ทริปนี้เกิดจากความไม่ตั้งใจ เราส่งรูป Zhangjiajie ให้เพื่อนดู นางเกิดอยากจะไปจริงๆขึ้นมา เราเองก็ไม่พร้อมและไม่ได้ทำการบ้านอะไรมากนอกจากอ่านรีวิวของคนที่เคยไปมา แต่ก็ไม่เข้าใจอะไรมากเท่าไหร่ สุดท้ายก็ไปลองผิดลองถูกกันมา ดังนั้น จึงอยากแชร์ข้อมูลที่เป็นประโชยน์ให้เพื่อนๆคนที่สนใจและวางแผนจะไปเที่ยว ซึ่งเราก็ตั้งใจเขียนให้ละเอียดมากที่สุด

จริงๆแล้วทริปนี้เราเดินทางหลายที่ด้วยกันค่ะ ขอแบ่งเป็น 3 ตอนนะคะ คือ

1. ฉางชา อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย หวู่หลิงหยวน เฟิงหวง

2. ปักกิ่ง

3. เซี้ยงไฮ้ (ปักปิ่งกับเซี่ยงไฮ้ จะรีวิวลำดับถัดไปนะคะ จะได้เข้าใจง่ายไม่สับสนปนกัน)

เนื่องจากไปจีนครั้งแรก ภาษาจีนก็พูดไม่ได้ ทั้งๆที่หน้าตาออกจะหมวยขนาดนี้ สุดท้ายก็รอดกลับมา 5555 มีหวิดเกือบตกเครื่องเหมือนกันค่ะ ฉะนั้นคนที่ไม่ได้ภาษาไม่ต้องกังวลค่ะ โหลดแอปฯแปลภาษาติดตัวไปด้วยก็ดี ที่เหลือก็ใช้ภาษามือละกัน และไม่ต้องตกใจที่คนจีนจะพูดภาษาจีนกับเราอย่างกับพ่นไฟ เพราะคนส่วนใหญ่คิดว่าคนที่ไปที่ยวต้องพูดภาษาเค้าได้ ขนาดพนักงานโรงแรมก็ยังพูดภาษาอังกฤษกันไม่ค่อยได้ แต่เค้าก็ใช้แอปฯสื่อสารกับเราค่ะ อาจจะติดขัดนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร เราเป็นคนชอบเที่ยวแบบไม่ง้อทัวร์ ดังนั้นจะต้องหน้าด้านอายอดนิดนึง ถ้าอันไหนไม่รู้ก็ถาม ลองผิดลองถูกก็มีบ้าง หลงทางบ้างก็สนุกดีค่ะ....

ขั้นตอนเตรียมตัวก่อนเดินทาง

1. หาข้อมูลที่เที่ยว ที่พัก การเดินทาง

-อ่านรีวิวของคนที่ไปเที่ยวมาก่อน แต่บางอย่างก็ไม่เห็นภาพ ไม่เข้าใจ เพราะเราเองยังไม่เคยไป เลยนึกภาพไม่ออก แต่ก็ดีกว่าที่เราไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย เพราะบางรีวิวได้แนะนำจุดสำคัญให้เราไม่พลาดที่จะเก็บรายละเอียด และทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาเยอะ

-ที่พักแนะนำ :

Changsha - Huiyou Maison Hotel ทำเลดี อยู่ติดถนน หาไม่ยาก อยู่ไม่ไกลกับถนนคนเดิน เดิน 5 นาทีถึงสถานนีรถไฟฟ้าใต้ดิน Nanmenkou Station พนักงานบริการดี น่ารัก ห้องพักสะอาดมาก สวย ทันสมัย กว้างขวาง อุปกรณ์ภายในห้องพักครบครัน แอร์ ที่เป่าผม กาน้ำร้อน แก้วกาแฟ ตู้เย็น น้ำดื่ม ฯลฯ



Wulingyuan- Wulingyuan Tu Youth Hostel ทำเลดี อยู่ใกล้กับทางเข้าอุทยานฯจางเจียเจี้ย ประตูทางเข้าฝั่งหวู่หลิงหยวน เราเลือกที่นี่เพราะอ่านคอมเมนส์ เจ้าของโรงแรมพูดภาษาอังกฤษได้ค่อยข้างดี บริการดีมาก สามารถให้คำแนะนำและวางแผนการเที่ยวอุทยานใ้ห้สำหรับคนที่ไม่มีข้อมูลมาก่อน ห้องพักค่อนข้างเก่านิดนึง มีผ้าขนหนู อย่างอื่นต้องเตรียมเองค่ะ


นอกจากโรงแรมนี้แล้ว ถ้าคนที่ไม่ได้จองโรงแรมมาล่วงหน้า ขอบอกว่าไม่ต้องกังวลเลยค่ะ เมืองนี้มีโรงแรมใหญ่เล็กมากมาย เนื่องจากเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ จึงหาที่พักไม่ยาก ใกล้กับประตูทางเข้าอุทยานฯนี้ มีโรงแรมใหม่ๆเปิดให้บริการเยอะมาก ซึ่งบางที่อาจไม่ขึ้นบนเว๊ป เราสามารถเดินเลือกดูและเช็คอินได้เลยค่ะ เรายังอยากลองเปลี่ยนที่พักเลยแต่เกรงใจ อิ อิ

Zhangjiajie - Zhanagjiajie Yijiaqin Hotel (Mr. Rocky) ทริปนี้เราเลือกพักยาวที่หวู่หลิงหยวน และนั่งรถมินิบัสไปจางเจียเจี้ย เพราะใช้เวลาไม่นานและไม่อยากย้ายที่พักบ่อยๆ สำหรับเพื่อนที่ต้องการพักที่จางเจียเจี้ยก็แนะนำที่นี่ค่ะ ซึ่งหลายเพสที่เราอ่านเค้ารีวิวว่าเจ้าของใจดี บริการดีและพูดภาษาอังกฤษได้ โรงแรมก็อยู่ไม่ไกลจากสถานีขนส่ง ใกล้กับทางขึ้นกระเช้าไปหุบเขาสวรรคฺ์ "เทียนเหมินซาน" ลองดูนะคะ


Fenghuang - Wang Jiang Reclusive Boutique Inn


โรงแรมเพิ่งเปิดได้แค่ 1 ปี ใหม่มากๆค่ะ ห้องพักสะอาดสวยงาม เงียบสงบ ไม่ค่อยได้ยินเสียงดนตรีดัง วิวภายนอกห้องพักก็สวยเห็นน้ำตก อุปกรณ์ในห้องครบครันทุกอย่าง ผลไม้ น้ำชา เจ้าของใจดีมาก บริการดีเยี่ยม แม้เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แต่ก็ใช้แอปฯในการสื่อสาร เค้าเข้าใจแม้บางทีเรายังไม่ทันพูดออกมา (รู้ใจซะจริงๆ ชอบฝุดๆ) วันกลับขับรถไปส่งสถานีขนส่ง ช่วยซื้อตั๋วและหิ้วกระเป๋าไปส่งที่รถ แถมมีของฝากให้ด้วย เป็นขนมพื้นเมืองที่นี่ (ขนมถั่วตัด) โรงแรมอาจจะหาลำบากนิดนึงเนื่องจากไม่อยู่ติดถนน แต่จริงๆแล้วก็หาไม่ยากเพราะทางเข้าอยู่ติดกับสี่แยกและเสาหลักเมือง เราจะแปะพิกัดให้แล้วกันเพื่อใครอยากไปพักที่นี่ ถ้าใครไม่ได้จองโรงแรมล่วงหน้าก็ไม่ต้องกังวล มีโรงแรมแถวริมน้ำของชาวบ้านเยอะมากเรียงกันเป็นแถว สามารถเดินเลือกเซ็คอินได้เลย วิวสวยทำเลดีมีเยอะด้วย ก่อนไปเรามาหาข้อมูลโรงแรมแต่ก็ไม่รู้จะเลือกที่ไหน ไม่มีไกด์ไลน์ สุดท้ายเลือกที่ห้องพักสวยสะอาดไว้ก่อน แต่เราก็ไม่เสียใจที่เลือกโรงแรมนี้ ประทับใจ เกินคุ้ม เมืองเฟิงหวงเล็กๆเดินไม่ยาก ฉะนั้น ถ้ามีเวลาก็เดินเลือกที่พักได้ตามใจชอบเลย ส่วนใหญ่จะเน้นที่ริมน้ำ วิวสวย กลางเมือง แต่กลางคืนเสียงดังเพราะมีบาร์ ร้านอาหารเยอะ

- การเดินทาง

https://www.etripchina.com/bus/searchBus.aspx

Web นี้ดีมากค่ะ ใช้ดูตารางการเดินรถบัสระหว่างเมือง

https://www.chinabusguide.com/

ถ้าในเมืองใหญ่ๆ เราสามารถเลือกการเดินทางได้เยอะหน่อยค่ะ เช่น รถไฟฟ้า รถเท๊กซี่ แต่ถ้าเมืองเล็กหรือการเดินทางระหว่างเมืองต้องเช็คอีกอีนะคะ อย่างครั้งนี้เราเดินทางด้วยรถบัสส่วนใหญ่ค่ะ


2. สภาพอากาศ

- สำหรับ 4 เมืองนี้ อยู่ทางตอนใต้ของจีน(มณฑลยูนาน) สภาพอากาศบางช่วงค่อยข้างเหมือนของไทย ตอนที่ไปคือเดือนตุลาคม อากาศแปรปรวน มีฝนจากมรสุมช่วงปลายฝนต้นหนาว จึงอยากแนะนำให้ไปช่วงหน้าร้อน หรือเดือนกรกฎาคม-กันยายน อากาศจะปลอดโปร่งกว่าเหมาะกับการถ่ายภาพสวยๆ หรือช่วงหน้าหนาวก็จะได้สัมผัสบรรยากาศอีกแบบนึง แต่ต้องฟิสร่างกายให้ดีดีค่ะ เพราะที่นี้หิมะตกขาวโพรนเลยค่ะ อีกอย่างค่ะ เช็คว่าช่วงที่เราไปนั้นติดวันหยุดยาว เทศกาลอะไรของคนจีนหรือเปล่า เพราะคนจีนเองก็จะพาครอบครัวไปเที่ยวกันนับแสนนับล้านคน ถ้าหลีกเลี่ยงได้ควรจะ ...อย่างยิ่ง มิฉะนั้น มันจะดับฝันทริปของคุณ หมดสนุกเลย ทริปนี้ไม่ถึงกับชนวันหยุดของคนจีนจังๆแต่ก็เจอทัวร์จีนนับแสนเหมือนกันค่ะ เจ้าของโรงแรมบอกว่า 1-7 ตุลาคม เป็นวันหยุดยาว "วันชาติจีน" นักท่องเที่ยวไปที่อุทยานฯ จางเจียเจี้ยนับล้านคน Omg !!!

