆ แบบงงๆ ถ้าจะไปปตอนนี้ก็อาจจะทำให้ขึ้นรถกลับบาร์เซโลน่าไม่ทัน เราเลยตัดสินใจขึ้นกระเช้ากลับไปอีกฝั่งเลย ไปรอรถไฟอีกสามสิบนาที
ถึงแม้ว่าการเที่ยววันนี้อาจจะดูค่อนข้างล่ะหลวมและเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่มันก็เมื่อได้มาเห็นธรรมชาติ มันก็เติมเต็มพลังเราได้เยอะเลย พร้อมที่จะกลับไปเจอความวุ่นวายในบาร์เซโลน่าต่อไป!
Nali
วันพุธที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 12.46 น.