โดยส่วนตัวแล้วการเขียนหนังสือนั้น ถือเป็นการจารึกประวัติศาสตร์อย่างหนึ่ง ที่มีความละเอียดมากกว่าการถ่ายรูปมาประกอบสักใบ เพียงแต่ว่ารูปภาพนั้นอาจเป็นการบรรยายเสริมเนื้อเรื่องที่เกิดขึ้นเพื่อให้เห็นรูปธรรมที่แท้จริงของหน้าประวัติศาสตร์ แต่ถ้าพูดถึงความยากแล้ว การจะเขียนบทความที่สวยงามนั้น ผู้บันทึกควรต้องทราบที่มาของสถานที่นั้นๆอย่างน้อยก็ประมาณ 80% ผมจึงสรุปได้ว่าถ้าเป็นการเขียนบทความใดๆถ้าหากมีการอ้างอิงถึง จะจัดว่าเป็นความยากพอสมควร
เกาะรัตนโกสินทร์ : ถือว่าเป็นแลนด์มาร์คของไทยที่เป็นที่ฝึกมือของช่างภาพที่เริ่มหัดถ่ายรูปใหม่ๆ มาหลายยุคหลายสมัย เราก็เช่นเดียวกัน สมัยก่อนก่อนที่จะมีกล้องดิจิตอลเล็กน้อย เราได้กล้องฟิลม์ Nikon F401 มาเพื่อถ่ายรูปเล่นเพื่อความสนุกเท่านั้น โดยสถานที่ฝึกฝีมือก็บริเวณพื้นที่แถวนี้นั่นเอง เนื่องจากว่าเป็นสถานที่ที่สวย งดงาม เดินทางสะดวก งบประมาณเพื่อมาลองวิชาไม่สูง ไม่ต้องเดินทางไกลๆ ฉะนั้นที่นี่จึงเสมือนเป็นอดีตที่สวยงามของคนชอบถ่ายรูป
วันที่ถ่ายรูป 4 สิงหาคม 2561 รู้สึกว่าจะเป็นวันพระด้วย เราเดินทางด้วยรถไฟฟ้ามาลงสถานีราชเทวี และเดินมาต่อรถเมล์สาย 511 (จริงแล้ว183 ,79 ,59 ,2 ก็ไปได้) ที่หน้าโรงแรม Diamond Bangkok Hotel ปากซอยเพชรบุรี10 และบอกเป๋าว่าไปลงที่ผ่านฟ้า พอลงรถเมล์เราก็จะพบกับบรรยากาศที่สวยงามของลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์อนุสาวรีย์รัชการกาลที่1 และเดินเข้ามาก็จะถึงทางเข้าวัดวัดราชนัดดา โดยเราจะมองเห็นโลหะปราสาทที่เมื่อสมัยรัชกาลที่9 ยอดมณฑปจะออกสีดำ แต่พอยุครัชกาลที่10 ยอดมณฑปถูกเปลี่ยนเป็นสีทองสวยสดงดงาม
วันที่มานั้นเป็นช่วงวันพระ และช่วงที่เดินทางมาเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ และได้โอกาสจังหวะที่วัดราชนัดดาจะมีการปฏิบัติศาสนกิจรวมไปถึงทำวัตรเย็นพอดี แต่แนะนำว่าอย่ามาช้าเกินไปนะครับ อีกอย่างที่บริเวณโลหะปราสาทนั้นประตูจะปิดตอน 5โมงเย็นด้วย เดี๋ยวจะอดขึ้นไปชมบรรยากาศด้านบน และบนสุดของโลหะปราสาทก็ประดิษฐานพระธาตุไว้ด้วย
ก่อนที่จะเดินออกไปที่วัดเทพธิดารามวรวิหาร เราจะแวะทานกาแฟเย็นๆที่ร้าน Milkey Tree Coffee เป็นร้านกาแฟเล็กๆอยู่ในพื้นที่วัดราชนัดดา บริเวณทางออกด้านหลังของวัด โดยต้องเดินข้ามคลอง (คลองรอบกรุง) ที่กั้นระหว่างวัดราชนัดดา และวัดเทพธิดา บรรยากาศบริเวณนั้นจะเป็นวิถีชีวิตของชาวบ้านที่หาดูได้ยาก เราเดินตรงมาเรื่อยๆตามตรอกเล็กๆ เพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าวัดเทพธิดารามตรงต้นพิกุลใหญ่ซึ่งเป็นบริเวณประตูหลังพระอุโบสถที่ประดิษฐาน หลวงพ่อขาวนั่นเอง
โดยพระพุทธปฎิมากรองค์นี้เดิมเรียกกันแต่เพียงว่าหลวงพ่อขาวมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่3 จนเมื่อปี2518 ในหลวงรัชกาลที่9 ทรงเสด็จมาบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระกฐิน และทรงเฉลิมพระนามว่า พระพุทธเทววิลาส โดยหลวงพ่อขาวนี้เป็นพระพุทธรูปสมัยเชียงแสน ผสมสุโขทัย ปางมารวิชัยด้านมุมซ้าย และมุมขวาของหลวงพ่อขาว ประดิษฐานพระพุทธรูปทรงเครื่องปางห้ามสมุทรประดับขัติยะภูษิตาภรณ์โดยเรียกกันว่าพระทอง ซึ่งมีความงดงาม และคล้ายคลึงกับวัดพระแก้วมรกตมาก
หลังจากไหว้หลวงพ่อขาวเสร็จเราก็ดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือเหลือเวลาอีกประมาณ 15นาทีก่อนจะ5โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่วิหารพระภิกษุณีจะปิด เราจึงรีบเดินออกจากอุโบสถหลวงพ่อขาวไปที่จุดหมายสำคัญ และเป็นไฮไลท์ ของวัดนี้ที่มีชื่อว่าวัดเทพธิดาราม โดยส่วนตัวรูปหล่อลงรักปิดทองหมู่ภิกษุณีทั้ง52องค์นี้จัดว่าเป็น unseen ของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ตั้งแต่เกิดมาก็เห็นที่นี่ที่เดียวที่มีรูปหล่อพระภิกษุณียังหลงเหลืออยู่
จริงๆเราวางแผนว่าจะตามเก็บรูปในความทรงจำของผมให้ครบ แต่เนื่องจากเวลาที่อาจคลาดเคลื่อนอันเนื่องมาจากการแวะถ่ายรูป แวะพัก แวะไหว้พระนานไปหน่อยทำให้เวลาเหลือน้อยเต็มทีก่อนแสงจะหมดเราจึงเดินย้อนออกมาทางหน้าวัดเทพธิดาราม เพื่อขึ้นไปไหว้พระที่วัดภูเขาทองโดยเดินผ่านชุมชนป้อมมหากาฬที่ตอนนี้ที่นี่กลายเป็นอดีตและเหลือแต่เพียงความทรงจำที่ถูกยกย่องให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรม เป็นพิพิธพัณฑ์ และทางกทม.ได้สนับสนุนพื้นที่นี้ให้อยู่ในแผนการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมไปแทน
วันที่เดินทาง 2561.08.04
ถ่ายไปเที่ยวไป
วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 22.45 น.