วันหยุดยาวประจำปีของประเทศจีน (หยุด 3 วันขึ้นไป) มีดังนี้

• วันขึ้นปีใหม่ (元旦) ส่วนใหญ่จะหยุดประมาณ 4 วัน ตั้งแต่ 31 ธันวาคม - 3 มกราคม

• วันตรุษจีน (春节) นับเป็นเทศกาลที่คนส่วนใหญ่ตั้งตารอ เพราะเป็นวันหยุดที่ยาวมากที่สุดของปี ส่วนใหญ่จะหยุดกันประมาณ 15 วันเลยทีเดียว วันตรุษจีนจะไม่มีวันที่แน่นอนในปฏิทินสากล จึงต้องดูตามปฏิทินจันทรคติหรือปฏิทินจีนโบราณ สำหรับปฏิทินจันทรคติ วันตรุษจีนจะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 3 และปฏิทินจีนโบราณจะตรงกับวันที่ 1 เดือน 1

• วันเช็งเม้ง (清明节) จะหยุดระหว่างวันที่ 2-4 เมษายน บางที่อาจหยุดไปถึงวันที่ 5 เมษายน วันเช็งเม้งถือเป็นวันไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับตามสุสานต่าง ๆ

• วันแรงงานสากล (国际劳动节) วันแรงงานสากลตรงกับวันที่ 1 พฤษภาคม เดิมทีช่วงวันแรงงานสากลจะหยุดยาว 3-7 วันเลยทีเดียว แต่ภายหลังเหลือหยุดเพียงวันเดียว แต่โรงงานบางแห่งในจีนก็ยังหยุดยาวอยู่เช่นเดิม ทั้งนี้ บางปีอาจมีการประกาศจากรัฐบาลจีนให้หยุดเพิ่มในช่วงเวลาดังกล่าว

• วันชาติจีน (国庆节) ตรงกับวันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี ประเทศจีนจะหยุดในช่วงวันชาติ 7 วันคือ วันที่ 1-7 ตุลาคมของทุกปี

*** อย่าลืม ! เช็คเวลาปิด-เปิด วัยหยุดของสถานที่ที่เราจะไปเที่ยวแต่ละแห่งด้วยนะคะ จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเราจะไม่พลาดและเสียโอกาส Mission completed เจอกับตัวเองค่ะ (เซ็งเลย ! เจ็บใจ)


3. การขอวีซ่า

เอกสารยื่นขอวีซ่าจีน

  1. แบบฟอร์มคำร้องขอวีซ่า (เเบบฟอร์มการขอยื่นวีซ่าจีน Chinese Visa Application Form(Form V.2013)
  2. หนังสือเดินทาง (Passport) ต้องมีอายุไม่น้อยกว่า 6 เดือนนับจากวันเดินทาง และ ต้องมีหน้าว่างอย่างน้อย 2 หน้า
  3. ใบจองตั๋วเครื่องบิน
  4. ใบจองที่พัก/โรงแรม
  5. รูปสี พื้นหลังสีขาว ไม่มีขอบ และถ่ายไว้ไม่เกิน 6 เดือน ขนาด 48 x 33มม
  6. สำเนาบัตรประชาชน
  7. สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ(ถ้ามี)

อันนี้ ขอบอกเลยว่า เพื่อนที่เคยไปจีนแนะนำมา ตั๋วเครื่องบินจองและจ่ายเงินเลย หลังจากนั้นปริ้น Booking Confirmation เพราะถ้าไม่มีปัญหาอะไร ได้วีซ่าแน่นอน วีซ่าจีนไม่ยาก ไม่ต้องมีหนังสือรับรองการทำงาน ไม่ต้องยื่น statement ไม่ต้องเขียนโปรแกรมเที่ยว แต่ถ้าไม่เอา Flight Booking Confirmation เจ้าหน้าที่จะไล่กลับไปและมายื่นใหม่ .....ตอนแรกเราก็ไม่มั่นใจ กลัวถ้าจ่ายเงินค่าตั๋วเครื่องบินไปแล้ว ไม่ได้วีซ่าจะทำงัยดี เงินก็ไม่ได้คืน คิดกลัวไปต่างๆ นานา แต่พอได้ยินเพื่อนสนิทพูดอย่างนั้นก็มั่นใจหน่อย เพราะถ้าปริ้นแค่ใบจองเฉยๆ แล้วไม่ได้วีซ่า ต้องมายื่นใหม่เสียเวลาอีก เลยตัดสินใจตัดผ่านบัตรเครดิต แล้วเอาเอกสารไปยื่นวีซ่า ก็ผ่านจริงๆ เรายื่นวันจันทร์ได้วีซ่าวันศุกร์ (แบบธรรมดา) ขอเน้นย่ำ ! ถ้าเอกสารครบและชัดเจน ได้วีซ่าแน่นอน วีซ่าจีนไม่ยากอย่างที่คิดค่ะ สู้!!


4. อื่นๆ

การเงิน- แลกเงินหยวนได้ที่ Super Rich หรือบางคนที่มีบัตรกดเงิน Master Card, Unionpay ก็สามารถกดเงินได้จากตู้ ATM ค่ะ เผื่อที่เราเตรียมไปไม่พอก็ไม่ต้องกังวล เพื่อนเราลองมาแล้วค่ะ บางโรงแรมรับแต่เงินสดไม่รับบัตรเครดิตก็มีนะคะ

อุกรณ์ไฟฟ้า- ประเทศจีนใช้ไฟฟ้าเหมือนบ้านเรา ฉะนั้นไม่ต้องเอา Adapter ไปก็ได้ค่ะ ยกเว้นปลั๊กสามตาที่เต้าเสียบจะไม่เหมือนกัน

โทรศัพท์- ทริปนี้เราไม่ได้เปิดโรมมิ่งหรือซื้อซิมไปค่ะ เพราะมือถือเพื่อนใช้ Wifi ได้เลยแชร์กัน แต่สำหรับเพื่อนคนไหนที่ต้องการติดต่อกลับเมืองไทยหรืออัปโหลกรูปลงโซเซี่ยว และใช้แอปฯต่างๆ ก็ลองติดต่อค่ายมือถือต่างๆเพื่อขอซื้อซิมต่างประเทศ ได้ค่ะ

สื้อผ้า กระเป๋า- ถ้าไปช่วงไหนก็ดูสภาพอากาศ อย่างเราไปเดือนตุลาคม ต้องเตรียมเสื้อกันหนาว เสื้อกันฝน ร่ม ส่วนฤดูอื่นก็เช็คอากาศดีๆนะคะ ทริปนี้เอากระเป๋าใบเล็กไปค่ะ (น้ำหนักไม่เกิน 7 กิโลกรัม) ไม่ต้องโหลดกระเป๋า เนื่องจากไปหลายที่ถ้าเอาของไปเยอะจะลำบากในการหิ้วลาก อ้อ ! ถ้าใครแวะช๊อปปิ้งเมืองฉางชาละก็ไม่ต้องเอาเสื้อผ้าไปเยอะก็ได้ค่ะ ไปซื้อที่โน้นราคาก็ไม่แพงค่ะ เหมือเราเดินช๊อปแถวแพลตินัมประตูน้ำ อารมณ์นั้นเลย


Let's go ! .....

จุดเริ่มต้นของอวตาร : ฉางชา จางเจียเจี้ย หวู่หลิ่งหยวน และเฟิงหวง เมืองมรดกโลกสุดคลาสสิก

13/10/2018 : CNX-CSX 8.15-12.05 P.M.

ลืมบอกไป ! เราอยู่เชียงใหม่ เดินทางวันเสาร์เช้าจากสนามบินเชียงใหม่ บินตรงสู่สนามบินฉางชา โดยสายการบิน Air Asia ค่ะ สำหรับคนอยู่กรุงเทพฯก็มีบินตรงได้เช่นกันค่ะ


Note :

- วิธีการเดินทางจากสนามบินไปเข้า ตัวเมืองฉางชามี 3 วิธี คือ Airport Bus, รถไฟ Maglev หรือ Taxi

1) Airport bus ไปสถานีรถบัส (Changsha West Bus Station 汽车西站) เพื่อต่อรถบัสไปเมืองจางเจียเจย หลู่หลิงหยวน เฟิงหวง เคาเตอร์ขายตั๋ว Airport bus อยู่ตรงประตูทางออกหมายเลข 5 ค่ะ มีป้ายบอกชัดเจนหาไม่ยาก ค่ารถ 30 หยวน/คน (ใชเ้วลา 45 นาที ลงสุดสายนะคะ) พอลงจากรถจะมองเห็นบันไดเลื่อนอยู่ตรงหน้า ให้เดินลงบันไดเลือนแล้วเข้าไปในอาคาร ซ้ายมือก็จะเป็นสถานีขนส่งรถบัส เดินไปสุดตัวอาคารจะเจอเคาร์เตอร์ขายตั๋ว ส่วนใหญ่ที่อ่านรีวิวมาคนจะนิยมใช้ Airport Bus กัน เพราะสะดวกและถูกดี

ท้ายรีวิวจะแปะตารางรถบัสระหว่างเมืองต่างๆให้ไว้เป็นข้อมูลในการวางแผนการเดินทางค่ะ

2) รถไฟ Maglev ตรงนี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจากที่อ่านรีวิว ...รถไฟจะไปจอดแค่สถานี Metro South Railway Station แลัวเราต้องไปต่อรถไฟฟ้าใต้ดินสาย 2 ไปลงยังสถานี Wangchengpo (West Bus Station) ตรงสถานี South Railway Station นั้นใช้เวลาค่อนขา้งนาน ตอ้งเดินไกลเพราะเป็นสถานีใหญ่มาก (Interchange ใช้เวลาถึง 20 นาที) และจาก Metro South Railway Station ไป Wangchengpo ใช้เวลาเกือบ 30 นาที ทำให้รวม ๆ แล้ว เดินทางด้วยวิธีนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

3. Taxi



เมื่อถึงสนามบิน เราเลือกที่จะนั่งรถ Taxi เข้าเมืองไปยังโรงแรมค่ะ ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีได้ค่ะ ราคาอยู่ที่ 170 หยวน เท็กซี่พามาถึงฝั่งตรงข้ามโรงแรม ซึ่งโรงแรมจะตึกเดี๋ยวกับธนาคาร ICBC ดูภายนอกจะเก่าหน่อยๆ แต่ข้างในสวยและโมเดิลมากค่ะ เป็นโรงแรมเล็กๆแต่ทำเลดีค่ะ เราเลือกที่นี่เพราะไม่ไกลจากถนนคนเดินที่มีชื่อเสียงของเมืองฉางชา เดินไปสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Nanmengkou 5 นาที สะดวก สะอาด ปลอดภัย พนักงานบริการดีมาก น่ารักทุกคนเลย และที่สำคัญราคาก็ไม่แพงมากด้วยค่ะ ห้องดีมากๆ มีหลายขนาด เราอยู่ห้อง Standard คุณภาพและทำเลติดถนนถือว่าคุ้ม เรามาดูบรรยากาศภายในกันค่ะ

Check in เสร็จ เราก็เดินออกไปที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน Nanmenkou เพื่อซื้อตั๋วรถเมล์ไปเฟิงหวงพรุ่งนี้ไว้ก่อนค่ะ เพราะเราเกรงว่าถ้าไปตอนเช้าคนเดินทางเยอะ อาจจะไม่ได้รอบรถ

เราต้องลงที่สถานี Wangchengpo สะดวกมากๆเลยที่นี่ ออกจากสถานีรถไฟฟ้าก็จะเจอทางเชื่อมไปต่อยังสถานีขนส่ง Changsha West Bus Station มีป้ายบอกทางเป็นระยะจนถึงอาคารที่ขายตั๋วเลย


เข้าไปในสถานี เคาร์เตอร์จะอยู่ด้านในสุดซ้ายมือค่ะ จะเห็นคนยืนต่อแถวเยอะๆ และมีบอร์ดตารางเดินรถอยู่ด้านบน (ภาษาจีน) เข้าช่องไหนก็ได้ค่ะ จากนั้นเราก็เอากระดาษที่เตรียมไว้ยื่นให้เจ้าหน้าที่ไป รายละเอียดจุดหมายปลายทางที่เราจะไป รอบรถ วันที่ จำนวนตั๋ว (คน) คนขายจะเข้าใจง่ายและรวดเร็วสำหรับวิธีนี้ค่ะ เพราะเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เสร็จแล้วเค้าขอดู Passport แล้วก็ได้ตั๋วกลับมา หน้าตาของตั๋วประมาณนี้นะคะ

ฉางซา (Changsha /长沙)

หวู่หลิงหยวน (Wulingyuan /武陵源)

จางเจียเจี้ย (Zhangjiajie / 张家界市)

เมืองเฟิงหวง (Fenghuang / 鳳凰)



เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ เราก็กลับมายังสถานีและซื้อตั๋วไปเกาะส้ม ออกจากสถานี Juzizhou ก็เป็นทางเข้าสวนสาธารณะเลยค่ะ อ๋อ ! ที่นี่เข้าฟรี แต่ถ้าจะนั่งรถรางชมเกาะ ต้องเสียค่าตั๋วใบละ 20 หยวน ตอนเราซื้อตัวเจอเรื่องแปลก เราบอกเอา 2 ใบ คนขายพูดอะไรมาไม่รู้เป็นภาษาจีน แล้วชูตั๋ว 4 ใบให้เราบอก 80 หยวน เราบอกเอาแค่ 2 ใบ สุดท้ายนางก็คิดเงินแค่ 2 ใบ อันนี้ไม่รู้ใครเคยเจอบ้าง เห็นคนอื่นซื้อก็คนละใบค่ะ (อันนี้ไม่รู้ว่าคืออะไร) เสร็จแล้วเราก็เดินไปตรงรถรางที่จอดข้างถนน แต่แปลกใจไม่มีใครเดินมา ไม่มีคนขึ้นเลย ยืนงงอยู่สักพัก หันไปดูคนที่ซื้อตั๋วเสร็จเค้าเดินไปด้านหลังเคาร์เตอร์ มีทางเข้าเป็นช่องหลืบ ถ้าไม่สังเกตจะไม่รู้เลยเพราะไม่ใช่ถนนหลัก งงกับที่นี่ค่ะ


ยังมีอีกค่ะ... พอเดินไปต่อแถวขึ้นรถราง พอนั่งไปสักพักก็จะมีแวะจอดให้ลงเป็นจุดๆ และก็ไปต่อ เสร็จแล้วไปถึงอีกจุดเจ้าหน้าที่ให้ลงหมดขบวน คนก็ลงและแห่ไปต่อแถวอีก เราก็ไม่เข้าใจก็ไปต่อกับเขา รถรางหน้าตาเดิมๆก็วนมารับใหม่แต่ไม่รู้คันเดิมหรือเปล่า นั่งต่อไปชมวิวแม่น้ำด้านซ้ายมือ ด้านขวาเป็นสวน เห็นมีทั้งคนเดินและวิ่งข้างทาง แต่สวนนี้ใหญ่มากนะคะ ถ้ามาขอแนะนำว่านั่งรถรางดีกว่า เดินใช้เวลาเยอะค่ะ อนุเสาวรีย์รูปท่านประธานเหมาจะอยู่เกือบท้ายของสวน ถ้าเดินมาถึงนี่หอบเลย พอมาถึงท้ายสวนรถรางจอดให้ลงหมดอีกแล้วค่ะ ตรงนี้ก็จะมีทั้งคนที่ไปเข้าแถวต่อใหม่และลงไปเดินเล่นในสวน ป้ายบอกตำแหน่งที่นี่ก็ไม่ชัดเจนค่ะ ดูแล้วสับสน ...เหมือนว่าเราจะเลยจุดของอนุสาวรีย์มาแล้วประมาณนั้น ด้วยความที่เราไม่รู้ค่ะ บ้านนอกหลงกรุง ไปต่อแถวขึ้นรถรางใหม่ค่ะ และไปลงอีกที่ก็ทางออกละ เลยอดไม่ได้ถ่ายรูปกับอนุสาวรีย์เลย แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ วันนี้อากาศไม่ค่อยดี มีฝนพรำ เอารูปสวยจากเน็ตให้ดูดีกว่า แต่ที่ไม่เข้าใจคือการบริหารของที่นี่ ทำไมต้องเปลี่ยนรถรางหลายหนเพื่ออะไร ทำไมไม่นั่งไปจนสุดแวะจอดเป็นจุดๆ เหมือนรถรางบ้านเรา เสียเวลากับการต่อแถวใหม่และหลงทาง


ประวัติคราวๆของเกาะส้ม : แม่น้ำเซียงเจียง (Xiangjiang River) เป็นแม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านเมืองฉางซา ซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่ และยังมีเกาะกลางแม่น้ำเกิดขึ้นตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นอยู่กลางแม่น้ำ โดยที่ภาษาจีนจะเรียกว่า Ju Zi Zhou Tou หรือเกาะสีส้มนั่นเอง (Orange Isle) ที่นี่ไม่เพียงแค่มีลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แปลกและโดดเด่นเท่านั้น แต่ยังงดงามและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของจีนอีกด้วย และด้วยเกาะแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่เหมา เจ๋อตุง มาใช้ชีวิตตอนสมัยยังหนุ่มบ่อย ๆ ทั้งเดินเล่นบนชายหาด เล่นน้ำ นอนอาบแดด ฯลฯ จึงมีการสร้างอนุสาวรีย์หินอ่อนสีขาวขนาดใหญ่รูปเหมา เจ๋อตุง ไว้บริเวณด้านหนึ่งของเกาะ โดยมีบทกวีแกะสลักลงบนก้อนหินขนาดใหญ่หน้าอนุสาวรีย์ดังกล่าวเพื่อรำลึกถึงท่าน

เกาะส้ม : เปิดทุวัน 7:00- 17:00 น

ค่าเข้า : ฟรี

ค่ารถรางรอบเกาะ 20 หยวน


ออกจากเกาะส้ม เราก็ไปเดินเล่นที่ถนนคนเดิน Huangxing Road Walking Street ถนนคนเดิน ฮวงซิงลู่ (黄兴路) นั่งรถไปไปลงสถานี Huangxing Square คือเหมือนเดินสยาม แต่ที่นี้ร้านค้าเยอะและใหญ่กว่ามาก เป็นแหล่งช๊อปปิ้งของคนที่นี่ มีของหลายหลายมากมาย เสื้อผ้าแฟชั่น รองเท้า กระเป๋า ของเด็ก ของใช้ เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์และอื่นฯอีกเยอะแยะไปหมด เดินดูของจนตาลาย ทริปนี้เราไม่สามารถช๊อปได้ต้องอดใจไว้อย่างเดียว ซึ่งช่วงที่มานี้ เค้าก็กำลังอัปเดทเทรนแฟชั่นหน้าหนาวกัน เสื้อผ้าสวยๆราคาไม่แพงมีเยอะเลย เดินไปเดินมาหิวเลยเข้าไปในซอยเล็กๆที่ข้างหน้าทางเข้ามีร้าน "ฉันยุ่งมาก" เป็นร้านน้ำผลไม้ปั่นที่มีมะม่วงเป็นจุดขาย ฮิตมากเลยที่นี่ แต่ชื่อเป็นไทยซะงั้น เพราะจีนนำเข้ามะม่วงจากไทย เจ้าของเลยเกิดไอเดียตั้งซื่อภาษาไทยเพื่อเป็นกลยุทธ์ดึงดุจลูกค้ามั้ง และก็ตกแต่งร้านเป็นแบบไทยๆ ซึ่งก็ได้ผลจริง ขายดีจนมีสาขามากมายกว่า 500 สาขาที่จีน และฮิตมากจนมีทั้งของปลอมและของจริง อันนี้ไม่รู้ร้านจริงหรือปลอม จัดมาหนึ่งแก้ว 35 หยวน ได้เนื้อมะม่วงลูกใหญ่พันธ์อะไรไม่รู้เกือบทั้งลูกเลย ก็อร่อยดีค่ะ !


ข้างในซอยเป็นโซนร้านอาหารค่ะ มีร้านขายอาหารมากมายเรียงราย และมีชั้นบนอีกแต่ไม่เยอะค่ะ เราก็เดินดูไปเรื่อยๆ เจออาหารหน้าตาแปลกก็มีเยอะค่ะ เช่น แมลง ต่างๆ ใครกล้าท้าลองได้เลยนะคะ และก็หม่าล่าที่นี้ฮิตกันมาก แต่กลิ่นไม่ค่อยเหมือนที่เมืองไทยค่ะ (ที่นี่น่าจะ รสออริจินัล)

สุดท้ายก็ได้ร้านนี้ค่ะ สั่งรายการคล้ายหม้อไฟรวมทะเล ได้มาหน้าตาแบบนี้ค่ะ อร่อยใช้ได้อยู่ มีระดับความเผ็ดให้เลือกด้วยนะคะ ก่อนจะจบวันแรก ขอกดไลท์รัวๆๆกับห้องพักของโรงแรมนี้หน่อย นอกจากสวิสต์ไฟจะไฮโซแล้ว ยังมีปุ่มเล่น Music melody กล่อมก่อนนอนด้วย แต่เป็นเพลงจีนนะ เราชอบมากๆๆ ค่ะ


14/10/2018

เราตื่นแต่เช้าเก็บกระเป๋า Check out แล้วเดินไปสถานีรถไฟใต้ดิน นั่งรถไฟใต้ดินไปยังสถานนีขนส่ง Changsha West Bus Station ที่เราซื้อตั๋วไว้เมื่อวานเพื่อไปเมืองเฟิงหวง รอบรถออก 9:00 น. เราไปถึงประมาณ 8 โมงกว่า จริงๆนั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน + เดินประมาณครึ่งชั่วโมงกว่า รถไฟฟ้าที่นี่ก็ไม่ยุ่งยากค่ะ มีแค่ 2 สายเอง ออกจากสถานีก็เดินตามทางไปยังสถานีขนส่ง มีป้ายบอกเป็นระยะไม่ต้องกลัวหลง เรามาแล้วเมื่อวานเลยสบาย ถึงภายในอาคารก็ดูตั๋วว่าเป็นชานชลา A หรือ B ของเราเป็น A ก็เดินเข้าไป X-ray กระเป๋าและก็ขึ้นไปชั้นบนของอาคาร คือ สะอาด ดีงาม เลิศมากค่ะ ที่จอดรถก็แบ่งเป็นช่องๆ ถ้าไม่ถึงเวลาขึ้นรถ เราจะออกนอกอาคารไม่ได้ มีเหล็กกั้นอย่างดีเลย ดูป้ายตัวอักษรจีนถ้าเหมือนกันก็รอตรงช่องนั้นเลย

รอสักพัก พอถึงเวลาจะมีคนมาเปิดเหล็กกั้นออกและให้เราเข้าไปขึ้นรถ จากฉางชาไปเฟิงหวงใช้เวลา 5-6 ชั่วโมงเลย ไม่มีรถไฟต้องนั่งรถบัสไปอย่างเดียว สภาพรถเหมือนรถทัวร์บ้านเราค่ะ ขอบอกว่าเรากับเพื่อนไม่ได้นั่งแถวเดียวกันทั้งที่เราซื้อตั๋ว 2 ใบ เราก็แยกนั่งตามหมายเลข สักพักก็จะมีคนขอเปลี่ยนที่นั่ง (เหมือนที่เราอ่านเจอในรีวิว คนที่ไปมาเจอแบบนี้เยอะค่ะ) เพื่อนเรานั่งข้างหน้าเจอขอเปลี่ยน นางก็ยอมให้โดยดีเพราะเค้ามาด้วยกันแล้วนางก็ไปนั่งที่อีกคนนึง เข้าใจว่าการขายตั๋วน่าจะต่างกับบ้านเรา ที่นี่เค้ารันตามลำดับ โชคดีก็ได้นั่งติดกัน แต่ถ้าไม่ก็ต้องขอสลับกับคนอื่นที่หลัง จนบางทีนั่งมั่วกันไปหมด ระหว่างทางรถจะแวะจอดเข้าห้องน้ำแต่ไม่นานค่ะ 10 นาที ฉะนั้น ต้องซื้อขนมหรืออาหารกินระหว่างเดินทางด้วยนะคะ ถนนหนทางในเมืองจีนถือว่าดี ดีกว่าเมืองไทยเยอะมาก ไม่เป็นหลุมเป็นบ่อค่ะ หลับยาวได้เลย


ระหว่างทางก่อนถึงเมืองเฟิงหวง ก็จะมีผู้หญิงจีนคนนึงลุกขึ้นมาพูดประวัติหรืออะไรไม่รู้นานมากค่ะ พูดเร็ว พูดรัว ไม่หยุดหายใจ ไม่กินน้ำกินท่าเลย พูดเป็นชั่วโมงเลย เรานั่งฟังยังเหนื่อยแทน ดีที่นางเสียงไีพเราะอยู่


พอถึงจุดหมายของเรา เฟิงหวงเมืองมรดกโลก จะเห็นรูปนกฟินิกส์ตามถนนหนทางของนี้ ลงจากรถบัสเรามองหาสถานี กะจะซื้อตั๋ววันพรุ่งนี้ไปหวู่หลิงหยวนแต่เหลียวซ้ายแลขวาไม่มีตึกเลย เป็นที่โล่งๆมีรถจอดหลายคันและก็มี Taxi เข้ามาทักว่าไปไหน เราก็ยื่นชื่อที่อยู่โรงแรมไป เค้าบอกราคามา 30 หยวน เราปฏิเสธไป เพราะอ่านรีวิวมาว่าค่ารถแค่ 10 หยวน เฟิงหวงเป็นเมืองไม่ใหญ่ เล็กๆ เดินวันเดี๋ยวก็น่าจะทั่ว จากนั้นเราก็ดู Google map ใช้เวลาดินแค่ 30 นาทีถึงโรงแรม เลยตัดสินใจว่าจะเดินหาโรงแรมเอง เดินออกจากลานได้นิดหน่อยก็มีรถสีแดง Honda Accord ขับผ่านและจอดตรงหน้า เจ้าของรถเป็นผู้หญิงสาวสวยเปิดกระจกถามว่าไปไหน เพื่อนเราก็ฉุดไปขึ้นรถเลยค่ะ จากนั้นนางก็ส่งชื่อและแผนที่โรงแรมให้เค้าดู เค้าก็พามาส่งแถวใกล้ๆโรงแรม เพื่อนถามราคาไปเค้าบอกว่า 10 หยวน โชคดีอะไรป่านนี้ ได้นั่งรถใหม่ หอม สะอาดด้วย ที่เมืองจีนจะมี Private Taxi เยอะเหมือนกันค่ะ โดยเฉพาะเมืองใหญ่ๆ ก่อนขึ้นก็ดูให้ดีๆก่อนละกันค่ะ



ทางเข้าโรงแรมนี้จะลำบากนิดนึง ถ้าใครเอากระเป๋าใบใหญ่ เพราะมีช่วงขึ้นเป็นขั้นบันไดประมาณ 200 เมตร และทางเข้าจะลึกลับนิดนึง แต่ขอบอกว่าเงียบสงบและเป็นโรงแรมที่ดีมากเลยทีเดียว เจ้าของใจดีมาก ห้องพักใหม่ ใหญ่ สะอาด อุปกรณ์ภายในมีให้ครบทุกอย่าง เราได้จองห้องวิวริมน้ำ มีระเบียง วิวสวยมาก



พอลงจากห้องพักก็เดินเล่นไปเรื่อยๆเลยค่ะ เพราะโรงแรมนี้อยู่ใกล้กับสะพานที่ 2 ตรงทางเข้าเมืองเก่าเลย ถือว่าเป็นจุดต้นทางเข้าเมืองเก่า เรากะเดินเลาะริมน้ำฝั่งซ้ายมือ วนกลับมาด้านขวามือเพื่อกลับห้องพักพอดีเลย แถวริมน้ำมีโรงแรมเรียงรายเยอะแยะมากมายเลยค่ะ เพื่อนๆที่วางแผนมาที่นี่และอยากได้ที่พักติดริมน้ำ สามารถเดินเลือกได้เลย เพราะโรงแรมบางที่ไม่ได้ขึ้นในเว๊ปฯ ที่เราจองกัน ส่วนใหญ่เป็น Local มากกว่า ก่อนที่เราจะมาเลือกอยู่นานมาก ดังนั้น เพื่อนที่แพลนจะมาไม่ต้องกลัวค่ะ มีเยอะมากๆ เลือกตามใจชอบเลย แต่แถวริมน้ำนี่จะเสียงดังหน่อยตอนกลางคืน เพราะโซนนี้จะมีร้านอาหาร บาร์ดนตรีเยอะค่ะ

ขอบอกว่ากลางคืนสวยมากๆๆๆ คนมาที่นี่ต้องเตรียมกล้องดีๆ มาเก็บภาพสวยๆ เลยนะคะ เดินวนเก็บภาพถ่าย Night life จนเหนื่อยก็เดินกลับห้องพักค่ะ



ส่งท้ายของวันนี้ด้วยภาพวิวจากระเบียงของโรงแรมค่ะ


15/10/2018

ตอนเช้า บอกเจ้าของโรงแรมให้เค้าช่วยเรียกรถ Taxi เพื่อจะไป Wulingyuan ตอนบ่าย จากนั้นเราก็เดินเล่นที่แถวริมน้ำอีกรอบเก็บบรรยากาศของเมืองตอนเช้าอีกครั้ง เมืองเฟิงหวงไม่ใหญ่ค่ะ ส่วนใหญ่คนมาเที่ยวจะกันพักคืนเดี๋ยว เช้าวันนี้อากาศดี มีคนถ่ายรูป ใส่ชุดชนเผ่าของที่นี่เยอะเลย และสุดท้ายเราก็โดนลูกตื้อจากแม่ค้าคนนึงจนได้ ก็เลยยอมใส่ชุดถ่ายรูปกะเค้าสักหน่อย ค่าชุดไม่ต้องเช่าค่ะ แต่เราจะเสียค่าถ่ายภาพ 10 หยวน/1 ใบ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นสาวๆนี่แหละค่ะ หนุ่มๆไม่ค่อยมีหรอก


พอได้รูปถ่ายจากแม่ค้าแล้ว แล้วเราก็เดินเข้าไปในเมืองตามหาสัญลักษณ์แห่งเมืองนี้ค่ะ นั้นคือ รูปปั้นนกฟินิกส์ ตรงนี้จะเป็นลานอเนกประสงค์ค่ะ เช้าๆแบบนี้ มีคนมาออกกำลังกายเยอะเลย แบ่งเป็นกลุ่มๆค่ะ ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็นคนสูงอายุ มีกลุมร้องเพลง กลุ่มถกเถียงกันเรื่องการเมือง(เดาเอาเองค่ะ เพราะท่าทางจริงจังมาก) เดินจนรอบแล้วเราก็หาอะไรกิน ร้านอาหารที่นี่จะโชว์ของที่ใช้ปรุงอาหารกันแบบสดๆเลยค่ะ มีทั้งไก่ เต๋า เป็ดตัวเป็นๆ อยู่ในกรงวางหน้าร้านแทบทุกร้านเลยค่ะ เรานี้เห็นแล้วไม่กล้ากินเลย แต่น่าจะเป็นกลยุทธ์ของร้านอาหารที่นี้ค่ะ และเมืองอื่นๆก็มีให้เห็นเหมือนกันค่ะ เราก็เลยเลือกกินหมั่นโถว(ซาลาเปา)แทนค่ะ



และส่วนใหญ่คนที่นี่เค้ากินเนิ้อวัวกัน เวลาสั่งอาหารก็ระวังนิดนึงถามให้มั่นใจก่อน พอได้เวลาเราก็กลับโรงแรม เจ้าของเอาขนมพื้นเมืองมาให้เป็นของฝาก น่ารักมากๆๆ เสร็จแล้วเค้าก็พาเราลงมาตรงถนน บอกให้เรารอเดี๋ยวเค้าไปเอารถมารับเราเพื่อไปส่งที่สถานีขนส่ง โอ! แม่เจ้า สวรรค์มาโปรดรอบสอง แล้วเค้าก็ขับรถพาเราไปสถานี ซื้อตั๋วมาให้และก็พาไปตรงชานชลารถที่จะไปหวู่หลิงหยวน เราก็ขอบคุณเค้าที่ช่วยเป็นธุระให้ จริงๆแล้วสถานีขนส่งของเฟิงหวงมันอยู่ด้านล่างนี้เอง เมื่อวานที่รถบัสมาจอดลานโล่งๆเป็นด้านบนค่ะ ถึงบางอ้อเลย การมาเฟิงหวงครั้งนี้ถือว่าเราโชคดีมากๆเลย บ๊าย บายค่ะ


รถบัสออกกตรงเวลาพาเราไปยังหวู่หลิงหยวนค่ะ แต่เส้นทางไปหวู่หลิงหยวนจะผ่านจางเจียเจี้ย ฉะนั้นรถจะแวะจอดให้คนลงที่จางเจียเจี้ยก่อน ระหว่างทางก็มีคนบรรยายเหมือนเดิม แต่รอบนี้มีแจกขนมด้วยค่ะ วันนี้เราถึงค่ำเพราะระหว่างทางจากจางเจียเจี้ยและหวู่หลิงหยวนมีการก่อสร้างถนนใหม่ค่ะ ทำให้รถขับเร็วไม่ได้ พอถึงสถานีหวู่หลิงหยวน เราก็ออกจากสถานีขนส่ง (P ล่าง) เลี่ยวซ้ายและก็เดินไปถึงสี่แยกก็เลี่ยวซ้ายอีก เดินต่อไปเรื่อยๆเกือบสุดทาง หมายเลข 1 (ทางขาว) โรงแรมจะอยู่ฝั่งขาวมือ ข้ามสะพานที่มีคลองเล็ก และเดินเข้าในซอยอีกหน่อยค่ะ โรงแรมไม่ติดถนนแต่ก็หาไม่ยากค่ะ


ตรงนี้ ! ขอบอกเพื่อนๆว่ามีโรงแรมเปิดใหม่เยอะเลย ฝั่งขวาที่มีคลองนะคะ แถวนี้เป็นโรงแรม Local และอยู่ใกล้ทางเข้าอุทธยานฯ ด้วย สามารถเดินเลือกที่พักได้เลย เราเองยังอยากเปลี่ยนเลยแต่ขี้เกียจย้าย เลยจำเป็นอยู่ยาวที่โรงแรมนี้ค่ะ


แต่ที่นี่ก็ดีอย่างที่เจ้าของพูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างดีเลย ชาวต่างชาติเข้ามาพักเยอะ ห้องจะดูเก่านิดนึงค่ะ เพราะเค้าเปิดมานานแล้ว ในห้องจะมีผ้าขนหนูให้ อย่างอื่นต้องเตรียมไปเองนะคะ เช็คอินเสร็จแล้วเราก็ปรึกษาเจ้าของโรงแรมเพื่อว่างแผนการเที่ยวที่อุทยานฯ จางเจียเจี้ยในวันรุ่งขึ้น เราอยู่ที่นี่ 3 วัน เค้าเลยวางแผนให้แบบนี้

วันแรก- อุทยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย "จุดกำเนิดอวตาร" ฝั่งซ้ายของแผนที่ (ทางเข้าประตูหวู่หลิงหยวน)

วันที่ 2 - เขาเทียนเหมินซาน + 99 โค้ง***ทางเดินกระจก*** (อยู่ในเมืองจางเจียเจี้ย)

วันที่ 3- แกรนแคนยอน สะพานแก้ว (เมืองชิลิ)+อุทยานฯ ฝั่งขวาของแผนที่ (ทางเข้าประตูหวู่หลิงหยวน)



เนื่องจากที่เกริ่นข้างต้นว่า เรามาช่วงเดือนตุลาคม สภาพอากาศจะเป็นแบบปลายฝนต้นหนาว ดังนั้น เราจะต้องเลือกวันที่อากาศปลอดโปร่งเพื่อไปเขาเทียนเหมินซานซึ่งอยู่ที่เมืองจางเจียเจี้ย หรือที่เรียกว่า "ประตูแห่งสวรรค์ หรือหุบเขาสวรรค์" (ภูเขาที่มีรูตรงกลาง) เพราะถ้าอากาศปิดจะไม่สวยเลย มองไม่เห็นอะไร อันนี้จึงเป็นเหตุให้เราพักที่นี่ยาว เลยไม่ได้พักที่จางเจียเจี้ย แต่หากเพื่อนคนไหนที่ไปช่วงอากาศดีก็ให้แวะพักที่ตัวเมืองจางเจี๋ยเจี้ยได้ค่ะ


16/10/2018

อุทธยานแห่งชาติจางเจียเจี้ย : อยู่ระหว่างเมืองหลู่หลิงหยวนและจางเจียเจี้ย "จุดกำเนิดอวตาร"

เวลาเปิด-ปิด : 7:00- 19:00 น. (ไม่มีวันหยุด)

ค่ากระเช้า 72 หยวน/คน

ค่าลิฟท์ไป่หลง 72 หยวน/คน

ค่าตั๋วเข้าอุทยาน 248 หยวน (หนึ่งบัตรเข้าได้ถึง 4วัน เพราะอุทยานฯใหญ่มากค่ะ เดินเที่ยววันเดี๋ยวไม่หมดแน่นอน ตั๋วนี้รวมค่าเข้า ค่ารถบัสและค่าประกัน)

จริงๆแล้ว ทางเข้าอุทยานฯมีทั้งหมด 3 แห่งด้วยกัน แต่ที่นิยมคือประตูทางเข้าหวู่หลิงหยวน และประตูทางเข้าจางเจียเจี้ยค่ะ มีอีกประตูคือเทียนซี่ (ตามรูป) ส่วนที่ทำไฮไลท์สีส้มคือ พิกัดจุดสำคัญต่างๆของอุทยานแห่งชาตินี้ค่ะ

เราออกจากโรงแรม 7.00 น. ค่ะ เจ้าของโรงแรมก็พาเดินไปที่ทางเข้าประตูหวู่หลิงหยวน ใช้เวลาประมาณ 5 นาทีได้ค่ะ พอได้ตั๋วก็เข้าไปสแกนกระเป๋าและต่อแถวตรวจบัตรค่ะ เช้านี้คนเยอะใช้ได้เลยค่ะ เจ้าของโรงแรมบอกว่าต้นเดือนที่ผ่านมาคนเข้าอุทยานฯเป็นล้านคนเลย เพราะเป็นช่างหยุดยาว วันชาติจีน ขนาดเรามากลางๆเดือนแล้วยังเจอกรุ๊ปทัวร์คนจีนเยอะอยู่เลยค่ะ



วันนี้เราจะไปทางฝั่งซ้ายของอุทยานฯ ตามที่เจ้าของโรงแรมแนะนำ ตามแผนที่ข้างบนนี้ นั่งรถบัสแล้วลงที่หมาลยเลข 1-2-3-4-5-6-7-8 เดินไปเรื่อย นั่งรถบัส แล้วกลับด้วยลิฟท์ไป่หลง ซึ่งเจ้าของโรงแรมบอกว่ามันใช้เวลาเยอะกว่าฝั่งขาว ค่อยให้เรามาเก็บอีกที ตามนั้นค่ะ เพราะเราคิดว่าเค้าเป็นเจ้าถิ่นน่าจะรู้ดีกว่าเรา

หมายเลข 1 คือ ลำธารชิมแปนซี ระยะทางไกลมาก

หมาลเลข 2 คือ จุดขึ้นเขา จาก 2-3 ใช้ประมาณ 3.5-4 ชั่วโมง ขึ้นเขาอย่างเดียว ชันด้วย (ตรงนี้แหละค่ะที่ทำให้เราเสียเวลาไปครึ่งวัน เหนื่อยมากด้วย) และจุดที่ 2 ที่เราต้องแยกขึ้นเขาไปยัง จุดที่ 3 Yuanjiajie สังเกตป้ายให้ดี ถ้าเดินเพลินเลย จะทะลุไปทางออกประตูจางเจียเจี้ยแทน *** ระวัง !!! ด้วยนะคะ***

หมายเลข 3-4 คือ จุดชมวิว ** High light ** จุดกำเนิดอวตาร สะพานหนึ่งใต้หล้า (ถ้าต้องการเซฟเวลาและเซฟพลังงาน ให้นั่งรถบัสมายังจุดที่ 3 นี้เลยและเดินต่อไปยังจุดที่ 4 ค่ะ )

หมายเลข 5 คือ จุดขึ้นไปยังยอดเขา Tianbo (ตรงนี้เราไม่ได้เดิน เพราะอากาศไม่ดี)

หมายเลข 6 คือ จุดขายตั๋วลงลิฟท์ไป่หลง **ขาลง** (ถ้าไม่ได้ไปกับทัวร์ ต้องแวะซื้อตั๋วที่เคาร์เตอร์ก่อน)

หมายเลข 7 คือ สถานีลิฟท์ไป่หลง

หมายเลข 8 คือ จุดขายตั๋วลงลิฟท์ไป่หลง **ขาขึ้น**



ตรวจตั๋วเสร็จ เข้ามาแล้วเราก็ถามเจ้าหน้าที่่จุดที่เราจะไปขึ้นรถคันไหน รถแต่ละคันจะมีเบอร์ติด และขับคนละทางนะคะ ฉะนั้น ถ้าไม่ถามขึ้นผิดได้ เราก็ชี้ตรงแผนที่ที่จะไปให้เจ้าหน้าที่เค้าดูค่ะ รถบัสฟรีไม่เสียตังค์ค่ะ นั่งรถไปลงจุดแรก เป็นทางเข้าลำธารซิมเปนซีค่ะ มีลำธาร และภูเขา อารมณ์เหมือนเราเดินป่าประมาณนั้น เจอลิง เจอนกสวยๆ ตามข้างทาง อย่าลืมสังเกตุป้ายแต่ละจุดว่าเราเดินถึงไหนด้วยนะคะ เราเดินจนเพลินเกือบเลยทางแยะค่ะ ถ้าหลงตามกรุ๊ปทัวร์คนจีนก็จะไปทางออกเมืองจางเจียเจี๋ยเลย บังเอิญมีฝรั่งทักเรามาให้ช่วยดูแผนที่ให้ ทางที่เราจะต้องไปต่อเป็น Yuanjiajie เหมือนกับเขา เราก็เลยเดินไปกับเขาค่ะ


ทางเริ่มขึ้นเขาไปเลยๆ ชันขึ้น ชันขึ้น มองไม่เป็นปลายทางสักที เส้นทางนี้ไม่เห็นเงาคนเลย มีแต่พวกเรา 4 คน จากนั้นเราแวะพักเหนื่อย ไม่ไหวทางขึ้นเขาตลอดเลย ขนาดว่าอากาศเย็นนะ เหงื่อยังตกเลย แล้วฝรั่ง 2 คนนั้นก็เดินหลายลับตาเราไป จะเดินกลับก็ไม่ได้ จะเดินต่อไปก็ไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางอยู่ตรงไหน กัดฟันสู้เดินต่อไปเรื่อยๆ เจอร้านค้าริมทางในป่า ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แหงนหน้ามองไปเจอทางชันอีก สรุปมาเรากำลังเดินป่า ขึ้นเข้าที่ไม่รู้ว่าสูงแค่ไหน สองข้างทางไม่มีอะไรเลยนอกจากป่า ต้นไม้ ภูเขาสูงชัน เดินมาได้สัก 2 ชั่วโมงเจอฝรั่งคนนึงกำลังลงจากเขา เลยแวะคุยทักทาย เค้าบอกว่าเค้าขึ้นมาทางนี้และถ่ายรูปเสร็จแล้วกำลังจะลง Omg ! Why yo so strong ? เขาอายุ 50 กว่าแล้วด้วย เค้าก็แนะนำจุดถ้ายรูปสวยๆให้เรา จากนั้นก็แยกกัน ขอบคุณเพื่อนร่วมทางที่ช่วยแบ่งปันสิ่งดีๆ และแล้วใช้เวลา 3 ชั่วโมงกว่า เราก็มาถึงทางเรียบด้านบน


ถ่ายรูปสวยๆตามที่เพื่อนฝรั่งคนเมื่อกี้บอก ดูความสูงของภูเขาแต่ละลูกละกัน ว่าเราเดินขึ้นมาจากข้างล่างที่ต้องแหงนหน้ามองยอด จนขึ้นมาถึงยอดข้างบนนี้เสมอกัน...มันสูงแค่ไหน จากนั้นเราจะหาทางไปที่รถจอดเพื่อนั่งรถต่อไป แต่ยังไม่ใช่จุดจอดรถค่ะ โบกเท่าไหร่รถบัสก็ไม่จอดแวะรับเราเลย สรุปเราต้องเดินเลาะทางเรียบเขาไปอีกค่ะ แต่ตรงนี้ยังดีมีจุดให้ถ้ายรูป และมีคนเดินสวนอยู่บ้าง พอถึงจุดรถบัสจอด นักท่องเที่ยวจีนเยอะมากค่ะ เค้านั่งรถบัสมาลงกันตรงนี้ เราเสียค่าโง่เดินขึ้นเขามา 3 ชั่วโมงกว่า เจ็บใจเจ้าของโรงแรมที่ให้เรามาทางนี้ ทั้งที่เราบอกนาแล้วว่าเรามีเวลา 3 วัน อยากเก็บรายละเอียดให้หมด แต่นี้เสียเวลาครึ่งวันไปแล้ว น้ำตาจิไหล!!



จุดนี้คนจะลงจากรถบัสเพื่อเดินถ่ายรูปกันค่ะ เป็นจุดกำเนิดอวตารเลยว่าได้ มีภูเขาสวยๆ หน้าตาแปลกๆเยอะเลย และถ้าเดินต่อไปเรื่อยเลาะริมหน้าผาของภูเขาจะเจอ "สะพานหนึ่งใต้หล้า" (ริบบิ้นสีแดงผูกตามริมขอบที่กัน) แต่วันนี้น่าจะเป็นวันฤกษ์ไม่ดีของเราจริงๆ เราเจอกรุ๊ปทัวร์คนจีนเยอะมาก เราเลยเดินเส้นในของภูเขา เลยยยยค่ะ ! พลาดสะพานหนึ่งใต้หล้า อีกอย่างเราไม่รู้ด้วยค่ะ เพราะแผนที่งงมากๆ ไม่เคลียร์ ไม่ชัดเจน ไม่มีป้ายบอก ใครมากับไกค์ก็โชคดีไป เค้าจะพาแวะจุดสำคัญๆ ตรงนี้จะเป็น One way นะคะ แม้ทางเดินจะแยก มีหลายทางจนปวดหัว แต่ถามไกค์คนจีนคนนึง เค้าบอกว่าทุกทาจะไปจบที่ทางออกเดียวกัน ไม่ต้องกลัวหลง Trick อีกอย่างง่ายๆที่เราเรียนรู้จากทริปนี้คือ คนจีนฉลาดค่ะ ไม่เสียเวลาเดินเยอะ ไปเฉพาะจุดที่เป็น Highlight เท่านั้น


จากที่พลาดไปโดยที่ยังไม่รู้ตัว ก็เดินออกมาจนเจอทางออก จุดจอดรถบัสอีกที่ตรงนี้มีร้าน KFC มองนาฬิกาเที่ยงกว่าแล้วหิวมากด้วย เพราะหมดพลังานไปเยอะกับการเดินขึ้นเขา เลยฝากท้องที่นี่ละกัน ขอบอกว่า...จุดนี้คนเยอะมากค่ะ เพราะร้าน KFC อยู่จุดลงรถขึ้นรถบัสพอดี พออิ่มแล้วก็นั่งรถบัสไปต่ออีกจุดนึง Yangjiajie ตรงนี้จะมี Tianbo Mountain (High light) แค่ลงจากรถเท่านั้นค่ะละอองฝนมาเลย หมอกลงไม่มีทีท่าจะจาง เราก็ลุ้นตัวโก่งเลย แต่เพื่อนบอกว่ามันไม่ง่ายหละ สงสัยวันนี้จะหมดภาระกิจเพียงแค่นี้ แต่เอารูปจากเว๊ปฯ มาให้ดูเป็นตัวอย่างนะคะ ถ้าใครได้ไปก็เดินขึ้นเขาไปจะเจอวิวตามรูปข้างล่างแบบนี้ค่ะ เรายังเสียดายเลย (^^;)

(เครดิตภาพ จากอินเตอร์เน็ต)

จากนั้นก็นั่งรถบัสมาลงจุดซื้อตั๋วขึ้นลิฟท์ไป่หลง ขอบอกว่าพอลงปุ๊บอย่าเดินตามกรุ๊ปทัวรว์นะคะ เราต้องซื้อตั๋วที่เคาร์เตอร์ซ้ายมือ มิฉะนั้นถ้าเดินเลยไปจะร้องให้เสียใจ เพราะจากนี้ต้องเดินไปอีกไกลพอสมควร 2-3 กิโลเมตรกว่าจะถึงสถานีลิฟท์ไป่หลง แต่ทางค่อนข้างดี มีเปิดเพลงระหว่งทางเดินด้วยค่ะ ตรงจุดลงลิฟท์คนมหาศาลเลย เพราะอากาศปิดคนก็แห่กันกลับ โอแม่เจ้า ! วันนี้วันอะไรเนียะ




พอได้ลงลิฟท์คนก็แย่งกันจองที่ริมหน้าต่าง เพราะจะได้เห็นวิวสวยๆ เราก็ได้เกาะขอบๆ พอเห็นนิดหน่อย ลิฟท์ลงช้าๆค่ะ ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ตอนแรกเราคิดว่าเรากลัวความสูงจะยืนไม่ได้ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ พอลงจากลิฟท์ก็ต่อแถวกันขึ้นรถบัสกลับออกมายังประตูทางเข้าเมื่อเช้านี้ค่ะ


วันนี้กลับถึงโรงแรมก็บ่นให้เจ้าของฟัง เค้าก็รับฟังโดยดีค่ะ เสร็จแล้วก็แนะนำร้านอาหารให้เรา เค้าบอกเป็นร้านดังอยู่ในเมือง ร้านนี้คนเยอะค่ะแต่เมนูไม่มีรูปเลย เราก็สั่งมั่วๆไป ได้ไก่ผักรวมและก็เพื่อนสั่งบะหมี่น้ำ คือได้บะหมี่กับน้ำซุปเปล่าๆค่ะ บะหมี่เยอะมาก น้ำซุปธรรมดาๆ ไม่มีกลิ่นหอม ใม่ใส่พริกไทยอะไรเลย เอาเถอะสั่งมาแล้วก็จำใจกินไป ขอบอกว่าอาหารไทยอร่อยที่สุดในสามโลก!!!

จากนั้นเราก็ไปเดินย่อยที่ถนนคนเดินค่ะ ถนนคนเดินในเมืองหวู่หลิงหยวน Chaoyang Road มีขายเครื่องเงิน สร้อยทำจากหินทราย ร้านขนมถัวตัดและอื่นๆ ของขึ้นชื่อแถบนี้ค่ะ เดินวนจนครบรอบและก็เรียกเท็กซื่กลับโรงแรม


ขนมร้านนี้ถึงก่อนถนนคนเดิน อยู่ตรงสี่แยก อร่อยมากเลยค่ะ


17/10/2018

เขาเทียนเหมินซาน "ประตูสวรรค์"....99 โค้ง และ *** ทางเดินกระจก ***(ที่นี่เท่านั้น อุทยานฯจางเจียเจี้ยไม่มี)

ค่าเข้า 225 หยวน (รวมค่ารถบัสและค่ากระเช้า)

เปิด-ปิด 7:00-17:00 น

เขาเทียนเหมินซานจะมีโปรแกรมให้เราเลือก 2 แบบคือ

A) ขึ้นกระเช้า - ลงด้วยรถบัส (เดินลงบันได 199 ขั้น)

B) ขึ้นรถบัสผ่าน 99 โค้ง- ลงด้วยกระเช้า (เดินขึ้นบันได 199 ขั้น)

อันนี้อยู่ที่เราเลือกว่าจะเอาแบบไหน แนะนำให้ดูจากสภาพอากาศค่ะ ถ้าช่วงเช้าอากาศยังไม่เปิดดีก็ขึ้นรถบัสแล้วค่อยกลับลงมาด้วยกระเช้า (นั่งกระเช้า เราจะเน้นที่ถ่ายรูปวิวสวยค่ะ) ถ้าช่วงไหนอากาศดีก็แล้วแต่จะเลือกเลยค่ะ ดูที่คนต่อแถวไหนสั้นยาวกว่ากันเลยค่ะ ถ้าเราเลือกแล้วจะสลับไม่ได้นะคะเพราะตั๋วจะระบุเอาไว้เลยค่ะ หุบเขาเทียนเหมินซานควรใช้เวลาอย่างน้อย 1 วันเต็มๆในการเก็บรายละเอียดค่ะ



วันนี้ เราตื่นแต่เช้าแล้วก็ออกไปยังสถานีขนส่งที่เราลงรถมาเมื่อก่อน (ตามแผนที่ด้านบน) เพราะวันนี้เราจะไปหุบเขาเทียนเหมินซาน ซึ่งอยู่ในเมืองจางเจียเจี้ย พอถึงสถานีขนส่ง เข้าไปเลยไม่ต้องซื้อตั๋วค่ะ น่าจะเพราะเป็นการเดินทางระยะใกล้ เดินเข้าไปในชานชลาดูว่าล็อกไหนมีป้ายชื่อจางเจียเจี้ย ถ้ารถจอดอยู่ก็ขึ้นไปนั่งได้เลยค่ะ ระหว่างทางจะมีคนขึ้นมาเก็บค่ารถค่ะ คนละ 12 หยวน ใช้เวลาประมาณ 40-45 นาทีค่ะ

ออกจากสถานีขนส่ง ก็เดินไปยังสถานีกระเช้าเพื่อขึ้นไปยังเทียนเหมินซานค่ะ เดิน 10 นาทีก็ถึงละค่ะ เดินเลาะถนนฝั่งซ้ายย่างเดียวและแล้วก็จะเห็นสายพานลำเลียงกระเช้าขึ้นลง เราก็มาถูกทางละค่ะ

เราได้จองตั๋วไว้แล้ว ถ้าเดินเข้าประตูไปให้เลี้ยวขวาทันทีเลยค่ะ เคาเตอร์จะยู่หลบๆ ด้านในสุด ลึกลับนิดนึงค่ะ เคาร์เตอร์ตรงนี้สำหรับคนจองล่วงหน้าและไกท์ทัวร์ค่ะ เค้าจะเอาบัตรของลูกทัวร์มาแลกตั๋วที่เป็นปึกๆ 30-50 ใบเลย เสียเวลารอนานพอสมควร สำหรับใครที่ยังไม่ได้ซื้อตั๋ว ให้เข้าไปยังใต้ตึกใหญ่ค่ะ เข้าแถวซื้อตามช่องเลย ทริปนี้เจ้าของโรงแรมจัดการจองให้เราแบบ B เค้าบอกว่าคนขึ้นกระเช้าจะเยอะเสียเวลารอคิวนานค่ะ


หน้าตาของตั๋ว

แบบ A ยืนรอเข้าแถวข้างตึกเพื่อขึ้นสถานีกระเช้าไปบนเขาเทียนเหมินซาน


แบบ B เข้าแถวรอขึ้นรถบัสทางด้านซ้ายของอาคาร ตามรูปข้างล่างนี้

เรานั่งรถบัสจากในเมืองไปด้านบนก็จะมีจุดให้เปลี่ยนเป็นมินิบัสอีกคันค่ะ ตรวจบัตรและเข้าแถวขึ้นรถบัสอีกคันที่จะพาเราผ่าน 99 โค้ง ไปยังเขาเทียนเหมินซาน เค้าขับดีไม่เวียนหัวค่ะ เรากลัวจะอวกเหมือนกันเพราะไม่ได้กินยาไปแต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ โค้งเยอะมากและหักศอกด้วย ต้องเกาะแน่นๆเลย @@



Wow!! ถึงแล้วค่ะ เขาเทียนเหมินซาน "ประตูสวรรค์" มันสวยมากค่ะ วันนี้มีหมอกลง แต่ก็สวยจริงๆ บรรยายไม่ถูกเลยค่ะ ต้องมาเห็นด้วยตาตนเอง .... (* O *)


จากจุดนี้ใครที่ฟิสร่างกายมาพร้อมก็เดินขึ้นบันไดไปด้านบนเลยค่ะ บันไดแค่ 199 ขึ้นเอง (ขอบอกว่ามันชันมากค่ะ) หรือใครที่ต้องการออมแรงไว้ ด้านขาวมือจะมีเคาร์เตอร์ให้ซื้อตั๋วขึ้น-ลงบันไดเลื่อนราคา 32 หยวน เราเองก็ขึ้นบันไดเลื่อนค่ะ ดูจากสภาพแล้วไม่ไหวจริงๆ ขอบาย


ขึ้นมาถึงก็จะเป็นช่องตรงกลางที่เราเห็นจากด้านล่าง "ช่องประตูสวรรค์" มองดูวิวได้รอบๆเลย โอ้ ! ใหญ่มากเลย


จากนั้นเราก็ขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกจุด จุดที่ 2 นี้ขึ้นฟรีค่ะ ถึงลานโล่งแล้วเราเลือกเดินเลียบฝั่งขวา ตรงนี้จะมีทางเดินกระจกแก้ว ก่อนถึงจะมีป้อมให้เราซื้อบัตรถุงเท้าใบละ 5 หยวน (ตรงนี้เราแอบไม่ปลื้มมากๆ ทำไมต้องจ่ายเพิ่มอีกและต้องต่อคิวเสียเวลา น่าจะคิดรวมไปในค่าเข้าเลย) คือ ที่นี่มีทางเดินกระจกทั้งหมด 3 จุด ถ้าคุณเดินหมดก็ต้องจ่ายค่าบัตรถุงเท้า 15 หยวน เฮ้อ.. มาที่จีนต้องทำใจ ยิบย่อยเยอะแยะค่ะ !

วันนี้ทัวร์จีนก็มาเยอะค่ะ ใส่เสื้อกันฝนกันเป็นทีมเลย



หุบเขาเทียนเหมินซาน ที่นี่จะมีทางเดินกระจกทั้งหมด 3 แห่ง ตามรูปนะคะ ที่เราเดินเป็นจุดที่ 2 ค่ะ ถือว่าเป็นจุดที่สวย Peak ของที่นี้ได้เลย เพราะมองลงไปจะเป็นทาง 99 โค้ง (อย่างที่บอกนะคะ ทางเดินกระจกที่เราเห็นกันตาม youtube คนเดินแล้วกระจกร้าว อยู่ที่เขาเทียนเหมินซาน ที่อุทยานฯจางเจียเจี้ยไม่มีนะคะ อย่าสับสน เพราะเราอ่านรีวิวแล้วเคยงง มาก่อน) ทางเดินที่เหลืออีก 2 จุดก็สวยไม่แพ้กันและระยะทางไกลกว่าด้วย แต่เสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้เดินจนครบ

เมื่อเรารับถุงผ้ามาแล้วก็ใส่ครอบรองเท้าได้เลยค่ะ เดินแป๊บเดี๋ยวเองประมาณ 500 เมตร คนเยอะมากๆค่ะ ไม่น่ากลัว แต่อาจมีเสียวๆถ้ามองวิวด้านล่าง


จากนั้นก็เดินต่อไปค่ะ จะเป็นทางเดินไปขึ้นกระเช้า ตรงนี้จะมีทำคล้ายศาลาทางเดินสวยดีค่ะ อีกฝั่งด้านตะวันตกก็มีเช่นกัน

ถึงสถานีกระเช้าแล้ว แต่เสียดายฝนตกปรอยๆและมีหมอกลง น่าจะเดินลำบาก เราเลยไม่ได้ไปต่อค่ะ เพื่อนที่วางแผนมาเที่ยวก็แพลนให้ดีนะคะ จะได้เก็บรายละเอียดให้หมด ถ้ามีโอากาศเราจะกลับมาอีกครั้ง เดินให้รอบเขาเลยค่ะ

(เครติดรูปนี้จากเเน็ตค่ะ สวยมากๆ)

โชคดีที่ยังได้รูปสวยๆจากวิวนอกกระเช้านิดหน่อยค่ะ พอลงกระเช้ามาในเมืองแล้วก็กลับด้วยรถเมล์เหมือนเดิมไปยังเมืองหวู่หลิงหยวน ถึงโรงแรมประมาณบ่าย 5 โมง เย็นนี้เรามีนัดดูโชว์พื้นเมืองในตัวเมืองค่ะ เวลา 1 ทุ่มเจ้าของโรงแรมแนะนำและจองตั๋วให้เรียบร้อยค่ะ วันนี้เราแวะร้านอาหารก่อนถึงโรงแรม เราเดินผ่านมา 2 วันแล้วเห็นร้านนี้คนเข้าเยอะ วันนี้เลยขอลองค่ะ อาหารที่เลือกเป็นเมนูปลากับสลัด รสชาติอร่อยค่ะ แต่อาหารจีนนี่น้ำมันเยิ้มเกือบทุกอย่างเลย

หน้าตาเจ้าของร้าน คุณเชฟกระทะเหล็ก !!!

พอใกล้ถึงเวลา1 ทุ่ม เราก็เดินออกจากโรงแรม เดินเรียบริมน้ำไปเรื่อยจนถึงสะพานใหญ่ในรูป เราก็ข้ามสะพานไปแวะถ่ายรูปปั้นอวตารกันก่อนค่ะ จากนั้นก็เดินข้ามฝั่งมายังโรงละคร



การแสดงเป็นเรื่องราวชาวบ้านและวิถีชีวิตของคนพื้นเมืองที่นี่ค่ะ ที่เมืองจางเจียเจี้ยก็มีเหมือนกัน คงจะอลังการกว่าที่นี่ค่ะ ถ้าใครพักที่เมืองจางเจียเจี้ยก็อย่าลืมไปดูนะคะ



18/10/2018

Grand Canyon : สะพานแก้ว เมืองชิลิ

เปิด-ปิด : 7:00- 17:30 น. (จำกัดคนเข้าต่อวัน) *** จองตั๋วล่วงหน้า ***

ค่าเข้า A) Grand Canyon 121 หยวน

B)Grand Canyon + สะพานแก้ว 259 หยวน

C) สะพานแก้ว 138 หยวน

จากสถานีรถบัสเมืองหวู่หลิงหยวนใช้เวลา 40 นาที

จากสถานีรถบัสเมืองจางเจียเจี้ยใช้เวลา 1 ชั่วโมง

เช้าวันนี้เรารีบออกไปนั่งรถเมล์ที่สถานีขนส่งหลู่หลิ่งหยวนเช่นเคย เข้าไปข้างในชานชลาที่จอดรถ มองหน้าป้ายเขียน Grand Canyon มีรถจอดอยู่ก็ขึ้นไปนั่งเลย ค่ารถคนละ 11 หยวนค่ะ รถไปจอดถึงหน้าทางเข้าเลย เราก็เดินขึ้นไปและเข้าไปที่เคาร์เตอร์ในอาคารแล้วยื่น Code ที่เจ้าของโรงแรมได้จองไว้ให้ เจ้าหน้าที่ดูพร้อมกับขอดู Passport เราต้องจองล่วงหน้าว่าจะไปวันไหนนะคะ เพื่อคนเต็มในวันที่เราจะไป เพราะที่นี่จำกัดคนเข้าในแต่ละวันค่ะ ในบัตรจะระบุวันที่เราเข้าไปเท่านั้น



วันนี้ถือว่าคนไม่เยอะเท่าไหร่ค่ะ ยืนรอคิวตรวจตั๋วไม่นาน เสร็จแล้วก็รับถุงเท้าคนละคู่เพื่อเปลี่ยนก่อนลงเดินสะพานกระจกค่ะ


ภูเขาด้านข้างนี้กำลังมีการก่อสร้างอยู่ คาดว่าอีกไม่นานน่าจะเป็นจุดท่องเที่ยวเพิ่มค่ะ ใหญ่โตอลังการงานสร้างจริงๆค่ะ คนที่กลัวความสูง มองลงไปข้างล่างอาจมีหวิวๆเหมือนกันแต่ก็ไม่ถึงกับน่ากลัว เพราะที่นี่มีขอบปูนสองข้าง ไม่ใช่กระจกทั้งหมดค่ะ เดินถ่ายรูปรอบๆเสร็จแล้วเราก็เดินกลับลงมานั้งรถเมล์ เพื่อกลับไปยังเมืองหวู่หลิงหยวนเหมือนเดิม

วันนี้เราจะกลับไปเก็บรายละเอียดที่อุทยานฯจางเจียเจี้ยต่อค่ะ เข้าประตูทางเข้าเดิมเลยค่ะ บัตรที่เราได้มาครั้งแรกเก็บไว้ให้ดีนะคะ เพราะสามารถใช้เข้าได้ถึง 4 วันเลย ถ้าใครทำหายนี้คงได้ซื้อใหม่แน่นอน

รอบสองนี้ เราจะวนฝั่งขวาของอุทยานฯ ตามที่เจ้าของโรงแรมแพลนไว้ให้ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงนะคะ

หมายเลข 1 คือ สถานีกระเช้า ** ขึ้น ** ซื้อตั๋วขึ้นที่เคาร์เตอรฺ์ 72 หยวน

หมายเลข 2 คือ สถานีกระเช้า ** ลง **

หมายเลข 3 คือ สวนนายพลเฮอ หลง

หมายเลข 4 คือ จุดขึ้นรถบัส

หมาลเลข 5 -6 คือ สะพานหนึ่งใต้หล้า จุดกำเนิดอวตาร (เรากลับมาเก็บรายละเอียดอีกรอบ เพราะพลาดไปในวันแรกค่ะ)

หมายเลข 7 คือ จุดขายตั๋วลงลิฟท์ไป่หลง **ขาลง** (ถ้าไม่ได้ไปกับทัวร์ ต้องแวะซื้อตั๋วที่เคาร์เตอร์ก่อน)

หมายเลข 8 คือ สถานีลิฟท์ไป่หลง

หมายเลข 9 คือ จุดขายตั๋วลงลิฟท์ไป่หลง **ขาขึ้น**




ค่ากระเช้าคนละ 72 หยวน ต้องซื้อตั๋วต่างหากตรงเคาเตอร์นี้นะคะ




พอลงจากกระเช้าก็จะเป็นลานจุดชมวิวค่ะ เสร็จจากนี้นั่งรถบัสไปลงจุดที่ 3 ตรงนี้เป็นสวนนายพล เฮ่อหลง มีป้ายหินอยู่ด้านหน้าค่ะ


เดินเข้าไปข้างในเลี้ยวซ้ายจะเป็นร้าน Mc Donald ค่ะ เราฝากท้องมื้อเที่ยงไว้ที่นี่ค่ะ คนไม่เยอะเท่ากับร้าน KFC อีกฝั่งนึง เพราะตรงนี้อยู่ลึกเข้ามาข้างในถ้าใครไม่สังเกตุดีๆ ก็เดินผ่านเลยไปค่ะ


จากนั้นก็เดินไปดูหอ แต่ขึ้นข้างบนไม่ได้ จากนั้นเดินลงไปด้านล่างค่ะ จะเจออนุสาวรีย์ท่านนายพล เฮ่อหลง

ตรงนี้เราพยายามหาพิกัดจุดที่เค้าผูกริบบิ้นสีแดงค่ะ แล้วก็มีนักศึกษาจีนคนนึงเข้ามาช่วยดูแผนที่ให้ เค้าก็บอกว่าอยู่อีกฝั่งนึงค่ะ ฝั่งนี้ไม่มีที่ผูกริบบิ้นแดง วันแรกที่เราเจอกรุปทัวร์คนจีนเยอะเลยเดินด้านในไม่เลาะขอบหน้าผา ตรงนั้นแหละค่ะ เค้าก็บอกว่าถ้านั่งรถอ้อมอุทยานไปใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ดูเวลาแล้วยังพอได้อยู่ ตัดสินใจนั่งรถบัสวนไปค่ะ จะบอกว่าอุทยานนี้ใหญ่มากกก....ก ล้านตัวเลย พอถึงจุดจอดรถเราก็ลงไปเดินใหม่อีกรอบค่ะ




ที่นี้เดินเลาะตามริมขอบหน้าผาอย่างเดียวเลย และแล้วเราก็มาเจอจนได้ค่ะ มันคือ สะพานหนึ่งใต้หล้า (สะพานเทียนเสี้ยตี้อี้เฉียว) มันเป็นภูเขา 2 ลูกที่หัวชนกันและเชื่อมต่อกันจนเดินไปบนหัวภูเขาอีกลูกได้ค่ะ ระหว่างเดินจะมีริบบิ้นสีแดงผูกเรียงรายและคล้องกุญแจ เป็นเป็นสัญลักษ์แห่งความรักนิรันดร์ สวยงามมากค่ะ


ระหว่างเดินอยู่มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาค่ะ มองไปอีฝั่งของหน้าผาสูงชันมีการโชว์ปีนไต่เขา รูปข้างล่าง (ตรงที่มีธงอักษรจีนสีแดง) สุดยอดมาก !!!! เราคิดวาน่าจะมีช่วงบ่ายของทุกวันนะคะ เราเคยอ่านรีวิวเจอเหมือนกันแต่เราก็ลืมไปแล้ว นี้ถือว่าเป็นความโชคดีบนความโชคร้ายเลยค่ะ พลาดวันแรกแต่ก็ได้กลับมาและยังได้เจอ ช็อตเด็ดอีกด้วย ไม่เสียแรงที่ต้องเดินวนอีกรอบ




จากนั้นเราก็เดินต่อไปขึ้นรถบัสและลงลิฟท์แก้ว และต่อรถบัสอีกเพื่อกลับไปยังประตูทางออกค่ะ

เราไม่มีเวลาพอ จึงไม่ได้เดิน Ten Mile Gellery ถ้าใครมีโอกาสไปก็อย่าลืมเก็บรายละเอียดให้ครบนะคะ จบการผญจภัยที่นี่เพียงเท่านี้ หลังจากนั้นเราก็กลับโรงแรมแล้วนั่ง Taxi เพื่อไปปักกิ่งต่อค่ะ แต่ว่าทริปนี้ยังไม่จบเพียงเท่านี้ แต่ขอรีวิวตอนที่ 1 เพียงแค่ 4 เมืองนี้ สำหรับคนที่กลับไทยก็นั่งรถบัสจากสถานีขนส่งมายังเมืองฉางชา เหมือนเดิมค่ะ และนั่งรถไฟฟ้าหรือรถเมล์ต่อไปยังสนามบิน หรือบางท่านอาจจะแวะพักที่เมืองฉางชาสักคืนก่อนกลับก็ได้ค่ะ (ถ้าใครไม่ได้แวะตอนขามา)


Noted :

- ขากลับ ถ้าใครเดินทางจากจางเจียเจี้ย หวู่หลิงหยวน เฟิงหวง นั่งรถบัสที่สถานีขนส่งมายังสถานีขนส่งในเมืองฉางชา จากนั้นก็นั่ง Airport Bus รถไฟฟ้า Maglev หรือ Taxi ไปสนามบินเหมือนขามาค่ะ อย่าลืมเผื่อเวลาเช็คอิน 2 ชั่วโมงนะคะ เพราะสนามบินค่อนข้างใหญ่ ข้างล่างนี้เป็นตารางเดินรถขากลับค่ะ

-ขามาที่นี่ คนส่วนใหญ่เมื่อลงจากสนามบินฉางชาแล้วจะนั่งรถบัสไปต่อยังหวู่หลิงหยวน จางเจียเจี้ย หรือเฟิงหวง แล้วสุดท้ายกลับมาพักฉางชาเที่ยวก่อนกลับ เพื่อสะดวกในการเดินทาง ซึ่งเป็นวิธีที่ดี ไม่เหนื่อยเกินไปค่ะ ข้างล่างนี้เป็นตารางการเดินรถของแต่ละสถานีปลายทางที่เราจะไปค่ะ


สุ้ดท้ายจะขอแนะนำแผนการเที่ยวอุทธยานแห่งชาติจางเจียเจี้ยใหม่ เพื่อเป็นแนวทาง เพราะเราอ่านรีวิวก่อนไปแต่ก็ยัง งง และหลงผิดหลงถูก เลยไม่อยากให้เพื่อนคนที่จะไปเสียเวลาและเสียโอกาส

อุทยานฯจางเจียเจี้ย :

-สำหรับคนมีเวลาน้อย สามารถเก็บรายละเอียดได้ภายใน 1 วันเหมือนกัน (แต่ต้องออกแต่เช้าเลยนะคะ) เที่ยววนตามหมายเลข ดังรูปข้างล่างนี้ หรือจะเปลี่ยนจุดที่จะไป ไม่ต้องตามแพลนก็ได้นะคะ

ประตูทางเข้าหวู่หลิงหยวน : นั่งรถบีสฟรี- นั่งกระเช้า -สวนนายพล เฮอหลง -หยวนเจียเจี้ย (One step to Heaven) จะแวะหรือไม่ก็ได้ค่ะ -Natural bridge สะพานหนึ่งใต้หล้า (ริบบิ้นสีแดง)- จุดกำเนิด Avatar - ลิฟท์ไป่หลง- กลับ


- สำหรับคนที่ต้องการเก็บรายละเอียดที่อุทยานฯให้ครบ ใช้เวลา 3 วันที่นี้ก็น่าจะพออยู่ค่ะ แบ่งเป็นฝั่งขาวและซ้าย (ตามตัวอย่างข้างล่าง) ซึ่งตั๋วสามารถใช้ได้ 4 วันเต็ม แล้วแต่จะว่าใครจะเที่ยวยังงัย เอาให้คุ้มเลยนะคะ

ฝั่งขาว : ทางเข้า -นั่งรถบัส - Ten Mile Gellery - นั่งกระเช้า - สวนนายพลเฮอหลง-

ฝั่งซ้าย : นั่งรถบัสขึ้นลิฟท์ไป่หลง - นั่งรถบัสไป Yuanjiajie - กลับมายัง Natural Bridge -สะพานหนึ่งใต้หล้า- จุดกำเนิดอวตาร - กลับด้วยลิฟท์ไป่หลง หรือ จะเดินลงเขามายังลำธารชิมแปนซีก็ได้ค่ะ (แนะนำเดินลงเขาดีกว่า เพราะเราเดินขึ้นมาแล้วเสียเวลา 3 ชั่วโมงกว่า)


หุบเขาเทียนเหมินซาน : ประตูสวรรค์

ถ้ามีเวลาก็อยากแนะนำให้เดินรอบ แต่เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่า 1 วันจะพอมั้ย เพราะช่วงที่เราไปบังเอิญอากาศไม่เป็นใจ ที่นี่ค่าตั๋วจะเป็นแบบรายวัน 225 หยวน (รวมค่าเข้า+ค่ากระเช้า) เอาเป็นว่าเราทำตัวอย่างแผนการเที่ยวมาให้ดังรูปข้างล่างนี้นะคะ

A : เริ่มด้วยนั่งกระเช้าจากตัวเมืองขึ้นไป - ขากลับด้วยรถบัส มี 3 แบบให้เลือกว่าจะเดินเที่ยวแบบไหน







B : เริ่มด้วยนั่งรถบัสขึ้นไปผ่าน 99 โค้ง -ขากลับด้วยกระเช้า มี 3 แบบให้เลือกเช่นกัน ส่วนใครจะปรับให้เหมาะสมก็ได้นะคะ






รูปข้างบนนี้ คือ สถานที่ท่องเที่ยวในเมืองจางเจียเจี้ย ก็จะมีที่เพิ่มเติมคือ ทะเลสาบ ถ้ำมังกรเหลือง การแสดงนางพญาจิ้งจอกขาว


ตารางการเดินรถบัสระหว่างเมือง


ค่าตั๋วเข้าสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆนะคะ


อ้างอิง :link ข้างล่างนี้เอาไว้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดหายไป ซึ่งเป็นรีวิวท่านอื่น ขออ้างอิงมาให้เพื่อนๆอ่านแล้วเข้าใจมากขึ้น เพราะเราเองก็พลาดบางอย่างไป เลยอยากให้ข้อมูลเติมเต็มค่ะ เค้าเขียนได้ดีและภาพสวยมาก เราก็ได้ใช้ข้อมูลดีๆสำหรับทริปนี้เช่นกัน ขอบคุณมา ณ ที่นี่

https://pantip.com/topic/34909175

สัมผัสมนต์เสน่ห์เมืองโบราณเฟิ่งหวง เสียวสุดทรวงบนทางเดินกระจกที่จางเจียเจี้ย บินกลับไทยแบบเพลียๆที่ฉางซา

https://pantip.com/topic/36675104

บอกเล่าเรื่องราวเดินทาง...5 วัน 4 คืน เที่ยวจางเจียเจี้ย เขาเทียนเหมินซาน เมืองโบราณเฟิ่งหวง สวยคุ้มค่ากับการเดินทาง...


ขอบคุณทุกท่านที่อ่านรีวิวนี้ตั้งแต่ต้นจนจบ ยังงัยรอติดตามผลงานต่อๆไปอีกนะคะ ^.^

"ซามูไรพเนจร"

ความคิดเห็น